หลักคำสอนและการปฏิบัติ ของคริสตจักร
หลักคำสอนและการปฏิบัติ ของคริสตจักร
Audio Course Purchase

Search Course

Type at least 3 characters to search

Search through all lessons and sections in this course

Searching...

No results found

No matches for ""

Try different keywords or check your spelling

results found

Lesson 8: การสนับสนุนคริสตจักรท้องถิ่น

1 min read

by Stephen Gibson


คำสั่งของพระเยซู

► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน ลูกา 10:1-9 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง อะไรคือสิ่งที่ไม่ปกติที่พระเยซูสั่งพวกสาวกเมื่อทรงส่งพวกเขาออกไปทำพันธกิจ?

พวกสาวกถูกส่งออกไปเป็นพวกแรกเพื่อเทศนาข่าวประเสริฐในหลายหมูบ้าน

พระเยซูมีฤทธิ์อำนาจทั้งสิ้นและมีทรัพยากรทุกอย่าง พระองค์สามารถให้ทุกสิ่งแก่พวกเขาได้ พระองค์สามารถให้เงินแก่พวกเขาเพื่อจะพอซื้อทุกสิ่งทุกอย่างที่จำเป็นและเพื่อตอบสนองความต้องการของผู้อื่น พระองค์สามารถให้ฤทธิ์อำนาจแก่พวกเขาเพื่อทวีคูณขนมปังและปลาทั้งสำหรับตัวเองและสำหรับผู้คนพวกเขาเทศนาประกาศ พวกเขาสามารถจัดเตรียมอาหารให้กับทุกหมู่บ้านที่พวกเขาไป

แทนที่จะเป็นอย่างนั้น พระองค์ส่งพวกเขาไปโดยไม่มีเงินสักบาท พระองค์บอกพวกเขาให้พึ่งอาศัยความช่วยเหลือจากผู้คนในหมู่บ้านต่าง ๆ พวกสาวกไปตามคำสั่งของพระเยซู และสิ่งจำเป็นในชีวิตของพวกเขาได้รับการจัดเตรียม[1]

► ทำไมพระเยซูจึงส่งพวกเขาไปในลักษณะนี้?

พันธกิจของพวกเขาดึงดูดคนที่เหมาะสม เนื่องจากพวกเขาเทศนาข่าวประเสริฐก่อน พวกเขาจึงดึงดูดผู้คนที่สนใจข่าวประเสริฐ เนื่องจากพวกเขามีความจำเป็นในชีวิต พวกเขาจึงดึงดูดผู้คนที่อยากช่วยเหลือ พวกเขามีผู้คนที่ดีที่สุดสำหรับการเริ่มต้นคริสตจักร

จะเป็นอย่างไรหากพวกเขาเข้าไปในหมู่บ้านต่าง ๆ พร้อมกับมีทุกสิ่งที่พวกเขาจำเป็นกับสิ่งที่จะให้ผู้คน? พวกเขาจะดึงดูดคนที่ไม่เหมาะสม พวกเขาจะรวบรวมกลุ่มคนที่มาเพื่อได้อะไรบางอย่าง หลังจากนั้นพันธกิจก็จะไปต่อได้โดยการต้องมีอะไรให้อยู่เรื่อย ๆ พันธกิจไม่สามารถเติบโตได้โดยไม่มีอะไรจะให้มากขึ้น พวกเขาก็จะไม่มีความช่วยเหลือเว้นแต่พวกเขาต้องจ่ายเอง พวกเขาจะไม่มีกลุ่มคนที่ทำให้เกิดการเริ่มต้นที่ดีของคริสตจักรได้

วิธีที่พระเยซูให้เขาเพื่อเริ่มต้นกลุ่มที่สามารถกลายเป็นคริสตจักรคือ กลุ่มคนที่ตื่นเต้นกับข่าวประเสริฐและปรารถนาที่จะช่วยเหลือ เป็นเรื่องสำคัญที่คริสตจักรจะเริ่มต้นด้วยวิธีการที่ถูกต้อง


[1]ลูกา 22:35

เหตุผลที่คริสตจักรควรได้รับการสนับสนุนจากท้องถิ่น

► ทำไมคริสตจักรจึงควรได้รับการสนับสนุนจากท้องถิ่น? ก่อนที่จะดูรายการด้านล่างนี้ อะไรคือเหตุผลที่คุณคิด?

