หลักคำสอนและการปฏิบัติ ของคริสตจักร
หลักคำสอนและการปฏิบัติ ของคริสตจักร
Audio Course Purchase

Search Course

Type at least 3 characters to search

Search through all lessons and sections in this course

Searching...

No results found

No matches for ""

Try different keywords or check your spelling

results found

Lesson 12: วินัยในคริสตจักร

1 min read

by Stephen Gibson


บทนำ

ในบทที่ 3 เราเรียนรู้คำนิยามนี้สำหรับคริสตจักรท้องถิ่น:

คริสตจักรท้องถิ่นคือกลุ่มผู้เชื่อที่ทำหน้าที่เป็นครอบครัวฝ่ายวิญญาณและชุมชนแห่งความเชื่อ นำเสนอข่าวประเสริฐและ การสามัคคีธรรมของคริสตจักรให้กับทุกคนที่กลับใจใหม่ ประกอบพิธีบัพติศมาและพิธีมหาสนิท มีการนมัสการร่วมกัน สามัคคีธรรมกัน ประกาศข่าวประเสริฐ และสร้างสาวก บรรลุการงานของพระกายของพระคริสต์ให้สำเร็จโดยการใช้ ของประทานพระวิญญาณบริสุทธิ์ ยอมจำนนต่อพระวจนะของพระเจ้า มีความเป็นหนึ่งเดียวกันตั้งอยู่บนพื้นฐานหลักคำสอนตามพระคัมภีร์ มีประสบการณ์ในพระคุณ และมีชีวิตของพระวิญญาณ

ตอนนี้ให้เราพิจารณาคำนิยามของวินัยในคริสตจักร

คำนิยามของวินัยในคริสตจักร

วินัยในคริสตจักรคือการตอบสนองอย่างเด็ดเดี่ยวของคริสตจักรต่อความบาปของสมาชิกคนหนึ่งโดยมีวัตถุประสงค์สี่ประการคือ เพื่อปกป้องความเป็นหนึ่งเดียวกันของคริสตจักร การยืนหยัดในความจริง การปกป้องที่ประชุมจากอิทธิพลที่ผิด และนำสมาชิกที่ทำบาปกลับคืนสู่ความรอดและการสามัคคีธรรม

► ดูคำนิยามของคริสตจักรและคำนิยามของวินัยในคริสตจักร พิจารณาว่าคริสตจักรคืออะไร อธิบายว่าทำไมจึงจำเป็นต้องมีวินัยในคริสตจักร

ความจำเป็นของวินัยในคริสตจักร

อะไรเกิดขึ้นเมื่อสมาชิกคริสตจักรกลับไปทำบาป แต่ยังคงเข้าร่วมในคริสตจักร? มันจะเป็นอย่างไรถ้าหากสมาชิกคนหนึ่งไม่ได้เชื่อในหลักคำสอนที่เป็นรากฐานของคริสตจักรอย่างแท้จริงและสอนหลักคำสอนที่ผิด? อะไรจะเกิดขึ้นถ้าหากสมาชิกคนหนึ่งทำผิดต่อบางคนและไม่ยอมรับผิด?

บางคริสตจักรถูกพระเยซูต่อว่าเพราะพวกเขาล้มเหลวในการสร้างวินัยในคริสตจักร คริสตจักรที่เปอร์กามอสมีพวกผู้สอนหลักคำสอนเท็จที่ควรถูกกำจัดออกไป (วิวรณ์ 2:14-16) คริสตจักรที่ธิยาทิรามีผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งพระเยซูเรียกว่าเยเซเบล หญิงคนนี้นำผู้คนให้ทำผิดทางเพศและนมัสการรูปเคารพต่าง ๆ ด้วยเหตุนี้องค์พระผู้เป็นเจ้าจึงต่อว่าคริสตจักรนั้น (วิวรณ์ 2:20)

พระคัมภีร์บอกเราว่าความสว่างกับความมืดสามัคคีธรรมกันไม่ได้ ไม่มีการสามัคคีธรรมกันระหว่างคนที่รับใช้พระคริสต์กับคนที่รับใช้พระอื่น (2 โครินธ์ 6:14-15)

เราจะพิจารณาเหตุผลสี่ประการที่จำเป็นต้องมีวินัยในคริสตจักร เพิ่มเติมในบทเรียนนี้ เราจะดูข้อพระคัมภีร์ที่สนับสนุนเหตุผลเหล่านี้ แต่เราจะสรุปโดยย่อที่นี่เพื่อให้ง่ายต่อการเรียนรู้

