Lesson 4: การสร้างผู้นำ

ทุกคนควรเป็นผู้นำในแง่มุมของการมีอิทธิพลต่อใครบางคน ยกตัวอย่างเช่น พ่อแม่ทุกคนควรนำลูกของตัวเอง หลักการต่าง ๆ ที่เราศึกษาในวิชานี้จะช่วยสนับสนุนผู้ที่เล่นบทบาทผู้นำตามธรรมชาติ อย่างไรก็ตามวิชานี้มุ่งเน้นมากที่สุดเกี่ยวกับหลักการเป็นผู้นำมากกว่าการเป็นผู้นำตามธรรมชาติที่ทุกคนควรเป็น

[1]บุคคลหนึ่งสามารถมีแรงจูงใจหลายอย่างในการเป็นผู้นำ แรงจูงใจที่ถูกต้องคือความปรารถนารับใช้ผู้อื่น

การฝึกอบรมทำให้บุคคลหนึ่งเหนือกว่าอีกคนในด้านความรู้และความสามารถ เขาอาจเริ่มต้นรู้สึกว่าเขาเหนือกว่าคนอื่นในด้านคุณค่า
เขาอาจเริ่มต้นคาดหวังการปฏิบัติเป็นพิเศษจากคนอื่นไม่ใช่เพียงเพราะตำแหน่งที่เขามี แต่เพราะความรู้สึกว่าตัวเองเหนือกว่าตามปกติวิสัยของเขา

อัครทูตเปาโลเตือนว่า “ความรู้ทำให้ลำพอง” (1 โครินธ์ 8:1) เขาไม่ได้หมายความว่าความรู้เป็นสิ่งไม่ดีหรือเป็นอันตราย ในบริบทนี้ เขากำลังพูดถึงคนที่รู้บางเรื่องแต่ไม่ได้ใช้ความรู้นั้นโดยมีความรักเป็นแรงจูงใจ

การฝึกอบรมจะทำให้คนหนึ่งเกิดผลต่ออาณาจักรของพระเจ้าได้ก็ต่อเมื่อคนนั้นมีความปรารถนารับใช้คนอื่นด้วยความถ่อมใจ

คน ๆ หนึ่งจะกลายมาเป็นผู้นำได้อย่างไร? ขอให้จดจำว่า เราไม่ได้กำลังพูดถึงตำแหน่งอย่างเป็นทางการ ผู้นำคือคนที่มีอิทธิพลต่อผู้อื่น เป็นคนที่คนอื่นติดตาม

มีบางคนเกิดมามีความสามารถตามธรรมชาติในการมีอิทธิพลต่อผู้อื่น พวกเขาแสดงความมั่นใจ พวกเขาไวในการแก้ไขปัญหา และผู้คนทำตามพวกเขาทันทีโดยไม่ต้องคิดมาก เนื่องจากบุคลิกภาพเหล่านี้ คุณอาจสันนิษฐานว่าใครบางคนเกิดมาเพื่อเป็นผู้นำและบางคนไม่ใช่ อย่างไรก็ตาม ผู้นำถูกสร้างขึ้นได้จากปัจจัยหลายอย่าง

ตามตำนานเก่าแก่ของยูเครน มีชายหนุ่มคนหนึ่งไปหาบาทหลวงคนหนึ่งพูดว่า “ท่านพ่อ ผมฝันว่าผมเป็นผู้นำให้กับชายหนึ่งหมื่นคน ฝันนี้จะเป็นจริงไหมครับ?” บาทหลวงพูดว่า “สิ่งที่ขาดอยู่ตอนนี้ก็คือชาย 10,000 คนที่คุณฝันว่าจะเป็นผู้นำของพวกเขา”

บุคคลที่จะมาเป็นผู้นำอาจมาจากหนึ่งในปัจจัยเหล่านี้หรือจากการรวมกันของปัจจัยบางอย่างเหล่านี้ แต่ไม่มีสักปัจจัยเดียวโดยลำพังที่เพียงพอเพื่อสร้างคนหนึ่งให้เป็นผู้นำที่เกิดผลได้ในระยะยาว หากเขาขาดปัจจัยด้านอื่น ๆ

