[1] แนะนำศาสนาฮินดู
ศาสนาฮินดูเริ่มต้นในอินเดียก่อนที่ประวัติศาสตร์ใด ๆ จะกำหนดได้ ชาวฮินดูไม่มีบุคคลที่เป็นผู้ก่อตั้งและไม่มีองค์กรที่รองรับผู้ติดตามทั้งหมด มีผู้นับถือศาสนาฮินดูมากกว่าพันล้านคน แต่พวกเขามีหลักข้อเชื่อที่หลากหลาย ชาวฮินดูจำนวนมากปฏิบัติตามธรรมเนียมบางส่วนของศาสนาฮินดูเท่านั้น
ฮินดูเชื่อว่าศาสนาของพวกเขาถือกำเนิดมาจากคัมภีร์โบราณของอินเดียที่เรียกว่าพระเวท  พระเวท นี้ประกอบด้วยคัมภีร์หลายร้อยเล่ม
ไม่มีคำแถลงหลักคำสอนที่แทนถึงหลักข้อเชื่อของฮินดูในระดับสากลเกี่ยวกับพระเจ้า ชาวฮินดูส่วนใหญ่เชื่อพระเจ้าหลายองค์ที่มีตัวตนและทำทั้งความดีและความชั่ว ฮินดูใช้รูปเคารพมากมายที่แทนถึงพระและวิญญาณต่าง ๆ ที่พวกเขานมัสการ
พระเยซูตรัสว่าเราต้องนมัสการพระเจ้าเที่ยงแท้แต่องค์เดียว ดูใน ลูกา 4:8 
[2] ชาวฮินดูบางคนนมัสการพระเจ้าองค์เดียวเป็นพระเจ้าสูงสุด ชาวฮินดูบางคนเรียกพระเจ้าสูงสุดนี้ว่าพระศิวะ  บางคนเรียกชื่ออื่น ๆ และบรรยายถึงพระเจ้าสูงสุดของพวกเขา พระศิวะ มีภรรยาและลูก พระศิวะ ทำทั้งความดีและความชั่ว บางคนเรียกพระศิวะ ว่าเป็นพระผู้สร้าง แต่พวกเขาไม่ได้หมายความว่าโลกถูกสร้างขึ้นในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง
แม้แต่เมื่อชาวฮินดูพูดถึงพระเจ้าสูงสุดองค์หนึ่ง พวกเขาไม่ได้หมายความถึงสิ่งเดียวกันกับที่คริสเตียนหมายถึงเวลาที่พูดถึงพระเจ้า คริสเตียนเชื่อว่าพระเจ้าคือความจริงสูงสุดและเป็นพระผู้สร้างโลกนี้ซึ่งพระองค์เป็นบุคคล ชาวฮินดูพูดว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้าองค์เดียว แต่ไม่ใช่พระเจ้าที่คิดหรือสื่อสารได้ เว้นแต่ผ่านทางพระหลายองค์ที่มีรูปกาย
ผู้เผยพระวจนะเยเรมีย์กล่าวว่าพระเจ้าสร้างโดยฤทธิ์อำนาจของพระองค์ และบรรดาพระเทียมเท็จจะพินาศไป ดูใน เยเรมีย์ 10:9-12 พระเจ้าสื่อสารกับมนุษย์และบอกเราว่าพระองค์เป็นผู้ใด ดูใน อิสยาห์ 46:9-10 
ชาวฮินดูเชื่อว่ามีความเป็นจริงสูงสุดที่ไม่มีตัวตนซึ่งเป็นต้นกำเนิดของโลก ชาวฮินดูบางคนเรียกความเป็นจริงสูงสุดนี้ว่าพรหม พวกเขาเชื่อว่าทุกสิ่งที่ดำรงอยู่เป็นส่วนหนึ่งของพรหม พวกเขาเชื่อว่าพรหมคือวิญญาณหรือตัวตนที่แท้จริงในสิ่งมีชีวิตทุกชีวิต พวกเขาอาจกล่าวด้วยซ้ำว่าพวกเขาเชื่อในพระเจ้าเพียงองค์เดียว แต่สิ่งที่พวกเขาหมายถึงก็คือ ทุกสิ่งที่ดำรงอยู่ล้วนเป็นหนึ่งเดียว และนั่นคือพระเจ้า
ปฐมกาล 1 กล่าวว่าพระเจ้าสร้างทุกสิ่งโดยคำสั่งของพระองค์ พระองค์แตกต่างจากสิ่งที่พระองค์สร้างนั้น ดูใน ปฐมกาล 1:1 
ชาวฮินดูเชื่อว่าผู้นำที่ยิ่งใหญ่คนใดก็ตามที่ช่วยเหลือผู้คนอาจกลายเป็นเทพเจ้าในภายหลังได้ ทุกคนล้วนสำแดงให้เห็นพรหม แต่เทพเจ้าคือบุคคลที่สำแดงให้เห็นพรหมมากกว่าผู้อื่น[3] 
► อะไรคือความแตกต่างระหว่างคริสเตียนกับฮินดูในเรื่องแนวคิดเกี่ยวกับพระเจ้า?
