หลักคำสอนและการปฏิบัติ ของคริสตจักร
หลักคำสอนและการปฏิบัติ ของคริสตจักร
Audio Course Purchase

Search Course

Type at least 3 characters to search

Search through all lessons and sections in this course

Searching...

No results found

No matches for ""

Try different keywords or check your spelling

results found

Lesson 6: แบ่งปันชีวิตร่วมกัน

1 min read

by Stephen Gibson


คริสตจักรหลังจากวันเพ็นเทคอส

► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่านกิจการ 2:42-47 ให้ทุกคนในชั้นเรียนฟัง คุณเห็นรายละเอียดอะไรเกี่ยวกับการสามัคคีธรรมของคริสตจักรหลังจากวันเพ็นเทคอส?

ไม่นานหลังจากวันเพ็นเทคอส พระธรรมกิจการอธิบายถึงชีวิตของคริสตจักรว่า “คนทั้งหมดที่เชื่อถือก็อยู่รวมกัน และนำทุกสิ่งมารวมเป็นของกลาง” มีคนมากมายขายทรัพย์สินของตัวเองเพื่อสนับสนุนชีวิตในชุมชนคริสตจักร พวกเขามาประชุมกันบ่อยครั้งเพื่อนมัสการที่พระวิหารและพบกันเพื่อสามัคคีธรรมในบ้านของพวกเขาด้วย

[1]ในเวลานั้นที่การงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ท่ามกลางพวกเขาอยู่ในระดับสูงสุด ชีวิตในชุมชนคริสตจักรก็ไปสู่ระดับลึกที่สุด สำหรับผู้เชื่อเหล่านั้นในยุคแรก การเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรมีความหมายมากกว่าการเข้าร่วมนมัสการในวันอาทิตย์ ผู้เชื่อทั้งหลายแบ่งปันชีวิตร่วมกันทุก ๆ วัน


[1]

“ทั้งในพระคัมภีร์และหลักข้อเชื่อ การสามัคคีธรรมของคริสเตียนแทนถึงหนทางแห่งพระคุณ”
Wiley & Culbertson, Introduction to Christian Theology

ชีวิตในครอบครัวนี้

ในพันธสัญญาใหม่ คริสตจักรถูกเรียกว่าเป็นครอบครัว[1] ผู้เชื่อถูกเรียกว่าเป็นลูกของพระเจ้า[2] และผู้เชื่อเรียกกันเองว่าเป็นพี่น้อง[3]

ให้เรานึกถึงภาพของครอบครัวตามที่เข้าใจกันในพื้นที่ส่วนใหญ่ของโลกจนถึงยุคปัจจุบัน เครือข่ายญาติได้ก่อรูปเป็นตระกูลหนึ่งซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของชนเผ่า ครอบครัวขยายให้ความคุ้มครอง การเข้าถึงความยุติธรรม การครอบครองที่ดิน การจ้างงาน ความสามารถในการแต่งงาน การศึกษา การสนับสนุนผู้สูงวัย การช่วยเหลือเด็กกำพร้ากับคนที่เป็นม่าย สิ่งต่าง ๆ เหล่านั้นยากที่จะเกิดขึ้นได้ภายนอกสายสัมพันธ์ของครอบครัว

[4]ในรูปแบบวัฒนธรรมนั้น ทุกคนในครอบครัวนับถือศาสนาเดียวกัน ศาสนาไม่ได้ถูกมองว่าเป็นเรื่องส่วนตัว ลูกทุกคนถูกฝึกให้ทำตามประเพณีทางศาสนาของครอบครัว

คนมากมายที่กลับใจมานับถือศาสนาคริสต์ถูกปฏิเสธจากครอบครัวของพวกเขา พวกเขาสูญเสียทุกสิ่งที่ปกติแล้วจะได้รับจากครอบครัว คริสตจักรกลายมาเป็นครอบครัวใหม่ นั่นเป็นสาเหตุที่พวกเขาเรียกกันและกันว่าพี่น้อง ผู้คนในคริสตจักรช่วยเหลือกันและพึ่งพาอาศัยกัน

ถ้าหากคนในคริสตจักรเจอกันแค่วันอาทิตย์เท่านั้น พวกเขาก็จะเริ่มคิดว่าคริสตจักรคือวันอาทิตย์วันเดียว คริสตจักรในพันธสัญญาใหม่พบกันวันอาทิตย์ แต่คริสตจักรมีชีวิตและเคลื่อนไหวอยู่ทุกวัน

► สำหรับคริสตจักรที่แบ่งปันชีวิตร่วมกันทุกวันมีความแตกต่างอย่างไร?