1. วินัยในคริสตจักรจำเป็นเพราะคริสตจักรต้องมีความเป็นหนึ่งเดียวกัน ความเป็นหนึ่งเดียวกันในคริสตจักรขึ้นอยู่กับหลักคำสอนของพระคัมภีร์และชีวิตของพระวิญญาณ คำนิยามของคริสตจักรแสดงให้เห็นถึงความสำคัญที่สมาชิกของคริสตจักรจะอยู่ในการสามัคคีธรรมฝ่ายวิญญาณ การสามัคคีธรรมนั้นขึ้นอยู่กับความสัมพันธ์กับพระเจ้าและประสบการณ์ในพระคุณ ถ้าหากคนหนึ่งสูญเสียชีวิตฝ่ายวิญญาณของเขา เขาก็ไม่สามารถมีสามัคคีธรรมแบบ
คริสเตียนได้ ถ้าหากสมาชิกคนหนึ่งปฏิเสธที่จะยอมรับความจริง ไม่กลับใจจากบาป หรือไม่ยอมรับความผิด เขาก็ไม่ได้เป็นหนึ่งเดียวกันกับคริสตจักรอีกต่อไป

2. วินัยคริสตจักรจำเป็นเพราะคริสตจักรต้องสนับสนุนความจริง การยอมให้สมาชิกคนหนึ่งคงอยู่ในความบาปคือการล้มเหลวต่อการสนับสนุนความจริง คริสตจักรไม่สามารถยืนหยัดเพื่อรักษาความจริงต่อโลกนี้ได้หากสมาชิกของคริสตจักรใช้ชีวิตด้วยการฝ่าฝืนความจริง

[1]3. วินัยในคริสตจักรจำเป็นเพื่อปกป้องคนของคริสตจักรจากอิทธิพลที่ผิด หากสมาชิกคริสตจักรอยู่ในบาปที่เห็นได้ชัดแต่ยังคงได้รับความเคารพนับถือในฐานะคริสเตียนคนหนึ่ง สมาชิกคนอื่น ๆ ก็จะถูกลองใจให้ทำอย่างเดียวกัน

4. วินัยในคริสตจักรจำเป็นเพื่อนำสมาชิกที่ทำบาปให้กลับคืนมา หากสมาชิกคนหนึ่งใช้ชีวิตอยู่ในความบาปและไม่ได้รับการเผชิญหน้า เขาก็มีโอกาสกลับใจน้อยกว่า ถ้าหากเขาได้รับ
การเผชิญหน้า เขาอาจโกรธ แต่ต่อมาเขาจะมีโอกาสกลับใจมากกว่า

การลงโทษไม่ได้เป็นเหตุผลสำหรับวินัยในคริสตจักร การลงโทษไม่ได้เป็นความรับผิดชอบของคริสตจักร มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่สามารถลงโทษความบาปได้ การกระทำของคริสตจักรควรมีเพื่อจุดประสงค์ในการแก้ไขตักเตือน ไม่ใช่เพื่อลงโทษ

► อะไรจะเกิดขึ้นหากคริสตจักรล้มเหลวในการใช้วินัยกับสมาชิกที่ทำบาปอย่างเปิดเผย?


[1]

“การปกครองคริสตจักรของพระคริสต์แตกต่าง
อย่างมากจากการปกครองในระบบของโลก
โดยวางรากฐานในความถ่อมใจและความรักแบบพี่น้อง ซึ่งได้รับมาจากพระคริสต์ ศีรษะของคริสตจักร และดำเนินต่อไปโดยความจริง
และพระวิญญาณของพระองค์”
- Adam Clarke,
Christian Theology

คำแนะนำจากพระเยซูเกี่ยวกับวินัยในคริสตจักร

► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน มัทธิว 18:15-20 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง

พระเยซูให้คำแนะนำเพื่อจัดการความขัดแย้งระหว่างผู้เชื่อ ถ้าผู้เชื่อคนหนึ่งคิดว่าบางคนทำผิดต่อเขา เขาควรคุยกับคนนั้นส่วนตัว ปัญหาส่วนใหญ่ได้รับการแก้ไขในจุดนี้ บ่อยครั้งที่ปัญหาเกิดจากความเข้าใจผิด ถ้าหากผู้เชื่อสองคนซื่อสัตย์และถ่อมใจ พวกเขาก็จะขจัดปัญหาระหว่างพวกเขาได้