1. พระเยซูแสดงให้เราเห็นว่าพันธกิจในที่ ๆ หนึ่งควรเริ่มต้นด้วยวิธีการที่ถูกต้อง พระองค์ส่งพวกสาวกออกไปโดยไม่มีเงินสักบาทเพื่อว่าพันธกิจของพวกเขาจะดึงดูดผู้คนที่สนใจในข่าวประเสริฐและต้องการให้ความช่วยเหลือ

2. พระเจ้าให้คำสั่งสำหรับคริสตจักรในพันธสัญญาใหม่เพื่อจะหยิบยื่นให้ พวกเขาควรต้องส่งการสนับสนุนให้กับคริสตจักรแรกในเยรูซาเล็ม (1 โครินธ์ 16:1-3; 2 โครินธ์ 8:1-7, 2 โครินธ์ 9:1-6) พวกเขาควรดูแลเอาใจใส่แม่ม่ายและคนอื่น ๆ ที่ขัดสนในคริสตจักร (1 ทิโมธี 5:16; ยากอบ 1:27, ยากอบ 2:15-16) พวกเขาต้องสนับสนุนผู้คนที่ทำพันธกิจเต็มเวลา (กาลาเทีย 6:6)

3. พระเจ้าเสริมสร้างแต่ละคริสตจักรให้เป็นพระกายของพระคริสต์ในท้องถิ่นที่คริสตจักรอยู่นั้น[1] นั่นหมายความว่าคริสตจักรที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่สามารถตัดสินใจและพัฒนานิมิตสำหรับพันธกิจของตัวเองได้ สิ่งนั้นเกิดขึ้นไม่ได้หากคริสตจักรพึ่งอาศัยการสนับสนุนและทิศทางจากผู้นำภายนอก การสนับสนุนทางการเงินในท้องถิ่นจึงจำเป็นสำหรับการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ของคริสตจักร

4. พระเจ้าอวยพรการเงินของคนที่ถวายสิบลด คำแช่งสาปตกอยู่บนการเงินของคนที่ไม่ถวายสิบลด (มาลาคี 3:8-10)

5. การพึ่งพาการสนับสนุนจากภายนอกทำให้คริสตจักรท้องถิ่นเปราะบาง เศรษฐกิจทั้งในประเทศและต่างประเทศล้วนไม่แน่นอน ถ้าหากผู้บริจาคในดินแดนห่างไกลหยุดถวาย คริสตจักรที่พึ่งพาพวกเขาก็จะลำบากเดือดร้อน

6. ศิษยาภิบาลควรได้รับการสนับสนุนจากผู้คนที่พวกเขารับใช้[2] คริสตจักรท้องถิ่นรู้ดีว่าศิษยาภิบาลสัตย์ซื่อหรือไม่ พวกเขารู้ว่าศิษยาภิบาลใช้เวลาในการทำพันธกิจอย่างไร เขาไม่ควรได้รับการสนับสนุนระยะยาวจากผู้คนที่อยู่ห่างไกล

► ปัญหาอะไรที่มาจากการพึ่งพาการสนับสนุนจากแดนไกล?


[1]1 โครินธ์ 12:27
[2]กาลาเทีย 6:6

นโยบายการเงินของมิชชันขึ้นอยู่กับคริสตจักรท้องถิ่นที่เป็นศูนย์กลาง

มิชชันหรือสังกัดนิกายระหว่างประเทศควรปฏิบัติตามหลักการใด ๆ ที่เป็นแนวทางให้พวกเขาช่วยเหลือคริสตจักร องค์กรควรเอาใจใส่ที่จะช่วยเหลือด้วยวิธีการที่ทำให้คริสตจักรเข้มแข็งขึ้น แทนที่จะทำให้เป็นอิสระมากขึ้น มีบางตัวอย่างของนโยบายที่มิชชันและองค์กรอาจพัฒนาขึ้นมาได้

1. เน้นการถวายสิบลดให้เป็นดั่งรากฐานการเงินของคริสเตียน ถ้าหากสมาชิกในคริสตจักรไม่ถวายสิบลด พระเจ้าก็จะไม่อวยพรการเงินของคริสตจักร ถ้าพวกเขาไม่พร้อมทำสิ่งที่พวกเขาทำได้ พวกเขาก็มีความเข้าใจผิดเกี่ยวกับการเงินของพันธกิจ ความช่วยเหลือจากภายนอกอาจทำให้สิ่งต่าง ๆ เลวร้ายลงแทนที่จะดีขึ้น

