หลักคำสอนและการปฏิบัติ ของคริสตจักร
หลักคำสอนและการปฏิบัติ ของคริสตจักร
Audio Course Purchase

Search Course

Type at least 3 characters to search

Search through all lessons and sections in this course

Searching...

No results found

No matches for ""

Try different keywords or check your spelling

results found

Lesson 10: พิธีบัพติศมา

1 min read

by Stephen Gibson


ที่มาของพิธีบัพติศมา

► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน มัทธิว 3:1-12 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง

ในพันธสัญญาใหม่ เราได้รับคำแนะนำเกี่ยวกับแนวคิดเรื่องบัพติศมาโดยทางพันธกิจของยอห์นผู้ให้บัพติศมา อย่างไรก็ตามยอห์นไม่ได้เป็นผู้คิดค้นพิธีบัพติศมา พวกฟาริสีบัพติศมาให้กับคนต่างชาติที่เปลี่ยนมานับถือศาสนายูดาย พวกฟาริสีไม่ได้ให้บัพติศมาคนยิว เพราะพวกเขาเหมารวมว่าคนยิวเป็นประชากรของพระเจ้าอยู่แล้ว ยอห์นทำพิธีบัพติศมาที่แตกต่างออกไปเพราะเขาให้บัพติศมาแก่พวกยิว

► ยอห์นปฏิเสธไม่ให้ใครรับบัพติศมา? เพราะอะไร? นี่บอกเราว่าข้อกำหนดสำหรับบัพติศมาคืออะไร?

พวกฟาริสีบางคนมารับบัพติศมาจากยอห์น แต่ยอห์นปฏิเสธพวกเขาเพราะพวกเขาไม่ได้กลับใจใหม่

พวกฟาริสีคิดว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องกลับใจใหม่และได้รับการยกโทษเพราะพวกเขาเป็นคนยิว ยอห์นต้องการให้พวกเขาเข้าใจว่าคนของพระเจ้าที่แท้จริงคือคนที่รักและรับใช้พระองค์ พวกคนที่อ้างว่าเป็นคนของพระเจ้าเพราะเกิดมาเป็นคนยิวนั้นเป็นเหมือนต้นไม้ที่ไม่ออกผล พระเจ้าปฏิเสธคนแบบนั้น

► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน ยอห์น 3:22-23 และยอห์น 4:1-2 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง

เห็นได้ชัดว่าพระเยซูเน้นการบัพติศมาในพันธกิจของพระองค์ พระเยซูไม่ได้ให้บัพติศมาด้วยพระองค์เอง แต่ให้ความรับผิดชอบนั้นแก่พวกสาวกของพระองค์ พวกเขาให้บัพติศมาแก่คนมากกว่าที่ยอห์นให้

►ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน มัทธิว 28:18-20 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง

ในตอนปลายของพันธกิจบนโลกนี้ของพระเยซู พระองค์บอกพวกสาวกให้ไปทุกหนแห่งในโลกนี้เพื่อสร้างสาวก พระองค์บอกพวกเขาให้บัพติศมาแก่ผู้คน

เรารู้ว่าคำสั่งนี้ไม่ได้ให้ไว้กับพวกอัครทูตเท่านั้น เพราะมิชชันจะต้องใช้เวลาหลายศตวรรษเพื่อทำให้สำเร็จ พระเยซูให้พระสัญญาว่าพระองค์จะอยู่กับพวกเขา “จนกว่าจะสิ้นยุค” ซึ่งแสดงให้เห็นว่าคำสั่งและพระสัญญานั้นมีไว้สำหรับคริสตจักรในทุกยุคสมัย

เราพบจากจดหมายฝากต่าง ๆ ในพันธสัญญาใหม่ว่า คริสตจักรในยุคศตวรรษแรกเชื่อฟังคำสั่งนี้ตามตัวอักษร (กิจการ 2:38, กิจการ 8:38)

► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน 1 โครินธ์ 1:12-17 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง ทำไมเปาโลจึงดีใจที่เขาไม่ได้ให้บัพติศมาแก่คนมากมายในเมืองโครินธ์?

บัพติศมาแทนถึงการเข้าสู่คริสตจักร คริสตจักรโครินธ์แตกแยกและสมาชิกก็มีผู้นำหลายคน เปาโลเตือนพวกเขาว่าบัพติศมาไม่ได้มีไว้ให้พวกเขาเป็นสาวกของคนใดคนหนึ่ง แต่มีไว้เพื่อให้พวกเขาเป็นสาวกของพระคริสต์ เปาโลดีใจที่เขาไม่ได้ให้บัพติศมาแก่พวกเขาจำนวนมาก ดังนั้นจึงไม่มีใครจะคิดว่าเปาโลอยากให้พวกเขามาเป็นสาวกของเขา ลำดับความสำคัญของเปาโลคือเพื่อเทศนาข่าวประเสริฐ

► พระคัมภีร์ตอนนี้บอกอะไรแก่เราเกี่ยวกับการปฏิบัติพื้นฐานในการบัพติศมาของคริสตจักรยุคแรก?

