ต้นกำเนิดและประวัติความเป็นมา 
ลัทธิมอร์มอนเริ่มต้นจากผู้ชายคนหนึ่งที่ชื่อว่า โจเซฟ สมิธ โจเซฟอ้างว่า มีวันหนึ่งในปี 1820 เขาอธิษฐานขอให้พระเจ้าเปิดเผยให้เขาเห็นว่าคริสตจักรแบบไหนที่ถูกต้อง ในขณะที่กำลังอธิษฐาน เขาเห็นนิมิต เขาเห็นชายสองคนใส่ชุดคลุมสีขาว ซึ่งคือพระเยซูกับพระเจ้าพระบิดา พระเจ้าบอกเขาว่าไม่มีคริสตจักรไหนเลยที่ถูกต้องและความเชื่อของพวกเขาก็เป็นที่น่ารังเกียจ
► มีสิ่งใดที่ผิดจากหลักการพระคัมภีร์ที่ปรากฏในนิมิตนี้?
โจเซฟอ้างว่าเห็นนิมิตในเวลาต่อมาซึ่งเปิดเผยให้เขาเห็นว่าจะขุดพบแผ่นจารึกทองคำที่มีข้อความเขียนไว้ได้ที่ไหน เขาแปลข้อความนี้ได้โดยแว่นตาวิเศษและตีพิมพ์เป็นคัมภีร์มอร์มอน  ไม่มีใครคนอื่นที่เห็นแผ่นจารึกหรือแว่นตานั้นเนื่องจากทูตสวรรค์เอาคืนกลับไปยังสวรรค์เพื่อเก็บรักษาให้ปลอดภัย
โจเซฟเป็นสมาชิกขององค์กรมาโซนิคลอร์จ และได้คัดลอกพิธีกรรมลี้ลับของลัทธิมอร์มอนจากคู่มือของมาซอนรี รวมถึงการใช้เลือดสาบานตน รหัสลับ และการจับมือทักทายแบบลี้ลับ
พระคัมภีร์กล่าวว่าพวกอัครทูตไม่ได้มีศาสนาลี้ลับ แต่เปิดเผยทุกสิ่งกับพวกเขาที่เชื่อ ดูใน 2 โครินธ์ 4:2 and 2 ทิโมธี 2:2 
คริสตจักรของมอร์มอนได้รับการจัดตั้งในนิวยอร์กเมื่อปี 1830 และในปี 1839 พวกเขาย้ายไปที่นอวูรัฐอิลลินอยส์ก่อน แล้วจากนั้นจึงย้ายไปที่มิสซูรี สมิธกล่าวว่ามิสซูรีเป็นดินแดนแห่งพันธสัญญาสำหรับพวกมอร์มอน และพระวิหารจะสร้างขึ้นที่อินดิเพนเดนซ์ รัฐมิสซูรี[1]  แต่พระวิหารไม่เคยถูกสร้างขึ้น พวกมอร์มอนจึงย้ายที่อีก สมิธได้เผยพระวจนะไว้หลายเรื่อง แต่ไม่เคยเป็นจริง
พระคัมภีร์กล่าวว่าถ้าคำเผยพระวจนะของใครไม่เกิดขึ้นจริง เขาก็ไม่น่าเชื่อถือได้ในฐานะผู้เผยพระวจนะ ดูใน เฉลยธรรมบัญญัติ 18:22 
สมิธกล่าวว่า “ข้าพเจ้ามีเรื่องน่าอวดมากกว่าใครๆ ข้าพเจ้าเป็นคนเดียวเท่านั้นที่สามารถรักษาคริสตจักรทั้งหมดไว้ได้ตั้งแต่สมัยของอาดัม คนส่วนใหญ่ในคริสตจักรยืนหยัดเคียงข้างข้าพเจ้า ซึ่งแม้แต่เปาโล เปโตร หรือพระเยซูก็ไม่เคยทำเช่นนั้นได้ ข้าพเจ้าอวดได้ว่าไม่มีใครทำการงานได้อย่างข้าพเจ้า พวกสาวกของพระเยซูหนีจากพระองค์ แต่วิสุทธิชนยุคสุดท้ายไม่เคยหนีจากข้าพเจ้าเลย”[2] 
โจเซฟโจมตีและทำลายแท่นพิมพ์ของหนังสือพิมพ์ที่ประณามการมีภรรยาหลายคนของเขา ขณะที่โจเซฟอยู่ในคุกเพื่อรอการพิจารณาคดี ฝูงชนได้บุกโจมตีคุกและฆ่าโจเซฟกับฮิรัมพี่ชายของเขา