ชาวฮินดูอ้างว่าตนใจกว้างต่อทุกศาสนา พวกเขามีคำพูดที่ว่า “สัจธรรมทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียว” พวกเขากล่าวว่ามีหนทางมากมายที่จะไปสู่เป้าหมาย แม้ว่าศาสนาต่าง ๆ จะมีแนวคิดเกี่ยวกับชีวิตที่บุคคลควรดำเนินไปและเป้าหมายที่ควรพยายามบรรลุที่แตกต่างกันมากก็ตาม พวกเขาไม่ได้ให้ความหมายของ “สัจธรรมทั้งหมดเป็นหนึ่งเดียว” ในแง่ที่ว่าสัจธรรมทั้งหมดในศาสนาต่าง ๆ มีความสอดคล้องกันอย่างมีเหตุผล แต่พวกเขาหมายความว่าสัจธรรมทั้งหมดเป็นการแสดงออกถึงความเป็นจริงสูงสุดที่ไม่สามารถอธิบายออกมาเป็นคำพูดได้
อัครทูตเปาโลกล่าวว่าความรับผิดชอบขั้นต้นของศิษยาภิบาลคือสอนหลักคำสอนที่แท้จริง ดูใน ทิตัส 1:9 ทุกศาสนาไม่เหมือนกัน ดูใน 1 ทิโมธี 1:3-6 
คริสเตียนเชื่อว่า แม้พระเจ้าจะยิ่งใหญ่เกินกว่าที่เราจะเข้าใจได้ แต่พระองค์ก็ยังเปิดเผยถ้อยคำความจริงบางอย่างเกี่ยวกับพระองค์ ถ้าศาสนาใดขัดแย้งกับความจริงที่พระเจ้าได้เปิดเผยเกี่ยวกับพระองค์เองแล้ว ศาสนานั้นก็ผิด
ชาวฮินดูบางคนเชื่อว่าพระเยซูเป็นบุคคลที่ปฏิบัติตามหลักการของศาสนาฮินดูและเป็นผู้สอนที่ยิ่งใหญ่เหมือนคนอื่น ๆ ที่มีชีวิตอยู่ในยุคสมัยอื่น พวกเขาไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นพระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า
ชาวฮินดูเชื่อในวัฏจักรแห่งกาลเวลาที่ไม่มีที่สิ้นสุด ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีการสิ้นสุด และไม่มีเหตุการณ์ใดที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่างๆ ได้อย่างถาวร
ชาวฮินดูเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิด พวกเขาเชื่อว่าการกลับชาติมาเกิดคือการเกิดใหม่อีกครั้งของตัวตนที่แท้จริงของบุคคล โดยเกิดใหม่ในหลากหลายรูปแบบชีวิต และเกิดใหม่หลายครั้ง
พระคัมภีร์กล่าวว่ามนุษย์ตายครั้งเดียวและเข้าสู่การพิพากษาต่อหน้าพระเจ้า ดูใน ฮีบรู 9:27 
[4] ชาวฮินดูเชื่อเรื่องกรรม ตามแนวคิดของกรรม บุคคลได้รับผลดีและผลชั่วจากการกระทำของตนในชีวิตนี้และในชีวิตหน้า กรรมเป็นกฎธรรมชาติของจักรวาล ไม่ได้ขึ้นอยู่กับกฎที่พระเจ้าองค์ใดบัญญัติ และไม่ได้ถูกควบคุมโดยพระเจ้าองค์ใด
คริสเตียนเชื่อฟังกฎบัญญัติของพระเจ้าและมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเจ้า ดูใน ยอห์น 14:15 พระคัมภีร์บอกเราว่าพระคริสต์จะพิพากษามนุษย์ทุกคนจากมาตรฐานความชอบธรรมของพระองค์ ดูใน กิจการ 17:31, 2 โครินธ์ 5:10, ยากอบ 4:12 
คน ๆ หนึ่งมีความผิดถ้าหากเขาทำบางสิ่งที่เป็นอันตรายต่อตัวเองหรือผู้อื่น เขาอาจทำดีเพื่อหักล้างความผิดเพื่อให้ได้รับผลที่ดีกว่า แต่จะไม่มีการยกโทษให้เขาเลย
เป้าหมายสูงสุดของศาสนาฮินดูคือการหลุดพ้นจากวัฏจักรแห่งการเวียนว่ายตายเกิดในสภาวะชั่วนิรันดร์ที่เรียกว่านิพพาน ชาวฮินดูบางคนนิยามสภาวะนี้ว่าเป็นการดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ของตัวตน ในขณะที่บางคนมองว่าเป็นการดูดซับเข้าสู่พรหม เหมือนหยดน้ำที่ตกลงไปในทะเล ชาวฮินดูหลายคนเชื่อว่าการดำรงอยู่ของบุคคลในฐานะปัจเจกบุคคลที่มีจิตสำนึกจะสิ้นสุดลงเมื่อเขาถูกดูดซับเข้าสู่พรหม