พระคัมภีร์ตอนนี้บอกเราว่าคริสตจักรยุคแรกให้บัพติศมาผู้เชื่อในทุกหนแห่ง พวกเขาทำตามคำสั่งของพระเยซู บัพติศมาไม่ได้มีไว้เพื่อคนในอิสราเอลเท่านั้น ไม่ได้เป็นประเพณีชั่วคราว แต่เป็นสิ่งที่ทำในทุกหนแห่งที่ข่าวประเสริฐไปถึง

นับจากเริ่มแรก คริสตจักรได้ทำพิธีบัพติศมาเป็นดั่งคำพยานต่อสาธารณชนว่าคนบาปคนหนึ่งได้กลับใจใหม่และได้เข้าสู่การสามัคคีธรรมของผู้เชื่อ

[1]สำหรับคนส่วนใหญ่แล้ว บัพติศมาไม่ได้เป็นช่วงวินาทีที่พวกเขามาเป็นคริสเตียน คนบาปที่กลับใจใหม่ได้รับความรอดในช่วงวินาทีที่เขาเชื่อในพระคริสต์ หลังจากได้รับความรอดแล้ว เขาควรเชื่อฟังคำสั่งให้รับบัพติศมาเพื่อเป็นการแสดงให้เห็นถึงชีวิตใหม่ของเขาที่เชื่อฟังพระเยซูในฐานะองค์พระผู้เป็นเจ้า มีบางคนที่มีข้อยกเว้นต่าง ๆ เพราะเมื่อรับบัพติศมานั้นเป็นเวลาที่พวกเขาเชื่อในพระคริสต์และมีประสบการณ์กับการกลับใจมาเชื่อ แต่โดยปกติแล้ว บัพติศมาเป็นคำพยานว่าความรอดได้เกิดขึ้นเรียบร้อยแล้ว

► คุณจะบอกอะไรกับคนที่พูดว่าเขามาเป็นคริสเตียนตอนที่เขาได้รับบัพติศมา?


[1]

“บัพติศมาของคริสเตียนเป็นพิธีศักดิ์สิทธิที่แสดงถึงการยอมรับผลประโยชน์จากการลบบาปของพระเยซูคริสต์ และเป็นการปฏิญาณโดยตั้งเป้าเต็มที่ว่าจะเชื่อฟังในความบริสุทธิ์และชอบธรรม”
- Wiley & Culbertson, Introduction to Christian Theology

ข้อผิดพลาดที่ต้องหลีกเลี่ยง: การคิดว่าบัพติศมาเป็นส่วนหนึ่งของการกลับใจมาเชื่อ

บางคนตีความหมายข้อพระคัมภีร์บางข้อว่าบัพติศมาเป็นส่วนหนึ่งของความรอด พวกเขาเชื่อว่าคน ๆ หนึ่งไม่ได้รับความรอดอย่างแท้จริงจนกว่าจะได้รับบัพติศมา อานาเนียบอกกับเซาโลว่า “จงลุกขึ้นรับบัพติศมา รับการชำระบาปของท่าน” (กิจการ 22:16) อย่างไรก็ตาม ความบาปของเราได้รับการชำระล้างโดยพระโลหิตของพระคริสต์ (1 ยอห์น 1:7) การชำระด้วยน้ำสามารถแทนถึงความเป็นจริงฝ่ายวิญญาณเท่านั้น อานาเนียกำลังบอกเซาโลว่าเขาควรแสดงออกทางกายภาพถึงขั้นตอนแห่งความเชื่อ บัพติศมาเป็นคำพยานว่าความบาปของเขาได้รับการชำระล้างแล้ว

ในฮีบรู 10:22 บอกเราว่าผู้เชื่อควรเข้าใกล้พระเจ้าโดย “มีใจที่ได้รับการประพรมให้พ้นจากมโนธรรมที่ไม่ดี และมีกายที่ล้างชำระด้วยน้ำสะอาด” น้ำอาจหมายถึงการบัพติศมา แต่นั่นก็ไม่ได้แน่นอน อย่างไรก็ตามแม้ว่ามันหมายถึงการบัพติศมา ข้อนี้ไม่ได้บอกว่าการบัพติศมาช่วยเราให้รอดได้ แต่บอกกับเราเพียงว่าเราควรเชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้าที่ให้รับบัพติศมา