(1) มีความสามารถตามธรรมชาติที่มองเห็นได้ชัด

คนที่ดูมั่นใจอาจเป็นผู้นำโดยปริยายในทุกที่ อย่างไรก็ตามหากเขาล้มเหลวที่จะทำให้สำเร็จตามความคาดหวังของเขา เขาก็จะไม่นำต่อไป แม้คนที่มีความสามารถตามธรรมชาติก็ต้องทำตามหลักการเป็นผู้นำเพื่อจะเกิดผลได้อย่างต่อเนื่อง

(2) การตอบสนองต่อวิกฤติ

ผู้นำมากมายปรากฎให้เห็นจากการตอบสนองต่อปัญหา วิกฤติใหญ่เปิดตัวผู้นำ การตอบสนองวิกฤติมาจากการสัมผัสภายในถึงการทรงเรียกหรือความรู้สึกรับผิดชอบซึ่งแตกต่างจากคนที่เพียงแค่สังเกตการณ์และบ่นว่า

วิกฤติเปิดโอกาสให้กับผู้นำที่มีศักยภาพ แต่คุณสมบัติอื่น ๆ ก็จำเป็นต่อการนำเมื่อวิกฤติผ่านพ้นไป บางครั้งมีบางคนที่นำได้ดีในท่ามกลางวิกฤติแต่ไม่สามารถนำได้ดีในสถานการณ์อื่น ๆ

(3) มีความน่าเชื่อถือมาเป็นเวลานาน

บางครั้งคนเป็นผู้นำเพราะเขาน่าเชื่อถือและสัตย์ซื่อมาเป็นเวลาหลายปี ผู้คนไว้ใจเขาเพราะรู้ว่าเขาอุทิศทุ่มเทให้กับองค์กร

(4) มีความเชี่ยวชาญ

คนหนึ่งอาจเป็นผู้นำได้เพราะเขามีความรู้และทักษะเฉพาะด้าน เขาอาจนำได้ในสถานการณ์ที่เจาะจงและแก้ไขปัญหาที่เจาะจงได้

(5) เรียนรู้หลักการเป็นผู้นำแล้ว

คนหนึ่งสามารถเรียนรู้การนำได้ด้วยหลักการต่าง ๆ ที่ศึกษาในวิชานี้ อย่างไรก็ตามการฝึกอบรมไม่สามารถทำให้ใครเป็นผู้นำที่เกิดผลระดับสูงได้เว้นแต่เขาจะมีความสามารถตามธรรมชาติบางอย่าง

(6) มีการทรงเรียกของพระเจ้า

พระเจ้าเรียกอัครทูต ผู้เผยพระวจนะ ผู้ประกาศ ศิษยาภิบาล และอาจารย์ (เอเฟซัส 4:11) ในสังคมต่าง ๆ บนโลกนี้ การเลื่อนตำแหน่งผู้คนไปสู่ระดับสูงอยู่ใต้อำนาจการปกครองของพระเจ้า (สดุดี 75:7, ดาเนียล 2:21) บางครั้งผู้คนประหลาดใจเมื่อพระเจ้าเรียกใครบางคนที่ดูเหมือนไม่มีความสามารถตามธรรมชาติ แต่พระเจ้าให้ความสามารถที่จำเป็นต่อการทำให้การทรงเรียกสำเร็จแก่คนที่พระองค์เรียกเสมอ

ถ้าหากผู้คนมองเห็นผู้นำคนหนึ่งที่อุทิศทุ่มเทเพื่ออุดมการณ์และได้รับความช่วยเหลือจากพระเจ้า พวกเขาอาจติดตามคนนั้นเพราะเชื่อในอุดมการณ์ของเขา เพื่อจะรักษาความจงรักภักดีของผู้คนเหล่านี้เอาไว้ ผู้นำคนนั้นจำเป็นต้องแสดงให้เห็นถึงความสามารถ ความน่าเชื่อถือ และคุณลักษณะชีวิตที่ดี

