หลักคำสอนและการปฏิบัติ ของคริสตจักร
หลักคำสอนและการปฏิบัติ ของคริสตจักร
Audio Course Purchase

Search Course

Type at least 3 characters to search

Search through all lessons and sections in this course

Searching...

No results found

No matches for ""

Try different keywords or check your spelling

results found

Lesson 14: ของประทานฝ่ายวิญญาณ

1 min read

by Stephen Gibson


รายชื่อของประทานฝ่ายวิญญาณ

คำนิยามสำหรับของประทานฝ่ายวิญญาณ

ของประทานฝ่ายวิญญาณคือความสามารถที่พระวิญญาณบริสุทธิ์มอบให้กับผู้เชื่อคนหนึ่งเพื่อใช้ในงานพันธกิจของคริสตจักร นี่คือการงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่ทำผ่านทางผู้เชื่อ แต่ผู้เชื่อต้องตัดสินใจเลือกว่าจะใช้ของประทานของเขาอย่างไรและอาจใช้อย่างไม่เหมาะสม ของประทานฝ่ายวิญญาณไม่เหมือนกับความสามารถตามธรรมชาติ แต่ของประทานอาจทำงานร่วมกับความสามารถตามธรรมชาติได้และไม่สามารถแยกแยะความแตกต่างได้ง่าย

ของประทานฝ่ายวิญญาณและบทบาทในงานพันธกิจได้ระบุไว้หลายที่ในพันธสัญญาใหม่ รายชื่อนั้นคล้ายกันแต่ไม่ได้เหมือนกัน พระคัมภีร์ไม่ได้ให้รายชื่อของประทานฝ่ายวิญญาณทุกอย่าง

► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน เอเฟซัส 4:7-12 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง

ข้อ 7-8 บอกเราว่าพระคุณของพระเจ้าที่ให้ไว้กับทุกคนนั้นอยู่ในรูปแบบของประทานฝ่ายวิญญาณ เห็นได้ชัดว่าอัครทูตไม่ได้พูดถึงพระคุณสำหรับความรอด เพราะในข้อ 11 เขาระบุถึงบทบาทในพันธกิจหลายอย่างที่พระเจ้ามอบหมายไว้

พระเจ้าเรียกผู้คนสู่พันธกิจพิเศษและให้ของประทานฝ่ายวิญญาณที่จำเป็นแก่พวกเขา เปาโลระบุถึงพันธกิจบางอย่างแทนที่จะให้รายชื่อของประทานฝ่ายวิญญาณเหมือนกับใน 1 โครินธ์ บทบาทในพันธกิจที่ระบุไว้ได้แก่ อัครทูต ผู้เผยพระวจนะ ผู้ประกาศข่าวประเสริฐ ศิษยาภิบาล และผู้สอน เห็นได้ชัดว่านี่ไม่ได้ระบุถึงบทบาททั้งหมดในพันธกิจ

อัครทูต

พวกอัครทูตได้รับการเลือกเป็นพิเศษให้ขยายคริสตจักรหลังจากพันธกิจบนโลกนี้ของพระเยซู พวกเขามีชื่อเสียงในเรื่องการทำการอัศจรรย์ในพันธกิจของพวกเขา (2 โครินธ์ 12:12) พวกเขาทั้งหมดรู้จักพระเยซูเป็นการส่วนตัวในช่วงพันธกิจบนโลกนี้ของพระองค์ ( 1 โครินธ์ 9:1, กิจการ 1:21-22)

ในพระธรรมวิวรณ์ เราอ่านพบว่ารากฐานสิบสองอย่างของเมืองแทนถึงอัครทูตสิบสองคน ซึ่งหมายความว่าพวกเขามีลักษณะเฉพาะในประวัติศาสตร์ของคริสตจักร (วิวรณ์ 21:14) ส่วนข้ออื่น ๆ ที่บอกเป็นนัยว่า อัครทูตมีเพียงสิบสองคนเท่านั้นใน มัทธิว 10:2 และกิจการ 1:26 ในยูดา 17 บอกว่าพวกอัครทูตอยู่ในอดีต ไม่มีอัครทูตที่ยังมีชีวิตอยู่ในปัจจุบันนี้

ผู้เผยพระวจนะ

มีบางคนคิดเอาเองว่าคำเผยพระวจนะคือการพยากรณ์ถึงเหตุการณ์ในอนาคต แต่พันธสัญญาใหม่พูดถึงการเทศนาว่าเป็นการเผยพระวจนะ ในพันธสัญญาเดิม คำเผยพระวจนะมักจะรวมถึงการพยากรณ์ เพราะนั่นเป็นวิธีหนึ่งที่ผู้เผยพระวจนะพิสูจน์ว่าถ้อยคำของเขามาจากพระเจ้า ในสมัยของพันธสัญญาเดิม พระคัมภีร์จำนวนมากยังไม่ได้ถูกเขียน

ผู้เผยพระวจนะคือบุคคลที่รับถ้อยคำจากพระเจ้าซึ่งรวมหรือไม่รวมคำพยากรณ์ก็ได้ โดยปกติแล้วสิทธิอำนาจของถ้อยคำของเขาคือพระคัมภีร์