ความสัมพันธ์ท่ามกลางผู้เชื่อนั้นมีคุณค่า ถ้าหากคนหนึ่งเชื่อว่าอีกคนหนึ่งทำผิดต่อเขา ความสัมพันธ์ก็ถูกทำลาย เขาควรไปหาคนที่ทำผิดนั้นด้วยความถ่อมใจและเมตตา และแสดงให้เห็นว่าความสัมพันธ์นั้นสำคัญต่อเขา เขาสามารถพูดทำนองนี้ว่า “พี่น้องของผม ผมซาบซึ้งใจที่คุณเป็นพระพรในคริสตจักร คุณเป็นเพื่อนที่สำคัญต่อผม แต่ผมกังวลใจเพราะรู้สึกว่าคุณทำผิดกับผมบางอย่าง ผมคุยกับคุณเท่านั้นเพราะผมอยากให้ความสัมพันธ์ของเราถูกต้อง” อธิบายความผิดนั้น แต่ระวังที่จะไม่กล่าวหาและรุนแรง ขอให้พร้อมฟังและเข้าใจ พร้อมที่จะให้อภัย

ตามคำแนะนำของพระเยซู ถ้ามีใครทำผิดจริงและไม่ยอมรับผิด อีกคนควรพูดคุยกับเขาพร้อมกับผู้เชื่อที่น่านับถืออีกหนึ่งหรือสองคน ให้ย้ำกับคนที่ทำผิดอีกครั้งว่าเขาเป็นที่รักและความสัมพันธ์กับเขานั้นเป็นสิ่งสำคัญ

ถ้าหากคนที่ทำผิดยังคงปฏิเสธที่จะยอมรับความผิด เขาควรถูกรายงานต่อผู้นำคริสตจักร ผู้นำควรมาพูดคุยกับเขา ถ้าหากเขาปฏิเสธที่จะฟัง คริสตจักรควรตกลงร่วมกันโดยถือว่าเขาเป็นคนที่ไม่เชื่อ

การถือว่าคนหนึ่งเป็นคนที่ไม่เชื่อไม่ได้เป็นการปฏิบัติต่อเขาอย่างหยาบคาย แต่เป็นการบอกว่าเขาไม่ได้เป็นสมาชิกที่มีส่วนร่วมในคริสตจักรอีกต่อไปหรือไม่ได้มีส่วนนำพันธกิจใด ๆ ของคริสตจักรอีก เขาไม่สามารถรับมหาสนิทได้เพราะเขาได้รับการพิจารณาว่าเป็นคนนอกศาสนาแล้ว (ข้อ 17) คริสตจักรให้เขารู้ว่าคริสตจักรไม่ได้ถือว่าเขาเป็นผู้เชื่อและคริสตจักรยังอธิษฐานให้เขากลับใจใหม่

หลังจากให้คำแนะนำเหล่านี้ พระเยซูให้บทเรียนเรื่องการให้อภัย (มัทธิว 18:21-35) ถ้าหากคนนั้นยอมรับความผิดและกลับใจใหม่ เราต้องพร้อมให้อภัยเขา

► คุณจะพูดอย่างไรกับคนที่ทำผิดต่อคุณเมื่อคุณพยายามรื้อฟื้นความสัมพันธ์กับเขา?

คำแนะนำจากเปาโลเกี่ยวกับวินัยในคริสตจักร

► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน 1 โครินธ์ 5 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง อะไรคือสถานการณ์ที่เปาโลกล่าวถึงในบทนี้?

อัครทูตเปาโลให้คำแนะนำเรื่องวินัยในคริสตจักรสำหรับกรณีเจาะจงในคริสตจักรโครินธ์ สมาชิกคนหนึ่งของคริสตจักรมีความสัมพันธ์ที่ผิดศีลธรรม

เปาโลบอกพวกเขาว่าวินัยในคริสตจักรไม่ได้มีไว้เพื่อคนนอกคริสตจักรแต่เพื่อสมาชิกคริสตจักร (11-12) คริสตจักรต้องดำเนินการด้วยความเป็นหนึ่งเดียวกัน (“เมื่อพวกท่านมารวมกัน) พวกเขาต้องถอนคนนี้ออกจากการสามัคคีธรรมของพวกเขา

ถ้าหากคนหนึ่งที่ “เรียกว่าพี่น้อง” ทำบาปอย่างที่กล่าวถึงในข้อ 11 คริสเตียนต้องไม่สามัคคีธรรมกับเขาเลย จุดประสงค์เพื่อให้คนนั้นตระหนักชัดว่าเขาไม่ได้เป็นคริสเตียนและเพื่อให้โลกรู้ว่าคนนี้ไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักร นี่รวมถึงการเอาเขาออกจากตำแหน่งใด ๆ ในคริสตจักร เขาไม่สามารถร่วมพิธีมหาสนิทเพราะพิธีนั้นหมายถึงการสามัคคีธรรมอันใกล้ชิดมากยิ่งกว่าการกินอาหารร่วมกัน