พระคัมภีร์กล่าวว่าศิษยาภิบาลไม่ควรเย่อหยิ่ง โกรธง่าย หรือคิดแก้แค้น ดูใน ทิตัส 1:7 
สมิธระบุชื่อลูกชายของเขาให้เป็นผู้สืบทอดตำแหน่ง แต่หลังจากสมิธตายแล้ว สมาชิกส่วนใหญ่ในขบวนการเคลื่อนไหวนี้ก็ยังติดตาม บริคัม ยัง และได้ย้ายไปที่ซอลท์เลคซิตี้ โดยละทิ้ง “ดินแดนพันธสัญญา”
มอร์มอนเชื่อว่าศาสนาคริสต์ที่แท้จริงนั้นสิ้นสุดลงที่การตายของพวกอัครทูตและไม่ได้คงอยู่บนโลกนี้ต่อไปจนกระทั่งสมิธได้เริ่มต้นคริสตจักรมอร์มอน
► มีเหตุการณ์อะไรบ้างในช่วงแรกของคริสตจักรมอร์มอนที่ควรทำให้เราสงสัยว่าศาสนาคริสต์ที่ได้รับการฟื้นฟูบนโลกนั้นเป็นความจริงหรือไม่?
อิทธิพลในปัจจุบัน 
มีนิกายมากมายของมอร์มอนที่แตกแยกออกมาจากขบวนการเคลื่อนไหวดั้งเดิมซึ่งเริ่มต้นโดยโจเซฟ สมิธ บางนิกายก็มีขนาดเล็กมาก
คริสตจักรมอร์มอนที่ใหญ่ที่สุดนั้นมีสำนักงานใหญ่อยู่ที่เมืองซอลท์เลคซิตี้ รัฐยูทาห์ และมีสมาชิกทั่วโลกเกือบ 17 ล้านคน[3]  พวกเขาจัดพิมพ์เอกสารเป็นภาษาต่าง ๆ 188 ภาษา
พวกเขามีมิชชันนารีเต็มเวลาจำนวนเกือบ 55,000 คน มิชชันนารีเหล่านี้มักจะเป็นคนหนุ่มสาวที่อาสารับใช้เป็นระยะเวลา 1½ หรือ 2 ปี พวกเขาจะถูกส่งไปที่ไหนก็ตามที่มอร์มอนมีพันธกิจในโลกนี้โดยที่พวกเขาไม่มีสิทธิ์เลือก พวกเขาทำงานนี้โดยไม่ได้รับเงินเดือนหรือสิ่งตอบแทนใด ๆ
หลักคำสอนของมอร์มอนที่เข้าใจได้ยาก 
การมีภรรยาหลายคน 
โจเซฟ สมิธ อ้างว่าการมีภรรยาหลายคนเป็นคำสั่งจากพระเจ้าเพื่อให้ผู้ชายสามารถกลายเป็นพระได้หลังจากตายไป ซึ่งเป็นเป้าหมายสูงสุดของมอร์มอนทุกคน ผู้ชายควรต้องมีภรรยาหลายคนเพื่อความเป็นนิรันดร์ เพื่อพวกเขาจะสามารถเพิ่มจำนวนประชากรให้เต็มโลกใหม่เหมือนกับที่พระเจ้าเพิ่มประชากรในโลกนี้[4] 
พระคัมภีร์กล่าวว่าศิษยาภิบาลควรมีภรรยาเพียงคนเดียว ดูใน ทิตัส 1:6 
สมิธแต่งงานกับภรรยา 27 คน คนที่อายุน้อยที่สุดคืออายุ 14 ปี หลายคนในพวกเธอต่างก็แต่งงานมีสามีอยู่แล้ว แต่สมิธบอกว่าการแต่งงานก่อนหน้านั้นไม่มีผลอะไรหากเป็นการแต่งงานภายนอกลัทธิมอร์มอน ผู้นำที่มาหลังจากสมิธคือ บริฮัม ยัง มีภรรยา 57 คนและมีลูก 165 คน
พระคัมภีร์กล่าวว่าคนที่แต่งงานกับผู้ที่หย่าร้างก็ทำผิดฐานล่วงประเวณี ดูใน มัทธิว 5:32 