พระเยซูบอกกับนิโคเดมัสว่า คน ๆ หนึ่งควร “เกิดจากน้ำและพระวิญญาณ” ในยอห์น 3:5 ข้อความนี้ตามหลังคำกล่าวของพระองค์ที่บอกว่าคน ๆ หนึ่งต้องบังเกิดใหม่ซึ่งทำให้นิโคเดมัสเกิดความสับสน นิโคเดมัสคิดถึงการเกิดฝ่ายกายภาพ พระเยซูกำลังพูดว่าคน ๆ หนึ่งต้องบังเกิดฝ่ายวิญญาณไม่ใช่ฝ่ายกายภาพ เพื่อจะเข้าสู่อาณาจักรสวรรค์ได้ การ “เกิดจากน้ำ” คือการเกิดฝ่ายกายภาพ

บัพติศมาคือการเชื่อฟังพระคริสต์

บัพติศมาไม่ได้เป็นการงานที่ทำให้คน ๆ หนึ่งมีคุณสมบัติสำหรับความรอดหรือเพื่อให้ได้รับความรอด บางคนสอนว่าเพราะบัพติศมาไม่ได้ทำให้เราได้รับความรอด ดังนั้นเราจึงไม่ควรมีการบัพติศมา พวกเขาห่วงว่าผู้คนอาจหันไปเชื่อในบัพติศมาแทนที่จะพึ่งพาพระคุณที่จัดเตรียมการลบบาป อย่างไรก็ตาม คำสั่งของพระคริสต์ต้องปฏิบัติตาม และเราไม่ควรคิดว่าการเชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้าทำให้เราได้รับความรอด

บัพติศมาเป็นวิธีการรับพระคุณ

บัพติศมาสามารถเรียกได้ว่าเป็นวิธีการรับพระคุณ ไม่ได้หมายความว่าบัพติศมาช่วยเราให้รอด หรือการกระทำนั้นทำให้เราได้รับพระคุณโดยอัตโนมัติ ถ้าหากบุคคลหนึ่งรับบัพติศมาโดยปราศจากความเชื่อ มันก็ไม่มีค่าอะไร บัพติศมาเป็นวิธีการรับพระคุณเพราะมันเป็นการปฏิบัติที่พระเจ้าออกแบบไว้ให้เราทำ เมื่อเราทำตามด้วยการเชื่อฟังและด้วยความเชื่อ พระวิญญาณของพระเจ้าก็ทำงานในใจเราเพื่อสร้างเราขึ้นในชีวิตคริสเตียน

► ทำไมเราจึงควรรับบัพติศมา?

สัญลักษณ์ทางศาสนศาสตร์

► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน โรม 6:3-11 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง อะไรคือสัญลักษณ์ของการบัพติศมาตามที่พระคัมภีร์ตอนนี้บอกเอาไว้?

พระคัมภีร์บอกเราว่าบัพติศมาเป็นสัญลักษณ์ของการตาย การถูกฝัง และการฟื้นขึ้นจากตายของพระคริสต์ เมื่อผู้เชื่อได้รับบัพติศมา เขาก็ยืนยันว่าเขากำลังเชื่อมต่อกับการลบบาปที่พระคริสต์จัดเตรียมให้ อัครทูตถึงกับใช้คำกล่าวว่าเราได้รับ “บัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์”

ในความรอด เราได้รับผลประโยชน์ต่าง ๆ จากการตายของพระคริสต์ แต่ในแง่พิเศษ เราร่วมในความตายของพระองค์ด้วย พระเยซูตายเพราะความบาปของโลกนี้ ไม่ใช่บาปของพระองค์ ในทำนองเดียวกัน ในความรอดนั้นเราจึงตายต่อบาป เพราะเรากลับใจจากบาปและละทิ้งบาป

[1]หัวข้อสำหรับโรมบทที่ 6 คือชัยชนะเหนือความบาป นั่นไม่ได้หมายความเพียงแค่การยกโทษเท่านั้น แต่ชัดเจนว่าผู้เชื่อต้องเป็นอิสระจากการควบคุมของบาป (12-14) และไม่อยู่ในบาปต่อไป (1)

ในความรอด เราร่วมในการฟื้นขึ้นจากความตายของพระเยซู เหมือนกับที่พระองค์ฟื้นขึ้นจากความตาย เราเริ่มต้นชีวิตใหม่เมื่อเราตายต่อบาป เราเริ่มต้นชีวิตแห่งชัยชนะและมีอิสรภาพจากความบาป


[1]

“พระคุณที่เราต้องการไม่ได้อยู่ในน้ำที่ใช้ในการบัพติศมา แต่อยู่ในการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่ในขนมปังหรือเหล้าองุ่นที่ใช้ในพิธีศีลรำลึก
แต่อยู่ในการลบบาป
- John Miley, Systematic Theology

ประเด็นเรื่องวิธีบัพติศมา

คำถามเกี่ยวกับวิธีมีดังนี้คือ ผู้เชื่อควรรับบัพติศมาด้วยการจุ่มมิด เท หรือพรมน้ำ?