เปาโลบอกเป้าหมายสองอย่างของการกระทำนี้ เป้าหมายหนึ่งคือเพื่อคริสตจักรจะบริสุทธิ์ (6-7) เป็นไปไม่ได้ที่คริสตจักรเป็นหนึ่งเดียวกันได้ถ้าหากสมาชิกอยู่ในความบาป

เป้าหมายอย่างที่สองคือเพื่อนำคนบาปกลับสู่ความรอด (“เพื่อจิตวิญญาณนั้นจะได้รับความรอด”) ถ้าหากคริสตจักรยังคงยอมรับเขาให้เป็นสมาชิกในขณะที่เขายังคงทำบาปต่อไป เขาก็จะคิดว่าเขาทำได้และไม่ต้องกลับใจใหม่ เขาจะกลับใจมากกว่าถ้าหากคริสตจักรสร้างวินัยให้เกิดขึ้น

การปฏิบัตินี้เรียกว่า “มอบเขาไว้กับซาตาน” มีอีกกรณีที่เปาโลมอบพวกผู้สอนหลักคำสอนเท็จไว้กับซาตาน (1 ทิโมธี 1:20) คนบาปจำเป็นต้องเข้าใจว่าเขาไม่ได้อยู่ภายใต้พระพรและการปกป้องของพระเจ้า ในฐานะคนบาป เขาอยู่นอกคริสตจักรและเป็นผู้รับใช้ซาตาน ชีวิตบาปจะทำลายเขาถ้าหากเขาไม่กลับใจใหม่

► ให้นักศึกษาคนหนึ่งอ่าน ทิตัส 3:10-11 ให้ทุกคนในกลุ่มฟัง

ถ้าคนหนึ่งกำลังสอนหลักคำสอนนอกรีต คริสตจักรควรพยายามแก้ไขเขาสองครั้ง หลังจากนั้นเขาควรถูกปฏิเสธ พระคัมภีร์บอกเราว่าคนนี้ได้ละเมิดมโนธรรมของตัวเองแล้ว

ลัทธินอกรีตไม่ได้แตกต่างเพียงเล็กน้อยด้านหลักคำสอน ลัทธินอกรีตคือหลักคำสอนเท็จที่ขัดแย้งกันกับหลักคำสอนที่เป็นรากฐานของข่าวประเสริฐ เราไม่ควรด่วนกล่าวหาใครว่าเป็นลัทธินอกรีต คนหนึ่งอาจผิดในหลักคำสอนบางเรื่องแต่ก็ยังคงเป็นผู้ติดตามพระคริสต์ที่จริงใจ

► ดูใน 2 เธสะโลนิกา 3:6, 14-15 อธิบายหลักคำสอนที่ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ให้ไว้

วินัยของศิษยาภิบาล

ศิษยาภิบาลมักจะถูกวิพากษ์วิจารณ์ ศิษยาภิบาลมักจะอยู่ในสถานการณ์ที่พวกเขาถูกกล่าวหาว่าทำผิด เป็นสิ่งสำคัญที่ศิษยาภิบาลต้องสร้างความไว้ใจให้เกิดขึ้นกับคนของเขาโดยเป็นแบบอย่างที่ดีเสมอ

การกล่าวหาศิษยาภิบาลไม่ควรได้รับการพิจารณายกเว้นมีพยานสองสามคน (1 ทิโมธี 5:19) ผู้นำของสมาพันธ์คริสตจักรหรือสังกัดนิกายต้องรับผิดชอบให้ศิษยาภิบาลรายงานตนเอง และควรเข้ามาเกี่ยวข้องหากศิษยาภิบาลต้องได้รับการตรวจสอบหรือถอดถอน พวกเขาสามารถช่วยประคองคริสตจักรในยามที่มีข้อสงสัยเกี่ยวกับพันธกิจของคริสตจักร

► ทำไมความบาปของศิษยาภิบาลจึงร้ายแรง?

