ต้นกำเนิดของศาสนาอิสลาม 
ศาสนาอิสลามเป็นศาสนาที่ใหญ่เป็นอันดับสองในโลกโดยมีผู้นับถือศาสนานี้ประมาณ 1.9 พันล้านคน[1]  ชนชาติทั้งปวงล้วนอยู่ภายใต้การปกครองด้วยหลักคำสอนของอิสลาม คำว่า อิสลาม  หมายถึง “การยอมอยู่ภายใต้” คือการยอมอยู่ภายใต้อัลลอฮ์ ผู้นับถือศาสนาอิสลามถูกเรียกว่ามุสลิม คำว่า มุสลิม  หมายถึง “คนที่ยอมอยู่ภายใต้” มุสลิมเรียกตัวเองว่า “ผู้เชื่อ” และพวกเขาเรียกคนที่ไม่ใช่มุสลิมว่า “พวกนอกรีต” (ผู้ไม่เชื่อ)
มูฮัมหมัดเป็นผู้ก่อตั้งศาสนาอิสลาม เขามีชีวิตอยู่ในช่วงปี ค.ศ. 570-632
มูฮัมหมัดอ้างว่าได้รับการเปิดเผยต่าง ๆ มีคนจำนวนมากได้เขียนเกี่ยวกับการเปิดเผยที่มูฮัมหมัดได้รับ และสิ่งเหล่านี้ถูกรวบรวมไว้เพื่อประกอบกันเป็นคัมภีร์อัลกุรอานหลังจากที่เขาเสียชีวิตไปแล้ว อัลกุรอานแบ่งออกเป็นหลายส่วนที่เรียกว่าซูเราะฮ์ 
► ต้นกำเนิดของคัมภีร์อัลกุรอานแตกต่างจากต้นกำเนิดของพระคัมภีร์อย่างไร?
ศาสนาของมูฮัมหมัดแตกต่างจากศาสนาอื่นๆ รอบๆ ตัวเขา เนื่องจากเป็นศาสนาเทวนิยมและต่อต้านการบูชารูปเคารพ เขารู้จักศาสนายิวและศาสนาคริสต์ แต่ปฏิเสธศาสนาเหล่านี้
มูฮัมหมัดมาจากครอบครัวที่ยากจนแต่แต่งงานกับหญิงม่ายที่ร่ำรวย หลังจากที่เธอเสียชีวิต เขาได้แต่งงานกับผู้หญิงอีก 12 คน ตามคัมภีร์อัลกุรอาน ผู้ชายมีภรรยาได้ไม่เกิน 4 คน
เมื่อมูฮัมหมัดมีผู้ติดตามมากพอแล้ว เขาก็เข้ายึดครองเมืองเมดินา ซึ่งปัจจุบันตั้งอยู่ในประเทศซาอุดีอาระเบีย หลังจากสู้รบหลายครั้ง เขาก็เข้ายึดครองเมกกะและย้ายไปอยู่ที่นั่น เขาและผู้ติดตามโจมตีและยึดครองพื้นที่โดยรอบ ในที่สุดพวกเขาก็ยึดครองหลายประเทศและบังคับให้ผู้คนเปลี่ยนมาเป็นมุสลิม
ชาวมุสลิมส่วนใหญ่ในปัจจุบันไม่ใช้ความรุนแรง พวกเขาพยายามอยู่ร่วมกับเพื่อนบ้านที่ไม่ใช่มุสลิมอย่างสันติ อย่างไรก็ตาม มีคำสั่งให้ใช้ความรุนแรงในคัมภีร์อัลกุรอาน คัมภีร์อัลกุรอานสั่งให้ชาวมุสลิมโจมตีและฆ่าผู้ที่บูชารูปเคารพ[2]  คัมภีร์อัลกุรอานกล่าวว่าผู้ที่ต่อต้านศาสนาอิสลามควรถูกฆ่าหรือตัดมือตัดเท้าออก[3]  พวกอิสลามหัวรุนแรงปฏิบัติตามคำสั่งเหล่านี้อย่างจริงจัง มูฮัมหมัดทำลายหมู่บ้านชาวยิว สังหารพวกผู้ชายและขายครอบครัวของพวกเขาไปเป็นทาส
► การแพร่กระจายของศาสนาอิสลามแตกต่างจากการแพร่กระจายของศาสนาคริสต์อย่างไร?
[4] หลักข้อเชื่อของอิสลาม
หลักข้อเชื่อที่กล่าวกันบ่อยที่สุดในศาสนาอิสลาม เรียกว่า ชาฮาดะห์ คือ “ไม่มีพระเจ้าอื่นใดนอกจากอัลลอฮ์ และมูฮัมหมัดคือศาสดาของพระองค์”
ชาวมุสลิมเชื่อว่าอัลลอฮ์เป็นพระเจ้าองค์เดียว ผู้สร้างโลก พวกเขาเชื่อว่าอัลลอฮ์เป็นผู้ให้การเปิดเผยแก่บุคคลในพระคัมภีร์ เช่น โนอาห์ อับราฮัม และโมเสส
ชาวมุสลิมไม่เชื่อในตรีเอกานุภาพ และไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าที่มาบังเกิดเป็นมนุษย์ได้
► มุมมองของมุสลิมต่อมูฮัมหมัดแตกต่างจากมุมมองของคริสเตียนต่อพระคริสต์อย่างไร?
[5] ชาวมุสลิมเชื่อว่าพระเยซูเป็นศาสดาจากพระเจ้าที่ทรงทำการอัศจรรย์ต่าง ๆ เป็นพระเมสสิยาห์ และไม่มีบาป พวกเขาไม่เชื่อว่าพระองค์สิ้นพระชนม์บนไม้กางเขน แต่เชื่อว่าพระองค์ถูกอัลลอฮ์รับไปเมื่อชาวยิวพยายามจะฆ่าพระองค์[6]  พวกเขาไม่เชื่อว่าพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าหรือเป็นพระเจ้าผู้มาบังเกิดเป็นมนุษย์[7]  พวกเขาไม่เชื่อว่าพระองค์คือพระผู้ช่วยให้รอดของโลก
ชาวมุสลิมเชื่อว่าพระคัมภีร์มาจากพระเจ้า แต่พวกเขาเชื่อว่าหากมีข้อขัดแย้งระหว่างพระคัมภีร์กับคัมภีร์อัลกุรอาน คัมภีร์อัลกุรอานจะเป็นสิทธิอำนาจสูงสุด เนื่องจากเป็นการเปิดเผยครั้งสุดท้าย พวกเขาเชื่อว่าการเปิดเผยในภายหลังสามารถขัดแย้งกับการเปิดเผยก่อนหน้าได้[8] 
พระคัมภีร์กล่าวว่าถ้อยคำของพระเจ้าจะไม่ร่วงโรยไปแต่จะยั่งยืนอยู่เป็นนิตย์ ดูใน อิสยาห์ 40:8 และ 1 เปโตร 1:25 
