ต้นกำเนิดของนิกายเซเวนเดย์แอดเวนติสต์ 
  วิลเลียม มิลเลอร์ 
ในช่วงปี ค.ศ. 1830 วิลเลียม มิลเลอร์[1]  นักเทศน์คณะแบ๊บติสต์ เริ่มต้นเทศนาว่าพระเยซูจะกลับมาในไม่ช้า พวกผู้ติดตามของเขาถูกเรียกว่าเป็นกลุ่มมิลเลอไรต์อยู่หลายปี ในปี 1844 มิลเลอไรต์ทำนายว่าพระเยซูจะกลับมาในวันที่ 22 ตุลาคม 1844 ผู้คนหลายพันคนเชื่อเช่นนั้น มิลเลอไรต์จำนวนมากออกจากขบวนการนี้หลังจากที่พระเยซูไม่ปรากฏกาย ไฮรัม เอดสัน อ้างว่าตนได้รับการเปิดเผยว่าในวันที่นั้น ๆ พระเยซูเริ่มพันธกิจใหม่ในสถานนมัสการบนสวรรค์ พวกผู้ที่อยู่กับขบวนการนี้ได้กลายเป็นคริสตจักรเซเวนธ์เดย์แอดเวนติสต์
มีคริสตจักรอื่น ๆ ที่เน้นว่าวันเสาร์คือวันที่ถูกต้องสำหรับการนมัสการของคริสเตียน นอกจากนี้ยังมีคริสตจักรอื่น ๆ ที่เกิดขึ้นก่อนองค์กรนี้จะก่อตั้งที่สอนหลักคำสอนนั้น แต่นิกายเซเวนเดย์แอดเวนติสต์เป็นองค์กรที่ใหญ่ที่สุดและมีอิทธิพลมากที่สุด
อิทธิพลในปัจจุบัน 
ในเดือนธันวาคม ปี 2020 นิกายเซเวนเดย์แอดเวนติสต์อ้างว่าตนมีคริสตจักรมากกว่า 92,000 แห่งและมีสมาชิกมากกว่า 21 ล้านคน พวกเขาปฏิบัติงานใน 212 ประเทศและทำพันธกิจด้วย 535 ภาษา พวกเขามีโรงพยาบาล 229 แห่งและโรงเรียน 9,400 แห่ง[2] 
หลักคำสอนของนิกายเซเวนเดย์แอดเวนติสต์ 
แอดเวนติสต์เชื่อในหลักคำสอนเบื้องต้นของคริสเตียนเกี่ยวกับพระเจ้า เช่น ตรีเอกานุภาพ ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์และพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเขายังเชื่อในสิทธิอำนาจสูงสุดของพระคัมภีร์ และความรอดโดยพระคุณผ่านทางความเชื่อ
แอดเวนติสต์กล่าวว่าตนเชื่อว่าบุคคลไม่ได้รับความรอดโดยการทำดี แต่คริสเตียนที่แท้จริงจะมีชีวิตที่เชื่อฟังพระเจ้าหลังจากกลับใจมาเชื่อ พวกเขาเชื่อว่ากฎบัญญัติของพระเจ้าแสดงให้เห็นว่าคริสเตียนควรใช้ชีวิตอย่างไร และแสดงให้เห็นว่าคริสเตียนควรดำเนินชีวิตที่มีชัยชนะเหนือความบาป พวกเขาเชื่อว่าบุคคลจะสูญเสียความรอดได้หากเขาไม่ดำเนินชีวิตเพื่อพระเจ้าอย่างต่อเนื่อง
แอดเวนติสต์กล่าวถูกต้องที่ว่าความบาปทำลายความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า พระเจ้าตรัสว่าเราดำรงอยู่ในความสัมพันธ์แห่งรักกับพระองค์ได้โดยการถือรักษาพระบัญญัติของพระองค์ ดูใน ยอห์น 15:10 
องค์กรหลักของแอดเวนติสต์ไม่เชื่อเรื่องการรอดด้วยการกระทำ อย่างไรก็ตาม ก็มีบุคคลและกลุ่มของแอดเวนติสต์ที่เน้นกฎบัญญัติอย่างมากจนดูเหมือนเป็นการบอกว่าความรอดเกิดจากการเชื่อฟังทำตามกฎบัญญัติ ถ้าหากบุคคลคาดหวังว่าจะได้รับการยอมรับจากพระเจ้าเนื่องจากการกระทำของเขา เขาก็ไม่ได้เชื่อวางใจในพระคุณที่พระคริสต์ได้จัดเตรียมไว้ให้ (เอเฟซัส 2:8-9)
