คริสตจักรโครินธ์ได้รับการอวยพรให้มีของประทานฝ่ายวิญญาณมากมาย พวกเขาเกิดความเข้าใจผิด ดังนั้นอัครทูตเปาโลจึงให้คำอธิบายเกี่ยวกับของประทานฝ่ายวิญญาณใน 1 โครินธ์ 12-14
พระคัมภีร์แต่ละบทเหล่านี้สอนหลักการมากมายเกี่ยวกับของประทานฝ่ายวิญญาณ มีหลักการบางประการที่เขียนไว้ที่นี่เพื่อให้เราศึกษา
► ให้นักศึกษาหนึ่งคนอ่าน 1 โครินธ์ 12:1-3 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง
(1) หลักการพิสูจน์หลักคำสอน : ประสบการณ์ฝ่ายวิญญาณควรได้รับการประเมินด้วยความจริงที่เรารู้
[1] ผู้เชื่อในโครินธ์เคยนมัสการรูปเคารพมาก่อน รูปเคารพพูดไม่ได้แต่วิญญาณต่าง ๆ พูดได้ พวกที่ติดตามลัทธินอกรีตจำนวนมากเปิดตัวเองให้กับการทำงานของวิญญาณต่าง ๆ พวกเขาคิดว่าประสบการณ์ฝ่ายวิญญาณใด ๆ ล้วนเป็นสิ่งดี พวกเขาแสวงหาความเคลิบเคลิ้มและความตื่นเต้นทางอารมณ์ พวกเขายินดีอยู่ใต้การควบคุมของวิญญาณหนึ่ง แม้ว่าวิญญาณนั้นจะทำให้พวกเขาพูดหรือทำอะไรที่บ้าคลั่งหรืออนาจารก็ตาม
อัครทูตเตือนว่าไม่มีใครที่พูดโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์จะพูดถึงพระเยซูในทางที่ไม่ดี ถ้าหากวิญญาณชั่วควบคุมการนมัสการ มันก็จะทำให้ผู้คนลบหลู่พระเจ้าจากสิ่งต่าง ๆ ที่พวกเขาทำและพูด พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่นำด้วยวิธีการที่ลบหลู่พระเจ้า
เราไม่ควรคิดเอาเองว่าการทำงานของวิญญาณเป็นสิ่งดีเพียงเพราะมันเป็นสิ่งเหนือธรรมชาติ การพิสูจน์ในที่นี้เปรียบเทียบได้กับใน 1 ยอห์น 4:1-3 ถ้าหากวิญญาณหนึ่งพูดบางสิ่งที่ขัดแย้งกับพระวจนะของพระเจ้า นั่นต้องไม่เป็นที่ยอมรับได้
► ศาสนาอะไรที่ยอมให้วิญญาณชั่วควบคุมผู้นมัสการ?
► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน 1 โครินธ์ 12:4-11 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง
(2) หลักการเรื่องของประทานมีหลากหลาย : พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานในผู้เชื่อทุกคน แต่ด้วยวิธีที่แตกต่างกัน
ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้เน้นว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์ทำงานด้วยวิธีที่แตกต่างกัน พระองค์เลือกที่จะแจกจ่ายของประทานอย่างไร ผู้เชื่อทุกคนมีของประทานอย่างน้อยหนึ่งอย่าง ไม่มีใครที่มีของประทานทุกอย่าง
สมาชิกควรใช้ของประทานของเขาเพื่อผลประโยชน์ของพระกาย พระเจ้าไม่ได้ให้เขามีของประทานเพื่อผลประโยชน์ของตัวเอง
► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน 1 โครินธ์ 12:12-26 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง
(3) หลักการเรื่องพระกาย : อวัยวะแต่ละส่วนมีความสำคัญ และอวัยวะแต่ละส่วนต้องการกันและกัน
อัครทูตเปรียบเทียบสมาชิกของคริสตจักรกับอวัยวะของร่างกาย พวกเขามีความสามารถและจุดประสงค์แตกต่างกัน ไม่มีอวัยวะใดในร่างกายที่ควรคิดว่าตนต้องเป็นเหมือนอวัยวะอื่นในร่างกาย ตัวอย่างเช่น หูไม่ได้คิดว่าต้องเป็นดวงตาถึงจะอยู่ในร่างกายนี้ได้ ไม่มีของประทานอย่างหนึ่งอย่างใดที่คน ๆ หนึ่งจะต้องมีเพื่อจะอยู่ในพระกาย
ไม่ควรมีสมาชิกคนใดที่คิดว่าตนไม่ต้องการสมาชิกคนอื่น ๆ เพราะตนมีของประทาน ร่างกายทำงานได้ไม่ปกติหากไม่มีอวัยวะครบทุกส่วน
ของประทานบางอย่างต้องเอาใจใส่มากกว่าอย่างอื่น ผู้คนคิดว่าของประทานบางอย่างเป็นเครื่องหมายของสถานะฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าเป็นผู้ตัดสินใจว่าจะให้ของประทานอย่างไร และไม่มีสถานะใดเกิดขึ้นเองเนื่องจากของประทานนั้น
► คุณจะพูดอย่างไรกับบางคนที่คิดว่าคนที่เทศนาเป็นคนฝ่ายวิญญาณมากกว่าคนที่ทำความสะอาดอาคารคริสตจักร?
► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน 1 โครินธ์ 12:27-31 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง
(4) หลักการเรื่องบทบาทในพันธกิจ : พระเจ้าให้สิ่งจำเป็นแก่สมาชิกแต่ละคนเพื่อทำให้พันธกิจที่เจาะจงของพระองค์สำเร็จ
เนื้อหาตอนนี้ของพระคัมภีร์เป็นการสรุปบทที่ 12 พระเจ้าเรียกผู้คนให้ทำพันธกิจที่หลากหลายได้สำเร็จ พันธกิจไม่ได้มีไว้เพื่อให้คนใดใช้เพื่อส่งเสริมตัวเอง แต่เพื่อรับใช้คริสตจักร
หัวหน้าชั้นเรียนควรอ่านคำถามต่าง ๆ ใน 1โครินธ์ 12:29-30 และให้ทุกคนในชั้นเรียนตอบคำถาม ยกตัวอย่างเช่น เมื่อหัวหน้าชั้นเรียนอ่านคำถามว่า “ทุกคนเป็นอัครทูตไหม?” ทุกคนในชั้นก็จะตอบว่า “ไม่ใช่”
เนื่องจากพันธกิจมีแตกต่างกัน ของประทานก็แตกต่างกัน เปาโลถามคำถามหลายคำถาม แต่ละคำถามมีคำตอบคือ “ไม่” เขากล่าวอย่างตรงไปตรงมาว่าไม่มีของประทานใดที่สามารถคาดหวังได้จากผู้เชื่อทุกคน
► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน 1 โครินธ์ 13 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง
(5) หลักการเรื่องความรัก : ความรักคือลำดับความสำคัญนิรันดร์ แต่ของประทานฝ่ายวิญญาณนั้นไม่ถาวรนิรันดร์
สามข้อแรกแสดงให้เห็นว่าเราไม่สามารถทดแทนการขาดความรักได้ด้วยตะลันต์ตามธรรมชาติ ของประทานฝ่ายวิญญาณ หรือการเสียสละส่วนตัวอย่างยิ่งใหญ่ได้
เพื่อการตรวจสอบส่วนตัว ลองใส่ชื่อตัวเองแทนที่คำว่ารักในข้อ 4-7 และดูว่ามันเหมาะสมแค่ไหน
ในข้อ 11 ไม่ใช่การเรียกให้เป็นผู้ใหญ่ อัครทูตเปรียบเทียบชีวิตของเราบนโลกนี้กับวัยเด็ก และชีวิตในสวรรค์คือวัยผู้ใหญ่ ในสักวันหนึ่งเราจะไม่จำเป็นต้องมีสิ่งต่าง ๆ ที่เราจำเป็นต้องมีในเวลานี้ การเผยพระวจนะและของประทานแห่งความรู้จำเป็นในเวลานี้เพราะความเข้าใจของเรายังไม่สมบูรณ์ ในนิรันดร์กาล ของประทานฝ่ายวิญญาณเหล่านั้นจะไม่จำเป็นแล้ว และจะถูกโยนทิ้งไปเหมือน “สิ่งต่าง ๆ วัยเด็ก” แม้แต่ความเชื่อและความหวังก็จะไม่จำเป็นอีกในวันหนึ่ง เพราะทุกสิ่งจะสำเร็จทั้งสิ้น แต่ความรักจะยังคงมีคุณค่าสูงสุด
บทที่ 14 ของ 1 โครินธ์เน้นหลักการอย่างหนึ่ง : หลักการเรื่องการสื่อสาร มีความจริงอย่างอื่นถูกสอนในบทนี้ด้วย แต่อัครทูตอธิบายและยกภาพตัวอย่างถึงหลักการนี้หลายครั้ง
(6) หลักการสื่อสาร : พันธกิจอาศัยการสื่อสารความจริงด้วยวิธีการที่เข้าใจได้
► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน 1 โครินธ์ 14:1-5 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง
การเทศนาสำคัญยิ่งกว่าการพูดภาษาอื่น ๆ
การเผยพระวจนะไม่ได้หมายถึงแค่การพยากรณ์เหตุการณ์ในอนาคต การเผยพระวจนะคือการเทศนา ในพันธสัญญาเดิม การเผยพระวจนะมักจะรวมถึงการพยากรณ์เพราะเป็นวิธีการเดียวที่ผู้เผยพระวจนะจะพิสูจน์ว่าถ้อยคำของเขามาจากพระเจ้า ในสมัยของพันธสัญญาเดิม พระคัมภีร์จำนวนมากยังไม่ได้ถูกเขียน
ปัจจุบันนี้ผู้เทศนาสามารถเทศนาจากพระคัมภีร์และแสดงให้เห็นได้ว่าถ้อยคำของเขามาจากพระเจ้า ยังคงมีแง่มุมที่เหนือธรรมชาติเพราะพระเจ้าให้ผู้เทศนามีความเข้าใจพิเศษและประยุกต์ใช้ความจริงกับสถานการณ์ต่าง ๆ ได้
การพูดไม่ได้ช่วยอะไรเว้นแต่ผู้คนจะเข้าใจภาษาที่ถูกกล่าวออกมา ถ้าหากคนหนึ่งพูดด้วยภาษาอื่นที่ไม่รู้จัก มีแต่พระเจ้าเท่านั้นที่เข้าใจ
บางคนแปลความหมายคำว่า “ไม่มีผู้ใดเข้าใจเขา” ว่าเป็นการที่ผู้พูดไม่เข้าใจแม้แต่ตัวเอง แต่นั่นไม่ใช่ความหมายตามธรรมชาติของประโยคนั้น ถ้าหากคนเยอรมันเป็นพยานในคริสตจักรของเราและต่อมาเราพูดว่า “ไม่มีใครเข้าใจเขาเลย” เราไม่ได้หมายความว่าเขาไม่เข้าใจตัวเอง
ถ้าหากถ้อยคำเหล่านั้นไม่ถูกอธิบาย คริสตจักรก็ไม่ได้รับการเสริมสร้าง
► ศิษยาภิบาลควรทำอะไรเกี่ยวกับคนที่มักจะพูดในคริสตจักรด้วยภาษาที่ไม่มีใครเข้าใจและไม่มีใครแปลภาษา?