ผู้ประกาศข่าวประเสริฐ

คำว่า ผู้ประกาศข่าวประเสริฐ มาจากคำสำหรับ ข่าวประเสริฐ ผู้ประกาศข่าวประเสริฐคือคนที่สื่อสารข่าวประเสริฐไม่ว่ากับบุคคลหรือผู้คนในที่ประชุม คริสเตียนทุกคนควรแบ่งปันข่าวประเสริฐ แต่บางคนมีของประทานพิเศษสำหรับการทำงานนี้ ศิษยาภิบาลควรทำให้การประกาศข่าวประเสริฐเป็นส่วนหนึ่งของพันธกิจของเขา (2 ทิโมธี 4:5)

ศิษยาภิบาล

ศิษยาภิบาลไม่ได้เป็นเพียงผู้เทศนา แต่เป็นคนที่ให้การดูแลฝ่ายวิญญาณสำหรับกลุ่มคนที่เจาะจง

ผู้สอน

ในคริสตจักร ผู้สอนคือคนที่อธิบายความจริงฝ่ายวิญญาณจากพระคัมภีร์ให้กับคนอื่น ๆ ศิษยาภิบาลทุกคนควรเป็นผู้สอน (1 ทิโมธี 3:2, ทิตัส 1:9) แต่บางคนที่ไม่ได้เป็นศิษยาภิบาลก็มีของประทานเป็นผู้สอนได้ด้วย

► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน โรม 12:6-8 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง

ในที่นี้พวกอัครทูตกล่าวว่า บุคคลควรมุ่งใช้ของประทานที่พระเจ้าให้ไว้แก่เขา แทนที่จะใช้กำลังและเวลาไปกับพันธกิจหลายรูปแบบ

คำเตือนสติพิเศษบางอย่างก็มีไว้สำหรับพันธกิจบางชนิดเจาะจง ตัวอย่างเช่น คนที่นำต้องเป็นคนขยัน ไม่ได้นำเฉพาะเมื่อเขาอยากนำ แต่ต้องแน่ใจว่าความรับผิดชอบต่าง ๆ บรรลุผลสำเร็จเสมอ คนที่ให้ก็ไม่ควรทำเพื่อดึงความสนใจเข้าหาตัวเอง แต่ควรให้ด้วยวิธีเรียบง่าย ส่วนคนที่ “แสดงความเมตตา” ก็ช่วยเหลือผู้คนที่มีความจำเป็นเร่งด่วน ควรทำด้วยใจยินดี ไม่ใช่ด้วยความเสียดาย

► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน 1 โครินธ์ 12:28 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง

เห็นได้ชัดว่าในพระคัมภีร์ข้อนี้ เปาโลไม่ได้ตั้งใจให้รายชื่อของประทานหรือบทบาทในพันธกิจทั้งหมด ตัวอย่างเช่น เขาไม่ได้เอ่ยถึงศิษยาภิบาลในข้อนี้ แม้ว่าเขาเอ่ยถึงในเอเฟซัสก็ตาม

เราพูดคุยถึงอัครทูต ผู้เผยพระวจนะ และผู้สอนไปแล้วในบทนี้แล้ว

บางคนได้รับการทรงเรียกสู่พันธกิจแห่งการอัศจรรย์และรักษาโรค ผู้เชื่อทุกคนมีสิทธิพิเศษในการอธิษฐานขอการอัศจรรย์ และพระเจ้าจะตอบสนองต่อความเชื่อ อย่างไรก็ตามมีผู้เชื่อบางคนที่มีของประทานในการสังเกตน้ำพระทัยของพระเจ้าและใช้ความเชื่อทำการอัศจรรย์

บางคนมีของประทานการช่วยเหลือ พวกเขามองเห็นความจำเป็นได้เร็วกว่าคนอื่น พวกเขาสังเกตเห็นโอกาสที่จะช่วยเหลือตามความจำเป็นในชีวิตของผู้คนหรือในงานของคริสตจักร พวกเขามีความสามารถหลากหลายในการปฏิบัติ

บางคนได้รับความสามารถพิเศษในการนำและบริหาร คนจำนวนมากคิดว่าผู้นำคือคนสำคัญที่สุด แต่การเป็นผู้นำจะไร้ค่าหากปราศจากของประทานอื่น ๆ ในคริสตจักร

ของประทานการพูดภาษาต่าง ๆ อยู่ในรายการสุดท้าย บางทีอัครทูตต้องการแก้ไขคนเหล่านั้นที่คิดว่านี่เป็นของประทานที่สำคัญที่สุด

หลักการต่าง ๆ จากเปโตร

อัครทูตเปโตรกล่าวโดยย่อถึงหลักการสำคัญที่สุดเรื่องของประทานฝ่ายวิญญาณ

► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน 1 เปโตร 4:10-11 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง

เราเห็นอย่างน้อยหกประเด็นที่สำคัญเรื่องของประทานฝ่ายวิญญาณจากพระคัมภีร์ตอนนี้

1. ผู้เชื่อได้รับมอบของประทานฝ่ายวิญญาณจากพระเจ้า ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงมีหน้าที่ใช้ของประทานเหล่านั้นเพื่อพระเจ้าและไม่ได้ในฐานะผู้เป็นเจ้าของ เราต้องรายงานต่อพระเจ้าสำหรับการใช้ของประทานที่เรามี

2. ของประทานต่าง ๆ ต้องถูกใช้เพื่อผู้อื่น ไม่ใช่เพื่อส่งเสริมตัวเองหรือเพื่อประโยชน์ส่วนตัว

3. พระคุณของพระเจ้ามีมากมาย (“ซับซ้อน”) ของประทานก็มีหลากหลาย

4. คำกล่าวของบุคคลควรสอดคล้องกับพระคัมภีร์

5. บุคคลควรพึ่งฤทธิ์อำนาจจากพระเจ้าขณะที่เขารับใช้

6. พันธกิจทั้งหมดควรมีเป้าหมายเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า

หลักการต่าง ๆ จากเปาโล

คริสตจักรโครินธ์ได้รับการอวยพรให้มีของประทานฝ่ายวิญญาณมากมาย พวกเขาเกิดความเข้าใจผิด ดังนั้นอัครทูตเปาโลจึงให้คำอธิบายเกี่ยวกับของประทานฝ่ายวิญญาณใน 1 โครินธ์ 12-14

พระคัมภีร์แต่ละบทเหล่านี้สอนหลักการมากมายเกี่ยวกับของประทานฝ่ายวิญญาณ มีหลักการบางประการที่เขียนไว้ที่นี่เพื่อให้เราศึกษา

► ให้นักศึกษาหนึ่งคนอ่าน 1 โครินธ์ 12:1-3 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง

(1) หลักการพิสูจน์หลักคำสอน: ประสบการณ์ฝ่ายวิญญาณควรได้รับการประเมินด้วยความจริงที่เรารู้

[1]ผู้เชื่อในโครินธ์เคยนมัสการรูปเคารพมาก่อน รูปเคารพพูดไม่ได้แต่วิญญาณต่าง ๆ พูดได้ พวกที่ติดตามลัทธินอกรีตจำนวนมากเปิดตัวเองให้กับการทำงานของวิญญาณต่าง ๆ พวกเขาคิดว่าประสบการณ์ฝ่ายวิญญาณใด ๆ ล้วนเป็นสิ่งดี พวกเขาแสวงหาความเคลิบเคลิ้มและความตื่นเต้นทางอารมณ์ พวกเขายินดีอยู่ใต้การควบคุมของวิญญาณหนึ่ง แม้ว่าวิญญาณนั้นจะทำให้พวกเขาพูดหรือทำอะไรที่บ้าคลั่งหรืออนาจารก็ตาม

อัครทูตเตือนว่าไม่มีใครที่พูดโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์จะพูดถึงพระเยซูในทางที่ไม่ดี ถ้าหากวิญญาณชั่วควบคุมการนมัสการ มันก็จะทำให้ผู้คนลบหลู่พระเจ้าจากสิ่งต่าง ๆ ที่พวกเขาทำและพูด พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่นำด้วยวิธีการที่ลบหลู่พระเจ้า

เราไม่ควรคิดเอาเองว่าการทำงานของวิญญาณเป็นสิ่งดีเพียงเพราะมันเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติ การพิสูจน์ในที่นี้เปรียบเทียบได้กับใน 1 ยอห์น 4:1-3 ถ้าหากวิญญาณหนึ่งพูดบางสิ่งที่ขัดแย้งกับพระวจนะของพระเจ้า นั่นต้องไม่เป็นที่ยอมรับได้

► ศาสนาอะไรที่ยอมให้วิญญาณชั่วควบคุมผู้นมัสการ?

► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน 1 โครินธ์ 12:4-11 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง

(2) หลักการเรื่องของประทานมีหลากหลาย: พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานในผู้เชื่อทุกคน แต่ด้วยวิธีที่แตกต่างกัน

ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้เน้นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานด้วยวิธีที่แตกต่างกัน พระองค์เลือกที่จะแจกจ่ายของประทานอย่างไร ผู้เชื่อทุกคนมีของประทานอย่างน้อยหนึ่งอย่าง ไม่มีใครที่มีของประทานทุกอย่าง

สมาชิกควรใช้ของประทานของเขาเพื่อผลประโยชน์ของพระกาย พระเจ้าไม่ได้ให้เขามีของประทานเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง

► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน 1 โครินธ์ 12:12-26 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง

(3) หลักการเรื่องพระกาย: อวัยวะแต่ละส่วนมีความสำคัญ และอวัยวะแต่ละส่วนต้องการกันและกัน