ชาวมุสลิมเชื่อว่าความรอดนั้นได้มาจากการทำตามพันธกรณีบางประการที่เรียกว่าเสาหลักทั้งห้าของศาสนาอิสลาม เสาหลักทั้งห้าของศาสนาอิสลามมีดังนี้:
1. ชาฮาดา:  การกล่าวคำปฏิญาณตนในศาสนาอิสลามอย่างจริงใจ
2. ละหมาด:  การละหมาด 5 ครั้งในหนึ่งวัน
3. ซะกาต:  การบริจาคทานแก่คนยากจน
4. เศาะวุม:  การถือศีลอดในเดือนรอมฎอน
5. ฮัจญ์:  การไปแสวงบุญที่เมกกะครั้งหนึ่งในชีวิต
หลักคำสอนที่เข้าใจได้ยากของอิสลาม 
[9] หากต้องการดูว่าชาวมุสลิมมีวิถีชีวิตแบบใด เราสามารถดูได้จากประเทศต่าง ๆ ที่ถูกควบคุมโดยกฎหมายอิสลาม กฎหมายอิสลามเรียกว่ากฎหมายชารีอะห์ ประเทศอาหรับหลายประเทศปฏิบัติตามกฎหมายชารีอะห์ในระดับหนึ่ง กฎหมายอิสลามไม่อนุญาตให้มีเสรีภาพในการพูด ไม่ให้มีเสรีภาพในการนับถือศาสนา ไม่มีเสรีภาพในการชุมนุม หรือไม่มีเสรีภาพในการสื่อสารตามที่โลกตะวันตกเข้าใจและใช้เสรีภาพนั้น[10] 
ในสังคมอิสลามบางแห่ง บุคคลอาจถูกฆ่าได้เพียงเพราะเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์หรือพยายามเผยแพร่ศาสนาแก่ผู้อื่น อย่างไรก็ตาม ส่วนใหญ่แล้ว บุคคลจะถูกฆ่าเพราะฝูงชนรุมทำร้าย ไม่ใช่เพราะการกระทำอย่างเป็นทางการของรัฐ
ตามกฎหมายชารีอะห์ ผู้ชายสามารถหย่าร้างภรรยาได้ทันทีไม่ว่าด้วยเหตุผลใดก็ตาม ส่วนผู้หญิงไม่สามารถหย่าร้างได้หากไม่ได้รับความยินยอมจากสามี ตามคัมภีร์อัลกุรอาน ผู้ชายสามารถทุบตีภรรยาได้[11]  ผู้ชายสามารถมีภรรยาได้ 4 คน[12]  ผู้หญิงอาจถูกญาติพี่น้องฆ่าตายได้หากเธอไม่ปฏิบัติตามข้อกำหนดของศาสนาอิสลาม ในบางประเทศ ผู้หญิงไม่ได้รับอนุญาตให้ขับรถ ไปโรงเรียน หรือปรากฏตัวในที่สาธารณะโดยไม่ปกปิดใบหน้า ผู้หญิงอาจถูกทุบตีในที่สาธารณะได้หากเธอฝ่าฝืนกฎ
คริสเตียนถูกสั่งสอนให้ปฎิบัติต่อภรรยาด้วยความอ่อนสุภาพ ดูใน 1 เปโตร 3:7 ผู้ชายต้องรักภรรยาของตนเหมือนรักตัวเอง ดูใน เอเฟซัส 5:28-29 
ชาวมุสลิมเชื่อว่าสิ่งที่ถูกต้องและผิดเกิดจากพระประสงค์ของอัลลอฮ์เท่านั้น อัลลอฮ์สามารถเลือกที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งที่ถูกต้องได้ เพราะพระประสงค์ของอัลลอฮ์มีความสำคัญมากกว่าคุณลักษณะที่ไม่สามารถเปลี่ยนแปลงได้
พระคัมภีร์บอกว่าพระเจ้าดีและพระองค์เป็นแหล่งแห่งทุกสิ่งที่ดี พระเจ้าไม่เคยเปลี่ยนแปลง ดูใน ยากอบ 1:17 
อัลกุรอานไม่ได้กล่าวว่ามนุษย์ถูกสร้างมาตามฉายาของอัลลอฮ์ แต่กล่าวว่าอัลลอฮ์อยู่เหนือธรรมชาติและไม่อาจเป็นที่รู้จักได้ และมีความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง
มนุษย์ถูกสร้างขึ้นตามพระฉายของพระเจ้า ด้วยเหตุนี้เราจึงเข้าใจบางสิ่งเกี่ยวกับธรรมชาติของพระเจ้าได้ และสามารถมีความสัมพันธ์กับพระองค์ ดูใน ปฐมกาล 1:27 
ชาวมุสลิมไม่ได้คาดหวังว่าจะมีความสัมพันธ์กับอัลลอฮ์ได้ อัลลอฮ์ได้รับการเรียกว่าเป็น “ผู้ที่รักทุกสิ่ง” แต่ในคัมภีร์อัลกุรอานไม่เคยระบุว่าอัลลอฮ์รักผู้คน อัลกุรอานมักระบุว่าอัลลอฮ์อภัยโทษและเมตตาต่อผู้ที่มานับถือศาสนาอิสลาม ผู้คนต้องกลับใจใหม่และขอการละเว้นโทษโดยหวังว่าอัลลอฮ์จะเมตตา แต่ไม่มีประสบการณ์แห่งความรอดหรือความมั่นใจว่าได้รับการอภัยโทษ
พระคัมภีร์สัญญากับเราว่าพระเจ้ายกโทษให้คนที่สารภาพบาปและเชื่อ ดูใน 1 ยอห์น 1:9 
► ความสัมพันธ์ของคริสเตียนกับพระเจ้าแตกต่างจากความสัมพันธ์ของมุสลิมกับอัลลอฮ์อย่างไร?
ผลประโยชน์ต่าง ๆ ของศาสนาอิสลามมักมอบให้กับผู้ชาย และอัลกุรอานก็กล่าวถึงทุกประเด็นจากมุมมองของผู้ชาย ผู้หญิงเป็นเพียงทรัพย์สินของผู้ชายเท่านั้น สวรรค์ของศาสนาอิสลามหลังความตายเป็นของผู้ชาย โดยที่ผู้หญิงจะอยู่ที่นั่นก็เพียงเพื่อความพึงพอใจของผู้ชาย[13] 
► เวลานี้ย้อนกลับไปอ่านข้อความที่มีตัวหนาและตัวเอียง กับข้อพระคัมภีร์แต่ละข้อ
 