ให้เราดูวิธีการเริ่มต้นเป็นผู้นำของบุรุษหลายคนในพระคัมภีร์

เอลีชา: การนำในช่วงเปลี่ยนแปลง

พระเจ้าได้เลือกเอลีชาให้เป็นผู้เผยพระวจนะที่นำอิสราเอลต่อจากเอลียาห์ รายละเอียดของช่วงการเปลี่ยนแปลงนี้อยู่ใน 1 พงศ์กษัตริย์ 19:19-21 และ 2 พงศ์กษัตริย์ 2:1-15

[1]การทรงเรียกของพระเจ้าเป็นอีกปัจจัยที่เห็นได้ชัดว่าเป็นสิ่งที่สร้างเขาให้เป็นผู้นำ อย่างไรก็ตามยังมีรายละเอียดอื่น ๆ ที่สำคัญอีก เอลีชาเต็มใจละทิ้งที่นาแปลงใหญ่เพื่ออุทิศตัวให้กับงานพันธกิจ การทรงเรียกของพระเจ้าสำคัญต่อเอลีชามากกว่าความมั่งคั่ง เกหะซีได้มาเป็นผู้ช่วยของเอลีชา เขาสูญเสียโอกาสในงานพันธกิจเพราะเขารักเงินทอง (2 พงศ์กษัตริย์ 5:20-27)

เอลีชาเต็มใจเป็นคนรับใช้โดยถือว่าเป็นส่วนหนึ่งในการฝึกอบรมเขา ถ้าไม่มีความเต็มใจ เขาก็จะไม่ประสบความสำเร็จในการทำพันธกิจ

เอลีชารู้ว่าผู้เผยพระวจนะคนเดิมคือเอลียาห์ ได้ทำสิ่งอัศจรรย์ต่าง ๆ ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เขาทำให้ฝนหยุดตกสามปี เขาพยากรณ์ถึงการตายของกษัตริย์และราชินีที่ชั่วร้าย เขาได้อธิษฐานให้ไฟตกลงมาจากฟ้า เอลีชารู้ว่าความรับผิดชอบในอนาคตของเขาไม่สามารถสำเร็จได้โดยการฝึกอบรมด้วยวิธีการของมนุษย์ เขารู้ว่าเขาต้องได้รับการเจิมด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า

หลังจากพระเจ้ารับเอลียาห์ขึ้นไป เอลีชาหยิบเสื้อคลุมของเอลียาห์ขึ้นมาและฟาดลงไปที่น้ำ เขาพูดว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าของเอลียาห์สถิตที่ใด?” พวกผู้เผยพระวจนะหนุ่มกำลังเฝ้าดูว่างานพันธกิจของผู้นำคนใหม่จะมีฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าหรือไม่ เมื่อพวกเขามองเห็นการอัศจรรย์ พวกเขาพูดว่า “ฤทธิ์เดชของเอลียาห์อยู่กับเอลีชา” (2 พงศ์กษัตริย์ 2:15) พวกเขามองเห็นการส่งต่อฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าจากเอลียาห์สู่เอลีชา

ความรับผิดชอบในการเป็นผู้นำย่อมถ่ายทอดจากผู้นำอาวุโสไปสู่รุ่นน้องอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ อย่างไรก็ตามฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าไม่ได้ถูกส่งต่อโดยอัตโนมัติ ผู้นำรุ่นใหม่ที่ไม่มีความเชื่อจะสูญเสียฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าและพึ่งวิธีการของมนุษย์

กิเดโอน: การนำในท่ามกลางวิกฤติ

กิเดโอนไม่ได้เป็นผู้นำในชนชาติหรือในเผ่าของเขา ชนชาติของเขาถูกปล้นในช่วงฤดูเก็บเกี่ยวทุกปี กิเดโอนไม่มีความคิดที่จะเปลี่ยนแปลงสถานการณ์ เขากำลังซ่อนตัวนวดข้าวในขณะที่ทูตของพระเจ้ามาหาเขา เขาแค่พยายามเอาชีวิตรอดและจัดการกับสถานการณ์ของตัวเอง ซึ่งไม่ใช่นิสัยของผู้นำ