► อะไรคือมุมมองที่ถูกต้องเกี่ยวกับการกระทำ? เราจะอธิบายอย่างไรว่าถึงแม้ว่าเราจำเป็นที่จะต้องดำเนินชีวิตด้วยการเชื่อฟังพระเจ้า แต่เราก็รอดได้โดยพระคุณ?
แอดเวนติสต์เชื่อว่ามนุษย์ไม่ได้เป็นอมตะโดยเนื้อแท้ เมื่อตายแล้ว ผู้คนจะอยู่ในสภาพที่สลบไสลไปจนกว่าจะฟื้นขึ้นมาจากความตาย คนที่ได้รับความรอดจะได้รับชีวิตนิรันดร์ คนที่ไม่รอดจะฟื้นขึ้นมาเพื่อรับการพิพากษาแล้วจึงถูกทำลายในบึงไฟ พวกเขาเชื่อว่าซาตานและเหล่าภูตผีอื่น ๆ จะถูกทำลายอย่างสิ้นซาก ไม่มีการลงโทษนิรันดร์
พระเยซูตรัสว่าจะมีการลงโทษนิรันดร์ ดูใน มัทธิว 25:46, วิวรณ์ 20:10, 15 
แอดเวนติสต์เชื่อว่าคริสเตียนควรถือรักษากฎบางประการในพันธสัญญาเดิมเกี่ยวกับการควบคุมอาหาร พวกเขาเชื่อว่ากฎเกี่ยวกับการควบคุมอาหารมีไว้เพื่อสุขภาพ พวกเขาอ้างว่าพวกแอดเวนติสต์จะมีอายุยืนกว่าคนอื่น ๆ
เนื้อทุกชนิด คริสเตียนได้รับอนุญาตให้กินได้ ตามที่บอกไว้ใน 1 ทิโมธี 4:4 
แอดเวนติสต์เป็นที่รู้จักกันดีเกี่ยวกับหลักคำสอนเรื่องวันสะบาโต พวกเขาเชื่อว่าวันเสาร์คือวันที่เจ็ดของสัปดาห์ เป็นวันที่ถูกต้องสำหรับคริสเตียนในการพักผ่อนและนมัสการ พวกเขาเชื่อว่าคริสตจักรที่นมัสการวันอาทิตย์ก็ทำตามอย่างธรรมเนียมนอกรีต
ท่าทีต่อคริสตจักรอื่น ๆ  
แอดเวนติสต์เชื่อว่าพวกเขาเป็น “คนที่เหลืออยู่” ผู้สัตย์ซื่อ คือบรรดาคนที่ยังคงถือรักษาพระบัญญัติของพระเจ้าในโลกคริสเตียนที่ประนีประนอม พวกเขาเชื่อว่าบาบิโลนในคำเผยพระวจนะตามพระคัมภีร์หมายถึงองค์กรศาสนาที่ละทิ้งความเชื่อและพันธมิตรของพวกเขาในระบบของโลกนี้
พวกเขาเชื่อว่ามีคริสเตียนแท้ในสังกัดคริสเตียนที่หลากหลายผู้เชื่อฟังพระเจ้าเท่าที่พวกเขาเข้าใจ แต่ไม่ได้เข้าใจทั้งหมดตามที่พระเจ้าประสงค์ ในยุคสุดท้ายก่อนการมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า ทุกคนจะพบกับวิกฤติและต้องรับแสงสว่างและเดินในความสว่าง ไม่อย่างนั้นก็ต้องถูกทำลายในการพิพากษาของพระเจ้า ผู้นมัสการในวันอาทิตย์ที่ไม่ยอมรับความจริงนั้น ในที่สุดจะยอมรับ “เครื่องหมายของสัตว์ร้าย”
แอดเวนติสต์ยอมรับว่าผู้คนในประวัติศาสตร์คริสตจักรเป็นคริสเตียนแท้และพระเจ้าทรงใช้พวกเขา เช่น ผู้นำในการปฏิรูปศาสนา พวกเขายังอ่านและอ้างอิงคำพูดของนักศาสนศาสตร์และนักวิชาการด้านพระคัมภีร์ที่ไม่ใช่แอดเวนติสต์ด้วย
► คุณจะอธิบายถึงท่าทีของแอดเวนติสต์ต่อคริสตจักรอื่น ๆ ว่าอย่างไร?
[3] ความสำคัญของการเผยพระวจนะ
แอดเวนติสต์เชื่อว่าคำเผยพระวจนะเป็นของประทานสำหรับคริสตจักร เป็นสิ่งจำเป็นต่อการนำทางอย่างต่อเนื่อง ผู้เผยพระวจนะคนสำคัญที่สุดของพวกเขาคือ เอลเลน ไวท์ เธอเริ่มเผยพระวจนะในปี 1844 เธอเขียนนิมิตมากกว่า 2,000 นิมิต นิมิตและงานเขียนอื่น ๆ ของเธอจัดทำเป็นหนังสือ 80 เล่ม แอดเวนติสต์ส่งเสริมให้สมาชิกอ่านงานเขียนของเธอเป็นประจำ
