ต้นกำเนิดของศาสนาพุทธ
ศาสนาพุทธเกิดขึ้นโดย สิทธัตถะ โคตมะ ไม่มีข้อเขียนอะไรที่บอกถึงชีวิตของ สิทธัตถะ โคตรมะ จนกระทั่ง 400 ปีหลังจากการตายของเขา ดังนั้นรายละเอียดเกี่ยวกับชีวิตของเขาจึงไม่แน่นอน
โคตมะเกิดในราวปี 563 ก่อนคริสตกาล เขาเป็นบุตรชายของกษัตริย์ซึ่งปกครองส่วนเล็ก ๆ ของอินเดีย ในฐานะคนหนุ่ม เขาหนีทหารองค์รักษ์ออกไปดูโลกภายนอก เขาได้เห็นผู้คนที่ยากจนและเจ็บป่วย แล้วสรุปว่าชีวิตคือความโศกเศร้าและทนทุกข์
โคตรมะมีประสบการณ์ที่เขาเรียกว่าเป็นการตรัสรู้ถึงธรรมชาติของความเป็นจริง คำว่า พระพุทธเจ้า หมายถึง “ตรัสรู้” โคตรมะมักจะถูกเรียกว่า “พระพุทธเจ้า”
พระคัมภีร์บอกไม่ให้เราไว้ใจข่าวสารจากวิญญาณที่ไม่ยอมรับพระเยซูคริสต์ ดูใน 1 ยอห์น 4:3 การตรัสรู้ที่โคตมะได้รับนั้นเทียมเท็จ
อิทธิพลในปัจจุบัน
ทุกวันนี้ศาสนาพุทธมีนิกายต่าง ๆ มากมาย ไม่ได้รวมเข้าเป็นองค์กรระดับโลก
งานเขียนที่จะถือว่าเป็นคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของพุทธศาสนาได้นั้นจะต้องพิมพ์เป็นหนังสือจำนวนหลายพันเล่ม ด้วยเหตุนี้แต่ละนิกายจึงมุ่งเรื่องใดเรื่องหนึ่ง แทนที่จะพยายามศึกษาทุกเรื่อง
► คริสเตียนมีมุมมองต่อพระคัมภีร์แตกต่างจากชาวพุทธมีมุมมองต่อคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ของเขาอย่างไร?
จำนวนผู้ที่นับถือศาสนาพุทธในโลกที่ตั้งใจปฏิบัติตามคำสอนของพุทธศาสนามีอยู่ไม่ต่ำกว่า 350 ล้านคน และมากกว่าพันล้านคนเรียกตัวเองว่าพุทธศาสนิกชนเพียงเพราะพวกเขาได้รับการสอนเกี่ยวกับพุทธศาสนา และพวกเขาไม่นับถือศาสนาอื่น
คนมากมายเรียกตัวเองว่าเป็นพุทธศาสนิกชนเพราะพวกเขาทำตามคำแนะนำที่เป็นข้อเขียนของพระพุทธเจ้า พวกเขาอาจไม่เข้าใจหลักคำสอนรากฐานของศาสนาพุทธหรือไม่ได้มีส่วนร่วมในกลุ่มใด ๆ ที่จัดตั้งขึ้นมา
[1] หลักข้อเชื่อเกี่ยวกับความเป็นพระเจ้าและกาลเวลา
ชาวพุทธไม่เชื่อว่ามีพระเจ้าสูงสุดที่เป็นบุคคล แต่เชื่อในความจริงอันสูงสุดที่รวมทุกสิ่งซึ่งดำรงอยู่ ดังนั้น ชาวพุทธจึงทำสมาธิแต่ไม่สวดมนต์ เพราะไม่เชื่อว่าพระเจ้าจะตรัสและฟังได้ ชาวพุทธมีข้อเขียนที่เรียกว่าบทสวดมนต์ แต่ไม่ได้บอกว่าสวดมนต์ต่อใคร ไม่มีพระเจ้าองค์ใดสำคัญในศาสนาพุทธ
เป็นสิทธิพิเศษอันยิ่งใหญ่สำหรับคริสเตียนที่สามารถอธิษฐานด้วยความมั่นใจว่าพระเจ้าทรงฟัง ดูใน มัทธิว 6:6-8 และ 1 ยอห์น 5:14-15