ในข้อ 5 เปาโลบอกว่า เป็นเรื่องดีหากพวกเขาทุกคนมีของประทานในการพูดภาษาอื่น ๆ แต่ดูใน 1 โครินธ์ 4:8 และ 1 Corinthians 7:7 ด้วยเช่นกัน เขาบอกใน 4:8 ว่าคงจะดีหากพวกเขาปกครองเหมือนราชา แต่เปาโลไม่ได้คาดหวังให้พวกเขาเป็นแบบนั้นจริง ๆ เพราะแม้แต่อัครทูตยังต้องทนทุกข์ เขาพูดใน 7:7 ว่าคงจะดีถ้าพวกเขาทุกคนอยู่โสดเหมือนเขา แต่เปาโลไม่ได้บอกว่าทุกคนถูกเรียกให้อยู่โสด และเรารู้ว่าการแต่งงานเป็นการออกแบบของพระเจ้าสำหรับคนส่วนใหญ่ ใน 14:5 เปาโลยืนยันว่าเป็นเรื่องดีสำหรับทุกคนที่จะมีของประทานการพูดภาษาอื่น ๆ เขาไม่ได้หมายความมว่าทุกคนจะต้องมี ใน 12:29-30 เปาโลแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่าไม่มีของประทานอย่างใดอย่างหนึ่งที่ทุกคนควรมี
► ให้นักศึกษาหนึ่งคนอ่าน 1 โครินธ์ 14:6-19 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง
คำพูดก็ไร้ค่าหากไม่มีใครเข้าใจได้
ในข้อ 6 อัครทูตถามคำถามว่า “จะเป็นประโยชน์อะไร?” บางสิ่งถ้าไม่มีใครเข้าใจได้ สิ่งนั้นก็ไม่มีประโยชน์ แม้แต่ดนตรีต้องเล่นตามรูปแบบหรือตามโทนเสียง ไม่อย่างนั้นมันก็ไม่มีความหมายอะไร มีแต่เสียงหนวก[2] หู แตรใช้สำหรับส่งสัญญาณไปยังกองทัพ ถ้าแตรส่งเสียงดังโดยไม่ได้กำหนดสัญญาณเอาไว้ ก็จะไม่มีใครรู้ว่าเมื่อใดที่ต้องเข้าโจมตีศัตรูหรือต้องเก็บข้าวของหนี การสื่อสารคือจุดเน้นของบทนี้ทั้งหมด
ถ้อยคำที่เข้าใจไม่ได้ก็ “หายไปกับสายลม” (9) นี่คือคำกล่าวที่บอกว่าคำพูดแบบนั้นมันไร้ค่า
เปาโลพูดว่าถ้าหากผู้คนไม่เข้าใจกัน พวกเขาก็เป็นเหมือนคนต่างภาษาต่อกัน (11) ถ้าหากคนหนึ่งต้องการพูดต่อไปโดยไม่มีใครเข้าใจได้ เขาก็ไม่ได้พยายามสร้างคริสตจักรขึ้นแต่พยายามทำให้จุดประสงค์ของตัวเองสำเร็จ (12)
► คนมีเหตุผลอะไรบ้างในการพูดสิ่งต่าง ๆ ที่ไม่มีใครเข้าใจได้?