ศิษยาภิบาลควรรู้ว่าการรับใช้สมาชิกตลอดทั้งสัปดาห์สำคัญเท่ากันกับการนำที่ประชุมนมัสการ ของประทานฝ่ายวิญญาณทุกรูปแบบและความสามารถทุกอย่างล้วนจำเป็น ไม่ใช่แค่ของประทานที่ใช้ในที่ประชุมนมัสการที่คริสตจักรเท่านั้น มีช่องทางให้ทุกคนได้รับใช้ คนในชุมชนจะเห็นสิ่งที่เป็นความหมายแท้จริงของการเป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวฝ่ายวิญญาณ

ในฐานะครอบครัวแห่งความเชื่อ คริสตจักรให้ทรัพยากรบุคคลและค้นหาทรัพยากรจากพระเจ้าเพื่อตอบสนองความต้องการทุกรูปแบบให้กับคนที่อยู่ในการสามัคคีธรรม สำแดงให้โลกเห็นสติปัญญาของพระเจ้าในทุกแง่ของชีวิต และเชิญคนที่ยังไม่ได้รับความรอดให้กลับใจมาเชื่อและเข้าสู่ครอบครัวนี้


[1]กาลาเทีย 6:10, เอเฟซัส 3:15
[2]กาลาเทีย 3:26, 1 ยอห์น 3:2
[3]ยากอบ 2:15, 1 โครินธ์ 5:11
[4]

“เพราะคริสตจักรคือครอบครัวของพระเจ้า เป็นที่ที่เราสมาชิกโดยกำเนิดและโดยสายเลือด คือชุมชนแห่งมรดกและความรักที่เราเข้ามาโดยการบังเกิดใหม่ ได้รับความรอดโดยทางพระเยซู”
- Larry Smith, I Believe: Fundamentals of the Christian Faith

แง่มุมต่าง ๆ ของการแบ่งปันชีวิต

ถ้าผู้คนกำลังแบ่งปันชีวิตร่วมกัน การใช้เวลาร่วมกันของพวกเขาจะประกอบไปด้วยด้านต่าง ๆ ต่อไปนี้

1. วางแผนพันธกิจและทำให้บรรลุผลสำเร็จร่วมกัน ในหลายคริสตจักร ทีมเล็ก ๆ ทีมหนึ่งรับผิดชอบวางแผนและทำงานของคริสตจักรทุกอย่าง ทุกคนในคริสตจักรควรสามารถมีส่วนร่วมในงานของคริสตจักร แม้คนที่พึ่งกลับใจมาเชื่อก็ตาม

2. ความจำเป็นได้รับการตอบสนองร่วมกัน ถ้าหากคนหนึ่งมีปัญหา เขาควรสามารถพึ่งพาเพื่อน ๆ ในคริสตจักรให้ช่วยเหลือ แต่ไม่ได้หมายความว่าคน ๆ นั้นจะถูกปล่อยให้ไม่มีความรับผิดชอบ แต่หากเขาทำสุดความสามารถของเขาแล้ว ครอบครัวคริสตจักรควรพร้อมช่วยเหลือเขา

3. การงานสำเร็จได้ร่วมกัน ความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นถูกพัฒนาขึ้นเมื่อผู้เชื่อทำงานร่วมกันในการช่วยเหลือใครบางคนที่อยู่ในการสามัคคีธรรม พวกเขาอาจทำงานร่วมกันเพื่อสนับสนุนครอบครัวของพวกเขาเองด้วย

