การเป็นผู้นำพันธกิจ
การเป็นผู้นำพันธกิจ
Audio Course Purchase

Search Course

Type at least 3 characters to search

Search through all lessons and sections in this course

Searching...

No results found

No matches for ""

Try different keywords or check your spelling

results found

Lesson 17: ปัญหาส่วนตัว: เงิน เวลา และการแต่งกาย

1 min read

by Stephen Gibson


การจัดการเงิน

หลักแห่งความรับผิดชอบ

► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน มัทธิว 25:14-30 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง พระคัมภีร์ตอนนี้สอนเราเรื่องใดเกี่ยวกับการจัดการเงิน?

เงินเป็นทรัพยากรที่สำคัญสำหรับงานพันธกิจ ผู้นำควรจัดการเงินเพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีที่สุด เราจะต้องรับผิดชอบต่อพระเจ้าสำหรับทรัพยากรต่าง ๆ ที่พระองค์มอบให้เราดูแลจัดการ

จำเรื่องชาวสะมาเรียที่ช่วยผู้เดินทางที่บาดเจ็บ (ลูกา 10:30-35) ได้ไหม? จุดประสงค์ของเรื่องนี้คือเพื่ออธิบายความหมายในการรักผู้คนที่คุณพบเจอ อย่างไรก็ตามเราสามารถระบุถึงประเด็นอื่นโดยการสังเกตรายละเอียดบางอยาง ถึงแม้ว่าผู้เขียนไม่ได้ตั้งใจเขียนถึงสิ่งเหล่านี้ก็ตาม

ชาวสะมาเรียมีลาและมีเงินจ่ายค่าดูแลผู้ชายคนนั้น เกิดอะไรขึ้นถ้าเขาใช้ทรัพยากรของเขาอย่างสิ้นเปลืองก่อนที่จะได้พบกับชายผู้บาดเจ็บ? เขาคงช่วยชายคนนั้นได้น้อยลง มีคนมากมายที่บอกว่าเห็นอกเห็นใจในความทุกข์ยากของผู้อื่นและเห็นความจำเป็นในการประกาศข่าวประเสริฐ แต่พวกเขาไม่ได้จัดการทรัพยากรของตนเพื่อตอบสนองต่อความจำเป็นเหล่านั้น พวกเขาไม่สามารถช่วยเหลือผู้อื่นได้

เงินสามารถนำมาใช้เพื่อสิ่งที่ใช้แล้วหมดไป หรือใช้เพื่อสิ่งที่มีคุณค่าถาวรในโลกนี้และในนิรันดร์กาล เราจำเป็นที่จะต้องใช้จ่ายเงินเพื่อความต้องการของเรา แต่เราต้องลงทุนเพื่ออนาคตให้ได้มากที่สุด

หลายคนไม่เคยลงทุนเพราะคิดว่ามีไม่พอ แต่ถ้าคนหนึ่งจะเก็บออมและลงทุนจำนวนน้อย ๆ สม่ำเสมอ ผลลัพธ์ก็จะยิ่งใหญ่ในที่สุด ชาวนาไม่ว่าจะยากจนสักแค่ไหน ก็ตระหนักว่าเขาต้องเก็บออมให้มากพอที่จะทำการเพาะปลูกใหม่ได้อีกครั้ง เราจำเป็นต้องหาวิธีเก็บออมและลงทุนทรัพยากรของเรา

► มีวิธีใดที่เราจะเก็บออมและลงทุนเงินจำนวนน้อยของเราได้บ้าง?