กระบวนการนำกลับคืน

เราควรระลึกว่าเป้าหมายของวินัยในคริสตจักรคือเพื่อนำสมาชิกกลับคืนสู่ความรอดและการสามัคคีธรรม คริสตจักรไม่จำเป็นต้องแน่ใจว่าสมาชิกที่ทำบาปได้รับโทษเพียงพอ เมื่อสมาชิกยอมรับว่าทำบาปและกลับใจใหม่ คริสตจักรควรนำเข้าสู่กระบวนการนำกลับคืนมา

ในกรณีของความบาปบางอย่าง ถ้าหากสมาชิกยอมรับความผิดทันทีและแก้ไขพฤติกรรม เขาก็ยังสามารถมีส่วนร่วมในคริสตจักรได้ ความบาปที่ร้ายแรงมากกว่าถูกเขียนไว้ใน 1 โครินธ์ 6:9-10 รวมถึงบาปทางเพศ ขโมย และการเมามาย สมาชิกที่ทำหนึ่งในบาปเหล่านี้ควรถูกถอดถอนจากการเป็นสมาชิกและจากตำแหน่งใด ๆ ในการเป็นผู้นำ

กระบวนการนำกลับคืนมาเริ่มต้นเมื่อสมาชิกกลับใจจากบาป หากเป็นความบาปที่ร้ายแรงมากกว่า เขาก็ไม่สามารถถูกนำกลับคืนสู่การเป็นผู้นำหรือการมีส่วนร่วมในฐานะสมาชิกได้อย่างทันที บางครั้งจำเป็นต้องให้มีการกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์

(1) การสารภาพ

สมาชิกคนนั้นต้องยอมรับความผิดของตนต่อคนที่ได้รับผลเสีย คนที่ร่วมในการทำผิดกับเขา และคนที่มีสิทธิอำนาจฝ่ายวิญญาณเหนือเขา

(2) การแยกออกจากกัน

ความสัมพันธ์ที่ผิดต้องสิ้นสุดลง ความสัมพันธ์ที่มีอิทธิพลที่ผิดควรสิ้นสุดลง สิ่งใดที่ถูกใช้เพื่อทำบาปเท่านั้นต้องทิ้งไป เป็นไปได้ว่าสิ่งต่าง ๆ ที่เคยใช้ในทางที่ผิดเพื่อทำบาปจำเป็นจะต้องทิ้งไปด้วย สมาชิกควรแสดงให้เห็นว่าเขาไม่ต้องการหันกลับไปสู่ความบาปอีก

(3) การตรวจสอบชีวิต

นี่คือสิ่งหนึ่งที่ต้องใช้เวลา สมาชิกควรยอมให้ผู้มีสิทธิอำนาจฝ่ายวิญญาณของเขาตรวจสอบชีวิตเป็นประจำ ซึ่งอาจเป็น
ศิษยาภิบาลหรือคณะมัคนายก เขาควรรายงานถึงชัยชนะเหนือการลองใจ เขาควรแสดงให้เห็นว่าเขาใส่ใจเพื่อปกป้องตัวเองจากการล้มลงในการลองใจ

การตรวจสอบชีวิตควรรักษาความถี่ในการติดต่อกับผู้ให้คำปรึกษาฝ่ายวิญญาณที่ผู้มีสิทธิอำนาจเห็นชอบ ผู้ให้คำปรึกษาจะพูดคุยกับสมาชิกคนนั้นบ่อยครั้ง เป็นไปได้ทุกวันในช่วงระยะหนึ่ง ผู้ให้คำปรึกษาควรเป็นเพศเดียวกันกับคนที่ได้รับคำปรึกษา

ระยะเวลาในการตรวจสอบชีวิตต่อเนื่องไปหลายเดือน ในกรณีที่เป็นบาปทางศีลธรรมซึ่งเกี่ยวข้องกับคนอื่น โดยเฉพาะหากบาปนั้นดำเนินมาสักระยะเวลาหนึ่งแล้ว ระยะเวลาในการตรวจสอบชีวิตต้องนานกว่า ในช่วงระยะเวลานี้ สมาชิกคนนั้นไม่ควรได้รับอนุญาตให้นำหรือสอนไม่ว่าในรูปแบบใดก็ตาม เขาควรได้รับอนุญาตให้รับมหาสนิทถ้าหากเขาแสดงออกให้เห็นถึงการกลับใจอย่างแท้จริง

เหตุผลสำหรับระยะเวลานั้นไม่ได้หมายความว่าสมาชิกคนนั้นไม่ได้เป็นคริสเตียน ถ้าหากเขากลับใจใหม่ เขาได้รับการยกโทษและรับความรอดแล้ว ช่วงระยะเวลานั้นเพื่อเขาจะสามารถได้รับการรักษาเยียวยาจากผลกระทบของความบาปที่เขาทำ ได้รับการสร้างวินัยฝ่ายวิญญาณให้เข้มแข็ง และแสดงให้เห็นถึงชีวิตคริสเตียนที่เสมอต้นเสมอปลาย