คริสเตียนส่วนใหญ่ทั่วโลกที่ทำพิธีบัพติศมาจะใช้วิธีการจุ่มมิดน้ำ

มีหลายเหตุผลที่คริสเตียนจำนวนมากเชื่อว่าการจุ่มมิดน้ำเป็นวิธีการบัพติศมาที่ถูกต้อง

1. คำว่า บัพติศมา มาจากคำกรีกที่มีความหมายว่าจุ่มมิดหรือจุ่ม

2. บัพติศมาเป็นสัญลักษณ์ของการตาย การถูกฝัง และการฟื้นขึ้นจากตายของพระคริสต์ ซึ่งการจุ่มมิดเป็นการสื่อถึงสัญลักษณ์ได้ดีที่สุด (โรม 6:3-5)

3. ในพระคัมภีร์ ผู้คนลงไปในน้ำเพื่อรับบัพติศมา (มาระโก 1:10, กิจการ 8:38)

4. คริสตจักรยุคแรกใช้วิธีการจุ่มมิดน้ำนอกจากเมื่อไม่สามารถทำเช่นนั้นได้เนื่องจากเหตุผลทางสุขภาพหรือไม่มีน้ำ หนังสือดิดาเคห์ (The Didache) เป็นบทคัดย่อของคำสอนของเหล่าอัครทูตที่ถูกเขียนขึ้นเมื่อราวปี ค.ศ. 70 กล่าวว่าผู้เชื่อสามารถรับบัพติศมาโดยการเทน้ำถ้าหากไม่มีน้ำมากพอ

เนื่องจากเหตุผลต่าง ๆ เหล่านี้ ทำให้คริสเตียนจำนวนมากเชื่อว่าการจุ่มมิดน้ำเป็นไปตามพระคัมภีร์และเป็นวิธีให้บัพติศมาในประวัติศาสตร์

คริสเตียนบางคนเชื่อว่ามีอีกวิธีในการบัพติศมาที่เป็นไปตามพระคัมภีร์ ในพันธสัญญาเดิมอธิบายถึงพิธีประพรมซึ่งแทนถึงการลบบาป ในพันธสัญญาใหม่ก็กล่วถึงการพรมด้วยเลือด เนื่องจากการพรมเลือดสามารถเป็นสัญลักษณ์ถึงการลบบาปได้ ดังนั้นจึงเป็นไปได้ที่บัพติศมาโดยการพรมก็สามารถเป็นสัญลักษณ์แทนได้ด้วย (คำอ้างอิงตามพระคัมภีร์เกี่ยวกับการพรมอยู่ในอพยพ 24:8; ฮีบรู 9:19-20, ฮีบรู 10:22, ฮีบรู 12:22-24; กันดารวิถี 8:6-7; อิสยาห์ 52:15; เอเสเคียล 36:25; และ 1 เปโตร 1:2)

เนื่องจากพระคัมภีร์ไม่เคยระบุชัดว่าจำเป็นต้องใช้วิธีการบัพติศมาแบบใด เราจึงควรอดทนต่อคริสเตียนที่มีความคิดเห็นแตกต่างในเรื่องนี้

ประเด็นเรื่องการบัพติศมาเด็กทารก

คริสตจักรเป็นชุมชนแห่งความเชื่อที่ใช้ชีวิตในพันธสัญญาร่วมกับพระเจ้า เมื่อคนบาปคนหนึ่งกลับใจใหม่และเข้ามาในชุมชนแห่งความเชื่อ การบัพติศมาจึงเป็นคำพยานต่อสาธารณชนถึงการกลับใจมาเชื่อของเขา

แล้วกับการที่เด็กทารกคนหนึ่งที่เกิดจากพ่อแม่คริสเตียนที่อยู่ในคริสตจักรเล่าจะทำอย่างไร? เด็กเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวแห่งความเชื่อ เด็กเล็กได้รับการยอมรับจากพระเจ้าจนกว่าเขาจะโตพอที่จะตัดสินใจเลือกกลับใจมาเชื่อด้วยตัวเอง

บางคริสตจักรเชื่อว่าเด็กทารกควรได้รับการบัพติศมาเพื่อเป็นสัญญาณว่าเขาอยู่ในชุมชนแห่งความเชื่อ ถ้าหากเด็กยอมรับหลักคำสอนของคริสตจักรเมื่อเขาโตขึ้น คริสตจักรเหล่านี้ก็จะมีพิธีที่เรียกว่า “ยืนยันตน” บางคริสตจักรไม่ถือว่าการกลับใจมาเชื่อเป็นเรื่องจำเป็น เพราะเด็กเกิดมาในคริสตจักรและยอมรับสิ่งที่เขาถูกสอน (ตัวอย่างเช่น คริสตจักรโรมันคาธอลิก คริสตจักรลูเธอแรน และคริสตจักรแห่งอังกฤษ) มีบางคริสตจักรอื่น ๆ ที่ให้บัพติศมาเด็กทารกเชื่อว่าการกลับใจมาเชื่อเป็นเรื่องจำเป็น (ตัวอย่างเช่น กลุ่มเมธอดิสท์ที่นำโดย จอห์น เวสเลย์ เชื่อว่าการกลับใจมาเชื่อเป็นเรื่องจำเป็นแม้ว่าคนนั้นได้รับบัพติศมาตอนเป็นทารกแล้วก็ตาม)