พระเจ้าเรียกกิเดโอนว่า “นักรบกล้าหาญเอ๋ย” เพราะพระเจ้ารู้ว่าเขาทำได้ กิเดโอนประหลาดใจที่พระเจ้าเลือกเขา และได้ขอหมายสำคัญหลายอย่างเพื่อเป็นการยืนยัน

กิเดโอนเชื่อฟังพระเจ้า เขาทำลายแท่นบูชาของรูปเคารพและถวายเครื่องบูชาแด่พระเจ้า การกระทำของเขาไม่ได้ทำให้เกิดการปฏิรูปศาสนาในเวลานั้น แต่ทำให้ผู้คนสงสัยอำนาจของรูปเคารพทั้งหลาย

กิเดโอนพึ่งพระเจ้าเต็มที่ เขาเชื่อฟังพระเจ้าแม้กระทั่งคัดทหารส่วนใหญ่ออกจากกองทัพ กิเดโอนวางแผนจู่โจมศัตรูแบบไม่ธรรมดา และพระเจ้าให้ชัยชนะยิ่งใหญ่แก่เขา

น่าเสียดายที่หลังจากกิเดโอนรับชัยชนะ เขาไม่นำประชาชนให้รับใช้พระเจ้า แต่หันไปหารูปเคารพ ถ้าหากผู้นำไม่เสมอต้นเสมอปลายเสมอไป เขาก็จะล้มเหลวไม่สามารถไปถึงศักยภาพอันเต็มเปี่ยมเพื่อพระเจ้าได้

เนหะมีย์: การนำด้วยวิสัยทัศน์

เนหะมีย์เป็นคนยิวที่ทำงานให้กับกษัตริย์แห่งบาบิโลน เขาอยู่ไกลจากบ้าน เขาได้ยินเกี่ยวกับสภาพของเยรูซาเล็ม เมืองที่ถูกยึดครองมานานแล้ว กำแพงถูกทำลายลง หมายความว่าผู้บุกรุกได้ใช้กำลังเข้าควบคุมประชาชนที่นั่น

เนหะมีย์ว่าต้องรับผิดชอบด้วยการทำอะไรบางอย่าง คนส่วนใหญ่จะโศกเศร้าเมื่อได้ยินข่าวโดยไม่รู้สึกว่าจำเป็นต้องตอบสนอง พวกเขาไม่คาดหวังว่าจะเปลี่ยนสถานการณ์ได้ แต่คนเป็นผู้นำรู้สึกว่าต้องรับผิดชอบเพราะเขาคิดว่ามันเป็นไปได้ที่จะเปลี่ยนสถานการณ์ เพราะเขาสามารถทำได้ เขาจึงรู้ว่าเขาควรทำ

เนหะมีย์อธิษฐานขอให้พระเจ้าเข้าแทรกแซง เนหะมีย์รู้ว่าการสร้างกำแพงขึ้นมาใหม่ไม่สามารถเกิดขึ้นได้โดยปราศจากความช่วยเหลือของพระเจ้า ผู้นำคริสเตียนไม่พยายามเปลี่ยนโลกนี้ตามวิสัยทัศน์ของตัวเอง แต่เขาจะเปลี่ยนตามวิสัยทัศน์ของพระเจ้า ความเชื่อมั่นของเขาอยู่ที่พระเจ้า ไม่ใช่มนุษย์

พระเจ้าให้โอกาสพิเศษ กษัตริย์ให้ความสนใจต่อปัญหาของเนหะมีย์ หลักการที่เราเรียนรู้จากเรื่องนี้ไม่ใช่การที่เราต้องการคนที่มีอำนาจมาช่วยเหลือเรา หลักการคือ ถ้าหากเป้าหมายนั้นเป็นแผนการของพระเจ้า พระเจ้าจะให้โอกาสพิเศษเพื่อบรรลุเป้าหมายได้