เป้าหมายของคริสเตียนคือการมีชีวิตนิรันดร์โดยมีความสัมพันธ์ส่วนตัวกับพระเจ้าในสวรรค์ ดูใน วิวรณ์ 21:3 
► มีอะไรที่แตกต่างกันระหว่างแนวคิดของฮินดูเรื่องนิพพานกับแนวคิดของคริสเตียนเรื่องสวรรค์?
วิถีชีวิตของชาวฮินดู 
ตามความเชื่อของชาวฮินดู ผู้ที่ละทิ้งโลกภายนอกโดยสิ้นเชิงจะไม่ผลิต เตรียม หรือเก็บอาหารไว้ พวกเขาต้องขอทานทุกวัน บางคนต้องพึ่งพาญาติ ๆ บางคนต้องไปขอทานตามบ้านต่าง ๆ ตัวอย่างที่ดีที่สุดของผู้ที่นับถือศาสนาฮินดูคือผู้ที่ไม่ทำงานเพื่อเลี้ยงตัวเอง
พระคัมภีร์กล่าวว่าบุคคลไม่ควรปฏิเสธที่จะทำงานแล้วคอยแต่พึ่งพาคนอื่น ดูใน 2 เธสะโลนิกา 3:10 
ชาวฮินดูจำนวนมากเป็นมังสวิรัติ ในหมู่คนที่กินเนื้อสัตว์ ส่วนใหญ่ไม่กินเนื้อวัวเพราะวัวเป็นที่เคารพนับถือ อาหารมักถูกนำไปถวายรูปเคารพก่อนที่จะรับประทาน แม้แต่ในบ้านก็ตาม
พระคัมภีร์กล่าวว่าเนื้อทุกชนิดกินได้ ดูใน 1 ทิโมธี 4:3-4 
ชาวฮินดูมีศิลปะและสถาปัตยกรรมของวัดที่มีความวิจิตรบรรจง รวมไปถึงเครื่องแต่งกายและเครื่องประดับส่วนตัวที่มีความสำคัญทางศาสนา
ชาวฮินดูเชื่อว่าพวกเขาควรใส่ใจทุกชีวิตอย่างเท่าเทียมกัน พวกเขาเชื่อว่าคนเราควรใส่ใจสุนัขที่กำลังทุกข์ทรมานเหมือนกับที่ใส่ใจลูกชายของตนเอง พวกเขาเชื่อว่าความสัมพันธ์ไม่ควรทำให้คนเรามีความรู้สึกเกี่ยวกับความต้องการของผู้อื่น พวกเขาเชื่อว่าการดูแลใครสักคนเพราะความสัมพันธ์เป็นแรงจูงใจที่ผิด พวกเขาเชื่อว่าพรหมไม่มีความรู้สึกเกี่ยวกับสิ่งใด ๆ ไม่มีความเศร้าโศกและไม่มีความสุข ชาวฮินดูควรพยายามที่จะเข้าถึงระดับนั้น
เมื่อชาวฮินดูพูดถึงการดูแลผู้อื่นอย่างเท่าเทียมกัน พวกเขาอาจคิดว่าตนมีความคิดแบบเดียวกันกับคริสเตียน แต่จริงๆ แล้วไม่เหมือนกันเลย คริสเตียนเชื่อว่าพวกเขาควรจะรักผู้อื่นเหมือนกับที่พวกเขารักตัวเอง แต่ชาวฮินดูเชื่อว่าคุณไม่ควรกังวลเกี่ยวกับผู้อื่นหรือตัวคุณเอง
สำหรับชาวฮินดู การทำสมาธิหมายถึงการควบคุมจิตใจของตนเองอย่างสมบูรณ์ เพื่อไม่ให้เกิดความคิดใด ๆ ขึ้นโดยไม่ได้รับอนุญาต การนมัสการของพวกเขาออกแบบมาเพื่อให้จิตใจว่างเปล่า นั่นคือเหตุผลที่พวกเขาใช้เสียงและคำพูดซ้ำ ๆ และการออกกำลังกาย จุดประสงค์ของการทำสมาธิคือการไม่คิดเกี่ยวกับอะไรเลย โยคะเริ่มต้นขึ้นในฐานะระบบการออกกำลังกายของชาวฮินดูเพื่อชำระความคิดจิตใจ
ชาวฮินดูอธิษฐานต่อเทพเจ้าต่าง ๆ เพื่อจดจ่อความคิดจิตใจ ถ้าชาวฮินดูคนหนึ่งบรรลุการจดจ่อได้อย่างสมบูรณ์ เขาก็จะไม่ต้องการเทพเจ้าและไม่จำเป็นต้องอธิษฐานอีกต่อไป พวกเขาไม่ได้อธิษฐานโดยตรงต่อพรหม
► เวลานี้ย้อนกลับไปอ่านข้อความที่มีตัวหนาและตัวเอียง กับข้อพระคัมภีร์แต่ละข้อ
 
