สมาพันธ์คริสตจักรที่เข้มแข็งอาจถูกเรียกว่าเป็นสังกัดนิกาย ซึ่งไม่ได้หมายความว่าสมาพันธ์นั้นจะมีคุณลักษณะครบทุกอย่างของการเป็นสมาพันธ์ที่เข้มแข็ง แต่สามารถอธิบายได้ว่าเป็นสมาพันธ์ที่เข้มแข็งมากกว่าเป็นสมาพันธ์ที่อ่อนแอ
[1] สังกัดนิกายที่ดีอยู่เพื่อรับใช้คริสตจักรท้องถิ่น สังกัดนิกายช่วยเหลือคริสตจักรต่าง ๆ ให้บรรลุผลสำเร็จร่วมกันซึ่งคริสตจักรท้องถิ่นส่วนใหญ่ไม่สามารถทำได้ด้วยตนเอง
1. ให้ความรู้สึกถึงเอกลักษณ์ที่แตกต่างจากคริสตจักรในรูปแบบอื่น ๆ สมาชิกคริสตจักรท้องถิ่นรู้ว่าพวกเขาแตกต่างจากคริสตจักรอื่น ๆ ที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียง พวกเขาได้รับการสนับสนุนให้รู้ว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของกลุ่มคริสตจักรที่ยึดมั่นในหลักคำสอนร่วมกัน
2. สถาปนาหลักคำสอน คริสตจักรท้องถิ่นไม่ควรเป็นอิสระในการเปลี่ยนหรือสร้างหลักคำสอนของตนเองโดยไม่ฟังคนอื่น ๆ สังกัดนิกายควรยึดถือหลักคำสอนตามประวัติศาสตร์และที่เป็นหัวใจสำคัญของคริสต์ศาสนา แต่ก็ยังคงมีหลักคำสอนที่เป็นรายละเอียดตามที่พวกเขาเชื่อซึ่งถูกต้องตามพระคัมภีร์ด้วย
3. ตั้งข้อกำหนดที่เป็นคุณสมบัติของศิษยาภิบาลและสมาชิกคริสตจักร สังกัดนิกายควรตั้งมาตรฐานเพื่อศิษยาภิบาลและสมาชิกของคริสตจักรจะได้วางแบบอย่างคริสเตียนที่สอดคล้องกัน คุณสมบัติควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของคุณสมบัติใน 1 ทิโมธี 3 และ ทิตัส 1 แต่จำเป็นต้องระบุให้ชัดเจนและเหมาะสมสำหรับแต่ละวัฒนธรรม
4. จัดเตรียมระบบการบริหารคริสตจักร สังกัดนิกายควรจัดเตรียมระบบให้กับคริสตจักรท้องถิ่น เพื่อแต่งตั้งคนในตำแหน่งต่าง ๆ ของคริสตจักรและเพื่อจะรักษาการรับผิดชอบต่อกัน
5. จัดเตรียมการฝึกอบรมสำหรับศิษยาภิบาล คริสตจักรจำนวนมากไม่มีแหล่งทรัพยากรและบทเรียนต่าง ๆ เพื่อฝึกอบรมศิษยาภิบาลในอนาคต สังกัดนิกายควรพัฒนาโปรแกรมฝึกอบรมที่เข้าถึงได้ง่ายและนำมาปฏิบัติได้จริง
6. แนะนำศิษยาภิบาลให้กับคริสตจักรต่าง ๆ ศิษยาภิบาลที่ไม่มีคริสตจักรและคริสตจักรที่ขาดศิษยาภิบาลสามารถได้รับการช่วยเหลือโดยผู้นำของสังกัดนิกาย ผู้นำที่ดีของสังกัดนิกายจะเคารพนับถือผู้นำคริสตจักรท้องถิ่นที่สัตย์ซื่อในทุกการตัดสินใจ
[2] 7. ให้คำแนะนำเมื่อคริสตจักรท้องถิ่นต้องเผชิญกับวิกฤติ ถ้าหากคริสตจักรท้องถิ่นแตกแยกกันในเรื่องใดหรือขาดผู้นำที่เชื่อถือได้ ผู้นำสังกัดนิกายควรให้ความช่วยเหลือ