เนหะมีย์มาถึงเยรูซาเล็มและอธิบายวิสัยทัศน์ของเขาให้กับพวกผู้นำที่นั่น วิสัยทัศน์เริ่มต้นจากชายคนหนึ่ง แต่ไม่ช้านานคนอื่น ๆ ก็ร่วมแบ่งปันวิสัยทัศน์นั้น ผู้นำไม่สามารถคาดหวังให้ทุกคนเข้าใจวิสัยทัศน์ได้ในทันที การสนับสนุนเริ่มต้นจากคนไม่กี่คน

การมีคนอื่น ๆ ร่วมแบ่งปันวิสัยทัศน์เป็นสิ่งที่จำเป็น ไม่อย่างนั้นแล้วผู้นำก็ไม่ได้นำใครเลย วิสัยทัศน์ต้องเป็นของกลุ่มคนที่อุทิศตัว การเป็นเจ้าของวิสัยทัศน์ไม่ได้เป็นเพียงแค่การเห็นด้วยกันและหวังว่ามันจะเกิดขึ้น คนที่ร่วมแบ่งปันวิสัยทัศน์ต้องรู้สึกว่าพวกเขาเป็นเจ้าของวิสัยทัศน์นั้น

การอุทิศตัวต่อวิสัยทัศน์สร้างชุมชน พวกเขาจำเป็นต้องเรียนรู้วิธีการใช้ชีวิตร่วมกัน การสนับสนุนกันและกัน และการยืนหยัดสัตย์ซื่อต่อวิสัยทัศน์นั้น

เนหะมีย์เป็นแบบอย่างของคนที่กลายมาเป็นผู้นำถึงแม้ว่าเขาไม่ได้มีความรับผิดชอบโดยตรงต่อปัญหาต่าง ๆ เหล่านี้ เขาไม่ได้เริ่มต้นด้วยตำแหน่ง แต่ด้วยภาระใจที่จะสร้างการเปลี่ยนแปลง เขากลายมาเป็นผู้นำเพราะเขามีวิสัยทัศน์

กษัตริย์ซาอูล: การนำด้วยตำแหน่ง

ซาอูลเป็นกษัตริย์องค์แรกของอิสราเอล เขาไม่มีกษัตริย์ก่อนหน้าเป็นแบบอย่างให้ทำตาม เขาเป็นชาวนาและไม่มีประสบการณ์ในการปกครองอะไรมาก่อน

เมื่อเขาได้รับการแต่งตั้ง ในเวลานั้นไม่มีกองทัพและเจ้าหน้าที่ข้าราชการเลย ไม่มีผู้พิพากษา ไม่มีเจ้าหน้าที่ข้าราชการ ไม่มีเงินภาษีให้รัฐบาลใช้จ่าย หลังจากได้รับการแต่งตั้งให้เป็นกษัตริย์ บทบาทของซาอูลไม่ชัดเจนจนกระทั่งเขายังคงต้องไปทำงานในทุ่งนาในฐานะชาวนาคนหนึ่ง

แล้วก็มีวิกฤติเกิดขึ้น (1 ซามูเอล 11) ชนชาติเล็ก ๆ ที่เป็นพันธมิตรกับอิสราเอลได้ถูกศัตรูของอิสราเอลโจมตี ไม่มีใครสักคนที่ไปยังทุ่งนาเพื่อแจ้งให้กับกษัตริย์องค์ใหม่รู้เพราะพวกเขาไม่ได้คาดหวังว่ากษัตริย์จะต้องทำอะไร ซาอูลได้ยินข่าวนี้ในตอนสิ้นสุดวันเมื่อเขากลับบ้านหลังจากไปทำนา

ซาอูลตอบสนองด้วยกำลังและการตัดสินใจ เขาส่งสารไปด้วยวิธีที่น่าตกใจ คือส่งวัวคู่หนึ่งที่ถูกฟันออกเป็นท่อน ๆ เต็มไปด้วยเลือด (1 ซามูเอล 11:7) ขอให้นึกถึงภาพผู้ส่งสารที่รี่เดินทางไปถึงทุกบ้านของหัวหน้าเผ่า เขาโยนขาวัวเต็มไปด้วยเลือดไปบนพื้นและประกาศว่า “กษัตริย์ซาอูลกล่าวว่า ใครที่ไม่ออกมาช่วยในยามฉุกเฉิน วัวของเขาจะถูกกระทำอย่างนี้”