เปาโลบอกว่าถ้าคนหนึ่งพูดด้วยภาษาที่คนอื่นไม่รู้ ความเข้าใจของเขาก็ไม่ได้ก่อให้เกิดผล (14) เปาโลไม่ได้พูดว่าคนนั้นไม่เข้าใจตัวเอง แต่ความเข้าใจของเขาจะไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อคนอื่นเลย
เขาพูดว่าวิธีที่ดีที่สุดคือการทำพันธกิจในพระวิญญาณและด้วยความเข้าใจไปพร้อม ๆ กัน (15) การอยู่ในพระวิญญาณไม่ได้หมายความว่าคนนั้นไม่สามารถให้ทุกคนเข้าใจได้
เปาโลบอกว่าคนที่ไม่ได้ร่ำเรียนมาก็จะไม่เข้าใจสิ่งที่กำลังพูด (16) เรื่องนี้ยืนยันว่าเขากำลังพูดถึงภาษาต่าง ๆ อย่างแท้จริง เขาบอกว่าเราต้องไม่กล่าว “อาเมน” ให้กับบางสิ่งที่เราไม่เข้าใจ
เปาโลบอกว่าเขายินดีที่สามารถพูดได้หลายภาษา แต่อย่างไรก็ตาม เขาก็พูดว่าพูดห้าคำที่เข้าใจได้ก็ดีกว่าพูดเป็นพันคำแต่ไม่ใครเข้าใจ (18-19)
► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน 1 โครินธ์ 14:20-25 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง
ถ้อยคำที่ได้รับการเจิมจากพระวิญญาณที่สามารถเข้าใจได้ย่อมถวายเกียรติแด่พระเจ้า
จุดประสงค์สำหรับของประทานการพูดภาษาอื่น ๆ คือเพื่อสื่อสารข่าวประเสริฐ (ดูใน มาระโก 16:15-17)
บางคนเชื่อว่าของประทานการพูดภาษาอื่น ๆ เป็นหมายสำคัญว่าผู้พูดมีพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่ในข้อ 22 กล่าวว่าของประทานการพูดภาษาอื่น ๆ ไม่ได้เป็นหมายสำคัญเพื่อพิสูจน์สิ่งใด ๆ สำหรับผู้เชื่อ นั่นหมายความว่าของประทานไม่ได้พิสูจน์สิ่งใดเกี่ยวกับคนใดที่มีของประทานนั้นหรือพิสูจน์อะไรต่อผู้เชื่อที่เห็น มันคือหมายสำคัญให้กับคนที่ไม่เชื่อเท่านั้นเมื่อถูกใช้ในการสื่อสารข่าวประเสริฐด้วยวิธีที่เข้าใจได้
เป็นไปได้ที่ของประทานฝ่ายวิญญาณจะยังคงทำงานอยู่สำหรับคนหนึ่งถ้าหากเขาล้มลงในความบาปและขาดความสัมพันธ์กับพระเจ้า ด้วยเหตุนี้ของประทานฝ่ายวิญญาณจึงไม่ได้พิสูจน์ว่าคนนั้นทำสิ่งถูกต้องหรือแม้แต่จะพิสูจน์ว่าเขาได้รับความรอดแล้ว
ถ้าหากมีคนมาเยี่ยมคริสตจักรได้ยินพวกเขาทุกคนพูดและไม่เข้าใจ คนนั้นก็จะคิดว่าพวกเขาบ้าไปแล้ว แต่ถ้าหากคนไม่เชื่อได้ยินความจริงที่ทำให้ใจเขาสำนึกผิด เขาก็จะยอมรับว่าพระเจ้าอยู่ที่นั่น
► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน 1 โครินธ์ 14:27-35 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง
(7) หลักการเรื่องความมีระเบียบ : คริสตจักรต้องรักษาระเบียบในการนมัสการ
อัครทูตถามว่า “ทำไมทุกคนจึงคิดว่าพวกเขาจำเป็นต้องทำอะไรบางอย่างในการประชุมนมัสการ?” ผู้เชื่อชาวโครินธ์คิดว่าคน ๆ หนึ่งจะมีความสำคัญถ้าหากเขาพูดหรือนำนมัสการ ดังนั้นทุกคนจึงอยากทำสิ่งนี้
เขาพูดว่าถ้าหากคน ๆ หนึ่งกำลังพูดด้วยภาษาอื่น ๆ ที่คนไม่เข้าใจ ก็ควรมีการแปล พวกเขาไม่ควรใช้เวลาเยอะในช่วงการนมัสการเพื่อทำสิ่งต่าง ๆ ที่จำเป็นต้องอาศัยการแปล (27)
คนที่พูดภาษาอื่น ๆ ที่คนอื่นไม่เข้าใจก็ไม่ควรพูดหากไม่มีใครแปล (28)
จะต้องไม่มีมากกว่าหนึ่งคนพูดในคราวเดียวกัน (31) เห็นได้ชัดว่าเนื่องจากทุกคนต้องการพูด หลายคนจึงพูดในคราวเดียวกัน การนมัสการมีแต่ความวุ่นวาย
พวกเขาบางคนอาจพูดว่าพวกเขาอยู่ใต้กฎไม่ได้เพราะเมื่อพระวิญญาณเคลื่อนไหว พวกเขาควบคุมตัวเองไม่ได้ เปาโลกล่าวว่าผู้เผยพระวจนะสามารถควบคุมตัวเองได้ (32) เขาบอกว่าพระเจ้าจะไม่เป็นต้นเหตุแห่งความสับสนวุ่นวายในคริสตจักร (33) พระวิญญาณบริสุทธิ์จะไม่เคลื่อนไหวให้ใครทำสิ่งที่คัดค้านกับคำสอนในพระคัมภีร์
► มีข้อปฏิบัติที่ดีอะไรบ้างในการรักษาระเบียบในการนมัสการ?