สมิธบอกว่าการมีภรรยาหลายคนเป็นพันธสัญญานิรันดร์ของพระเจ้า และเป็นพันธสัญญาที่ได้รับการสถาปนาตั้งแต่ก่อนวางรากฐานโลกนี้ ต่อมาพวกอัครทูตของคริสตจักรมอร์มอนบอกว่าการมีภรรยาหลายคนเป็นเพียงหนทางไปสู่การเป็นพระเท่านั้น[5]  และสิ่งนี้จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลง
มอร์มอนยังคงปฏิบัติเรื่องการมีภรรยาหลายคนมาจนถึงปี 1890 เมื่อรัฐบาลสหรัฐอเมริกาขู่ว่าจะยึดที่ดินของคริสตจักรเนื่องจากพวกเขาฝ่าฝืนกฎหมาย ในเวลานั้น ศาสดาพยากรณ์วูดรัฟแห่งมอร์มอนอ้างว่าได้รับการเปิดเผยจากพระเจ้าว่าการมีภรรยาหลายคนสิ้นสุดลงแล้ว
► เดี๋ยวนี้มอร์มอนส่วนใหญ่ไม่ได้มีภรรยาหลายคนแล้ว ทำไมประวัติศาสตร์เกี่ยวกับการมีภรรยาหลายคนของพวกเขาจึงยังคงเป็นปัญหาเกี่ยวกับความน่าเชื่อถือของพวกเขาอยู่?
การเหยียดเชื้อชาติ 
ตามหลักคำสอนของมอร์มอน มนุษย์ทุกคนเป็นวิญญาณในสวรรค์ก่อนที่จะเกิดมาเป็นมนุษย์ มีสงครามในสวรรค์และพวกที่ไม่ต่อสู้สุดกำลังเพื่อพระเจ้าก็ถูกแช่งสาปให้มีผิวสีดำ พวกคนที่อ้างข้อความเหล่านี้ล้วนเป็นประมุขของศาสนจักรมอร์มอนและยังคงได้รับการยอมรับนับถือจากลัทธิมอร์มอนว่าเป็นผู้เผยพระวจนะของพระเจ้า โจเซฟ สมิธ บอกว่าถ้าหากคนผิวสีดำเชื่อหลักคำสอนของมอร์มอนและทำสิ่งถูกต้อง สีผิวของพวกเขาจะกระจ่างขึ้นหลังจากผ่านไปหลายชั่วอายุคน บริฮัม ยัง บอกว่าคนผิวสีดำและจมูกไม่โด่งนั้นเป็นคำแช่งสาปของคาอิน เขาบอกว่านั่นเป็นหลักการนิรันดร์จากพระเจ้า คือการที่คนที่เป็นสายโลหิตของชาวอัฟริกาไม่สามารถเป็นปุโรหิตได้ เขายังบอกด้วยว่าการค้าทาสคนผิวดำเป็นการจัดตั้งของพระเจ้า โจเซฟ ฟิลดิง สมิธ กล่าวว่าคนผิวสีดำได้รับในสิ่งที่พวกเขาสมควรได้ในโลกนี้เพราะสิ่งที่จิตวิญญาณของพวกเขาได้กระทำก่อนที่จะเกิดมาในโลกนี้ ดาวิด แมคเคย์ กล่าวว่าการเลือกปฏิบัติของคริสตจักรต่อคนผิวสี (นิโกร) ไม่ได้เริ่มต้นจากมนุษย์แต่เริ่มต้นจากพระเจ้า
พระคัมภีร์กล่าวว่าในพระคริสต์ไม่มีความแตกต่างระหว่างเชื้อชาติและเผ่าพันธุ์ ดูใน กาลาเทีย 3:28 
ในลัทธิมอร์มอน สมาชิกเพศชายทุกคนต้องเป็นปุโรหิต เกือบจะตลอดทั้งประวัติศาสตร์ของพวกเขา ชาวมอร์มอนไม่อนุญาตให้ชายผิวสีดำเป็นปุโรหิต นั่นหมายความว่าคนเหล่านั้นไม่ได้เป็นสมาชิกอย่างแท้จริง ในปี 1978 คริสตจักรมอร์มอนอ้างว่าได้รับการสำแดงใหม่ซึ่งเปลี่ยนแปลงทุกสิ่งที่พวกเขาเคยพูดไว้ตั้งแต่แรกเกี่ยวกับคนผิวสีดำ และเดี๋ยวนี้พวกเขาอนุญาตให้คนผิวสีดำเป็นปุโรหิตได้[6] 