2. แทนที่จะให้การสนับสนุนเป็นประจำ ให้ทำโครงการที่แจกจ่ายอย่างถาวร องค์กรควรใช้เงินสำหรับโครงการที่จะช่วยให้คริสตจักรแข็งแกร่งทางการเงิน แทนที่จะให้เงินเดือนซึ่งทำให้คริสตจักรต้องคอยพึ่งการช่วยเหลือจากแดนไกล ที่ใดที่องค์กรให้เงินเดือนอยู่แล้ว องค์กรควรค่อย ๆ เปลี่ยนเป็นการช่วยให้คริสตจักรสามารถเลี้ยงดูตัวเองได้

3. อย่าเริ่มต้นพันธกิจที่ไม่สามารถรับการสนับสนุนในท้องถิ่นได้เลย องค์กรไม่ควรเริ่มต้นสิ่งต่าง ๆ ที่จะต้องพึ่งพาการสนับสนุนจากภายนอกไปตลอดการปฏิบัติงาน เป้าหมายคือสร้างพันธกิจหรือกิจการที่สามารถเป็นของคริสตจักรท้องถิ่นและสานต่อได้ในท้องถิ่นนั้น ยกตัวอย่างเช่น โรงเรียนควรเป็นพันธกิจของคริสตจักรท้องถิ่น

ความพยายามในพันธกิจใดที่ไม่ได้อาศัยการเงินในท้องถิ่นควรเป็นพันธกิจแบบระยะสั้นที่บรรลุได้อย่างรวดเร็วโดยไม่ได้สร้างการพึ่งพิง (ยกตัวอย่างเช่น การประชุมและสัมมนา)

4. มอบอำนาจให้กับผู้นำในคริสตจักรท้องถิ่นแทนที่จะมองข้าม เมื่อผู้นำจากภายนอกหรือผู้นำที่ตำแหน่งสูงกว่าให้ความช่วยเหลือโดยตรงกับคนที่ลำบากเดือดร้อน บรรดาคนที่อยู่ในพันธกิจของท้องถิ่นก็ดูไร้ประสิทธิภาพ แทนที่จะให้ความช่วยเหลือโดยตรงกับคนในคริสตจักร องค์กรควรเสริมสร้างผู้นำคริสตจักรให้ตอบสนองความต้องการเหล่านั้น

► อะไรคือตัวอย่างของการช่วยเหลือแบบผิด ๆ ของมิชชัน? และอะไรคือตัวอย่างที่ถูกต้องในการช่วยเหลือ?

หลีกเลี่ยงการเป็นอุตสาหกรรมการช่วยเหลือ

คริสตจักรต้องไม่ออกนอกเส้นทางที่เป็นลำดับความสำคัญโดยทำให้เป็น “อุตสาหกรรมการช่วยเหลือ” มีคนและองค์กรต่าง ๆ ที่ต้องการให้ทรัพยากรเพื่อบรรเทาความยากจนแต่ไม่ได้ติดต่อกับผู้คนที่ขัดสนนั้นโดยตรง “องค์การบรรเทาทุกข์” เป็นองค์กรที่รวบรวมทรัพยากรจากผู้บริจาคเพื่อแจกจ่ายให้กับผู้คนที่มีความจำเป็นในชีวิต บางครั้งผู้บริหารจัดการความช่วยเหลือนี้ได้เงินเดือนจากทรัพยากรต่าง ๆ ที่พวกเขาจัดการดูแล บางครั้งมีความหลอกลวง ทั้งผู้บริจาคและคนที่ขัดสนถูกฉ้อโกง แม้เมื่อความช่วยเหลือไปยังคนที่ขัดสนจริง ๆ แต่อุตสาหกรรมการช่วยเหลือมีแนวโน้มทำสิ่งต่าง ๆ เพื่อเอาใจผู้บริจาคแทนที่จะพยายามเข้าใจความจำเป็นที่แท้จริงของผู้คน

อุตสาหกรรมการช่วยเหลือมักจะมองข้ามคริสตจักรท้องถิ่น พวกเขาแจกจ่ายด้วยวิธีการที่เพิกเฉยต่อความสัมพันธ์ของคริสตจักรกับผู้คนที่มารับความช่วยเหลือ การแจกจ่ายจะมีประสิทธิภาพมากกว่าเมื่อทำผ่านคริสตจักร โดยทางผู้นำที่รู้สถานการณ์ต่าง ๆ ของผู้คน และด้วยวิธีการที่แสดงให้เห็นถึงความสำคัญของคริสตจักร