4. ใช้เวลาว่างร่วมกัน คนในคริสตจักรควรใช้เวลาด้วยกันเพื่อความสนุกสนานในการรับประทานอาหาร ไปเที่ยว และทำกิจกรรมร่วมกัน

5. ฉลองช่วงเวลาพิเศษของชีวิตร่วมกัน ในทุกวัฒนธรรมไม่ได้มีการฉลองวันพิเศษในชีวิตเหมือนกัน บางวัฒนธรรมฉลองวันเกิดเป็นวันพิเศษ หรือวันที่อายุถึงกำหนดเวลาหนึ่ง วันเริ่มต้นเข้าโรงเรียน วันจบการศึกษา วันรับบัพติศมา วันเกิด วันแต่งงาน เฉลิมฉลองการมีลูก งานศพ และโอกาสพิเศษอื่น ๆ คนในศาสนาอื่น ๆ มักจะมีพิธีกรรมพิเศษเพื่อฉลองช่วงเวลาเหล่านี้ คริสตจักรควรมีช่องทางแบ่งปันช่วงเวลาพิเศษในชีวิตร่วมกันด้วย

การถวายสิบลดในพันธสัญญาเดิม

ในพันธสัญญาเดิม การถวายสิบลดไม่ใช่แค่สนับสนุนงานในพระวิหารกับคนที่ปฏิบัติหน้าที่ในการนมัสการที่พระวิหารเท่านั้น สิบลดมีไว้เพื่อช่วยบรรเทาทุกข์ทางด้านการเงินให้กับหญิงม่าย ลูกกำพร้า และคนต่างแดน[1] นอกจากนี้ยังมีไว้เพื่อใช้ในงานพิเศษต่าง ๆ ด้วย[2] การใช้สิบลดแสดงให้เราเห็นว่าทุกแง่มุมของชีวิตที่มีร่วมกันนั้นเกี่ยวข้องกับคริสตจักร


[1]เฉลยธรรมบัญญัติ 26:12
[2]เฉลยธรรมบัญญัติ 12:17-18

การสามัคคีธรรมและเศรษฐกิจ

► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน ยากอบ 2:15-16 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ให้ความหมายเกี่ยวกับการสามัคคีธรรมของคริสเตียน?

บางครั้งผู้คนดำเนินชีวิตราวกับว่าความต้องการทางการเงินไม่เกี่ยวข้องกับการสามัคคีธรรมกับผู้เชื่อ แต่พระคัมภีร์บอกเราว่าการเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวแห่งความเชื่อหมายความว่าเราควรตอบสนองความต้องการต่าง ๆ

การสามัคคีธรรมหมายถึงการแบ่งปันชีวิตร่วมกัน ซึ่งรวมถึงสิ่งที่มากกว่าประสบการณ์ฝ่ายวิญญาณ คำกรีกคำว่า Koinonia ที่ถูกใช้ในพันธสัญญาใหม่มักจะถูกแปลว่าเป็น “การสามัคคีธรรม” และคำนี้ถูกใช้สำหรับการแบ่งปันในรูปแบบใด ๆ บางครั้งคำนี้ใช้สำหรับการแบ่งปันทางการเงิน (2 โครินธ์ 9:13, 2 โครินธ์ 8:4; โรม 15:26) ในชุมชนคริสเตียนช่วงศตวรรษแรกที่กรุงเยรูซาเล็ม ไม่มีใครขัดสนสิ่งจำเป็นเลย (กิจการ 4:34-35) เพราะทุกคนแบ่งปันสิ่งที่ตนเองมีให้แก่กัน

เมื่อมีการเลือกปฏิบัติเพื่อช่วยเหลือทางการเงินในคริสตจักร พันธกิจก็ถูกขัดขวาง เมื่อปัญหาได้รับการแก้ไข ข่าวประเสริฐก็เผยแพร่ต่อไปเพื่อทวีคูณคนที่กลับใจมาเชื่อ (กิจการ 6:1, 7)

ในปี ค.ศ. 125 คริสเตียนคนหนึ่งชื่อว่า อริสไทดส์ ได้เขียนไว้ว่า...