  รูปภาพ: รูปปั้นทูตสวรรค์โมโรไนอยู่ด้านบนสุดของวิหารมอร์มอนทุกแห่ง 
► มอร์มอนอ้างว่ายอมรับคนผิวสีดำเท่าเทียมกับเชื้อชาติอื่น ๆ แต่ทำไมประวัติศาสตร์เรื่องการเหยียดเชื้อชาติจึงยังคงเป็นปัญหาต่อความน่าเชื่อถือของพวกเขาอยู่?
เสื้อผ้าชั้นใน 
สมาชิกมอร์มอนทุกคนจำเป็นต้องสวมใส่เสื้อผ้าพิเศษภายใต้เสื้อผ้าด้านนอก เสื้อผ้าพิเศษนี้เป็นสีขาวและคลุมร่างกายเกือบทั้งหมด เสื้อผ้านี้สวมใส่เพื่อปกป้องฝ่ายวิญญาณของพวกเขา แทนถึงคำสัญญาของพวกเขาว่าจะสัตย์ซื่อต่อคริสตจักร พวกเขาต้องใส่ชุดนี้ตลอดวันและคืน
หลักคำสอนนอกรีตของพวกมอร์มอน 
[7] สมาชิกมอร์มอนทุกคนต้องเชื่อว่า โจเซฟ สมิธ เป็นศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้า และคัมภีร์มอร์มอน เป็นพันธสัญญาอีกเล่มหนึ่งของพระคริสต์ ซึ่งมีสิทธิอำนาจเทียบเท่ากับพระคัมภีร์ พวกเขายังมีหนังสือแห่งการเปิดเผยที่เรียกว่าหลักคำสอนและพันธสัญญา  ซึ่งพวกเขาเชื่อว่าได้รับการดลใจเช่นเดียวกับพระคัมภีร์ พวกเขาเชื่อว่าพระคัมภีร์ไม่เพียงพอที่จะสร้างหลักคำสอนที่สำคัญที่สุดของพวกเขา
มอร์มอนอ้างว่าศาสนาของพวกเขาเป็นศาสนาคริสต์ที่แท้จริง หลักคำสอนมากมายของพวกเขาขัดแย้งกับหลักการทางประวัติศาสตร์ในพระคัมภีร์ที่สนับสนุนข่าวประเสริฐ เป็นเรื่องยากที่จะหาความคิดนอกรีตเหล่านี้เมื่อพูดคุยกับสมาชิกมอร์มอน เนื่องจากพวกเขาหลายคนไม่ทราบว่าศาสดาพยากรณ์ของตนสอนอะไร
คริสตจักรมอร์มอนเชื่อว่าพระเจ้าเคยเป็นมนุษย์เหมือนเรา แต่พัฒนาขึ้นจนกลายเป็นพระเจ้าอย่างที่พระองค์เป็นในตอนนี้[8]  พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าพระบิดามีร่างกาย พระองค์มีภรรยาหลายคน ลูก ๆ ของพระองค์เกิดมาเป็นวิญญาณก่อน จากนั้นก็ถูกส่งลงมาในโลกเพื่อเกิดเป็นมนุษย์
มอร์มอนบอกว่าพวกเขาเชื่อว่าพระเยซูเกิดจากหญิงพรหมจารี แต่คริสตจักรมอร์มอนสอนว่าพระเจ้าพระบิดาทำให้มารีย์ตั้งครรภ์ด้วยวิธีธรรมชาติคือโดยการใช้ร่างกายของพระองค์ทำให้เธอตั้งครรภ์
พระคัมภีร์กล่าวว่ามารีย์หญิงพรหมจารีตั้งครรภ์เด็กคนหนึ่งโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ดูใน ลูกา 1:34-35 และ มัทธิว 1:18 พระคัมภีร์ยังกล่าวด้วยว่าพระเจ้าเป็นพระวิญญาณ ยอห์น 4:24 