อัครทูตเปรียบเทียบสมาชิกของคริสตจักรกับอวัยวะของร่างกาย พวกเขามีความสามารถและจุดประสงค์แตกต่างกัน ไม่มีอวัยวะใดในร่างกายที่ควรคิดว่าตนต้องเป็นเหมือนอวัยวะอื่นในร่างกาย ตัวอย่างเช่น หูไม่ได้คิดว่าต้องเป็นดวงตาถึงจะอยู่ในร่างกายนี้ได้ ไม่มีของประทานอย่างหนึ่งอย่างใดที่คน ๆ หนึ่งจะต้องมีเพื่อจะอยู่ในพระกาย

ไม่ควรมีสมาชิกคนใดที่คิดว่าตนไม่ต้องการสมาชิกคนอื่น ๆ เพราะตนมีของประทาน ร่างกายทำงานได้ไม่ปกติหากไม่มีอวัยวะครบทุกส่วน

ของประทานบางอย่างต้องเอาใจใส่มากกว่าอย่างอื่น ผู้คนคิดว่าของประทานบางอย่างเป็นเครื่องหมายของสถานะฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะให้ของประทานอย่างไร และไม่มีสถานะใดเกิดขึ้นเองเนื่องจากของประทานนั้น

► คุณจะพูดอย่างไรกับบางคนที่คิดว่าคนที่เทศนาเป็นคนฝ่ายวิญญาณมากกว่าคนที่ทำความสะอาดอาคารคริสตจักร?

► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน 1 โครินธ์ 12:27-31 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง

(4) หลักการเรื่องบทบาทในพันธกิจ: พระเจ้าให้สิ่งจำเป็นแก่สมาชิกแต่ละคนเพื่อทำให้พันธกิจที่เจาะจงของพระองค์สำเร็จ

เนื้อหาตอนนี้ของพระคัมภีร์เป็นการสรุปบทที่ 12 พระเจ้าเรียกผู้คนให้ทำพันธกิจที่หลากหลายได้สำเร็จ พันธกิจไม่ได้มีไว้เพื่อให้คนใดใช้เพื่อส่งเสริมตัวเอง แต่เพื่อรับใช้คริสตจักร

หัวหน้าชั้นเรียนควรอ่านคำถามต่าง ๆ ใน 1โครินธ์ 12:29-30 และให้ทุกคนในชั้นเรียนตอบคำถาม ยกตัวอย่างเช่น เมื่อหัวหน้าชั้นเรียนอ่านคำถามว่า “ทุกคนเป็นอัครทูตไหม?” ทุกคนในชั้นก็จะตอบว่า “ไม่ใช่”

เนื่องจากพันธกิจมีแตกต่างกัน ของประทานก็แตกต่างกัน เปาโลถามคำถามหลายคำถาม แต่ละคำถามมีคำตอบคือ “ไม่” เขากล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่มีของประทานใดที่สามารถคาดหวังได้จากผู้เชื่อทุกคน

► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน 1 โครินธ์ 13 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง

(5) หลักการเรื่องความรัก: ความรักคือลำดับความสำคัญนิรันดร์ แต่ของประทานฝ่ายวิญญาณนั้นไม่ถาวรนิรันดร์

สามข้อแรกแสดงให้เห็นว่าเราไม่สามารถทดแทนการขาดความรักได้ด้วยตะลันต์ตามธรรมชาติ ของประทานฝ่ายวิญญาณ หรือการเสียสละส่วนตัวอย่างยิ่งใหญ่ได้

เพื่อการตรวจสอบส่วนตัว ลองใส่ชื่อตัวเองแทนที่คำว่ารักในข้อ 4-7 และดูว่ามันเหมาะสมแค่ไหน

ในข้อ 11 ไม่ใช่การเรียกให้เป็นผู้ใหญ่ อัครทูตเปรียบเทียบชีวิตของเราบนโลกนี้กับวัยเด็ก และชีวิตในสวรรค์คือวัยผู้ใหญ่ ในสักวันหนึ่งเราจะไม่จำเป็นต้องมีสิ่งต่าง ๆ ที่เราจำเป็นต้องมีในเวลานี้ การเผยพระวจนะและของประทานแห่งความรู้จำเป็นในเวลานี้เพราะความเข้าใจของเรายังไม่สมบูรณ์ ในนิรันดร์กาล ของประทานฝ่ายวิญญาณเหล่านั้นจะไม่จำเป็นแล้ว และจะถูกโยนทิ้งไปเหมือน “สิ่งต่าง ๆ วัยเด็ก” แม้แต่ความเชื่อและความหวังก็จะไม่จำเป็นอีกในวันหนึ่ง เพราะทุกสิ่งจะสำเร็จทั้งสิ้น แต่ความรักจะยังคงมีคุณค่าสูงสุด

บทที่ 14 ของ 1 โครินธ์เน้นหลักการอย่างหนึ่ง: หลักการเรื่องการสื่อสาร มีความจริงอย่างอื่นถูกสอนในบทนี้ด้วย แต่อัครทูตอธิบายและยกภาพตัวอย่างถึงหลักการนี้หลายครั้ง

(6) หลักการสื่อสาร: พันธกิจอาศัยการสื่อสารความจริงด้วยวิธีการที่เข้าใจได้

► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน 1 โครินธ์ 14:1-5 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง

การเทศนาสำคัญยิ่งกว่าการพูดภาษาอื่น ๆ

การเผยพระวจนะไม่ได้หมายถึงแค่การพยากรณ์เหตุการณ์ในอนาคต การเผยพระวจนะคือการเทศนา ในพันธสัญญาเดิม การเผยพระวจนะมักจะรวมถึงการพยากรณ์เพราะเป็นวิธีการเดียวที่ผู้เผยพระวจนะจะพิสูจน์ว่าถ้อยคำของเขามาจากพระเจ้า ในสมัยของพันธสัญญาเดิม พระคัมภีร์จำนวนมากยังไม่ได้ถูกเขียน

ปัจจุบันนี้ผู้เทศนาสามารถเทศนาจากพระคัมภีร์และแสดงให้เห็นได้ว่าถ้อยคำของเขามาจากพระเจ้า ยังคงมีแง่มุมที่เหนือธรรมชาติเพราะพระเจ้าให้ผู้เทศนามีความเข้าใจพิเศษและประยุกต์ใช้ความจริงกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้

การพูดไม่ได้ช่วยอะไรเว้นแต่ผู้คนจะเข้าใจภาษาที่ถูกกล่าวออกมา ถ้าหากคนหนึ่งพูดด้วยภาษาอื่นที่ไม่รู้จัก มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่เข้าใจ

บางคนแปลความหมายคำว่า “ไม่มีผู้ใดเข้าใจเขา” ว่าเป็นการที่ผู้พูดไม่เข้าใจแม้แต่ตัวเอง แต่นั่นไม่ใช่ความหมายตามธรรมชาติของประโยคนั้น ถ้าหากคนเยอรมันเป็นพยานในคริสตจักรของเราและต่อมาเราพูดว่า “ไม่มีใครเข้าใจเขาเลย” เราไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เข้าใจตัวเอง

ถ้าหากถ้อยคำเหล่านั้นไม่ถูกอธิบาย คริสตจักรก็ไม่ได้รับการเสริมสร้าง

► ศิษยาภิบาลควรทำอะไรเกี่ยวกับคนที่มักจะพูดในคริสตจักรด้วยภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจและไม่มีใครแปลภาษา?

ในข้อ 5 เปาโลบอกว่า เป็นเรื่องดีหากพวกเขาทุกคนมีของประทานในการพูดภาษาอื่น ๆ แต่ดูใน 1 โครินธ์ 4:8 และ 1 Corinthians 7:7 ด้วยเช่นกัน เขาบอกใน 4:8 ว่าคงจะดีหากพวกเขาปกครองเหมือนราชา แต่เปาโลไม่ได้คาดหวังให้พวกเขาเป็นแบบนั้นจริง ๆ เพราะแม้แต่อัครทูตยังต้องทนทุกข์ เขาพูดใน 7:7 ว่าคงจะดีถ้าพวกเขาทุกคนอยู่โสดเหมือนเขา แต่เปาโลไม่ได้บอกว่าทุกคนถูกเรียกให้อยู่โสด และเรารู้ว่าการแต่งงานเป็นการออกแบบของพระเจ้าสำหรับคนส่วนใหญ่ ใน 14:5 เปาโลยืนยันว่าเป็นเรื่องดีสำหรับทุกคนที่จะมีของประทานการพูดภาษาอื่น ๆ เขาไม่ได้หมายความมว่าทุกคนจะต้องมี ใน 12:29-30 เปาโลแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่มีของประทานอย่างใดอย่างหนึ่งที่ทุกคนควรมี

► ให้นักศึกษาหนึ่งคนอ่าน 1 โครินธ์ 14:6-19 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง

คำพูดก็ไร้ค่าหากไม่มีใครเข้าใจได้

ในข้อ 6 อัครทูตถามคำถามว่า “จะเป็นประโยชน์อะไร?” บางสิ่งถ้าไม่มีใครเข้าใจได้ สิ่งนั้นก็ไม่มีประโยชน์ แม้แต่ดนตรีต้องเล่นตามรูปแบบหรือตามโทนเสียง ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่มีความหมายอะไร มีแต่เสียงหนวก[2]หู แตรใช้สำหรับส่งสัญญาณไปยังกองทัพ ถ้าแตรส่งเสียงดังโดยไม่ได้กำหนดสัญญาณเอาไว้ ก็จะไม่มีใครรู้ว่าเมื่อใดที่ต้องเข้าโจมตีศัตรูหรือต้องเก็บข้าวของหนี การสื่อสารคือจุดเน้นของบทนี้ทั้งหมด

ถ้อยคำที่เข้าใจไม่ได้ก็ “หายไปกับสายลม” (9) นี่คือคำกล่าวที่บอกว่าคำพูดแบบนั้นมันไร้ค่า

เปาโลพูดว่าถ้าหากผู้คนไม่เข้าใจกัน พวกเขาก็เป็นเหมือนคนต่างภาษาต่อกัน (11) ถ้าหากคนหนึ่งต้องการพูดต่อไปโดยไม่มีใครเข้าใจได้ เขาก็ไม่ได้พยายามสร้างคริสตจักรขึ้นแต่พยายามทำให้จุดประสงค์ของตัวเองสำเร็จ (12)

► คนมีเหตุผลอะไรบ้างในการพูดสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่มีใครเข้าใจได้?