เห็นได้ชัดว่า ผู้หญิงในคริสตจักรโครินธ์เป็นต้นเหตุของความไม่มีระเบียบเรียบร้อย พวกเธออาจถามคำถามและโต้เถียงกัน เนื่องจากเปาโลบอกว่าพวกเธอควรอยู่ใต้สิทธิอำนาจและควรรอเพื่อไปถามคำถามที่บ้าน ในสถานการณ์ที่ดีกว่านี้ ผู้หญิงอาจได้รับอนุญาตให้ทำพันธกิจและมีส่วนร่วมในการนมัสการ แต่พวกเธอควรอยู่ในระเบียบ
► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน 1 โครินธ์ 14:36-40 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง เปาโลบอกเป็นนัยอย่างไรเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของพวกเขากับคริสตจักรอื่น ๆ?
(8) หลักการเกี่ยวกับอัครทูต : ทุกคริสตจักรควรยอมอยู่ภายใต้หลักคำสอนของอัครทูต
ผู้เชื่อชาวโครินธ์ได้รับการอวยพรด้วยของประทานฝ่ายวิญญาณ พวกเขาอาจเริ่มต้นคิดว่าตนไม่จำเป็นต้องฟังสิทธิอำนาจอื่นใด เปาโลเตือนพวกเขาว่าข่าวประเสริฐมาถึงพวกเขาผ่านทางคนอื่น พวกเขาจำเป็นต้องยอมอยู่ภายใต้หลักคำสอนของคริสตจักรทั้งหมดของพระเจ้า ถ้าหากคนใดพูดว่าเขารู้ดีกว่าคำสั่งสอนของอัครทูต เขาก็เพิกเฉยและไม่ควรได้รับการพิจารณาว่าเป็นคนฉลาดหรือเป็นคนฝ่ายวิญญาณ
เปาโลบอกไม่ให้พวกเขาห้ามการใช้ภาษาที่หลากหลาย ของประทานการพูดภาษาอื่น ๆ ก็สำคัญ โดยเฉพาะในที่ที่มีการใช้ภาษาที่แตกต่างกัน แต่ของประทานต้องใช้ด้วยวิธีการที่พระคัมภีร์สั่งเอาไว้
[1]
“กระนั้นก็ไม่ใช่ทุกคนที่กล่าวโดยพระวิญญาณจะเป็นผู้เผยพระวจนะ จะเป็นได้เมื่อเขามีวิถีขององค์พระผู้เป็นเจ้า
ด้วยเหตุนี้ผู้เผยพระวจนะเท็จและผู้เผยพระวจนะ
จะเป็นที่รู้จักได้โดยวิถีของเขา”
- Didache (เขียนในช่วงศตวรรษแรกของคริสตจักร)
[2]
“เป็นสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าและธรรมเนียมของคริสตจักรดั้งเดิมคัดค้านอย่างเห็นได้ชัดต่อการอธิษฐานอย่างเปิดเผยร่วมกันในคริสตจักร หรือการประกอบพิธีศีลศักดิ์สิทธิ์ด้วยภาษาที่ผู้คนไม่เข้าใจ.”
- Articles of Religion of the Methodist Church
Previous
Next