แอดเวนติสต์เชื่อว่าพระคัมภีร์เป็นสิทธิอำนาจสูงสุด และคำเผยพระวจนะทั้งหมดต้องได้รับการทดสอบด้วยพระคัมภีร์ เอลเลน ไวท์เองกล่าวว่าหนังสือของเธอเรื่อง คำพยาน  จะไม่จำเป็นหากผู้คนปฏิบัติตามพระคัมภีร์อย่างใกล้ชิดเพียงพอ เธอกล่าวว่างานเขียนของเธอไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อเปิดเผยสิ่งใด ๆ ที่ไม่ได้ระบุไว้ในพระคัมภีร์[4] 
แอดเวนติสต์ยังคงตีพิมพ์และจำหน่ายหนังสือของ เอลเลน ไวท์ ในฐานะคำอธิบายหลักคำสอนของพวกเขาได้ดีที่สุด โดยพวกเขาอ้างถึงเธอในสิ่งพิมพ์ของตนอยู่เป็นประจำ พวกเขาไม่ได้อ้างว่างานเขียนของเธอเป็นเอกสารอ้างอิงที่เทียบได้กับพระคัมภีร์
งานเขียนของ เอลเลน ไวท์ ส่วนใหญ่แสดงความคิดเห็นที่ไม่อยู่ในพระคัมภีร์ และให้คำอธิบายพระคัมภีร์ที่ขึ้นอยู่กับการเปิดเผยใหม่มากกว่าการตีความแบบปกติ เป็นอันตรายที่เซเวนธ์เดย์แอดเวนติสต์ให้สิทธิอำนาจกับงานเขียนอื่นนอกเหนือจากพระคัมภีร์มากเกินไป และไม่ให้พระคัมภีร์มีสิทธิอำนาจสูงสุด
► อะไรคือความเหมาะสมในการใช้งานเขียนของศิษยาภิบาลและอาจารย์?
จุดเน้นของแอดเวนติสต์คือคำเผยพระวจนะเรื่องวันสิ้นโลกที่ได้รับการเปิดเผยนามของคริสตจักรของพวกเขา ซึ่งอ้างอิงถึงการมาขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกเขาเน้นการตีความแบบละเอียดถี่ถ้วนเกี่ยวกับคำเผยพระวจนะในพระคัมภีร์เรื่องวันสิ้นโลก รวมถึงพระคัมภีร์หลายตอนที่ไม่ชัดเจน แอดเวนติสต์เน้นถึงบทบาทของนิมิตและการอัศจรรย์ต่าง ๆ ในพันธกิจสมัยใหม่ของพวกเขา
ประเด็นสำคัญเรื่องวันที่เจ็ด 
แอดเวนติสต์เริ่มต้นวันสะบาโตของพวกเขาในวันศุกร์ตอนเย็นเมื่อดวงอาทิตย์ตกและไปสิ้นสุดในวันเสาร์เมื่อดวงอาทิตย์ตกซึ่งเหมือนกับชาวยิว
นิกายเซเวนเดย์แอดเวนติสต์เชื่อว่าการนมัสการวันอาทิตย์แทนวันเสาร์เป็น เครื่องหมายของสัตว์ร้าย ที่อธิบายไว้ในหนังสือวิวรณ์
เครื่องหมายของสัตว์ร้าย ในหนังสือวิวรณ์ ไม่ได้เหมือนกับเป็นการนมัสการในวันใดวันหนึ่ง ดูใน วิวรณ์ 13:16-17 
พวกเขาเชื่อว่าจะมีเวลาหนึ่งที่โลกจะพยายามบังคับให้มีการนมัสการในวันอาทิตย์ และจะข่มเหงผู้ที่พยายามถือรักษาวันเสาร์ให้เป็นวันสะบาโต พวกเขาเชื่อว่าขณะนี้มีคริสเตียนแท้ที่อยู่ในคริสตจักรที่นมัสการในวันอาทิตย์ แต่ในอนาคตคนเหล่านั้นจะต้องเปลี่ยนไปยึดมั่นความจริงโดยให้วันเสาร์เป็นวันสะบาโต หรือไม่เช่นนั้นพวกเขาก็จะต้องสูญเสียจิตวิญญาณเพราะต่อต้านความจริง พวกเขาเชื่อว่าเมื่อเกิดวิกฤติขึ้น คริสเตียนแท้ทุกคนจะสัตย์ซื่อต่อวันเสาร์สะบาโต แม้ว่าจะหมายถึงความตายก็ตาม และใครก็ตามที่ถือรักษาวันอาทิตย์เป็นวันขององค์พระผู้เป็นเจ้าไม่ใช่คริสเตียน
ไม่มีการระบุไว้ในหนังสือวิวรณ์ว่าวันใดในสัปดาห์ที่เป็นประเด็นสำคัญ แต่ประเด็นสำคัญคือการนมัสการบุคคลผู้ไม่ใช่พระเจ้า