เปาโลบอกว่าถ้าคนหนึ่งพูดด้วยภาษาที่คนอื่นไม่รู้ ความเข้าใจของเขาก็ไม่ได้ก่อให้เกิดผล (14) เปาโลไม่ได้พูดว่าคนนั้นไม่เข้าใจตัวเอง แต่ความเข้าใจของเขาจะไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นเลย

เขาพูดว่าวิธีที่ดีที่สุดคือการทำพันธกิจในพระวิญญาณและด้วยความเข้าใจไปพร้อม ๆ กัน (15) การอยู่ในพระวิญญาณไม่ได้หมายความว่าคนนั้นไม่สามารถให้ทุกคนเข้าใจได้

เปาโลบอกว่าคนที่ไม่ได้ร่ำเรียนมาก็จะไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังพูด (16) เรื่องนี้ยืนยันว่าเขากำลังพูดถึงภาษาต่าง ๆ อย่างแท้จริง เขาบอกว่าเราต้องไม่กล่าว “อาเมน” ให้กับบางสิ่งที่เราไม่เข้าใจ

เปาโลบอกว่าเขายินดีที่สามารถพูดได้หลายภาษา แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็พูดว่าพูดห้าคำที่เข้าใจได้ก็ดีกว่าพูดเป็นพันคำแต่ไม่ใครเข้าใจ (18-19)

► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน 1 โครินธ์ 14:20-25 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง

ถ้อยคำที่ได้รับการเจิมจากพระวิญญาณที่สามารถเข้าใจได้ย่อมถวายเกียรติแด่พระเจ้า

จุดประสงค์สำหรับของประทานการพูดภาษาอื่น ๆ คือเพื่อสื่อสารข่าวประเสริฐ (ดูใน มาระโก 16:15-17)

บางคนเชื่อว่าของประทานการพูดภาษาอื่น ๆ เป็นหมายสำคัญว่าผู้พูดมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ในข้อ 22 กล่าวว่าของประทานการพูดภาษาอื่น ๆ ไม่ได้เป็นหมายสำคัญเพื่อพิสูจน์สิ่งใด ๆ สำหรับผู้เชื่อ นั่นหมายความว่าของประทานไม่ได้พิสูจน์สิ่งใดเกี่ยวกับคนใดที่มีของประทานนั้นหรือพิสูจน์อะไรต่อผู้เชื่อที่เห็น มันคือหมายสำคัญให้กับคนที่ไม่เชื่อเท่านั้นเมื่อถูกใช้ในการสื่อสารข่าวประเสริฐด้วยวิธีที่เข้าใจได้

เป็นไปได้ที่ของประทานฝ่ายวิญญาณจะยังคงทำงานอยู่สำหรับคนหนึ่งถ้าหากเขาล้มลงในความบาปและขาดความสัมพันธ์กับพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ของประทานฝ่ายวิญญาณจึงไม่ได้พิสูจน์ว่าคนนั้นทำสิ่งถูกต้องหรือแม้แต่จะพิสูจน์ว่าเขาได้รับความรอดแล้ว

ถ้าหากมีคนมาเยี่ยมคริสตจักรได้ยินพวกเขาทุกคนพูดและไม่เข้าใจ คนนั้นก็จะคิดว่าพวกเขาบ้าไปแล้ว แต่ถ้าหากคนไม่เชื่อได้ยินความจริงที่ทำให้ใจเขาสำนึกผิด เขาก็จะยอมรับว่าพระเจ้าอยู่ที่นั่น

► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน 1 โครินธ์ 14:27-35 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง

(7) หลักการเรื่องความมีระเบียบ: คริสตจักรต้องรักษาระเบียบในการนมัสการ

อัครทูตถามว่า “ทำไมทุกคนจึงคิดว่าพวกเขาจำเป็นต้องทำอะไรบางอย่างในการประชุมนมัสการ?” ผู้เชื่อชาวโครินธ์คิดว่าคน ๆ หนึ่งจะมีความสำคัญถ้าหากเขาพูดหรือนำนมัสการ ดังนั้นทุกคนจึงอยากทำสิ่งนี้

เขาพูดว่าถ้าหากคน ๆ หนึ่งกำลังพูดด้วยภาษาอื่น ๆ ที่คนไม่เข้าใจ ก็ควรมีการแปล พวกเขาไม่ควรใช้เวลาเยอะในช่วงการนมัสการเพื่อทำสิ่งต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องอาศัยการแปล (27)

คนที่พูดภาษาอื่น ๆ ที่คนอื่นไม่เข้าใจก็ไม่ควรพูดหากไม่มีใครแปล (28)

จะต้องไม่มีมากกว่าหนึ่งคนพูดในคราวเดียวกัน (31) เห็นได้ชัดว่าเนื่องจากทุกคนต้องการพูด หลายคนจึงพูดในคราวเดียวกัน การนมัสการมีแต่ความวุ่นวาย