พวกเขาดำเนินด้วยความอ่อนน้อมถ่อมตนและด้วยความกรุณา ไม่พบความเท็จในหมู่พวกเขาเลย และพวกเขารักซึ่งกันและกัน พวกเขาไม่ดูหมิ่นหญิงม่ายและไม่ทำให้เด็กกำพร้าเศร้าเสียใจ คนที่มีก็แจกจ่ายให้กับคนที่ไม่มี ถ้าพวกเขามองเห็นคนแปลกหน้า พวกเขานำคนนั้นเข้ามาอยู่ใต้หลังคาบ้านของพวกเขาและแสดงความปลาบปลื้มยินดีเหมือนเขาเป็นพี่น้อง เพราะพวกเขาเรียกตัวเองว่าพี่น้อง ไม่ใช่โดยทางเนื้อหนัง แต่โดยทางพระวิญญาณของพระเจ้า แต่เมื่อมีคนจนคนหนึ่งในพวกเขาจากโลกนี้ไป และมีคนใดในพวกเขามองเห็น เขาก็จะเตรียมฝังศพให้คนนั้นสุดความสามารถ และถ้าพวกเขาได้ยินว่ามีคนใดในพวกเขาถูกกักขังหรือถูกกดขี่เพราะพระนามของพระเมสสิยาห์ของพวกเขา พวกเขาทั้งหมดจะจัดเตรียมทุกสิ่งที่จำเป็นให้คนนั้น และถ้าหากเป็นไปได้ที่เขาจะได้รับการปล่อยตัว พวกเขาจะช่วยปล่อยตัวคนนั้น และถ้าหากมีคนหนึ่งที่ยากจนและขัดสนในหมู่พวกเขา และพวกเขาไม่มีสิ่งจำเป็นต่าง ๆ อย่างบริบูรณ์ พวกเขาจะอดอาหารสองหรือสามวันเพื่อจะเอาอาหารที่จำเป็นมาให้กับคนที่ขัดสนนั้น

จูเลียน ดิ อพอสเตท จักรพรรดิ์ชาวโรมัน (ค.ศ. 361-363) ผู้ข่มเหงคริสตจักร ได้ให้คำกล่าวเกี่ยวกับคริสเตียนไว้ว่า “พวกชาวกาลิลีที่ไม่มีพระเจ้าไม่เพียงเลี้ยงอาหารพวกคนยากจนของพวกเขา แต่ยังเลี้ยงคนของพวกเราด้วย”[1]

คริสตจักรทำหน้าที่สำเร็จได้เพียงครึ่งเดียวถ้าหากคริสตจักรเทศนาให้กลับใจใหม่แต่ไม่เชิญคนที่กำลังกลับใจใหม่ให้เข้ามาในครอบครัวแห่งความเชื่อที่ซึ่งเขาจะเรียนรู้วิธีดำรงอยู่ในชีวิตใหม่ของเขา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าคริสตจักรบอกกับผู้หญิงคนหนึ่งว่าเธอไม่สามารถรับการช่วยเหลือจากความสัมพันธ์ที่ผิดศีลธรรม คริสตจักรควรบอกเธอด้วยว่าเธอจะได้รับการช่วยเหลือจากครอบครัวแห่งความเชื่ออย่างไร

[2]ในบางส่วนของโลกนี้ เราเห็นคริสตจักรต่าง ๆ ที่แสดงให้เห็นลักษณะของชุมชนคริสเตียนแบบนี้ การสามัคคีธรรมอย่างสิ้นเชิงนี้ส่งผลให้มีการดูแลสมาชิกในด้านการเงินเท่านั้น แต่เป็นการเสริมฤทธิ์เดชอันยิ่งใหญ่ให้กับพันธกิจด้วย

