(1) พวกเขาไม่รู้ว่าจะต้องทำอะไรบ้าง  
นี่คือการขาดข้อมูล ผู้นำควรให้ข้อมูล ถ้าหากเขาไม่มีความรู้ทั้งหมดที่จำเป็น เขาควรหาคนมาช่วยให้ข้อมูล
(2) พวกเขาไม่รู้วิธีที่จะทำ  
นี่คือการขาดการฝึกอบรม ผู้นำอาจไม่มีทักษะทั้งหมดที่จำเป็นต่อองค์กร แต่เขาควรจัดให้มีการฝึกอบรม
(3) พวกเขาไม่รู้เหตุผลที่ควรทำสิ่งนั้น  
นี่คือการขาดแรงจูงใจ บางครั้งผู้คนในองค์กรไม่เข้าใจเป้าหมายขององค์กร หรือบางทีพวกเขาเข้าใจ แต่ไม่ใส่ใจ ผู้นำควรช่วยให้ผู้คนร่วมเป้าหมายได้
(4) มีปัญหาต่าง ๆ ที่ขัดขวางไม่ให้พวกเขาทำสิ่งนั้น  
นี่คือการขาดอุปกรณ์และโครงสร้างบริหาร ผู้นำควรช่วยผู้คนด้วยการขจัดปัญหาและอุปสรรคที่ขัดขวางพวกเขาจากความสำเร็จ
นี่คือเหตุผลพื้นฐานสี่อย่างที่ทำให้ผู้คนในองค์กรไม่ทำในสิ่งที่พวกเขาควรทำ ทั้งสี่เหตุผลเหล่านี้ชี้ให้เห็นถึงความล้มเหลวของผู้นำ
เมื่อผู้นำบ่นว่าคนของเขาที่ไม่ทำในสิ่งที่ควรทำ เขาก็กำลังประกาศว่าตัวเขาเองล้มเหลวในการนำ ยกตัวอย่างเช่น ศิษยาภิบาลที่บ่นว่าคริสตจักรของเขาไม่ประกาศข่าวประเสริฐ ก็สมควรพิจารณาคำถามต่อไปนี้
	
	ฉันได้อธิบายให้พวกเขารู้หรือยังว่าพวกเขาควรประกาศ?
	 
	
	ฉันได้สอนวิธีการประกาศให้กับพวกเขาหรือยัง (สอนโดยการเป็นแบบอย่างให้กับพวกเขา)?
	 
	
	ฉันได้กระตุ้นพวกเขาให้ประกาศไหม?
	 
	
	ฉันได้ช่วยพวกเขาในการเผชิญกับปัญหาต่าง ๆ ที่ขัดขวางพวกเขาจากการประกาศไหม?
	 