พิจารณาถึงนัยสำคัญของหลักข้อเชื่อของแอดเวนติสต์ ถ้าพวกเขาถูกต้อง นั่นแสดงว่าคริสตจักรของคริสเตียนเกือบทั้งหมดก็ผิดมาตั้งแต่ศตวรรษแรกแล้ว ไม่มีสักคนในท่ามกลางคริสเตียนฝ่ายวิญญาณและเดินในทางของพระเจ้าเกือบล้านคนที่เคยมีชีวิตอยู่จะตระหนักว่าพวกเขาติดตาม “เครื่องหมายของสัตว์ร้าย” และเห็นได้ชัดว่าพระเจ้าไม่เคยแสดงให้พวกเขาเห็นเรื่องนี้ นี่ไม่ใช่หลักคำสอนรองที่สูญหาย แต่เป็นหนึ่งในหลักคำสอนสำคัญมากตามคำกล่าวของแอดเวนติสต์ ในยุคสุดท้ายบุคคลจะสูญเสียจิตวิญญาณของเขาถ้าหากเขาเป็นฝ่ายผิด
[5] วันอาทิตย์เป็นวันนมัสการสำหรับคริสเตียนในทุกประโทศของโลก คริสเตียนนับล้าน ๆ คนทั่วโลกรวมตัวกันนมัสการพระเจ้าและฟังพระวจนะของพระองค์ พวกเขาเป็นพยานถึงความรักและพระคุณของพระองค์ พวกเขาอุทิศตนรับใช้พระองค์ พวกนับล้าน ๆ คนทนทุกข์จากการข่มเหงที่ร้ายแรงเนื่องจากการที่พวกเขาอุทิศตัวต่อพระเจ้า เราเชื่อได้ไหมว่าพวกเขากำลังติดตามหลักคำสอนของซาตานและในวันหนึ่งจะสูญเสียจิตวิญญาณของพวกเขาถ้าพวกเขาไม่สำนึกว่าวันเสาร์คือวันสะบาโต?
► คิดถึงคนที่เป็นแบบอย่างในทางของพระเจ้าที่เคยเป็นพระพรต่ชีวิตของคุณ มันเป็นไปได้ไหมที่จะเชื่อว่าพวกเขาจะต้องสูญเสียจิตวิญญาณหากไม่เปลี่ยนใจไปยึดถือตามประเด็นดังกล่าวนี้?
แอดเวนติสต์อ้างว่าการนมัสการวันอาทิตย์เริ่มต้นที่สภาแห่งไนเซีย ในปี ค.ศ. 325 ความจริงคือการตัดสินใจของสภาไม่ได้ก่อให้เกิดหลักคำสอนใหม่ใด ๆ พวกเขาสถาปนาหลักคำสอนที่พวกเขาเชื่อว่ามาจากอัครทูต
คริสเตียนเริ่มต้นรักษาวันอาทิตย์เป็นดั่งวันขององค์พระผู้เป็นเจ้ามาตั้งแต่แรกซึ่งเราไม่สามารถพบวันเริ่มต้นที่แท้จริงได้ ดิดาเค ถูกเขียนในช่วงต้นศตวรรษที่สองของคริสตจักรแต่เป็นตัวแทนของประเพณีและคำสอนของศตวรรษแรก เป็นบทสรุปของคำสอนของอัครทูตซึ่งถูกใช้ในคริสตจักรทุกแห่ง ดิดาเค กล่าวว่าคริสเตียนควรพบปะกันในวันขององค์พระผู้เป็นเจ้าเพื่อทำมหาสนิทร่วมกัน ข้อเขียนนี้ไม่ได้พยายามสอนเรื่องใหม่ แต่เป็นการทบทวนหลักคำสอนได้รับการสถาปนามาแล้ว นั่นหมายความว่าการปฏิบัตินี้มีอยู่แล้วเป็นปกติ และคริสเตียนส่วนใหญ่รู้อยู่แล้วว่านี่คือหลักคำสอนของอัครทูต
จดหมายฝากของบารนาบัสถูกเขียนขึ้นในช่วงปลายศตวรรษที่หนึ่ง ไม่ใช่พระคัมภีร์แต่ถูกใช้เป็นเนื้อหาในการเฝ้าเดี่ยวของคริสตจักรต่าง ๆ มีชื่อเรียกว่า “วันที่แปด” คือวันที่พระเยซูฟื้นขึ้นจากความตาย จดหมายนี้บอกว่าคริสเตียนเฉลิมฉลองในวันที่แปด
เราหาไม่พบในพระคัมภีร์ที่อธิบายว่าวันสะบาโตถูกสลับมาเป็นวันอาทิตย์ แต่เราพบคำสั่งที่ว่าบุคคลไม่ควรถูกตัดสินเกี่ยวกับการถือรักษาวันสะบาโต (โคโลสี 2:16-17, โรม 14:5-6) เรายังคงพบด้วยว่าคริสเตียนในพันธสัญญาใหม่ต้องถวายในวันอาทิตย์ (1 โครินธ์ 16:1-2) พวกเขาพบกันเพื่อประชุมนมัสการในวันอาทิตย์ (กิจการ 20:7) และพวกเขาเรียกวันอาทิตย์ว่าเป็นวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า (วิวรณ์ 1:10)