คริสตจักรของคนยากจนเหล่านี้ (ในโบลิเวีย) มีสิ่งที่เราเรียกได้ว่าเป็นการอารักขาเพื่อการมีชีวิตรอด คริสตจักรที่ได้รับความนิยมที่ก่อตั้งขึ้นในหมู่คนจนไม่สามารถพึ่งอาศัยประเพณี ความช่วยเหลือจากรัฐ การบริจาคจากผู้มีพระคุณที่ร่ำรวย หรือพึ่งคณะผู้รับใช้มืออาชีพทั้งหลายได้ พวกเขาต้องอยู่ในการสามัคคีธรรมคือที่ซึ่งสมาชิกร่วมกันสร้างชุมชนให้มีชีวิต เติบโต เผยแพร่ความเชื่อ และมีชีวิตรอด การอารักขาชีวิตทั้งหมดเป็นประสบการณ์เหมือนกับการระดมพลมิชชันนารีทั้งหมด สิ่งที่ดูเหมือนยากกว่าที่จะบรรลุผลสำเร็จได้ในกรณีของคริสตจักรที่พัฒนาและก่อตั้งแล้วคือการระดมพลฆราวาส การมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในสวัสดิภาพแบบองค์รวมของชุมชนคริสเตียน ในท่ามกลางคริสตจักรของคนยากจน การระดมพลแบบนั้นเป็นรูปแบบชีวิตปกติของชุมชน ไม่มีรูปแบบชีวิตอย่างอื่นและพันธกิจอื่นที่ทำได้[3]

เราอาจคิดเอาเองว่าคริสตจักรต้องมีเงินเยอะ ๆ เพื่อรับผิดชอบสมาชิกของตนได้ แต่ชุมชนในลักษณะนี้ปรากฏให้เห็นในคริสตจักรของคนยากจนที่โบลีเวีย

ผู้คนของทุกสังคมแบ่งปันชีวิตกันในด้านการเงินผ่านระบบเศรษฐกิจของรัฐ เราซื้อสิ่งต่าง ๆ ที่เราจำเป็นและทำงานเพื่อหาเงิน

เศรษฐกิจอีกรูปแบบหนึ่งที่ใช้ในครอบครัว การงานที่สมาชิกแต่ละคนทำเพื่อครอบครัวไม่ได้ถูกวัดจากจำนวนดอลล่าร์ แต่ละคนถูกคาดหวังให้ช่วยเหลือตามที่พวกเขาช่วยได้โดยไม่ได้กำหนดจำนวนตายตัว การช่วยเหลือมีให้ในบริบทของความสัมพันธ์แบบครอบครัว และไม่ได้คาดหวังให้สมาชิกทุกคนทำได้เหมือนกันหรือทำงานได้เท่า ๆ กัน แต่เขาควรทำสิ่งที่เขาสามารถทำได้ ถ้าสมาชิกคนหนึ่งในครอบครัวไม่เต็มใจทำสิ่งที่เขาทำได้ เขาจะถูกเผชิญหน้าในเรื่องนี้และอาจไม่ได้รับความช่วยเหลือจากคนอื่นในยามที่เขาต้องการ

เศรษฐกิจของคริสตจักรหนึ่งควรเป็นเหมือนเศรษฐกิจของครอบครัวแทนที่จะเหมือนเศรษฐกิจของรัฐบาล เพื่อให้สิ่งนี้บรรลุผล ความสัมพันธ์ในคริสตจักรต้องไปไกลกว่าการเป็นเพื่อนกันแบบผิวเผิน คำถามต่าง ๆ จะเกิดขึ้นเมื่อคน ๆ หนึ่งขอความช่วยเหลือหลังจากที่เขาขาดความรับผิดชอบต่อทรัพยากรของเขาเองหรือหลังจากที่เขาไม่เต็มใจช่วยเหลือคนอื่น

คริสตจักรเรียนรู้ที่จะพัฒนาความสัมพันธ์นี้ในหมู่คนของพวกเขา พวกเขาต้องสามารถอธิบายต่อคริสตจักรได้เกี่ยวกับคนที่ไม่เคยช่วยเหลือใครแต่มาร้องขอความช่วยเหลือ พวกเขาต้องสอนคนที่ไม่สามารถร่วมมือกับคนอื่น ๆ พวกเขาต้องเผชิญหน้ากับคนที่รู้สึกอิสระที่จะทำตามความโน้มเอียงของตัวเองในเรื่องจริยธรรมและไม่ตอบสนองต่อการแก้ไขตักเตือนของศิษยาภิบาล