บางคนเชื่อว่าการเข้าสุหนัตให้จุดประสงค์อย่างเดียวกันในพันธสัญญาเดิม เด็กที่เข้าสุหนัตเพื่อเป็นสัญลักษณ์ว่าเขาอยู่ในพันธสัญญา เขาไม่ต้องรอจนโตพอที่จะเข้าใจว่าพันธสัญญาหมายถึงอะไร

ดูเหมือนคริสตจักรยุคแรกให้บัพติศมาแก่เด็กทารก ฮิปโปลีทัสได้เขียนเกี่ยวกับประเพณีของอัครทูตในปี ค.ศ. 212 และกล่าวว่าเด็ก ๆ จะต้องได้รับบัพติศมา และถ้าพวกเด็กนั้นเล็กเกินกว่าจะพูดได้ ให้พ่อแม่พูดแทนเด็ก ออริเจนเขียนไว้ในปี ค.ศ. 248 ว่าพวกอัครทูตให้บัพติศมาเด็กทารก ออกัสตินเขียนไว้ในปี ค.ศ. 400 ว่ามีการให้บัพติศมาเด็กทารกโดยคริสตจักรทั้งหมดนับจากสมัยของพวกอัครทูตและเขาไม่เคยได้ยินว่ามีใครปฏิเสธการบัพติศมาเด็กทารกเลย

ในพระธรรมกิจการ บางครั้งพวกอัครทูตให้บัพติศมาทั้งครอบครัว (กิจการ 11:14, กิจการ 16:15, 33) เราสามารถสันนิษฐานได้ว่าพวกเขาให้บัพติศมาแก่เด็ก ๆ ด้วย

คำคัดค้านเรื่องการบัพติศมาเด็กทารก

1. ในพันธสัญญาใหม่ ผู้เชื่อได้รับบัพติศมาหลังจากเป็นพยานถึงความเชื่อ พวกเขาเป็นคนที่กลับใจใหม่และเชื่อในข่าวประเสริฐแล้ว ไม่มีคำแนะนำใด ๆ สำหรับการให้บัพติศมาแก่ทารก

2. การบัพติศมาเด็กทารกไม่สามารถทำให้วัตถุประสงค์ดั้งเดิมในการเป็นพยานว่าผู้เชื่อคนนั้นได้ตายต่อบาปและมีชีวิตอยู่เพื่อพระเจ้าบรรลุผลสำเร็จได้

3. ผลที่ได้รับจากการให้บัพติศมาแก่เด็กทารกตลอดประวัติศาสตร์คือการก่อให้เกิดคริสตจักรที่เต็มไปด้วยคนที่ไม่ได้กลับใจมาเชื่อซึ่งคิดว่าตนเองเป็นคริสเตียน

แทนที่จะให้บัพติศมาแก่เด็กทารก ในบางคริสตจักรมีพิธีสำหรับเด็กทารกที่เรียกว่า “พิธีถวายบุตร” ในพิธีนั้น พ่อแม่ตัดสินใจมอบลูกให้กับพระเจ้าและสัญญาว่าจะเลี้ยงดูเขาด้วยการฝึกสอนแบบคริสเตียน ในคริสตจักรเหล่านั้น การบัพติศมาจะไม่เกิดขึ้นจนกว่าเด็กคนนั้นจะโตพอที่จะเข้าใจเรื่องการกลับใจใหม่และเชื่อ

เมื่อเทศนาให้กับคนที่เคยได้รับบัพติศมาตอนเป็นเด็กทารก ไม่จำเป็นต้องดูหมิ่นการบัพติศมาของพวกเขา แต่ให้เทศนาว่าคนนั้นไม่ได้รับความรอดหากปราศจากการกลับใจใหม่และความเชื่อที่ช่วยให้รอดได้ ถ้าหากคนนั้นใช้ชีวิตอยู่ในความบาป
การบัพติศมาของเขาก็ไม่ใช่เหตุผลที่ทำให้เขาคิดว่าตัวเองเป็นคริสเตียน

ประเด็นเรื่องเวลา

► นานแค่ไหนที่คริสตจักรต้องรอเพื่อให้บัพติศมาแก่คนที่กลับใจมาเชื่อ?