8. ประสานงานและสนับสนุนมิชชันและความพยายามในการก่อตั้งคริสตจักร กลุ่มคริสตจักรควรร่วมนิมิตเพื่องานมิชชัน พวกเขารวมทรัพยากรเข้าด้วยกันและสนับสนุนผู้คนให้ทำงานมิชชันสำเร็จตามเป้าหมาย
9. จัดการสามัคคีธรรมในระดับที่ใหญ่กว่าคริสตจักรท้องถิ่น สมาชิกได้รับการสนับสนุนให้ใช้เวลาร่วมกันกับสมาชิกจากคริสตจักรอื่น ๆ ที่อยู่ในสังกัดนิกาย
10. จัดกิจกรรมที่นำให้คริสตจักรต่าง ๆ มารวมตัวกัน สังกัดนิกายควรตั้งระเบียบแบบแผนและจัดการประชุมใหญ่เพื่อช่วยให้คริสตจักรต่าง ๆ มีการสามัคคีธรรมกันและตั้งเป้าหมายร่วมกัน
11. ส่งผู้นำไปยังคริสตจักรต่าง ๆ เพื่อให้คำปรึกษาและหนุนใจ ควรมีใครบางคนจากกลุ่มผู้นำในสังกัดไปเยี่ยมทุกคริสตจักรอย่างน้อยปีละหนึ่งครั้ง และถ้าเยี่ยมได้บ่อยกว่านั้นก็จะดีมากกว่า
12. ให้คำปรึกษาเพื่อพัฒนาความยั่งยืนทางการเงินของพันธกิจในท้องถิ่น สังกัดนิกายควรเน้นศักยภาพของคริสตจักรท้องถิ่นและนำพวกเขาให้เติบโตทางด้านการเงิน
ถ้าหากสังกัดนิกายตอบสนองต่อวัตถุประสงค์ต่าง ๆ เหล่านี้ได้อย่างเหมาะสม สังกัดนิกายนั้นก็เป็นประโยชน์อย่างมากต่อการทำให้วัตถุประสงค์ต่าง ๆ ของคริสตจักรบรรลุผลสำเร็จได้ เป็นไปไม่ได้สำหรับคริสตจักรท้องถิ่นส่วนใหญ่ที่จะทำให้ความรับผิดชอบทั้งหมดข้างต้นสำเร็จได้ตามลำพัง ผู้นำสังกัดนิกายต้องระลึกว่าสังกัดนิกายอยู่เพื่อสนับสนุนคริสตจักรท้องถิ่น
► เวลานี้เราเห็นสิ่งที่สังกัดนิกายสามารถทำได้เพื่อคริสตจักรของพวกเขา ให้เราพิจารณาคำถามนี้ว่า คริสตจักรแห่งหนึ่งจะได้รับผลประโยชน์จากสมาพันธ์ที่อ่อนแอได้อย่างไรในขณะเดียวกันก็หลีกเลี่ยงปัญหาต่าง ๆ ที่มักจะเกิดขึ้นกับพวกเขา?
► คริสตจักรแห่งหนึ่งสามารถได้รับผลประโยชน์จากสมาพันธ์ที่เข้มแข็งได้อย่างไรในขณะเดียวกันก็หลีกเลี่ยงปัญหาต่าง ๆ ที่มักจะเกิดขึ้นกับพวกเขา?
[1]
“ศาสนจักรมีอำนาจในการกำหนดกฎเกณฑ์หรือพิธีกรรมต่าง ๆ และมีสิทธิอำนาจในการโต้แย้งเรื่องความเชื่อ แต่การที่ศาสนจักรบัญญัติสิ่งใดที่ขัดแย้งกับพระวจนะของพระเจ้าที่ถูกเขียนไว้ก็ไม่ถูกต้อง...”
- บทความทางศาสนาของคริสตจักรแห่งอังกฤษ
[2]
“ การประกาศข่าวประเสริฐทั่วโลกเป็นมิชชันของศานาคริสต์อย่างเห็นได้ชัดเจน แต่การทำให้มิชชันนี้สำเร็จได้จำเป็นต้องมีคริสตจักร เพราะตัวแทนที่จะทำงานนี้ให้สำเร็จได้ไม่สามารถเป็นใครอื่นได้อีก”
- John Miley Systematic Theology
Previous
Next