► อะไรคือตัวอย่างวิธีต่าง ๆ ที่สมาชิกคริตจักรสามารถช่วยเหลือกันและกันได้? (ทำสวน ดูแลเด็ก ว่าจ้างงาน วิกฤตการณ์)


[1]คริสเตียนถูกเรียกว่าเป็นพวก “ไม่มีพระเจ้า” หรือ “ไม่เชื่อในพระเจ้า” เพราะพวกเขาเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวเท่านั้น และพระองค์เป็นพระเจ้าที่มองไม่เห็นด้วยตาเปล่า แทนที่จะเชื่อในพวกรูปเคารพที่มองเห็นมากมาย
[2]

“[แสดงความปรารถนาเพื่อจะเป็นคริสเตียน]... โดยการทำดี โดยเฉพาะต่อบรรดาคนที่อยู่ในครอบครัวแห่งความเชื่อ...ว่าจ้างพวกเขาแทนที่จะว่าจ้างคนอื่น อุดหนุนสินค้าจากกันและกัน ช่วยเหลือแต่ละคนในการทำธุรกิจ และทำให้มากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เพราะคนในโลกนี้รักตัวเอง
และพวกพ้องของตนเท่านั้น”
- John Wesley, “Rules for the Society of People Called Methodists”

[3]Samuel Escobar, ในหนังสือ The Urban Face of Mission: Ministering the Gospel in a Diverse and Changing World แก้ไขปรับปรุงโดย Manuel Ortiz และ Susan S. Baker. (Phillipsburg: P & R Publishing, 2002), 105

คำแนะนำในทางปฏิบัติ

► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน 1 ทิโมธี 5:3-16 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง

พระคัมภีร์ตอนนี้ให้คำแนะนำในทางปฏิบัติเกี่ยวกับวิธีที่คริสตจักรจะช่วยเหลือสมาชิกที่มีความจำเป็นในชีวิต ในข้อ 16 กล่าวว่าผู้คนควรดูแลครอบครัวของตนเพื่อคริสตจักรจะสามารถดูแลคนที่ไม่มีใครช่วยเหลือพวกเขา อัครทูตถือว่าการดูแลด้านการเงินของสมาชิกเป็นความรับผิดชอบของคริสตจักร

เห็นได้ชัดว่า ถ้าหากสมาชิกทุกคนหันมาพึ่งพาคริสตจักรทางด้านการเงิน คริสตจักรก็ไม่สามารถช่วยเหลือใครอื่นได้ พระคัมภีร์ตอนนี้ให้คำแนะนำในทางปฏิบัติเพื่อว่าคริสตจักรจะสามารถช่วยคนที่มีความจำเป็นอย่างแท้จริง

พระคัมภีร์ตอนนี้พูดอย่างเจาะจงเกี่ยวกับแม่ม่าย แต่หลักการสามารถนำไปใช้กับคนอื่น ๆ ได้ด้วย เรารู้ว่าคริสตจักรมีความรับผิดชอบสำหรับผู้อื่น ในยากอบ 2:15-16 บอกเป็นนัยว่าเราควรตอบสนองต่อความจำเป็นในชีวิตของพี่น้อง ในยากอบ 1:27 กล่าวถึงแม่ม่ายและลูกกำพร้า

หลักการสามประการเกี่ยวกับการที่คริสตจักรช่วยเหลือสมาชิกทางด้านการเงิน

1. ครอบครัวต้องรับผิดชอบเป็นอันดับแรก สมาชิกในครอบครัวต้องรับผิดชอบช่วยเหลือเครือญาติที่มีความจำเป็นในชีวิตเพื่อคริสตจักรจะได้ไม่ต้องช่วยพวกเขา (1 ทิโมธี 5:4, 16) ถ้าใครไม่ช่วยครอบครัวของตัวเอง เขาก็ไม่ใช่ผู้เชื่อ (5:8) ถ้าศิษยาภิบาลมองเห็นบางคนในคริสตจักรมีความจำเป็น เขาควรหาหนทางดูว่าญาติ ๆ ของคนนั้นสามารถช่วยเหลือได้ไหม