ถ้าหากองค์กรใจตอบสนองต่อความจำเป็นพื้นฐานของคนยากจน (เช่น อาหาร) โดยไม่ได้เปลี่ยนแปลงสถานการณ์ของพวกเขา นั่นก็ทำให้คนยากจนยิ่งต้องพึ่งพิงมากขึ้น ถ้าพวกเขามีทรัพยากรมากพอ พวกเขาอาจสร้างชุมชนที่เอาแต่พึ่งพิง ถ้าพวกเขายังคงทำแบบนี้ไปนาน ๆ พวกเขาก็สร้างชนรุ่นใหม่ที่ต้องพึ่งพิงคนอื่น

มิชชันไม่ควรเป็นส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรมการช่วยเหลือและหลงลืมลำดับความสำคัญของคริสตจักร การทำแบบนั้นสร้างความเสียหายอย่างร้ายแรงให้กับคริสตจักรและผู้คนที่มีความจำเป็นในชีวิต

► คุณเคยเห็นตัวอย่างของอุตสาหกรรมการช่วยเหลือแบบใดและมันมีผลกระทบอย่างไรบ้าง?

แผนการของพระเจ้าสำหรับการสนับสนุนศิษยาภิบาล

[1]► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน เฉลยธรรมบัญญัติ 18:1-5 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง พระคัมภีร์ตอนนี้บอกเราเกี่ยวกับการสนับสนุนทางการเงินให้กับพันธกิจอย่างไร?

การสนับสนุนทางการเงินให้กับคนที่ทำพันธกิจเต็มเวลาเป็นแผนการของพระเจ้านับตั้งแต่สมัยพันธสัญญาเดิมแล้ว พวกปุโรหิตต้องได้รับการสนับสนุนจากงานที่พวกเขาทำในพระวิหาร พวกเขาไม่ได้รับส่วนแบ่งที่ดิน เพราะพวกเขาต้องไม่มัวไปทำไร่ไถนา

บางครั้งเมื่ออิสราเอลปฎิเสธที่จะสัตย์ซื่อในการนมัสการ การสนับสนุนพวกปุโรหิตก็ถูกปฏิเสธไปด้วย นั่นเป็นสัญญาณของความไม่ซื่อสัตย์ของอิสราเอลเมื่อคนทำงานในพระวิหารต้องออกจากพระวิหารและไปหาหนทางอื่นเพื่อสนับสนุนตัวเอง (เนหะมีย์ 13:10)

► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน 1 โครินธ์ 9:1-14 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง พระคัมภีร์ตอนนี้บอกอะไรแก่เราเกี่ยวกับการสนับสนุนทางการเงินให้กับพันธกิจ?

เปาโลกล่าวว่าแผนการของพระเจ้าคือให้ผู้เทศนาข่าวประเสริฐได้รับการสนับสนุนโดยพันธกิจที่พวกเขาทำ เหมือนกับระบบในพันธสัญญาเดิม (1 โครินธ์ 9:13-14) เปาโลใช้ภาพตัวอย่างหลายภาพเกี่ยวกับหลักการนี้ ชาวนาได้รับการสนับสนุนจุนเจือโดยพืชพันธุ์ที่เขาปลูก ผู้เลี้ยงแกะได้รับการสนับสนุนจุนเจือโดยผลิตภัณฑ์จากฝูงแกะ ทหารไม่ได้ทำสงครามโดยออกค่าใช้จ่ายเอง

อัครทูตกำลังกล่าวว่าพันธกิจสมควรได้รับการเอาใจใส่อย่างเต็มที่จากศิษยาภิบาล สถานการณ์ที่ดีที่สุดสำหรับเขาคือการไม่ต้องไปทำงานรับจ้างอื่น ๆ (ข้อ 6) อัครทูตกล่าวว่าพันธกิจควรสนับสนุนภรรยาของศิษยาภิบาลด้วย รวมถึงลูก ๆ ของพวกเขาด้วย (ข้อ 5)

► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน 1 ทิโมธี 5:17-18 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง พระคัมภีร์ตอนนี้บอกอะไรเราเกี่ยวกับการสนับสนุนทางการเงินให้กับพันธกิจ?