หลักแห่งความเชื่อ

อัครทูตเปาโลให้คำมั่นสัญญาอันยิ่งใหญ่แก่คริสตจักรที่เมืองฟีลิปปี พวกเขาเสียสละเพื่อสนับสนุนพันธกิจ เปาโลสัญญากับพวกเขาว่าพระเจ้าจะทรงจัดเตรียมทุกสิ่งที่จำเป็นให้กับพวกเขา (ฟีลิปปี 4:19)

พระเยซูทรงบอกสาวกของพระองค์ว่าพวกเขาไม่ควรมีชีวิตอยู่ด้วยความกระวนกระวายใจ แต่วางใจพระเจ้าที่จะจัดเตรียมให้พวกเขา (มัทธิว 6:25-34) อาณาจักรของพระเจ้าต้องมาก่อนความต้องการขั้นพื้นฐานในชีวิตของพวกเขา

การมีความเชื่อไม่ได้หมายความว่าเราไม่รับผิดชอบจัดหาให้ตนเองและผู้คนที่พึ่งพาเรา เราควรทำงานเพื่อจัดหาสิ่งจำเป็น (เอเฟซัส 4:28) ถ้าบุคคลใดไม่เลี้ยงดูครอบครัว เขาก็ไม่ใช่แบบอย่างของผู้เชื่อ (1 ทิโมธี 5:8)

บุคคลไม่ควรนั่งเกียจคร้านเพื่อรอให้พระเจ้าจัดเตรียม พระเจ้าได้ออกแบบให้เราได้กำไรจากการทำงานและโดยการสร้างสิ่งที่มีคุณค่า

การมีความเชื่อหมายความว่า เราตระหนักดีว่าเราไม่สามารถอยู่รอดได้หากปราศจากพระพรจากพระเจ้า กำลังและโอกาสในการทำงานของเรามาจากพระเจ้า และพระองค์ยังอวยพรในสิ่งที่ไม่ได้มาจากงานของเราด้วย เนื่องจากเราพึ่งพาพระเจ้า เราควรอธิษฐานตามที่พระเยซูตรัสว่า “ขอประทานอาหารประจำวันแก่เราในวันนี้”

เราควรเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ให้กับคนอื่นด้วยเหตุผลต่อไปนี้

  • เพราะเรารู้ว่าพระเจ้าทรงจัดเตรียมเพื่อเรา

  • เพราะงานของเราไม่ได้ให้ทุกสิ่งที่เรามี

  • เพราะเราไม่สมควรรับพระพรของพระเจ้า

  • เพราะเราแสดงความรักของพระเจ้าให้เห็นโดยการให้

เราไม่ควรเป็นเหมือนเด็กเห็นแก่ตัวที่เอาเค้กชิ้นใหญ่ที่สุดหรือซ่อนขนมไว้ เพราะเขารู้ว่าเขาไม่สามารถหามาได้อีก พระเจ้ามีอย่างอุดมสมบูรณ์และไม่ต้องการให้เราโลภหรือซุกซ่อนไว้ราวกับว่าพระองค์จะไม่มีวันให้เรามากกว่านี้อีก

ผู้นำพันธกิจไม่เพียงแต่จัดการเงินของตัวเองเท่านั้น แต่ยังจัดการทรัพยากรของพันธกิจด้วย พระเจ้าจะจัดเตรียมสำหรับพันธกิจที่ทำตามพระประสงค์ของพระองค์ อย่างไรก็ตาม พระประสงค์ของพระองค์ไม่ใช่สิ่งที่ดูเหมือนชัดเจนสำหรับเราเสมอไป บางครั้งผู้คนจดจ่ออยู่กับการรักษาองค์กรเอาไว้ และพวกเขาละเลยที่จะแสวงหาการนำที่ชัดเจนจากพระเจ้า บางครั้งผู้คนพยายามทำสิ่งที่ดี แต่พวกเขาไม่ได้ทำด้วยวิธีที่พระเจ้าต้องการ เราจะไม่มีการวินิจฉัยที่สมบูรณ์แบบเกี่ยวกับสิ่งเหล่านี้เสมอไป แต่การขาดเงินสำหรับพันธกิจควรกระตุ้นให้เราแสวงหาความเข้าใจที่ดีขึ้นเกี่ยวกับพระประสงค์ของพระเจ้า