ในพันธสัญญาใหม่ คนที่กลับใจมาเชื่อได้รับบัพติศมาทันที บัพติศมาไม่ได้แทนถึงระดับการเติบโตเป็นผู้ใหญ่หรือมีความรู้

บางคริสตจักรกำหนดให้คนที่กลับใจมาเชื่อผ่านการอบรมและระบบการเติบโตของคริสเตียนก่อนที่จะรับบัพติศมาได้ พวกเขาต้องการแน่ใจว่าคนที่กลับใจมาเชื่อนั้นเป็นแบบอย่างคริสเตียนที่ดี พวกเขาอยากเห็นคนเหล่านั้นใช้ชีวิตคริสเตียนสักระยะหนึ่งก่อนเพื่อจะมีเพียงไม่กี่คนในพวกเขาที่จะหลุดหายไปหลังจากรับบัพติศมาแล้ว

บัพติศมาเป็นคำพยานว่าคนนั้นได้กลับใจมาเชื่อ ไม่ได้เป็นการประกาศว่าคนนั้นเติบโตเป็นผู้ใหญ่หรือมีความรู้ ดังนั้นการบัพติศมาจึงควรเกิดขึ้นทันทีหลังจากมีการกลับใจมาเชื่อ การรอเวลาย่อมบอกเป็นนัยว่าเราไม่รู้ว่าคนนั้นกลับใจมาเชื่อจริงไหม มันเป็นการแสดงถึงความสงสัยในคำพยานของเขา ซึ่งทำให้เขาอ่อนแอในความเชื่อได้

บัพติศมายังเป็นช่องทางสำหรับพระคุณ เพราะเมื่อคนหนึ่งเชื่อฟังด้วยความเชื่อและทำสิ่งนี้เป็นการแสดงออกต่อสาธารณชน พระเจ้าก็ให้พระคุณเพื่อการสร้างขึ้นแก่เขา ถ้าหากเราให้คนที่กลับใจมาเชื่อรอเวลาเพื่อได้รับบัพติศมา เรากำลังขัดขวางเขาจากความช่วยเหลือนี้ในเวลาที่เขาต้องการมากที่สุด

ถ้าดูเหมือนว่าคนนั้นไม่เข้าใจเรื่องข่าวประเสริฐและไม่ได้สำแดงชีวิตที่เปลี่ยนแปลงโดยพระคุณ เขาก็ไม่ควรได้รับบัพติศมา ถ้าเขามีคุณสมบัติเหล่านั้น เขาก็ควรได้รับบัพติศมาเร็วที่สุดเพื่อเป็นช่องทางให้เขาได้รับการเสริมความเชื่อให้เข้มแข็ง

ประเด็นเรื่องขอเลื่อนการบัพติศมา

บางครั้งผู้คนที่อ้างว่าเป็นคริสเตียนต้องการเลื่อนการบัพติศมาของตนออกไป พวกเขากล่าวว่าพวกเขาเชื่อข่าวประเสริฐและกลับใจใหม่แล้ว แต่พวกเขาไม่ยังไม่อยากรับบัพติศมา บางครั้งพวกเขาเลื่อนออกไปเป็นปีๆ บางครั้งผู้คนรอจนใกล้ตาย

ถ้าคนใดไม่เต็มใจรับบัพติศมา มักจะเกี่ยวข้องกับการอุทิศตัวที่มากับการบัพติศมาซึ่งพวกเขาไม่เต็มใจที่จะอุทิศ เขาอาจไม่ต้องการอุทิศตัวต่อคริสตจักร อาจมีความบาปที่เขายังไม่อยากหยุดทำ อาจเพราะเขาไม่อยากเป็นพยานต่อสาธารณชนว่าเขาเป็น
คริสเตียน

ถ้าเขากลับใจใหม่อย่างแท้จริง คนนั้นก็เป็นคริสเตียนก่อนที่จะได้รับบัพติศมาแล้ว เขาไม่จำเป็นต้องรับบัพติศมาเพื่อให้ตัวเองเป็นคริสเตียน อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเขาไม่เต็มใจกลับใจจากบาปอย่างเต็มที่และเป็นพยานเพื่อพระคริสต์ เขาก็ยังไม่เป็นคริสเตียน

► คุณจะพูดอะไรกับคนที่บอกว่าเขาเป็นคริสเตียนแต่ไม่อยากรับบัพติศมา?

ประเด็นเกี่ยวกับพระนาม

► ศิษยาภิบาลควรกล่าวว่าอะไรในขณะที่เขาให้บัพติศมาแก่ผู้กลับใจมาเชื่อ?