ผู้ปกครองที่นำได้ดีสมควรได้รับเกียรติเป็นสองเท่า ในข้อ 18 แสดงให้เห็นว่าเกียรติคือการสนับสนุนทางการเงิน

► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน กาลาเทีย 6:6 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง

คนที่ได้รับผลประโยชน์จากพันธกิจควรช่วยสนับสนุนพันธกิจนั้น


[1]

“เราอย่ายกย่องพวกเร่ร่อนพเนจรไปทั่วและร่วมมือกันโดยไม่มีคริสตจักร เพราะพวกเขาไร้ซึ่งที่ที่ทำให้อุดมคติเป็นจริง
มีบางสิ่งที่ขาดหายไปเสมอ”
- Philip Melanchthon, Loci

การเริ่มต้นตามปกติของคริสตจักร

เนื่องจากในช่วงศตวรรษแรกของคริสตจักร คริสตจักรส่วนใหญ่ได้เริ่มต้นเป็นการประชุมกลุ่มเล็ก ๆ ตามบ้าน ไม่มีอาคารคริสตจักรในช่วงสองร้อยปีแรก แต่ศาสนาคริสต์เผยแพร่ออกไปอย่างรวดเร็ว ในบางเมืองใหญ่ คนนับหลายพันอยู่ในการสามัคคีธรรมของคริสตจักร แต่พวกเขาก็ยังมาพบกันเป็นกลุ่ม ๆ ตามบ้าน

เมื่อเปาโลเดินทางไปประกาศข่าวประเสริฐ ลำดับความสำคัญของเขาคือการก่อตั้งคริสตจักรในทุกที่ วิธีการนั้นรวมถึงการแต่งตั้งศิษยาภิบาล (กิจการ 14:23; ทิตัส 1:5) ศิษยาภิบาลในแต่ละที่คือคนที่อยู่ที่นั่นอยู่แล้วและเป็นส่วนหนึ่งของการสามัคคีธรรมแล้ว

ศิษยาภิบาลมักจะเริ่มต้นพันธกิจของเขาโดยไม่มีการสนับสนุนทางการเงิน เขาช่วยมิชชันนารีทำงานหรือเริ่มต้นเทศนาข่าวประเสริฐโดยปราศจากมิชชันนารีเพราะเขามีความปรารถนาที่จะช่วย เขาเริ่มต้นใช้ของประทานและความสามารถในการทำพันธกิจ เขาไม่ได้ทำเพราะได้รับเงิน แต่เพราะเขามีความกระตือรือร้นฝ่ายวิญญาณ

เมื่อกลุ่มผู้เชื่อเกิดขึ้น ความรับผิดชอบของศิษยาภิบาลก็เพิ่มขึ้นและต้องใช้เวลามากขึ้น กลุ่มควรช่วยสนับสนุนศิษยาภิบาลเพื่อเขาจะให้เวลากับพันธกิจได้ การสนับสนุนอาจไม่ได้เต็มร้อยในช่วงแรก แต่ก็สามารถให้เพิ่มมากขึ้นเรื่อย ๆ ได้

► คุณจะบอกอะไรกับคนที่พูดว่าเขาอยากเป็นศิษยาภิบาลแต่รอให้มีการสนับสนุนการเงินก่อน?

ข้อยกเว้นต่าง ๆ

เปาโลอธิบายว่าแผนการของพระเจ้าคือให้ศิษยาภิบาลได้รับการสนับสนุน อย่างไรก็ตาม บางครั้งพันธกิจของเปาโลเองก็มีข้อยกเว้น ในหลายที่เปาโลทำงานเพื่อสนับสนุนตัวเอง (1 เธสะโลนิกา 2:9; 2 เธสะโลนิกา 3:8)

คริสตจักรที่ตั้งใหม่อาจไม่สามารถสนับสนุนศิษยาภิบาลได้อย่างเต็มที่ เมื่อมิชชันนารีไปยังพื้นที่ใหม่เพื่อประกาศข่าวประเสริฐ อาจไม่มีการสนับสนุนสำหรับเขา ด้วยเหตุนี้ นักเทศน์จึงต้องเป็นคนที่เทศนาเพราะปรารถนาทำตามการทรงเรียกของพระเจ้า เขาจะทำพันธกิจเพราะมันอยู่ในใจของเขา แม้ว่าเขาไม่ได้รับเงินก็ตาม