หลักแห่งความซื่อสัตย์

หลักแห่งความเชื่อนำมาสู่หลักแห่งความซื่อสัตย์ เราไม่ควรทำสิ่งใดเลยที่พระเจ้าไม่พอพระทัย เนื่องจากเราต้องการทำให้พระองค์พอพระทัยและเราอยากให้พระองค์อวยพรเรา

หากคุณพึ่งพาพระเจ้าและวางใจในพระองค์ คุณจะปฏิเสธโอกาสที่จะได้รับโดยทำสิ่งที่ไม่ซื่อสัตย์ เมื่อโอกาสมาถึง คุณควรพิจารณาคำถามนี้ว่า “พระเจ้าจะทรงจัดเตรียมด้วยวิธีนี้ไหม?” หากมีโอกาสได้รับบางสิ่งจากการไม่ซื่อสัตย์ เรารู้ว่านั่นไม่ใช่วิธีที่พระเจ้าจะจัดเตรียมให้ คนที่ทำผิดเพื่อผลกำไร ก็ไม่ได้วางใจว่าพระเจ้าจะดูแลทุกความต้องการของเขา

โดยปกติแล้ว บุคคลที่อยู่ในพันธกิจจะจัดการทรัพยากรที่ไม่ใช่ของเขาเอง เป็นสิ่งสำคัญสำหรับเขาที่จะแยกเงินพันธกิจออกจากเงินของเขาเอง ในบางวัฒนธรรม ผู้คนไม่เข้าใจกฎนี้ง่าย ๆ อย่างไรก็ตาม ไม่ว่าในพันธกิจ รัฐบาล หรือธุรกิจ บุคคลจะไม่ได้รับตำแหน่งที่มีอำนาจ เว้นแต่ผู้คนจะคิดว่าเขาสามารถแยกความแตกต่างนี้ได้ หากบุคคลใดใช้เงินของหน่วยงานเหมือนใช้เงินของตนเอง แสดงว่าเขากำลังทำลายความไว้วางใจ (1 โครินธ์ 4:2)

ผู้นำพันธกิจควรกำหนดนโยบายที่รักษาความรับผิดชอบต่อเงินของหน่วยงานอย่างระมัดระวัง เขาไม่ควรรวบรวมและบริหารเงินด้วยตัวเองตามลำพัง หลายคนควรมีส่วนร่วมในการบันทึกและการใช้จ่าย

หลักแห่งการสนับสนุนพันธกิจ

พระเจ้าได้ออกแบบให้พันธกิจได้รับการสนับสนุนทางการเงิน อย่างไรก็ตาม ผู้นำพันธกิจมักจะอยู่ในสถานการณ์ที่พันธกิจของเขาไม่ได้รับการสนับสนุนอย่างเต็มที่

[1]สำหรับผู้นำคริสเตียน เงินไม่ควรเป็นเหตุผลที่ทำให้เขายอมรับตำแหน่งผู้นำ หรือเหตุผลที่ทำให้เขาพยายามอย่างเต็มที่ แรงจูงใจในการทำพันธกิจคือภาระหน้าที่ในการเชื่อฟังพระเจ้า ความปรารถนาที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย และความรักต่อผู้คนที่เรารับใช้ (1 เปโตร 5:2, 1 โครินธ์ 9:16, ยอห์น 21:15-17)

เมื่อพระเยซูส่งสาวกไปทำพันธกิจ พระองค์ตรัสว่า “ท่านทั้งหลายได้รับเปล่า ๆ ก็จงให้เปล่า ๆ” (มัทธิว 10:8) การกำหนดราคาสำหรับงานพันธกิจเป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้อง หนึ่งในคำตำหนิที่รุนแรงที่สุดในพระคัมภีร์คือ คำตำหนิชายคนหนึ่งที่เสนอจะจ่ายเงินซื้อฤทธิ์เดชฝ่ายวิญญาณเพื่อเขาจะนำไปหากำไรเพิ่มได้ (กิจการ 8:18-23)