ชาวพุทธเชื่อในเรื่องวัฏจักรแห่งกาลเวลาที่ไม่มีสิ้นสุด ไม่มีจุดเริ่มต้น ไม่มีจุดจบ และไม่มีเหตุการณ์ใด ๆ ที่จะเปลี่ยนแปลงสิ่งต่าง ๆ ได้อย่างถาวร
[2] พระคัมภีร์กล่าวว่ามีเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ และเวลานั้นจะไม่ดำเนินต่อไปเหมือนกับที่เป็นอยู่ในเวลานี้ ดูใน 2 เปโตร 3:10
การกลับชาติมาเกิดและนิพพาน
โคตมะและผู้คนส่วนใหญ่ในวัฒนธรรมของเขาเชื่อเรื่องการกลับชาติมาเกิดก่อนที่เขาจะสร้างศาสนาใหม่ขึ้นมา การกลับชาติมาเกิดหมายถึงหลังจากที่บุคคลหนึ่งตายแล้ว เขามาเกิดใหม่เป็นอีกบุคคลหนึ่งหรือเป็นสิ่งมีชีวิต เช่น สัตว์หรือแมลง การกลับชาติมาเกิดทำให้บุคคลหนึ่งมีชีวิตหลายภพหลายชาติ
ชาวพุทธเชื่อว่าหากบุคคลทำความดี (กรรมดี) มากกว่าทำความชั่ว (กรรมชั่ว) เขาก็จะสามารถไปเกิดในชีวิตที่ดีกว่าในครั้งต่อไปได้
พระคัมภีร์กล่าวว่าการงานของเราไม่ได้ทำให้พระเจ้ายอมรับเราหรือไม่สามารถชดใช้บาปแทนเราได้ ดูใน โรม 3:20
ตามคำกล่าวของโคตรมะ จิตสำนึกของบุคคลนั้นจะไม่กลับมาเกิดใหม่ มีเพียงบางส่วนของธาตุที่เขาประกอบขึ้นเท่านั้นที่ถูกนำไปใช้เพื่อสร้างสิ่งมีชีวิตใหม่ นั่นหมายความว่าความตายในชีวิตหนึ่งคือจุดสิ้นสุดของบุคลิกภาพ
พระเยซูให้ชีวิตนิรันดร์แก่คนที่เชื่อในพระองค์ ดูใน ยอห์น 10:27-28
[3] บางครั้งผู้คนชอบแนวคิดเรื่องการกลับชาติมาเกิด แต่เนื่องจากชีวิตเป็นทุกข์มาก พระพุทธเจ้าจึงรู้สึกว่าการมีชีวิตหลายชีวิตไม่ใช่เรื่องดี โดยเชื่อว่าบุคคลควรมีเป้าหมายในการหลีกหนีจากวัฏจักรของการกลับชาติมาเกิด
พุทธศาสนิกชนที่เคร่งครัดจะดำเนินชีวิตตามแนวทางพุทธศาสนาเพื่อละทิ้งความปรารถนาทั้งปวง หากเขาประสบความสำเร็จ เขาจะไม่ปรารถนาหรือมีความเพลิดเพลินในสิ่งใดหรือความสัมพันธ์ใด ๆ กับมนุษย์
สำหรับคริสเตียนแล้ว ความสัมพันธ์กับมนุษย์มีความสำคัญมากและนำมาซึ่งความชื่นชมยินดี ดูใน 1 เธสะโลนิกา 3:12
ชาวพุทธเชื่อว่าเมื่อเขาตายไปแล้ว เขาจะเข้าสู่นิพพานแทนที่จะไปเกิดเป็นสิ่งมีชีวิตอื่น นี่คือเป้าหมายสูงสุดของชาวพุทธที่อุทิศตนเคร่งครัด บางครั้งผู้คนคิดว่านิพพานก็เหมือนกับแนวคิดของศาสนาคริสต์เกี่ยวกับสวรรค์ แต่แท้จริงแล้ว นิพพานหมายถึงความว่างเปล่า เป็นการสิ้นสุดของตัวตน เช่นเดียวกับการเป่าเทียนดับ หากบุคคลบรรลุนิพพานแล้ว เขาก็จะไม่ดำรงอยู่ในฐานะมนุษย์ที่มีความคิดอีกต่อไป