ถ้าหากศิษยาภิบาลไม่เต็มใจทำงานเพื่อสนับสนุนตัวเองและเทศนาโดยไม่ได้รับค่าตอบแทนเมื่อยามจำเป็น เขาก็ไม่มีความรักต่อพระเจ้าอย่างที่เขาควรมี บางคนจะทำเพื่อเงินแต่พวกเขาจะไม่ทำเพื่อพระเจ้า เราควรเต็มใจทำสิ่งใด ๆ เพื่อพระเจ้า ถ้าหากศิษยาภิบาลคิดว่าเขาสำคัญมากจนไม่สามารถทำงานสนับสนุนตัวเองได้ เขาควรนึกถึงแบบอย่างของเปาโล ไม่มีมิชชันนารีคนใดยิ่งใหญ่กว่าเปาโลอีกแล้ว แต่เขาเต็มใจทำสิ่งใดก็ตามที่จำเป็นต้องทำเพื่อให้งานพันธกิจบรรลุผลสำเร็จ

เปาโลกล่าวว่าเขาเทศนาข่าวประเสริฐเพราะการทรงเรียกของพระเจ้า เขาเทศนาเพราะถ้าไม่เทศน์เขาจะไม่เป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า นักเทศน์มีความรับผิดชอบพิเศษ และพระเจ้าจะตัดสินเขาหากเขาไม่เชื่อฟัง (1 โครินธ์ 9:16-17)

► ศิษยาภิบาลควรมีแรงจูงใจแบบไหนในการทำพันธกิจ?

อัครทูตเปโตรกล่าวว่า ผู้ปกครองคือผู้เลี้ยงที่สมควรดูแลฝูงแกะด้วยความปรารถนาที่จะให้อาหารและปกป้องฝูงแกะ เขาไม่ควรมีแรงจูงใจทำเพื่อได้เงิน (1 เปโตร 5:1-2)

เดมาสเป็นชายที่ช่วยอัครทูตเปาโล แต่ทิ้งเปาโลไปเพราะรักสิ่งต่าง ๆ ของโลกนี้ (2 ทิโมธี 4:10) นึกถึงสิทธิพิเศษที่เดมาสได้รับในการทำงานร่วมกันกับเปาโลสมัยยุคแรกของคริสตจักร แต่เขากลับทิ้งพันธกิจไปเพราะเห็นแก่วัตถุสิ่งของ ศิษยาภิบาลบางคนรักสิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้มากกว่ารักพระเจ้า พวกเขาบางคนทิ้งงานพันธกิจไป บางคนใช้พันธกิจเป็นช่องทางเพื่อให้ได้สิ่งต่าง ๆ ในโลกนี้

ลักษณะของพวกผู้สอนหลักคำสอนที่ผิดคือพวกเขาทำเพื่อเงิน (ทิตัส 1:11; 2 เปโตร 2:3)

► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน 2 โครินธ์ 12:17-18 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง เราได้เรียนรู้อะไรเกี่ยวกับเปาโลและทิตัสจากพระธรรมตอนนี้บ้าง?

► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน ฟิลิปปี 2:19-22 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง เราเรียนรู้อะไรเกี่ยวกับทิโมธีจากพระธรรมตอนนี้บ้าง?

เปาโลเป็นแบบอย่างในการรับใช้เพราะความรักที่มีต่อพระเจ้า ทิโมธีและทิตัสทำตามแบบอย่างของเขา (ฟิลิปปี 2:19-22; 2 โครินธ์ 12:17-18)

ความรับผิดชอบทางการเงิน

การมีความรับผิดชอบทางการเงินเป็นเรื่องสำคัญในคริสตจักรท้องถิ่น อัครทูตเปาโลวางแบบอย่างให้เราทำตาม เมื่อเขารวบรวมเงินจากคริสตจักรหนึ่งเพื่อนำไปให้อีกคริสตจักรหนึ่ง เขามีพยานรู้เห็นและตรวจสอบจนแน่ใจว่าไม่มีอะไรที่ซ่อนเป็นความลับ (2 โครินธ์ 8:20-21)

ผู้คนในโลกนี้ไม่เชื่อใจคนที่จัดการการเงิน พวกเขาเหมารวมว่าคนมากมายขโมยเงินที่ตนเองจัดการ พวกเขาเชื่อว่าศิษยาภิบาลจำนวนมากรับใช้เพื่อเงินเท่านั้น การที่คริสตจักรท้องถิ่นมีระบบนำเสนอความรับผิดชอบต่อการเงินเพื่อพิสูจน์ว่าศิษยาภิบาลไว้ใจได้นับว่าเป็นเรื่องสำคัญ

► มีแนวทางปฏิบัติอะไรที่ช่วยให้คริสตจักรแสดงให้เห็นได้ว่าเงินถวายนั้นถูกใช้อย่างสุจริตซื่อตรง?