พระคัมภีร์บอกเราว่าคน ๆ หนึ่งไม่ควรเป็นผู้นำเว้นแต่เขาจะมีชื่อเสียงดีต่อคนนอกคริสตจักร (1 ทิโมธี 3:7, 10) ถ้าหากคนหนึ่งพึ่งกลับใจจากชีวิตที่ทำบาปอย่างเปิดเผย โลกต้องเห็นชีวิตของเขาในฐานะคริสเตียนสักระยะหนึ่งก่อนที่เขาจะกลายมาเป็นผู้นำได้ ไม่เช่นนั้นก็จะดูเหมือนว่าคริสตจักรแต่งตั้งคนบาปให้เป็นผู้นำ หลักการอย่างเดียวกันนำมาใช้กับคนที่กำลังได้รับการนำกลับคืนมาหลังจากที่ล้มลงในความบาปด้วย

(4) การยืนยัน

นี่คือการนำกลับคืนมาอย่างสมบูรณ์ เวลานี้สมาชิกคนนั้นมีความมั่นใจในคริสตจักรและสามารถมีส่วนร่วมอย่างเต็มที่ในฐานะสมาชิกคนหนึ่งได้ในทุกบทบาทที่คริสตจักรมอบหมายให้เขา การจะได้รับตำแหน่งสูงฐานะผู้นำอาจยังต้องใช้เวลานานกว่าโดยเฉพาะตำแหน่งศิษยาภิบาล

► อธิบายถึงระยะเวลาในการตรวจสอบชีวิตว่าใช้ได้ผลอย่างไรและอะไรคือวัตถุประสงค์?

ข้อกำหนดการเป็นสมาชิกคริสตจักร

คริสตจักรส่วนใหญ่มีคำประกาศหลักคำสอนที่นอกเหนือจากหลักคำสอนที่เป็นรากฐานของศาสนาคริสต์ รายละเอียดหลักคำสอนเหล่านี้ทำให้คริสตจักรนั้นแตกต่างจากคริสตจักรอื่น ๆ คริสตจักรต่าง ๆ ที่มีหลักคำสอนที่แตกต่างออกไปจะมีชื่อระบุชัดเช่น เมธอดิสท์ เพรสไบทีเรียน ลูเธอร์แรน แบ็พติศ หรืออื่น ๆ ความแตกต่างระหว่างคริสตจักรต่าง ๆ ย่อมไม่ใช่คำสอนนอกรีต และคนไม่ควรถูกเรียกว่าเป็นคนบาปเพราะความแตกต่างเหล่านั้น

การยอมรับรายละเอียดร่วมกันนั้นเป็นสิ่งจำเป็นต่อสมาชิกคริสตจักรเพื่อจะสามารถนมัสการร่วมกันและทำพันธกิจร่วมกันได้ ด้วยเหตุนี้ คริสตจักรอาจกำหนดให้สมาชกสนับสนุนคำประกาศหลักคำสอนของคริสตจักร พวกเขาต้องไม่พูดว่า คน ๆ หนึ่งจะต้องเชื่อในหลักคำสอนของพวกเขาเพื่อจะเป็นคริสเตียน แต่เพื่อจะเป็นหนึ่งเดียวกันในคริสตจักรท้องถิ่นที่มีส่วนร่วมนั้น

[1]ถ้าหากคนหนึ่งไม่เชื่อหลักคำสอนของคริสตจักรที่ตนมีส่วนร่วม คริสตจักรนั้นมีสิทธิปฏิเสธไม่ให้เขาเป็นสมาชิก ถ้าสมาชิกคนใดสอนหรือยืนยันหลักคำสอนที่ขัดแย้งกันกับหลักคำสอนของคริสตจักร เขาอาจถูกถอนจากการเป็นสมาชิกได้

ถ้าสมาชิกถูกถอดถอนเนื่องจากความแตกต่างทางหลักคำสอนซึ่งไม่ใช่หลักคำสอนสำคัญของศาสนาคริสต์ สิ่งนี้จะไม่เหมือนกันกับการสร้างวินัยในคริสตจักรเนื่องจากบาปนอกรีตหรือบาปที่เห็นได้ชัด คริสตจักรไม่ควรกล่าวว่าคนนั้นไม่ใช่คริสเตียนเพียงเพราะเขาไม่ได้ปฏิบัติตามข้อกำหนดในการเป็นสมาชิก

ถ้าหากคริสตจักรมีข้อกำหนดสำหรับการเป็นสมาชิกซึ่งรวมถึงกฎการแต่งกาย การบันเทิง หรือพฤติกรรมอื่น ๆ สมาชิกอาจถูกถอดถอนเพราะปฏิเสธไม่ทำตามข้อกำหนดเหล่านั้น สิ่งนี้ไม่เหมือนกับการสร้างวินัยในคริสตจักรสำหรับบาปที่เห็นได้ชัด คริสตจักรไม่ควรกล่าวว่าคนนั้นไม่เป็นคริสเตียนเพียงเพราะเขาไม่เต็มใจทำตามข้อกำหนดการเป็นสมาชิกของคริสตจักร

► มีตัวอย่างข้อกำหนดอะไรบ้างสำหรับการเป็นสมาชิกที่บางคริสตจักรยึดถือแต่บางคริสตจักรไม่ได้ยึดถือ?