พวกเขาบางคนอาจพูดว่าพวกเขาอยู่ใต้กฎไม่ได้เพราะเมื่อพระวิญญาณเคลื่อนไหว พวกเขาควบคุมตัวเองไม่ได้ เปาโลกล่าวว่าผู้เผยพระวจนะสามารถควบคุมตัวเองได้ (32) เขาบอกว่าพระเจ้าจะไม่เป็นต้นเหตุแห่งความสับสนวุ่นวายในคริสตจักร (33) พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่เคลื่อนไหวให้ใครทำสิ่งที่คัดค้านกับคำสอนในพระคัมภีร์

► มีข้อปฏิบัติที่ดีอะไรบ้างในการรักษาระเบียบในการนมัสการ?

เห็นได้ชัดว่า ผู้หญิงในคริสตจักรโครินธ์เป็นต้นเหตุของความไม่มีระเบียบเรียบร้อย พวกเธออาจถามคำถามและโต้เถียงกัน เนื่องจากเปาโลบอกว่าพวกเธอควรอยู่ใต้สิทธิอำนาจและควรรอเพื่อไปถามคำถามที่บ้าน ในสถานการณ์ที่ดีกว่านี้ ผู้หญิงอาจได้รับอนุญาตให้ทำพันธกิจและมีส่วนร่วมในการนมัสการ แต่พวกเธอควรอยู่ในระเบียบ

► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน 1 โครินธ์ 14:36-40 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง เปาโลบอกเป็นนัยอย่างไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเขากับคริสตจักรอื่น ๆ?

(8) หลักการเกี่ยวกับอัครทูต: ทุกคริสตจักรควรยอมอยู่ภายใต้หลักคำสอนของอัครทูต

ผู้เชื่อชาวโครินธ์ได้รับการอวยพรด้วยของประทานฝ่ายวิญญาณ พวกเขาอาจเริ่มต้นคิดว่าตนไม่จำเป็นต้องฟังสิทธิอำนาจอื่นใด เปาโลเตือนพวกเขาว่าข่าวประเสริฐมาถึงพวกเขาผ่านทางคนอื่น พวกเขาจำเป็นต้องยอมอยู่ภายใต้หลักคำสอนของคริสตจักรทั้งหมดของพระเจ้า ถ้าหากคนใดพูดว่าเขารู้ดีกว่าคำสั่งสอนของอัครทูต เขาก็เพิกเฉยและไม่ควรได้รับการพิจารณาว่าเป็นคนฉลาดหรือเป็นคนฝ่ายวิญญาณ

เปาโลบอกไม่ให้พวกเขาห้ามการใช้ภาษาที่หลากหลาย ของประทานการพูดภาษาอื่น ๆ ก็สำคัญ โดยเฉพาะในที่ที่มีการใช้ภาษาที่แตกต่างกัน แต่ของประทานต้องใช้ด้วยวิธีการที่พระคัมภีร์สั่งเอาไว้


[1]

“กระนั้นก็ไม่ใช่ทุกคนที่กล่าวโดยพระวิญญาณจะเป็นผู้เผยพระวจนะ จะเป็นได้เมื่อเขามีวิถีขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ด้วยเหตุนี้ผู้เผยพระวจนะเท็จและผู้เผยพระวจนะ
จะเป็นที่รู้จักได้โดยวิถีของเขา”
- Didache (เขียนในช่วงศตวรรษแรกของคริสตจักร)

[2]

“เป็นสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าและธรรมเนียมของคริสตจักรดั้งเดิมคัดค้านอย่างเห็นได้ชัดต่อการอธิษฐานอย่างเปิดเผยร่วมกันในคริสตจักร หรือการประกอบพิธีศีลศักดิ์สิทธิ์ด้วยภาษาที่ผู้คนไม่เข้าใจ.”

- Articles of Religion of the Methodist Church

คริสตจักรที่แข่งขันกันด้วยฤทธิ์อำนาจฝ่ายวิญญาณ

มีบางคริสตจักรที่พยายามดึงดูดความสนใจด้วยการสำแดงฤทธิ์เดชฝ่ายวิญญาณ พวกเขาเชื่อว่าการอัศจรรย์และของประทานฝ่ายวิญญาณเป็นตัวบ่งชี้ถึงคริสตจักรที่ดีที่สุด พวกเขาอ้างถึงการอัศจรรย์มากมายในการรักษาโรค สมาชิกบางคนอ้างว่าได้รับถ้อยคำที่เป็นการสำแดงจากพระเจ้าบ่อยครั้ง การประชุมนมัสการของพวกเขาเน้นที่การสำแดงของประทานฝ่ายวิญญาณมากกว่าพระคัมภีร์ พวกเขาเชื่อว่าคริสเตียนทุกคนควรมีของประทานการพูดภาษาแปลก ๆ และพวกเขาต้องการของประทานนั้นเพื่อสำแดงในการประชุมนมัสการของพวกเขา พวกเขาหนุนใจให้ผู้คนริเริ่มในการประชุมนมัสการอย่างมากจนการนมัสการนั้นวุ่นวาย ผู้นำของพวกเขาพยายามมีชื่อเสียง คุยโอ้อวดถึงฤทธิ์เดชฝ่ายวิญญาณและตัดสินคริสตจักรอื่น ๆ