มอร์มอนเชื่อว่าก่อนพระเยซูมาบังเกิดบนโลกนี้ พระองค์เป็นวิญญาณดวงหนึ่งเหมือนพวกทูตสวรรค์อื่น ๆ พระองค์ไม่ใช่พระเจ้า
พระคัมภีร์กล่าวว่าพระเยซูเป็นพระวาทะของพระเจ้าและพระองค์เป็นพระเจ้าแม้ตั้งแต่ก่อนพระองค์มาบังเกิดบนโลกนี้ ดูใน ยอห์น 1:1-2, 14. 
มอร์มอนเชื่อว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์และพระเยซูนั้นแยกขาดจากพระบิดา และทั้งสองพระองค์ไม่ได้เท่าเทียมกับพระบิดา มอร์มอนไม่เชื่อเรื่องตรีเอกานุภาพ
► คุณจะบรรยายสั้น ๆ ถึงปัญหาเกี่ยวกับมุมมองของมอร์มอนต่อพระเจ้าอย่างไรบ้าง?
มอร์มอนเชื่อว่าผู้ชายชาวมอร์มอนสามารถเติบโตไปเป็นเหมือนพระเจ้าได้ พวกเขาเชื่อว่ามีหลายคนที่ได้เป็นแล้ว ดังนั้นจึงมีพระหลายองค์ อัครทูตโลเรนโซ สโนว์กล่าวว่า “พระเจ้าเคยเป็นเหมือนอย่างที่มนุษย์เป็น และมนุษย์ก็สามารถเป็นเหมือนอย่างที่พระเจ้าเป็น”
โจเซฟ สมิธกล่าวว่า “ชีวิตนิรันดร์คือ การรู้จักพระเจ้าผู้มีสติปัญญาและเที่ยงแท้แต่องค์เดียว และคุณต้องเรียนรู้ที่จะเป็นพระด้วยตัวของคุณเอง และเป็นกษัตริย์กับปุโรหิตให้กับพระเจ้าเหมือนกับพระทั้งสิ้นได้ทำสำเร็จมาแล้วก่อนหน้าพวกคุณ”
มอร์มอนเชื่อว่ามีเพียงไม่กี่คนที่จะไปยังนรกนิรันดร์ มอร์มอนพูดว่าคนส่วนใหญ่จะได้รับโอกาสให้ยอมรับลัทธิมอร์มอนหลังจากความตาย มอร์มอนที่สัตย์ซื่อจะไปยังระดับสูงสุดของสวรรค์
พระคัมภีร์กล่าวว่ามีคนมากมายจะถูกส่งไปยังนรกพร้อมกับมารและเหล่าวิญญาณชั่ว ดูใน มัทธิว 25:41 
มอร์มอนเชื่อว่าความรอดเป็นรางวัลที่มอบให้กับชีวิตที่สัตย์ซื่อในการรับใช้พระเจ้า มอร์มอนไม่ได้กล่าวถึงการมีความมั่นใจส่วนบุคคลในความรอด
พระคัมภีร์กล่าวว่าความรอดเป็นของขวัญจากพระเจ้า ไม่ใช่สิ่งที่ได้มาจากการทำงาน ดูใน เอเฟซัส 2:8-9 
มอร์มอนเชื่อว่าคริสตจักรอื่น ๆ ทั้งหมดเป็นของซาตาน และไม่มีความรอดจากที่ไหนยกเว้นผ่านทางคริสตจักรของมอร์มอน ระหว่างมอร์มอนกับคริสเตียนนั้นไม่มีทางที่จะเป็นหนึ่งเดียวกันอย่างแท้จริงได้
► ทำไมความเป็นหนึ่งเดียวกันระหว่างคริสเตียนกับมอร์มอนจึงไม่มีทางเป็นไปได้? ขอให้เหตุผลหลายประการ
[9] กลยุทธ์ของมอร์มอน
มอร์มอนขอให้ผู้คนอธิษฐานว่าพระเจ้าจะเปิดเผยให้พวกเขาเห็นหากคัมภีร์มอร์มอนเป็นความจริงและหากโจเซฟเป็นศาสดาพยากรณ์คนหนึ่ง มีคนมากมายอ้างว่าพวกเขารู้สึกมีความรุ่มร้อนในใจซึ่งเป็นดั่งคำตอบคำอธิษฐานนั้น พวกเขาคิดว่าความรู้สึกรุ่มร้อนนั้นยืนยันว่าลัทธิมอร์มอนเป็นความจริง แต่ความรู้สึกนี้ไม่ได้ยืนยันกับพวกเขาว่าพวกเขาได้รับความรอดแล้ว