 
หากมีกองทัพสองกองที่มีขนาดเท่ากัน มีอาวุธอย่างเดียวกัน กองทัพไหนที่จะชนะ? คือกองทัพที่มีแม่ทัพที่ดีที่สุดจะชนะ
ทีมนักกีฬาสองทีมที่มีความสามารถในการเล่นเท่าเทียมกัน ทีมไหนจะชนะ? คือทีมที่มีโค้ชที่ดีที่สุดจะชนะ
ความท้าทายของการจูงใจ 
► สุภาษิตเก่าแก่กล่าวว่า “ปากกาก็ทรงพลังยิ่งกว่าดาบ” คุณคิดว่าสุภาษิตนี้หมายความว่าอะไร?
มันหมายความว่า ความคิดมีพลัง การโน้มน้าวมีพลัง และการสื่อสารมีพลัง ความคิดมีอิทธิพลมากกว่าอาวุธ “ปากกา” เป็นการอ้างอิงถึงการสื่อสารด้วยการเขียน การโน้มน้าวคือการสื่อสารในรูปแบบใดก็ตามซึ่งทรงพลังยิ่งกว่าการบังคับผู้คนให้ฝืนใจทำ
ถ้าหากคุณพยายามบังคืนฝืนใจผู้คน มันก็ยากที่จะขยายอิทธิพลของคุณให้กว้างไกลไปถึงขณะที่ตัวคุณไม่อยู่ ผู้คนที่ถูกบังคับจะไม่ทำอย่างดีที่สุด พวกเขาไม่ทุ่มเทพลังและความคิดของพวกเขาในการทำงาน คุณสามารถสำเร็จมากกว่าได้ด้วยการจูงใจผู้คนแทนที่จะบังคับ ความคิดหรือแนวคิดสามารถแผ่ขยายและมีอิทธิพลต่อคนหลายล้านคน
สงครามโลกครั้งที่สอง เป็นตัวอย่างพลังของถ้อยคำ สงครามโลกครั้งที่สองเป็นสงครามแห่งถ้อยคำ เป็นสงครามแห่งความคิด
ทำไมจึงเป็นสงครามแห่งถ้อยคำ? อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ เป็นนักพูดที่ทรงพลัง เขาสื่อสารวิสัยทัศน์ของเขาให้กับเยอรมัน และเยอรมันให้เขาเป็นผู้นำ เขาให้ความเชื่อมั่นกับผู้คนว่าพวกเขาจะกลายเป็นเผ่าพันธุ์หลักที่ปกครองโลกนี้ แม้ในบางคริสตจักรก็เริ่มต้นพูดถึงเขาว่าเป็นพระเมสสิยาห์และกล่าวว่าเยอรมันเป็นอาณาจักรของพระเจ้า ฮิตเลอร์นำเยอรมันให้ทำสิ่งที่โหดเหี้ยมที่สุดในประวัติศาสตร์ เขาทำสิ่งนี้ด้วยพลังของถ้อยคำ บางครั้งผู้คนคิดว่าถ้อยคำไม่สามารถทำอันตรายอะไรได้ แต่ถ้อยคำของฮิตเลอร์ฆ่าผู้คนหลายล้านคน
ในขณะที่ฮิตเลอร์กำลังเพิ่มอำนาจของเขา มีบางคนในอังกฤษคิดว่าคงไม่มีอันตรายอะไรเกิดขึ้นกับพวกเขา เมื่อมาถึงเวลาที่ประเทศต้องเลือกนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ผู้ลงสมัครเลือกตั้งบางคนสัญญากับประชาชนว่าพวกเขาจะมีสันติภาพ แต่วินสตัน เชอร์ชิล บอกความจริงแก่ประชาชนว่า “ผมให้เลือด หยาดเหงื่อ และน้ำตาแก่คุณ” เขาได้รับการเลือกเพราะเขาเผชิญหน้ากับปัญหา
คำปราศรัยของเชอร์ชิลรวมอังกฤษให้เป็นหนึ่งเดียวเพื่อต่อสู้กับเยอรมัน เขากล่าวว่า “เราจะต่อสู้เหนือทะเลและในอากาศ เราจะต่อสู้บนหาดทรายหากพวกนั้นเหยียบชายฝั่งของเรา เราจะต่อสู้พวกนั้นทุกซอกของถนนของทุกเมือง เราจะไม่ยอมแพ้ เราจะไม่ยอมจำนน”
โดยคำปราศรัยของฮิตเลอร์และเชอร์ชิล เราเห็นพลังของถ้อยคำ ในแง่หนึ่ง ทุกสงครางเป็นสงครามแห่งถ้อยคำ
► อธิบายคำกล่าวว่าทุกสงครามเป็นสงครามแห่งถ้อยคำ เรื่องนี้บอกอะไรเราเกี่ยวกับการเป็นผู้นำ?
บางครั้งผู้นำคิดว่าเขาจะได้รับความช่วยเหลือก็ต่อเมื่อเขาจ่ายเงินซื้อความช่วยเหลือเท่านั้น เขาคิดว่าคนของเขาจะทำมากขึ้นหากเขาจ่ายเงินมากขึ้น นั่นไม่ใช่ความจริงเลย ผู้คนช่วยองค์กรหนึ่งเพราะพวกเขาเชื่อมั่นในองค์กรนั้น พวกเขาทำงานหนักเพราะพวกเขามีส่วนร่วมในเป้าหมาย
คุณไม่สามารถมีงานที่คุ้มค่าได้จนกว่าทุกคนกำลังทำงานเพื่อบรรลุเป้าหมายที่พวกเขามีส่วนร่วมและเข้าใจเป็นอย่างดี แต่นั่นก็ยังไม่เพียงพอ การไปถึงเป้าหมายอย่างไรก็เป็นเรื่องสำคัญ คุณต้องให้ค่านิยมนำหน้าคุณ คุณต้องภูมิใจทั้งต่อเป้าหมายและวิธีการไปถึงเป้าหมาย[1] 
 