บุรุษนับหลายพันคนรวมตัวกันและเอาชนะศัตรูได้ ชัยชนะนี้ได้สถาปนาซาอูลให้เป็นผู้นำเข้มแข็ง

ซาอูลเป็นแบบอย่างของผู้นำที่เริ่มต้นด้วยตำแหน่ง เดิมทีเขาไม่ได้อยากเป็นผู้นำ แต่เพราะเขามีตำแหน่ง เขารู้สึกว่าต้องรับผิดชอบ

► การตอบสนองของซาอูลต่อวิกฤติแตกต่างจากการตอบสตองของกิเดโอนอย่างไรบ้าง?

คุณประเมินตัวเองอย่างไรในฐานะผู้นำที่มีศักยภาพ? ศึกษาลักษณะต่าง ๆ ของผู้นำที่มีศักยภาพต่อไปนี้ ถ้าหากมีบางด้านที่คุณขาดไป คุณสามารถพัฒนาให้มีได้ด้วยการช่วยเหลือจากพระเจ้า เมื่อคุณพัฒนาด้านต่าง ๆ เหล่านี้ คุณจะทำให้การเป็นผู้นำของคุณเข้มแข็งขึ้น

ผู้นำที่เกิดผล...

1. มีอิทธิพลต่อผู้คนที่รู้จักเขา

2. มีวินัยในตนเอง

3. ทำงานในความรับผิดชอบสำเร็จมาแล้ว

4. เต็มใจรับความรับผิดชอบเพิ่ม

5. สัมพันธ์กับผู้คนได้ดี

6. เต็มใจรับใช้คนอื่น

7. ริเริ่มก่อนเสมอ

8. สัตย์ซื่อภักดี

9. รับมือกับความตึงเครียดได้

10. ไม่ถูกความโกรธควบคุม

11. มีท่าทีแง่บวก

12. ฟื้นตัวไวจากความผิดหวัง

13. มีความมั่นใจ

14. มีคุณธรรม

15. เติบโตใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้น

16. ไม่ขาดประสิทธิภาพเนื่องจากปัญหาส่วนตัว

17. สามารถเรียนรู้ได้และปรารถนาเรียนรู้เสมอ

18. สามารถแก้ไขปัญหาต่าง ๆ ได้

19. ไม่พอใจกับสถานการณ์ปัจจุบัน

20. เต็มใจสร้างการเปลี่ยนแปลง

21. มองเห็นภาพใหญ่

22. สามารถมองเห็นสิ่งต่อไปที่จำเป็นต้องทำให้สำเร็จ

จะเป็นอย่างไรถ้าหากคุณกำลังทำงานอยู่ในองค์กรที่คุณไม่ได้เป็นผู้นำหลัก?

จะเป็นอย่างไรถ้าหากผู้นำในองค์กรของคุณมีข้อจำกัดที่ทำให้เขาทำตามหลักการต่าง ๆ ที่คุณเรียนรู้ในวิชานี้ไม่ได้?

บางครั้งผู้นำรุ่นน้องที่กำลังพัฒนาขึ้นมาต้องรู้สึกท้อแท้เพราะเขารู้สึกว่าเขาไม่สามารถเอาความรู้เรื่องหลักการเป็นผู้นำที่เขาเรียนมาไปสู่การปฏิบัติได้ เขารู้สึกว่าความสามารถของเขาจำกัดเพราะเขาไม่ได้อยู่ในตำแหน่งที่มีสิทธิอำนาจ