พระคัมภีร์กล่าวว่าเราไม่ควรเชื่อข่าวประเสริฐที่แตกต่างออกไปแม้ว่าจะมีทูตสวรรค์มาบอกข่าวนั้นก็ตาม ดูใน กาลาเทีย 1:8 
[10] มอร์มอนอ้างว่าเชื่อพระคัมภีร์ แต่พระคัมภีร์ขัดแย้งกับหลักคำสอนของพวกเขา พวกเขากล่าวว่าพระคัมภีร์มีข้อผิดพลาดเนื่องจากการคัดลอกและแปล พวกเขาบอกว่าจำเป็นต้องมีการสำแดงเพิ่มเติมเพราะพระคัมภีร์มีข้อผิดพลาด สำหรับมอร์มอนนั้น สิทธิอำนาจสูงสุดคือการสำแดงจาก โจเซฟ สมิธ เนื่องจากพวกเขาเชื่อว่า โจเซฟ สมิธ เป็นศาสดาพยากรณ์ของพระเจ้า พวกเขาจึงยอมรับหลักข้อเชื่อทั้งหมดของลัทธิมอร์มอนซึ่งขัดแย้งกับพระคัมภีร์
พระเยซูตรัสว่าฟ้าและดินจะล่วงไป แต่ถ้อยคำของพระองค์จะไม่สูญหายไปเลย มัทธิว 24:35 พระองค์ตรัสว่าจะไม่มีพระวจนะของพระเจ้าสูญหายไปเลยแม้แต่คำเดียวก่อนที่จะสำเร็จเป็นจริง ดูใน มัทธิว 5:18 เปโตรกล่าวว่าพระวจนะของพระเจ้าจะดำรงอยู่ชั่วนิจนิรันดร์ ดูใน 1 เปโตร 1:25 พระเจ้าคาดหวังให้เราเชื่อวางใจในพระวจนะของพระองค์แทนที่จะมองหาการสำแดงใหม่ 
มอร์มอนใช้ถ้อยคำอย่างเดียวกันกับคริสเตียน แต่พวกเขาไม่ได้หมายถึงสิ่งเดียวกัน พวกเขากล่าวว่าพระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า แต่พวกเขาไม่ได้หมายความว่าพระองค์เป็นพระเจ้า พวกเขากล่าวว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์เป็นสมาชิกองค์ที่สามในความเป็นพระเจ้า แต่พวกเขาไม่ได้เชื่อในตรีเอกานุภาพ
พวกเขากล่าวว่าพระเยซูถือกำเนิดจากหญิงพรหมจารี แต่พวกเขาเชื่อว่าพระเจ้าพระบิดามีร่างกายและใช้ร่างกายนั้นทำให้มารีย์ตั้งครรภ์ด้วยวิธีธรรมชาติ
พวกเขากล่าวว่าพระเยซูทนทุกข์และตายในฐานะเครื่องบูชาลบบาปของเรา และเพื่อเราจะสามารถอธิษฐานขอการยกโทษ แต่พวกเขาเชื่อว่าสวรรค์เป็นรางวัลสำหรับชีวิตที่สัตย์ซื่อ
มอร์มอนอ้างว่าศาสนาคริสต์เป็นเรื่องจริง พวกเขาอ้างว่าคริสตจักรอื่น ๆ ทั้งหมดเป็นของปลอม แต่ถ้าหากมีคนหนึ่งที่เข้าใจและเชื่อหลักคำสอนทั้งหมดของมอร์มอน เขาก็ไม่เชื่อข่าวประเสริฐตามพระคัมภีร์และไม่ได้เป็นคริสเตียน
► เวลานี้ย้อนกลับไปอ่านตรงข้อความที่มีตัวหนาและตัวเอียง และอ่านพระคัมภีร์แต่ละข้อ
 