เมื่อพระเยซูให้พระมหาบัญชาแก่พวกอัครทูต พระองค์บอกพวกเขาว่าให้บัพติศมา “ในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์” (มัทธิว 28:19)

การรับบัพติศมา “ในพระนาม” ของตรีเอกานุภาพหมายถึงการรับบัพติศมาภายใต้สิทธิอำนาจ พระเยซูใช้คำว่า พระนาม เหมือนกันเวลาที่พระองค์ตรัสว่าพระองค์ไม่ได้ด้วยนามของพระองค์เอง (ยอห์น 5:43)

บางคริสตจักรเชื่อว่าศิษยาภิบาลที่ให้บัพติศมาควรกล่าวว่า “ข้าพเจ้าให้บัพติศมาแก่ท่านในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์” บางคริสตจักรเชื่อว่าวิธีที่ถูกต้องในการให้บัพติศมาภายใต้สิทธิอำนาจของทั้งสามพระภาคในตรีเอกานุภาพคือการกล่าวว่า “ข้าพเจ้าให้บัพติศมาท่านในพระนามของพระเยซู”

ในพันธสัญญาใหม่ เราพบหลายตัวอย่างที่เป็นแนวทางในการบัพติศมา และคำกล่าวก็แตกต่างกันกับคำที่พระเยซูใช้เมื่อพระองค์ให้พระมหาบัญชา ในวันเพ็นเทคอส เปโตรบอกกับคนที่กลับใจมาเชื่อว่า “จงรับบัพติศมาในพระนามของพระเยซูคริสต์” (กิจการ 2:38) เปาโลให้บัพติศมาผู้เชื่อชาวเอเฟซัสในพระนามของพระเยซู (กิจการ 19:5) เปโตรบอกผู้เชื่อที่บ้านของโครเนลิอัสว่า “จงรับบัพติศมาในนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า” (กิจการ 10:48) เปาโลบอกเป็นนัยว่าผู้เชื่อที่เมืองโครินธ์ได้รับบัพติศมาในพระนามของพระเยซู (1 โครินธ์ 1:12-13)

ในพระธรรมกิจการ การบัพติศมาในพระนามของพระเยซูแตกต่างจากการบัพติศมาของยอห์น (ซึ่งถูกกล่าวถึงด้วยเจ็ดครั้งในพระธรรมกิจการ) และบัพติศมาของศาสนาอื่น ๆ

ดูเหมือนว่าวิธีที่คริสตจักรทำให้คำสั่งของพระเยซูสำเร็จคือการเน้นพระนามของพระเยซูในการบัพติศมา เหมือนกับว่าศิษยาภิบาลที่ให้บัพติศมาในศตวรรษแรกของคริสตจักรกล่าวว่า “ข้าพเจ้าให้บัพติศมาท่านในพระนามของพระเยซู” ในช่วงปีแรกๆ ของคริสตจักร ความเชื่อในพระเยซูเป็นประเด็นหลัก ถ้าหากคนใดเชื่อในพระเยซู เขาก็เป็นคริสเตียน

อย่างไรก็ตาม ตามประวัติศาสตร์ของคริสตจักรในยุคแรก คริสตจักรเน้นตรีเอกานุภาพเวลาให้บัพติศมา ภายในยุคแรกของคริสตจักร มีผู้คนที่บอกว่าพวกเขาเชื่อในพระเยซู แต่ไม่เชื่อสิ่งต่าง ๆ ที่ถูกต้องเกี่ยวกับพระเจ้าจริง ๆ หนังสือดิดาเคห์กล่าวว่าคนที่กลับใจมาเชื่อต้องจุ่มมิดน้ำสามครั้ง พร้อมกับคำประกาศความเชื่อในแต่ละภาคของตรีเอกานุภาพ นักเขียนบางคนในปี ค.ศ. 248 หรือก่อนหน้านั้น ได้เขียนว่าการปฏิบัติโดยปกติของคริสตจักรคือการเอ่ยถึงพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการให้บัพติศมา (ฮิปโปไลทัส ออริเจน เทอร์ทูเลียน และคนอื่นๆ)

ปัญหาในทุกวันนี้คือการที่บางกลุ่มศาสนาปฏิเสธตรีเอกานุภาพ พวกเขากล่าวว่าพวกเขาเชื่อในพระเยซู แต่พวกเขาไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นบุคคลที่แตกต่างจากพระบิดาและพระวิญญาณบริสุทธิ์ พกวเขาให้บัพติศมาในพระนามของพระเยซูเพราะพวกเขาเชื่อว่าพระเยซูคือพระนามของพระบิดา พระบุตรและพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเขาเชื่อว่าทั้งสามพระภาคเป็นบุคคลเดียว หนึ่งตัวอย่างของกลุ่มที่ทำเช่นนี้คือ คริสตจักรยูไนเต็ดเพ็นเทคอส

ทุกวันนี้คริสตจักรส่วนใหญ่ที่เชื่อในตรีเอกานุภาพจะให้บัพติศมาด้วยการกล่าวว่า “ข้าพเจ้าให้บัพติศมาแก่ท่านในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์” พวกเขากำลังยืนยันความเชื่อในพระเยซูและเชื่อในตรีเอกานุภาพ

รูปแบบการบัพติศมา

มาร่วมกัน: ผู้ที่กลับใจมาเชื่อที่รับบัพติศมาควรยืนด้วยกันเพื่อแสดงให้เห็นว่ามีใครบ้างที่นั่นที่รับบัพติศมา เมื่อผู้คนมาร่วมกัน บางคนจะนำพวกเขาร้องเพลงสักสองสามนาที