ปัญหามากมายมีอยู่ในคริสตจักรที่แข่งขันกันสำแดงฝ่ายวิญญาณ สมาชิกมากมายของพวกเขาและแม้แต่ผู้นำใช้ชีวิตในบาปอย่างเปิดเผย พวกเขาไม่เข้าใจการเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณที่สำแดงโดยความเชื่อซึ่งอดทนต่อปัญหาต่าง ๆ ในชีวิต ผู้นำจำนวนมากของพวกเขาเป็นคนหนุ่มที่ไม่ได้ใช้ชีวิตด้วยชัยชนะเหนือบาปและไม่ได้ให้เกียรติผู้อาวุโสกับผู้เชื่อที่สัตย์ซื่อ พวกทำสิ่งที่ไม่ตรงกับพระคัมภีร์ในเรื่องการใช้ของประทานการพูดภาษาแปลก ๆ คนของพวกเขาส่วนใหญ่ไม่มีประสบการณ์กับการอัศจรรย์จริง ๆ เพียงแค่หวังว่าจะมี

คริสตจักรที่มีการเจิมของพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างแท้จริงควรสำแดงความเชื่อและของประทานฝ่ายวิญญาณด้วยการปฏิบัติตามพระคัมภีร์ คริสตจักรควรนำสมาชิกของตนให้พัฒนาความเชื่อที่ทำให้เติบโตเป็นผู้ใหญ่ซึ่งอดทนต่อความยากลำบากและจัดเตรียมชัยชนะเหนือความบาป แทนที่จะสำแดงของประทานฝ่ายวิญญาณเหมือนกับการแสดงละคร คริสตจักรควรใช้ของประทานฝ่ายวิญญาณเพื่อรับใช้ในการตอบสนองความจำเป็นของครอบครัวแห่งความเชื่อ

► อะไรคือสัญญาณของคริสตจักรที่พยายามแข่งขันกับคริสตจักรอื่น ๆ ด้วยการสำแดงฤทธิ์เดชฝ่ายวิญญาณ?

ประโยคสรุปเจ็ดประโยค

1. ของประทานฝ่ายวิญญาณคือความสามารถที่พระวิญญาณบริสุทธิ์มอบให้กับผู้เชื่อเพื่อใช้ในงานพันธกิจของคริสตจักร

2. ผู้เชื่อทุกคนรับของประทานฝ่ายวิญญาณ แต่ไม่ใช่คาดหวังให้ทุกคนมีของประทานอย่างหนึ่งที่เหมือนกัน

3. สมาชิกที่แตกต่างกันในคริสตจักรควรทำหน้าที่ร่วมกันเป็นดั่งกายเดียวกันโดยมีของประทานทุกอย่างที่จำเป็นและสำคัญ

4. ของประทานฝ่ายวิญญาณมาพร้อมกับการทรงเรียกให้ทำพันธกิจ

5. ถ้อยคำที่ถูกกล่าวออกมาไม่มีคุณค่าถ้าหากไม่มีใครเข้าใจได้

6. ผู้เชื่อต้องใช้ของประทานด้วยความระมัดระวังเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้าและเสริมสร้างคริสตจักร

7. ความรักต่อพระเจ้าและต่อผู้คนสำคัญในเวลานี้และตลอดไป

งานมอบหมายบทที่ 14

1. ท่องจำประโยคสรุปเจ็ดประโยคของบทที่ 14 เขียนคำอธิบายความหมายและความสำคัญของแต่ละประโยคสรุปทั้งเจ็ดนี้โดยมีความยาวหนึ่งย่อหน้า (ทั้งหมดเจ็ดย่อหน้า) ให้กับบางคนที่ไม่ได้อยู่ในชั้นเรียนนี้ นำคำอธิบายนี้กลับมาส่งให้กับหัวหน้าชั้นเรียนก่อนถึงชั่วโมงเรียนถัดไป ขอให้เตรียมพร้อมแบ่งปันคำอธิบายหนึ่งย่อหน้าให้กับกลุ่มในกรณีที่หัวหน้าชั้นได้ขอให้คุณแบ่งปันในช่วงเวลาที่มีการอภิปรายกัน เขียนประโยคเหล่านี้จากการท่องจำตอนเริ่มต้นชั่วโมงเรียนถัดไป

2. อย่าลืมกำหนดเวลาเพื่อสอนนอกชั้นเรียนด้วยตัวของคุณเองและรายงานให้กับหัวหน้าชั้นเรียนเมื่อคุณสอนแล้ว

3. การทดสอบ: ช่วงเริ่มต้นของชั่วโมงเรียนถัดไป คุณจำเป็นต้องเขียนจากการท่องจำถึงหลักการอย่างน้อยเจ็ดในแปดอย่างของเปาโลเกี่ยวกับของประทานฝ่ายวิญญาณ

Next Lesson