สะบาโตของชาวยิวไม่ได้เป็นข้อกำหนดสำหรับคริสเตียน แต่หลักการเรื่องวันหยุดพักเป็นหลักการที่สร้างสรรค์สำหรับทุกยุคสมัย ด้วยเหตุนี้คริสเตียนควรพยายามหลีกเลี่ยงการทำงานหรือทำธุรกิจในวันอาทิตย์เพื่อหยุดพักและนมัสการพระเจ้า
ข้อสรุปของประเด็นสำคัญเรื่องวันที่เจ็ด 
1. ไม่มีระบุไว้ในหนังสือวิวรณ์ว่า “เครื่องหมายของสัตว์ร้าย” หมายถึงประเด็นเรื่องวันไหนในสัปดาห์ที่ใช้ในการนมัสการ
2. มันเป็นไปไม่ได้ที่จะเชื่อว่าคริสเตียนเกือบทั้งหมดในทุกสมัยและในทุกแห่งเป็นฝ่ายผิดเรื่องหลักคำสอนซึ่งสามารถทำให้พวกเขาสูญเสียจิตวิญญาณได้
3. พระคัมภีร์บอกไม่ให้เราตัดสินคนอื่นเรื่องการถือรักษาวันสะบาโต
4. การนมัสการวันอาทิตย์ได้รับการสถาปนาไว้อยู่แล้วในศตวรรษที่หนึ่งเป็นดั่งหลักคำสอนของอัครทูต
5. คริสเตียนในพันธสัญญาใหม่พบปะกันวันอาทิตย์และเรียกวันนั้นว่าวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า
► เวลานี้ย้อนกลับไปอ่านข้อความที่มีตัวหนาและตัวเอียง กับข้อพระคัมภีร์แต่ละข้อ
 
[3] 
“[ความบ้าคลั่ง] โดยทั่วไปอาจนิยามได้ดังนี้: ความวิกลจริตทางศาสนาที่เกิดจากการคิดไปเองอย่างผิด ๆ ถึงอิทธิพลหรือแรงบันดาลใจของพระเจ้า อย่างน้อยที่สุดก็เกิดจากการคาดหวังบางสิ่งบางอย่างจากพระเจ้า
ซึ่งไม่ควรคาดหวังจากพระองค์” 
- ดัดแปลงจาก John Wesley 
“ธรรมชาติของความกระตือรือร้น”
 
[4] Ellen White, 
Testimonies , Volume 5, 664-665
 
[5] 
“ในวันขององค์พระผู้เป็นเจ้า พวกท่านจงรวมตัวกันและหักขนมปัง ขอบคุณพระเจ้า แต่อันดับแรกคือสารภาพความบาปของท่านเพื่อเครื่องบูชาของท่านจะบริสุทธิ์” 
- ดิดาเค  
(จากคริสตจักรในศตวรรษที่สอง)
 
                                     
                                    
                                    
                                        
                                                                                                                                    
                                                
                                                     
                                                    Previous
                                                 
                                                                                    
                                                                                                                                    
                                                
                                                    Next