[4] 
“ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในพระเจ้า พระบิดาผู้ทรงฤทธิ์ที่สุด ผู้ทรงสร้างฟ้าสวรรค์และโลก ข้าพเจ้าเชื่อวางใจในพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระบิดา ทรงปฏิสนธิ์โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงกำเนิดจากมารีย์สาวพรหมจารี”
- หลักธรรมของอัครทูต
 
[5] 
“ทุกวันนี้ข้าพเจ้าเชื่อมั่นว่าพระคัมภีร์มาจากพระเจ้าเหมือนกับที่เชื่อว่าดวงอาทิตย์ฉายแสงได้ และความเชื่อมั่นนี้ (ที่เป็นดั่งของขวัญประเสริฐ) มาจากพระบิดาแห่งดวงสว่างทั้งหลาย” 
- John Wesley 
(จดหมาย ปี 1747)
 
[9] 
“ข่าวดีคือ พระเจ้าได้ทำผ่านพระคริสต์ในสิ่งที่กฎบัญญัติทำไม่ได้ นั่นคือการส่งพระบุตรของพระองค์มาเป็นเครื่องบูชาไถ่บาป พระคริสต์ชดใช้หนี้บาปโดยยอมตายเป็นเครื่องบูชา” 
- Thomas Oden 
ถ้อยคำแห่งชีวิต 
 
                                     
                                    
                                    
                                        
                                                                                                                                    
                                                
                                                     
                                                    Previous
                                                 
                                                                                    
                                                                                                                                    
                                                
                                                    Next