ข้อพระคัมภีร์: ใครบางคนอ่าน มัทธิว 28:18-20

คำประกาศ: ศิษยาภิบาลควรกล่าวต่อฝูงชนว่า “คนเหล่านี้ที่จะรับบัพติศมาวันนี้ได้เป็นพยานถึงการกลับใจใหม่และมีความเชื่อในพระคริสต์ บัพติศมานี้แทนถึงการตายและการฟื้นขึ้นจากตายของพระเยซู ดังนั้นผู้เชื่อเหล่านี้จึงเป็นพยานโดยการบัพติศมาว่าพวกเขาได้ตายต่อบาปและบัดนี้มีชีวิตใหม่เพื่อพระเจ้าแล้ว พวกเขาได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ในการเชื่อฟังพระเจ้าแล้ว”

คำอธิษฐาน: จากนั้นศิษยาภิบาลควรนำคริสตจักรให้อธิษฐานเผื่อคนที่กลับใจมาเชื่อ คำอธิษฐานของเขาควรประกอบไปด้วยคำกล่าวต่อไปนี้ว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า เราขอบคุณสำหรับพระคุณของพระองค์ที่นำคนเหล่านี้มาถึงความรอดและชีวิตฝ่ายวิญญาณ เราขอบคุณที่พระองค์ช่วยกู้พวกเขาจากอำนาจของบาป เราอธิษฐานขอให้ฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์เติมเขาให้เต็มและให้พวกเขามีชัยชนะทุกวัน ขอทำให้พวกเขาเป็นพยานต่อชุมชนของพวกเขาและเป็นพระพรต่อคริสตจักร”

บัพติศมา: คนที่กลับใจมาเชื่อควรลงไปหาศิษยาภิบาลที่อยู่ในน้ำทีละคน ก่อนให้บัพติศมา ศิษยาภิบาลควรกล่าวว่า “ข้าพเจ้าให้บัพติศมาท่านในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์”

เพลงสรรเสริญ: หลังจากให้บัพติศมาแล้ว ที่ประชุมควรร้องเพลงสรรเสริญร่วมกัน ให้ใครบางคนนำอธิษฐานสั้น ๆ ได้

 

ประโยคสรุปเจ็ดประโยค

1. พวกสาวกของพระเยซูให้บัพติศมาในช่วงระหว่างทำพันธกิจ

2. คริสตจักรในยุคแรกให้บัพติศมาผู้คนในทุกที่ที่ข่าวประเสริฐไปถึง

3. บัพติศมาเป็นสัญลักษณ์ถึงการตาย การถูกฝัง และการฟื้นขึ้นจากตายของพระเยซู

4. บัพติศมาเป็นคำพยานถึงความรอดและชีวิตใหม่ในพระคริสต์

5. คนที่กลับใจมาเชื่อควรได้รับบัพติศมาทันทีหลังจากกลับใจมาเชื่อ

6. คน ๆ หนึ่งไม่ควรคิดเอาเองว่าเขาเป็นคริสเตียนเพราะเขาได้รับบัพติศมา

7. คริสตจักรควรยืนยันหลักคำสอนเรื่องตรีเอกานุภาพในการบัพติศมา

งานมอบหมายบทที่ 10

1. ท่องจำประโยคสรุปเจ็ดประโยคของบทที่ 10 เขียนคำอธิบายความหมายและความสำคัญของแต่ละประโยคสรุปทั้งเจ็ดนี้โดยมีความยาวหนึ่งย่อหน้า (ทั้งหมดเจ็ดย่อหน้า) ให้กับบางคนที่ไม่ได้อยู่ในชั้นเรียนนี้ นำคำอธิบายนี้กลับมาส่งให้กับหัวหน้าชั้นเรียนก่อนถึงชั่วโมงเรียนถัดไป ขอให้เตรียมพร้อมแบ่งปันคำอธิบายหนึ่งย่อหน้าให้กับกลุ่มในกรณีที่หัวหน้าชั้นได้ขอให้คุณแบ่งปันในช่วงเวลาที่มีการอภิปรายกัน เขียนประโยคเหล่านี้จากการท่องจำตอนเริ่มต้นชั่วโมงเรียนถัดไป

2. อย่าลืมกำหนดเวลาเพื่อสอนนอกชั้นเรียนด้วยตัวของคุณเองและรายงานให้กับหัวหน้าชั้นเรียนเมื่อคุณสอนแล้ว

3. งานมอบหมายการสัมภาษณ์: พูดกับผู้เชื่อที่ได้รับบัพติศมาที่แตกต่างกันสามคนและถามว่าบัพติศมาที่พวกเขาได้รับนั้นมีความหมายอะไรต่อพวกเขา และเขียนสรุปมา

Next Lesson