คนที่คาดหวังว่าจะเป็นผู้นำไม่ควรรอจนกว่าจะได้ตำแหน่งแห่งสิทธิอำนาจก่อนแล้วค่อยเริ่มต้นใช้หลักการเป็นผู้นำ เขาสามารถใช้หลักการต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้องกันเพื่อทำให้สำเร็จตามความรับผิดชอบ เพื่อสร้างความไว้วางใจ เพื่อเพิ่มพูนความรู้ของตัวเอง เพื่อฝึกทักษะต่าง ๆ เพื่อได้รับชื่อเสียงดีเป็นที่เชื่อถือ และเพื่อแสดงให้เห็นถึงการอุทิศตัวต่อความสำเร็จขององค์กรไม่ใช่เพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง สิ่งต่าง ๆ เหล่านี้เพิ่มอิทธิพลของเขาต่อทุกคนซึ่งรวมถึงผู้นำเหนือเขาด้วย

ขอให้จำไว้ว่า ผู้นำคือคนที่มีอิทธิพล มีหลายสิ่งที่ทำให้คุณมีอิทธิพลมากขึ้นได้แม้ไม่มีตำแหน่งอย่างเป็นทางการก็ตาม

อย่ารีบด่วนคิดว่าคุณต้องตั้งองค์กรใหม่เพื่อคุณจะได้เป็นผู้นำ คุณสามารถทำอะไรในที่ที่คุณอยู่ตอนนี้ได้อีกมากมาย

ไม่ว่าคุณมีตำแหน่งอะไร คุณสามารถหนุนใจและเป็นพี่เลี้ยงให้กับผู้นำรุ่นร้องและสมาชิกในทีมได้ นี่อาจเป็นส่วนหนึ่งของงานของคุณที่ทำได้ในองค์กร หรืออาจทำได้อย่างไม่เป็นทางการกับผู้คนที่ชื่มชมต่อความช่วยเหลือของคุณ

แสวงหาที่จะได้รับการชี้แนะทั้งจากคนในองค์กรและนอกองค์กร ผู้นำส่วนใหญ่ยินดีที่จะแบ่งปันสติปัญญาของพวกเขา คุณสามารถรับคำชี้แนะในบางด้านที่เจาะจงของการเป็นผู้นำ คนที่ให้คำชี้แนะไม่จำเป็นต้องสมบูรณ์แบบในทุกด้าน ผู้ให้คำชี้แนะอาจอายุน้อยกว่าคุณด้วยซ้ำถ้าหากเขามีทักษะที่เชี่ยวชาญในด้านนั้น ๆ

อนุญาตให้นักศึกษาแบ่งปันว่าพวกเขาคาดหวังที่จะเปลี่ยนแปลงเป้าหมายหรือการกระทำหลังจากได้เรียนบทเรียนนี้อย่างไรบ้าง

1. เขียนสรุปหนึ่งย่อหน้าเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องชีวิตที่เปลี่ยนแปลงจากบทเรียนนี้ อธิบายเหตุผลว่าทำไมเรื่องนี้จึงสำคัญ สิ่งนี้ให้ประโยชน์อะไรบ้าง? จะมีผลเสียอะไรเกิดขึ้นหากไม่รู้เรื่องนี้?

2. อธิบายวิธีที่คุณจะนำหลักการต่าง ๆ จากบทเรียนนี้ไปประยุกต์ใช้ในชีวิตของคุณเอง บทเรียนนี้เปลี่ยนเป้าหมายองคุณอย่างไรบ้าง? คุณมีแผนที่จะเปลี่ยนการกระทำของคุณอย่างไรบ้าง?

3. ศึกษาและท่องจำ “ปัจจัยในการสร้างผู้นำ” และ “ลักษณะของผู้นำที่มีศักยภาพ” ในบทเรียนนี้ เตรียมเขียนปัจจัยและลักษณะมากมายเหล่านี้จากการท่องจำในช่วงเริ่มต้นชั่วโมงเรียนถัดไป

4. ก่อนถึงชั่วโมงเรียนถัดไป ขอให้อ่าน ยอห์น 13:1-17 เขียนอธิบายว่าพระคัมภีร์ตอนนี้บอกอะไรเกี่ยวกับการเป็นผู้นำ