ในศาสนาพุทธดั้งเดิม บุคคลจะไม่มีโอกาสเข้าถึงนิพพานได้เมื่อสิ้นชีวิตนี้ เว้นแต่เขาจะเป็นพระภิกษุ ผู้หญิงจะไม่มีโอกาสเข้าถึงนิพพานได้จนกว่าจะไปเกิดใหม่เป็นผู้ชายและบวชเป็นพระภิกษุ
อริยสัจสี่ของพระพุทธศาสนา
หลักข้อเชื่อที่โคตมะสอนหลังจากที่เขาได้บรรลุนิพพานสรุปเป็นอริยสัจสี่ของพระพุทธศาสนา
1. ชีวิตเต็มไปด้วยความโศกเศร้าและความทุกข์ไม่มีความสุขที่แท้จริง
2. ความทุกข์เป็นผลจากกิเลส เพราะไม่มีสิ่งใดที่เราปรารถนาจะคงอยู่ถาวร
3. การละกิเลสทั้งปวงเป็นหนทางหนีทุกข์
4. พุทธจริยศาสตร์แห่งชีวิต 8 ประการ จะนำพาบุคคลไปสู่การหลุดพ้นจากกิเลสทั้งปวง และไปสู่นิพพาน
► มีสิ่งใดในอริยสัจสี่ที่คริสเตียนสามารถเห็นพ้องด้วย?
ตามคำสอนของโคตรมะ ความทุกข์ทั้งหมดเกิดจากกิเลสคือความปรารถนา หากบุคคลไม่ปรารถนาสิ่งใด เขาก็จะไม่ทุกข์ทรมาน หากต้องการเป็นพุทธศาสนิกชนที่อุทิศตนเคร่งครัด บุคคลนั้นต้องเรียนรู้ที่จะไม่รู้สึกพึงใจต่อสิ่งใด
เรื่องราวนี้เล่าถึงพระภิกษุรูปหนึ่งชื่อว่าสังกะมาจี เขาบวชเป็นพระและละจากครอบครัวเพื่อใช้เวลาทั้งหมดในการธุดงค์และทำสมาธิ เมื่อภรรยาของเขาหาเขาพบ จึงวางลูกของเธอกับเขาไว้ตรงหน้าเขา แล้วก็ขอร้องให้เขาช่วยสนับสนุนจุนเจือ สังกะมาจีนั่งนิ่งโดยไม่ตอบอะไรจนกระทั่งเธอจากไป โคตรมะกล่าวว่าบุรุษคนนี้ได้บรรลุเป้าหมายของพุทธศาสนาเพราะเขาไม่รู้สึกยินดีเมื่อภรรยามาหาและไม่โศกเศร้าเมื่อเธอจากไป
คริสเตียนอุทิศตัวต่อชีวิตสมรสในฐานะที่เป็นความสัมพันธ์ซึ่งก่อให้เกิดความชื่นชมยินดี ดูใน เอเฟซัส 5:28
► แนวคิดของศาสนาพุทธเกี่ยวกับชีวิตที่สมบูรณ์แบบแตกต่างจากแนวคิดของคริสเตียนอย่างไร?
วิถีชีวิตของชาวพุทธ
ศาสนาพุทธเน้นชีวิตที่มีคุณธรรม ชาวพุทธเชื่อว่าการกระทำใด ๆ จะมีคุณธรรมก็ต่อเมื่อการกระทำนั้นเป็นประโยชน์ต่อตัวเองและผู้อื่น และไม่ได้ทำอันตรายใคร เจตนาของคนนั้นถือว่าสำคัญยิ่งกว่าผลแห่งการกระทำของเขา[4]
การฝึกปฏิบัติทางจิตและวิญญาณได้รับการออกแบบมาเพื่อช่วยให้บุคคลละทิ้งความเห็นแก่ตัว ชาวพุทธเชื่อว่าความวิตกกังวลทั้งสิ้นเกิดจากการห่วงตัวเองมากเกินไป พวกเขาต้องการลืมตนเองและรักสิ่งมีชีวิตที่มีจิตสำนึกทั้งหมด (สิ่งมีชีวิตที่มีความคิดจิตใจ) ปัญหาคือหากปราศจากความสัมพันธ์กับพระเจ้าแล้ว ก็ไม่มีรากฐานสำหรับการสละตนและความรัก
► ทำไมบุคคลจึงไม่สามารถสละตนและมีความรักที่แท้จริงได้โดยปราศจากความสัมพันธ์กับพระเจ้า?