2. สมาชิกที่สัตย์ซื่อสมควรได้รับความช่วยเหลือ แม่ม่ายสมควรได้รับความช่วยเหลือหากเธอใช้ชีวิตในฐานะคริสเตียนที่สัตย์ซื่อและช่วยเหลือผู้อื่น (5:10) หลักการเดียวกันนำมาใช้กับคนอื่นนอกเหนือจากแม่ม่ายได้ ถ้าพวกเขามีความจำเป็นและไม่สามารถจัดหาเพื่อตัวเองได้

3. สมาชิกควรทำสิ่งที่เขาทำได้เพื่อตัวเองและเพื่อคนอื่น คริสเตียนควรทำสิ่งที่เขาสามารถทำได้เพื่อเป็นพระพรให้แก่ผู้อื่น (5:10) ถ้าเขาไม่มีใครว่าจ้าง เขาสามารถหาวิธีอื่นในการช่วยเหลือผู้คน คนที่ไม่เต็มใจทำงานก็ไม่ควรได้รับความช่วยเหลือจากคริสตจักร (2 เธสะโลนิกา 3:10)

► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน 2 เธสะโลนิกา 3:6-12 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง

พระคัมภีร์ตอนนี้บอกเรามากมายเกี่ยวกับชีวิตในคริสตจักรยุคแรก ที่นี่เปาโลจัดการกับปัญหาของพวกคนที่พึ่งคริสตจักรเพื่อขอความช่วยเหลือ ดังนั้นพวกเขาจะได้ไม่ต้องทำงาน พวกเขาใช้เวลาไปหาคนนั้นคนนี้และแพร่กระจายคำนินทา

เรื่องนี้บอกอะไรเราเกี่ยวกับคริสตจักรในเวลานั้น? พวกเขาดูแลสมาชิกของตน คริสตจักรมีความรับผิดชอบในการสอดส่องดูแลว่าจะไม่มีใครในคริสตจักรที่หิวไม่มีอะไรกิน พวกเขาเป็นเหมือนครอบครัวหนึ่ง

เนื่องจากพวกเขาเป็นเหมือนครอบครัว จึงเป็นไปได้ที่คนหนึ่งจะเกียจคร้านและพึ่งพาแต่คนอื่น เปาโลบอกให้พวกเขาเรียกร้องให้ทุกคนทำสิ่งที่ตนเองสามารถทำได้ ถ้าใครไม่เต็มใจทำสิ่งที่เขาทำได้ เขาก็ไม่ควรได้รับอนุญาตให้กินอาหารที่คนอื่นจัดหาให้

เป็นเรื่องอัศจรรย์เมื่อคริสตจักรเป็นเหมือนครอบครัวที่ตอบสนองต่อความจำเป็นทุกรูปแบบได้ เพื่อจะให้สิ่งนี้เกิดขึ้นได้ คริสตจักรจะต้องมีหลักการเพื่อทำตาม คริสตจักรต้องมีข้อกำหนดสำหรับคนที่พึ่งพาความช่วยเหลือจากคริสตจักร โดยปราศจากข้อกำหนด ไม่ช้านานคริสตจักรจะแบกภาระหนักมากกับคนที่เกียจคร้านและจะไม่สามารถตอบสนองความจำเป็นที่มีได้อีกต่อไป

ศิษยาภิบาลและมัคนายกต้องนำให้คริสตจักรทำหน้าที่เหมือนครอบครัว พวกเขาต้องตอบสนองความจำเป็นต่าง ๆ ด้วยความรัก อย่างไรก็ตาม ความรักหมายความว่าพวกเขาเต็มใจพูดความจริง ถ้าคนหนึ่งไม่รับผิดชอบ ใครบางคนต้องเต็มใจพูดกับเขาในเรื่องนี้ ถ้าคนหนึ่งไม่ช่วยเหลือคนอื่นและทำสิ่งที่เขาทำได้เพื่อช่วยเหลือตัวเอง คริสตจักรไม่ควรช่วยเหลือเขาต่อไป

เป็นการถูกต้องที่จะถามคำถามต่าง ๆ เมื่อมีคนขอความช่วยเหลือ เขาเต็มใจช่วยเหลือคนอื่นไหม? เขาทำงานตามที่เขาทำได้หรือยัง? เขาใช้เงินอย่างฉลาดไหม? เขารับผิดชอบครอบครัวของตัวเองหรือเปล่า?