[1] 
“แนวคิดเรื่องพระเจ้าทรงมีปัญญาอันไม่สิ้นสุดนั้นเป็นรากฐานของความจริงทั้งมวล เป็นข้อมูลที่เป็นหลักข้อเชื่อซึ่งจำเป็นต่อความถูกต้องของหลักข้อเชื่ออื่น ๆ เกี่ยวกับพระเจ้า” 
- A.W. Tozer 
ความรู้ถึงความบริสุทธิ์
 
[2] 
“ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในพระเจ้าพระบิดา ผู้ทรงฤทธิ์ที่สุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก” 
- หลักธรรมของอัครทูต
 
[4] 
“คริสเตียนเชื่อมั่นในมนุษย์ว่ามีคุณค่าที่ไม่มีที่สิ้นสุดของปัจเจกบุคคล และมีศักยภาพอันล้ำค่าที่จะเกิดขึ้นได้ผ่านทาง 
พระคุณแห่งการไถ่บาปของพระเจ้า” 
- W.T. Purkiser 
สำรวจความเชื่อคริสเตียนของเรา
 
                                     
                                    
                                    
                                        
                                                                                                                                    
                                                
                                                     
                                                    Previous
                                                 
                                                                                    
                                                                                                                                    
                                                
                                                    Next