[1] Joseph Smith, 
Doctrine and Covenants , Section 57
 
[2] แหล่งข้อมูลเดียวกันกับที่อ้างอิงไปแล้ว
 
[4] Joseph Smith, 
Doctrine and Covenants , Section 132
 
[5] Brigham Young, 
Journal of Discourses,  Volume 11, 269
 
[7] 
“สามารถยืนยันได้อย่างถึงที่สุด พันธสัญญาเดิมยืนยันว่าพระเจ้าเป็นองค์นิรันดร์ ไม่มีจุดเริ่มต้นหรือสิ้นสุด 
เหนือขีดจำกัดของเวลา” 
- W.T. Purkiser 
พระเจ้า มนุษย์ ความรอด 
 
[8] Joseph Smith in 
History of the Church , Volume 6, 305
 
[9] 
“พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์มีทุกสิ่งที่จำเป็นสำหรับความรอด สิ่งใดที่ไม่ได้รวมอยู่ในพระคัมภีร์ และไม่สามารถพิสูจน์ได้จากพระคัมภีร์ ต้องไม่นำมาเป็นบทความแห่งความเชื่อหรือข้อกำหนดสำหรับความรอด เราถือว่าพระธรรมที่อยู่ในสารบบของพันธสัญญาเดิมและพันธสัญญาใหม่ซึ่งสิทธิอำนาจไม่ได้เป็นที่สงสัยในคริสตจักรนั้น เป็นพระคัมภีร์อันศักดิ์สิทธิ์”
- ดัดแปลงจาก Articles of Religion 
of the Church of England
 
[10] 
“ข้าพเจ้าเชื่อใน… พระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้ทรงถือกำเนิดโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์”
- หลักธรรมของอัครทูต
(เขียนขึ้นในศตวรรษแรกเพื่อสรุปหลักคำสอนของอัครทูต)
 
                                     
                                    
                                    
                                        
                                                                                                                                    
                                                
                                                     
                                                    Previous
                                                 
                                                                                    
                                                                                                                                    
                                                
                                                    Next