มีคนมากมายที่เรียกตัวเองว่าพุทธศาสนิกชนซึ่งเติบโตมาในวัฒนธรรมของพุทธศาสนา แต่ไม่เคยพิจารณาเรื่องอื่นใดอย่างจริงจัง การคิดแบบเหมารวมว่ามีความเชื่อทางศาสนาดูเหมือนจะเป็นสิ่งเดียวที่เป็นจริงสำหรับเขา พิธีกรรมต่าง ๆ ก็เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตประจำวัน
โดยทั่วไปแล้ว ผู้ที่เปลี่ยนมานับถือศาสนาพุทธจากศาสนาอื่นมักสนใจปรัชญาในการดำเนินชีวิตของศาสนานั้น พวกเขาไม่ได้นับถือศาสนานั้นเพราะต้องการแสวงหานิพพาน แต่นับถือเพราะศาสนาพุทธดูเหมือนจะให้ชีวิตที่ปราศจากความวิตกกังวลและความขัดแย้ง หลายคนรู้สึกว่าในศาสนาพุทธ พวกเขาพบอิสระจากความเครียด และชีวิตของพวกเขาเป็นระเบียบเรียบร้อยมากกว่าเดิม
► เวลานี้ย้อนกลับไปอ่านข้อความที่มีตัวหนาและตัวเอียง กับข้อพระคัมภีร์แต่ละข้อ
[1]
“พระเจ้าอยู่ที่นั่นจริง ๆ พระองค์อยู่ที่นั่นเหมือนกับที่ทรงอยู่ที่นี่และอยู่ทุกที่ ไม่ถูกจำกัดอยู่บนต้นไม้หรือก้อนหิน แต่เป็นอิสระในจักรวาล ทรงอยู่ใกล้กับทุกสิ่ง อยู่ถัดจากทุกคน และโดยทางพระเยซูคริสต์
ทรงเข้าถึงได้ทุกดวงใจที่ทรงรัก”
- A.W. Tozer
ความรู้ถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์
[2]
“ในหน้าแรก ๆ พระคัมภีร์ปฏิเสธทั้งปรัชญาเรื่องพระเจ้าและจักรวาลทั้งหมด (คำสอนที่ว่าพระเจ้าและจักรวาลทั้งหมดเหมือนกัน) และทฤษฎีเทวนิยม (ทฤษฎีที่ว่าพระเจ้าเริ่มปฏิบัติการของจักรวาลแล้วหลังจากนั้นก็ปล่อยให้จักรวาลเป็นไปตามกฎที่ไม่มีตัวตนของมันเอง) พระเจ้าไม่ได้ถูกระบุถึงด้วยจักรวาลของพระองค์ แต่จักรวาลเป็นผลงานการสร้างของพระองค์ ในทางกลับกัน จักรวาลไม่สามารถดำรงอยู่ได้โดยปราศจากฤทธิ์อำนาจเพื่อสร้างสรรค์
และผดุงรักษาของพระเจ้า”
- W.T. Purkiser
พระเจ้า มนุษย์ และความรอด
[3]
“ข้าพเจ้าเชื่อใน...พระเยซูคริสตเจ้า พระบุตรหนึ่งเดียวของพระเจ้า อาศัยพระบุตรนี้ ทุกสิ่งได้รับการเนรมิตขึ้นมา เพราะเห็นแก่เรามนุษย์ เพื่อทรงช่วยเราให้รอด พระองค์จึงเสด็จจากสวรรค์... พระองค์ทรงรับสภาพมนุษย์...ทรงถูกตรึงกางเขนเพื่อเรา”
- หลักข้อเชื่อไนซีน
Previous
Next