[1]

“พระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์บรรจุทุกสิ่งที่จำเป็นต่อความรอด ดังนั้นไม่ว่าสิ่งใดที่ไม่ได้อ่านพบในนั้น หรือไม่ได้รับการพิสูจน์ในนั้น จึงไม่ต้องเป็นข้อกำหนดสำหรับมนุษย์คนใดให้เชื่อว่าเป็นดั่งบทความแห่งความเชื่อหรือคิดว่าเป็นสิ่งจำเป็นต่อความรอด”
- บทความทางศาสนาของคริสตจักรแห่งอังกฤษ

การนำนมัสการและการร่วมนมัสการ

ที่ประชุมนมัสการควรเปิดให้ใครมาเข้าร่วมก็ได้ ควรมีการเชิญผู้คนให้มาเข้าร่วม

คริสตจักรอาจไม่อนุญาตให้คน ๆ หนึ่งเข้ามาเนื่องจากพฤติกรรมที่ก่อกวน อย่างเช่นคนที่มึนเมา คริสตจักรอาจไม่อนุญาตให้คน ๆ หนึ่งเข้ามาเพราะแต่งกายไม่สุภาพและไม่เคารพต่อการประชุมอย่างเห็นได้ชัด อย่างไรก็ตามเป็นสิ่งสำคัญที่ผู้คนจะไม่ถูกกีดกันออกเพราะแต่งกายไม่ดีหรือเพราะพวกเขาไม่คุ้นเคยกับการประพฤติที่เหมาะสมของคริสตจักร มันคือโศกนาฏกรรมเมื่อผู้คนรู้สึกว่าพวกเขาไม่สามารถไปที่คริสตจักรได้เพราะไม่มีเสื้อผ้าที่ดีพอ

ถ้าหากคนหนึ่งมีพฤติกรรมก่อกวนในการนมัสการ ศิษยาภิบาลหรือใครบางคนที่ได้รับการแต่งตั้งจากศิษยาภิบาลควรคุยกับเขา ถ้าหากเขาปฏิเสธที่จะให้ความร่วมมือ เขาไม่ควรได้รับอนุญาตให้ร่วมนมัสการ

บางครั้งคริสตจักรยอมให้คนที่ชีวิตไม่ได้เป็นแบบอย่างมาเล่นดนตรีหรือนำร้องเพลง คนที่นำร้องเพลงหรือเล่นดนตรีด้านหน้าเวทีก็เป็นตัวแทนบ่งบอกถึงคุณภาพของคริสตจักร ถ้าหากเขาใช้ชีวิตในความบาป คนก็คิดว่าคริสตจักรยอมรับเขาในฐานะ
คริสเตียนคนหนึ่งแม้ว่าเขากำลังทำบาปก็ตาม

► ข้อกำหนดอะไรที่คริสตจักรควรมีสำหรับคนที่นำนมัสการ?

ความผิดพลาดที่ต้องหลีกเลี่ยง

มีความผิดพลาดสามอย่างที่คนในคริสตจักรต้องหลีกเลี่ยงในการจัดการกับปัญหาในคริสตจักร

(1) ความไม่เสมอต้นเสมอปลาย

ความบาปบางอย่างดูเหมือนร้ายแรงกว่าบาปอย่างอื่น บางครั้งความแตกต่างนี้เกิดจากสมมติฐานทางวัฒนธรรม คริสตจักรอาจมีแนวโน้มจัดการอย่างเคร่งครัดกับบาปบางอย่างแต่กลับอดทนกับบาปอย่างอื่น พระเจ้าเรียกให้คริสตจักรยืนหยัดตามความจริงจากพระคัมภีร์ ไม่ใช่ตามค่านิยมทางวัฒนธรรม

มีความไม่เสมอต้นเสมอปลายในวิธีการจัดการกับผู้คนหลากหลายในที่ประชุมของคริสตจักรด้วย ถ้าหากคนหนึ่งมาจากครอบครัวที่มีอิทธิพล ผู้นำอาจระมัดระวังในการปฏิบัติต่อเขามากกว่า แต่พระคัมภีร์เตือนไม่ให้เราลำเอียงเพราะเห็นแก่ฐานะของพวกเขา (ยากอบ 2:1-9)