คนมากมายมาคริสตจักรเพื่อขอความช่วยเหลือ คริสตจักรต้องมีวิธีแสดงความห่วงใยต่อผู้คนนับจากครั้งแรกที่พวกเขาเข้ามา แม้ก่อนที่คน ๆ นั้นจะแสดงความรับผิดชอบใด ๆ ก็ตาม จากนั้นจะต้องมีวิธีสร้างความสัมพันธ์ คนนั้นควรรู้ถึงสิ่งที่เขาควรทำเพื่อจะเป็นส่วนหนึ่งในการสามัคคีธรรมของคริสตจักร

ประโยคสรุปเจ็ดประโยค

1. การงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในคริสตจักรนำให้สมาชิกเข้าสู่ความสัมพันธ์ที่สนิทสนทจนเกิดการแบ่งปันชีวิตร่วมกัน

2. คริสตจักรคือครอบครัวที่แบ่งปันชีวิตร่วมกันทุกวันและร่วมกันทำงานเพื่อตอบสนองความจำเป็นทุกอย่าง

3. คริสตจักรเชิญให้คนบาปที่กำลังกลับใจเข้าสู่ครอบครัวแห่งความเชื่อ ซึ่งเป็นที่ที่เขาเรียนรู้การดำรงอยู่ในชีวิตใหม่ของเขา

4. เมื่อคริสตจักรทำหน้าที่ทุกวัน ก็จะมีที่ทำพันธกิจสำหรับผู้เชื่อทุกคน

5. เวลาที่คริสตจักรใช้ร่วมกันรวมถึงเวลาในการทำพันธกิจ ตอบสนองความจำเป็นต่าง ๆ การทำงาน การใช้เวลาว่าง และการเฉลิมฉลอง

6. การสามัคคีธรรมของคริสเตียนรวมถึงการแบ่งปันวัตถุสิ่งของให้แก่กันด้วย

7. คริสตจักรไม่ต้องช่วยคนที่ไม่ทำในสิ่งที่เขาสามารถทำได้เพื่อช่วยเหลือตัวเองและคนอื่น

งานมอบหมายบทที่ 6

1. ท่องจำประโยคสรุปเจ็ดประโยคของบทที่ 6 เขียนคำอธิบายความหมายและความสำคัญของแต่ละประโยคสรุปทั้งเจ็ดนี้โดยมีความยาวหนึ่งย่อหน้า (ทั้งหมดเจ็ดย่อหน้า) ให้กับบางคนที่ไม่ได้อยู่ในชั้นเรียนนี้ นำคำอธิบายนี้กลับมาส่งให้กับหัวหน้าชั้นเรียนก่อนถึงชั่วโมงเรียนถัดไป ขอให้เตรียมพร้อมแบ่งปันคำอธิบายหนึ่งย่อหน้าให้กับกลุ่มในกรณีที่หัวหน้าชั้นได้ขอให้คุณแบ่งปันในช่วงเวลาที่มีการอภิปรายกัน เขียนประโยคเหล่านี้จากการท่องจำตอนเริ่มต้นชั่วโมงเรียนถัดไป

2. อย่าลืมกำหนดเวลาเพื่อสอนนอกชั้นเรียนด้วยตัวของคุณเองและรายงานให้กับหัวหน้าชั้นเรียนเมื่อคุณสอนแล้ว

3. งานมอบหมายการเขียน: วิธีที่หลากหลายในการให้คนในคริสตจักรของคุณแบ่งปันชีวิตร่วมกันนอกเหนือจากการมาร่วมรอบนมัสการมีอะไรบ้าง?

Next Lesson