► การภูมิใจต่อเป้าหมายและวิธีการไปถึงเป้าหมายมีความหมายว่าอะไร?
นักธุรกิจคนหนึ่งจะไม่สร้างบริษัทใหญ่ด้วยการจ่ายเงินจ้างพนักงานเท่านั้น เขาต้องนำคนเหล่านั้นด้วยเป้าหมายและค่านิยม ถ้าหากเงินสำคัญที่สุด คนก็จะไม่ทำงานเพื่อเป้าหมายของบริษัท พวกเขาจะไม่สนใจเรื่องคุณภาพและไม่ภูมิใจในการทำงานของพวกเขาเลย
[2] สิ่งสำคัญที่สุดไม่ได้สำเร็จด้วยเงิน คิดถึงสิ่งที่ผู้คนทำเพื่อครอบครัวและลูกของพวกเขา พวกเขาไม่ได้ทำสิ่งเหล่านั้นเพราะเห็นแก่เงิน แต่พวกเขาทำเพราะมีค่านิยมที่สำคัญยิ่งกว่า ค่านิยมเป็นสิ่งที่จูงใจผู้คน
ในงานพันธกิจ จำเป็นจะต้องมีทักษะการเป็นผู้นำมากยิ่งกว่าในโลกธุรกิจ เพราะคนทำงานในคริสตจักรส่วนใหญ่เป็นอาสาสมัคร ผู้นำไม่สามารถพยายามเสนอสิ่งจูงใจที่เป็นค่าจ้างให้กับพวกเขาส่วนใหญ่ได้ ผู้คนช่วยคริสตจักรทำงานเพราะพวกเขาเชื่อมั่นในคริสตจักร ถ้าหากคริสตจักรไม่ได้รับการสนับสนุนทางการเงินและพละกำลังภายในท้องถิ่น นั่นย่อมแสดงว่าผู้นำล้มเหลว
► ใครคือคนที่ช่วยทำงานในคริสตจักรของคุณ? ทำไมพวกเขาจึงทำงานเหล่านั้น?
งานของผู้นำสรุปได้ดังนี้
ให้ผู้คนรู้เหตุผลว่าทำไมการทำงานจึงคุ้มค่า ตัดสินใจให้ชัดว่าคุณจะไปที่ไหน ตรวจสอบให้แน่ใจว่าทีมมีส่วนร่วมในเป้าหมายเดียวกัน ช่วยในการตั้งค่านิยม จัดสรรทรัพยากรให้ตรงจุด ให้คนที่ออกกฎรับผิดชอบต่อการตัดสินใจและกฎต่าง ๆ ตรวจดูให้แน่ใจว่าคุณได้รับการสนับสนุนสิ่งจำเป็นทั้งจากภายในและภายนอกองค์กร มองไปที่อนาคตเพื่อขจัดปัญหา และพร้อมเปลี่ยนทิศทาง[3] 
 
 
[1] Ken Blanchard and Sheldon Bowles, Gung Ho: Turn on the People in Any Organization (New York: William Morrow, 1997), 38
 
[2] 
“การมีงานยุ่งไม่ได้หมายถึงมีงานที่แท้จริงเสมอไป จุดประสงค์ของงานทั้งหมดคือการผลิตผลหรือบรรลุความสำเร็จ และการจะไปถึงจุดปลายทางของสิ่งเหล่านี้ได้จะต้องมีการไตร่ตรอง มีระบบ การวางแผน ความเฉลียวฉลาด และจุดประสงค์ที่เที่ยงตรง 
รวมถึงหยาดเหงื่อด้วย”
- โธมัส เอดิสัน
 
[3] แหล่งข้อมูลเดียวกัน 79
 
                                     
                                    
                                    
                                        
                                                                                                                                    
                                                
                                                     
                                                    Previous
                                                 
                                                                                    
                                                                                                                                    
                                                
                                                    Next