พันธกิจไม่ได้ผลิตเงินเหมือนงานประเภทอื่น เพราะไม่ได้จัดหาผลิตภัณฑ์หรือบริการเพื่อขาย พันธกิจจะได้รับการสนับสนุนก็ต่อเมื่อผู้ที่มีอาชีพอื่นตัดสินใจว่าพันธกิจควรได้รับการสนับสนุน

ผู้นำพันธกิจสามารถหนุนใจให้ผู้คนสนับสนุนโดยการสื่อสารค่านิยมของพันธกิจและการอุทิศตัวของเขาที่มีต่อพันธกิจ โดยปกติเขาไม่สามารถรอการสนับสนุนก่อนเริ่มงานรับใช้ได้ รายงานการทำพันธกิจของเขาควรสม่ำเสมอ เป็นความจริง และซื่อสัตย์ตรงไปตรงมา

ผู้คนส่วนใหญ่มาเป็นผู้สนับสนุนเพราะพวกเขามองเห็นคุณค่าของพันธกิจนั้น ๆ ไม่ใช่เพราะผู้ทำพันธกิจต้องการการสนับสนุน ผู้นำพันธกิจไม่ควรพยายามหาการสนับสนุนโดยการพูดถึงความจำเป็นของตัวเอง แต่โดยการสร้างผลงานของพันธกิจและอธิบายถึงวิสัยทัศน์ของพันธกิจ การสร้างสัมพันธ์กับผู้คนที่เขารับใช้ก็สำคัญด้วย เพื่อพวกเขาจะเห็นการอุทิศตัวและเห็นคุณค่าของงานรับใช้ที่ทำเพื่อพวกเขา

บางคนอาจต้องการสนับสนุนผู้นำเป็นการส่วนตัวแทนที่จะมอบให้กับองค์กร ผู้นำต้องระมัดระวังที่จะไม่สร้างการสนับสนุนของตนเองแทนที่จะสร้างองค์กร งานของเขาคือการสร้างองค์กร

ผู้นำควรหลีกเลี่ยงการเป็นหนี้ การยืมเงินคือการใช้เงินในอนาคต หนี้สินทำให้ไม่มีอิสรภาพในการตัดสินใจสำหรับอนาคต การเป็นหนี้คือการตัดสินใจสำหรับอนาคตก่อนที่คุณจะไปถึงที่นั่น หนี้คือการใช้ทรัพยากรของอนาคตในขณะที่ยังไม่รู้ว่าในอนาคตจะมีความจำเป็นอะไรเกิดขึ้นบ้าง

ผู้นำควรหลีกเลี่ยงการเป็นหนี้ส่วนบุคคล เพราะมันจะจำกัดการตัดสินใจสำหรับพันธกิจของเขาในอนาคต ผู้นำควรหลีกเลี่ยงการนำให้องค์กรเป็นหนี้ ใช้เงินเท่าที่พระเจ้ามอบให้ อย่ากู้ยืม แล้วคิดว่าพระเจ้าจะจัดเตรียมเงินให้ใช้หนี้ ถ้าพระเจ้าต้องการจัดเตรียมอย่างเจาะจง พระองค์สามารถให้คุณได้ก่อนที่คุณจะกู้ยืม ไม่ใช่ให้หลังจากกู้ยืมแล้ว การกู้ยืมเป็นการตัดหนึ่งในวิธีสังเกตน้ำพระทัยของพระเจ้าออกไป เพราะมันหมายถึงคุณไม่รอจนเห็นการจัดเตรียมของพระเจ้า

อนุญาตให้นักศึกษาแบ่งปันว่าพวกเขาคาดหวังที่จะเปลี่ยนแปลงเป้าหมายหรือการกระทำหลังจากได้เรียนหลักการต่าง ๆ เกี่ยวกับเงินอย่างไรบ้าง


[1]

“งานของพระเจ้าที่ทำด้วยวิธีการของพระเจ้า ไม่เคยขาดการสนับสนุนจากพระเจ้าเลย”
- เจ ฮัดสัน เทย์เลอร์