สำหรับการนำเสนอความรับผิดชอบต่อการเงิน เงินถวายควรถูกรวบรวมและนับโดยคนหลายคน ไม่ใช่แค่คนเดียว คนอื่นที่ไม่ใช่ศิษยาภิบาลควรทำบัญชีว่าเงินถูกใช้ไปในเรื่องอะไรบ้าง

ศิษยาภิบาลบางคนสอนว่าเงินถวายสิบลดทั้งหมดเป็นของพวกเขา พระคัมภีร์ไม่ได้สอนว่าสิบลดทั้งหมดต้องให้กับศิษยาภิบาล สิบลดถูกนำไปใช้สำหรับวัตถุประสงค์หลายอย่าง (เฉลยธรรมบัญญัติ 26:12)

ศิษยาภิบาลควรช่วยบริหารการใช้เงินสิบลดและเงินถวายเพื่อดูแลพันธกิจของคริสตจักร สมาชิกคริสตจักรทั้งหมดจะเต็มใจถวายมากขึ้นเมื่อพวกเขาเห็นความสัตย์ซื่อในการใช้เงินถวาย

ประโยคสรุปเจ็ดประโยค

1. พันธกิจในสถานที่ใหม่ควรเน้นข่าวประเสริฐและดึงดูดคนที่เหมาะสมเข้ามา

2. คริสตจักรที่เติบโตเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้พึ่งพาการสนับสนุนจากภายนอกหรือจากผู้นำ

3. องค์กรต่าง ๆ ควรช่วยคริสตจักรด้วยวิธีการที่ไม่ทำให้การสนับสนุนในท้องถิ่นอ่อนแอลง

4. องค์กรต่าง ๆ ที่ให้ความช่วยเหลือมักจะขัดขวางพันธกิจของคริสตจักรและทำให้เกิดการพึ่งพิง

5. คริสตจักรควรสนับสนุนศิษยาภิบาลของตนเพื่อว่าเขาจะสามารถให้เวลาแก่งานพันธกิจได้

6. คริสตจักรควรมีระบบการนำเสนอความรับผิดชอบที่พิสูจน์ความโปร่งใสซื่อตรงของตน

7. ศิษยาภิบาลควรมีความรักต่อพระเจ้าเป็นแรงจูงใจและมีความปรารถนาที่จะรับใช้

งานมอบหมายบทที่ 8

1. ท่องจำประโยคสรุปเจ็ดประโยคของบทที่ 8 เขียนคำอธิบายความหมายและความสำคัญของแต่ละประโยคสรุปทั้งเจ็ดนี้โดยมีความยาวหนึ่งย่อหน้า (ทั้งหมดเจ็ดย่อหน้า) ให้กับบางคนที่ไม่ได้อยู่ในชั้นเรียนนี้ นำคำอธิบายนี้กลับมาส่งให้กับหัวหน้าชั้นเรียนก่อนถึงชั่วโมงเรียนถัดไป ขอให้เตรียมพร้อมแบ่งปันคำอธิบายหนึ่งย่อหน้าให้กับกลุ่มในกรณีที่หัวหน้าชั้นได้ขอให้คุณแบ่งปันในช่วงเวลาที่มีการอภิปรายกัน เขียนประโยคเหล่านี้จากการท่องจำตอนเริ่มต้นชั่วโมงเรียนถัดไป

2. อย่าลืมกำหนดเวลาเพื่อสอนนอกชั้นเรียนด้วยตัวของคุณเองและรายงานให้กับหัวหน้าชั้นเรียนเมื่อคุณสอนแล้ว

3. ทดสอบ: ในช่วงเริ่มต้นชั่วโมงเรียนถัดไป คุณจะต้องเขียนเหตุผลอย่างน้อยห้าประการสำหรับการสนับสนุนจากคริสตจักรท้องถิ่นกับเขียนนโยบายทางการเงินสี่ประการของมิชชัน ให้เขียนจากการท่องจำ

Next Lesson