(2) การขาดความอดทน

บางครั้งผู้คนในคริสตจักรคิดว่าปัญหาไม่ได้รับการแก้ไขเร็วพอ พวกเขาเริ่มต้นพูดถึงปัญหากับหลายคน แม้แต่กับคนนอกคริสตจักร พวกเขาบ่นว่าผู้นำว่าไม่จัดการแก้ไขปัญหา นี่เป็นการสร้างให้ปัญหาใหม่เกิดขึ้นในคริสตจักรและทำลายอิทธิพลของคริสตจักร

(3) การขาดความรัก

บางคนมีความสุขกับการคอยจับผิดคนอื่น พวกเขาเร็วในการเชื่อคำรายงานเรื่องการทำผิด พวกเขาตัดสินคนอื่นอย่างเข้มงวด โดยไม่พยายามทำความเข้าใจ พวกเขาไม่เสียใจต่อความบาปของสมาชิกคริสตจักร พวกเขาดีใจที่จะได้กระจายข่าวร้าย พวกเขาไม่เสียใจเกี่ยวกับการกระทำที่เป็นอันตรายต่อคำพยานของคริสตจักรเลย

ศิษยาภิบาลและผู้สอนทุกคนควรพูดต่อต้านบาปแห่งการนินทา เขาควรสอนคนของเขาให้เกลียดการนินทาและปฏิเสธที่จะฟังคำนินทา

ถ้าคนรักพระเจ้า รักคริสตจักร และรักพี่น้องในพระคริสต์ เขาควรมองเห็นความบาปว่าเป็นเรื่องเศร้า เขาควรหวังใจว่าการรายงานถึงความบาปนั้นไม่เป็นความจริง แต่ถ้าเป็นจริง เขาควรปรารถนามองเห็นคนบาปได้รับการนำกลับคืนมา เขาควรช่วยป้องกันอันตรายให้กับคริสตจักร เขาจะไม่แพร่กระจายข่าวไปมากเกินกว่าความจำเป็น

ประโยคสรุปเจ็ดประโยค

1. วินัยในคริสตจักรมีวัตถุประสงค์สี่อย่างคือ ปกป้องความเป็นหนึ่งเดียวกันของคริสตจักร ยืนหยัดในความจริง ปกป้องที่ประชุมจากอิทธิพลที่ผิด และนำให้สมาชิกที่ทำบาปกลับคืนสู่ความรอดและการสามัคคีธรรม

2. สมาชิกที่ทำบาปและไม่กลับใจใหม่ คริสตจักรจะต้องถือว่าเขาเป็นคนที่ไม่เชื่อ

3. วัตถุประสงค์ของวินัยในคริสตจักรไม่ใช่การลงโทษ แต่เพื่อตักเตือนแก้ไขและนำกลับคืนมา

4. คริสตจักรไม่ควรถือว่าทุกคนที่ไม่เห็นด้วยกับหลักคำสอนที่แตกต่างของคริสตจักรและข้อกำหนดการเป็นสมาชิกว่าเป็นคนบาป

5. ขั้นตอนการนำกลับคืนมาคือ การสารภาพ การแยกออกจากกัน การตรวจสอบชีวิต และการยืนยัน

6. การนำกลับคืนมาใช้เวลาเพราะสมาชิกต้องได้รับการรักษาเยียวยาจากผลกระทบของความบาปที่เขาทำ ต้องรับการสร้างวินัยฝ่ายวิญญาณให้เข้มแข็ง และแสดงให้เห็นถึงความเสมอต้นเสมอปลายในชีวิตคริสเตียน

7. คริสตจักรต้องเฝ้าระวังไม่ให้มีความไม่เสมอต้นเสมอปลาย การขาดความอดทน และการขาดความรัก

 

งานมอบหมายบทที่ 12

1. ท่องจำประโยคสรุปเจ็ดประโยคของบทที่ 12 เขียนคำอธิบายความหมายและความสำคัญของแต่ละประโยคสรุปทั้งเจ็ดนี้โดยมีความยาวหนึ่งย่อหน้า (ทั้งหมดเจ็ดย่อหน้า) ให้กับบางคนที่ไม่ได้อยู่ในชั้นเรียนนี้ นำคำอธิบายนี้กลับมาส่งให้กับหัวหน้าชั้นเรียนก่อนถึงชั่วโมงเรียนถัดไป ขอให้เตรียมพร้อมแบ่งปันคำอธิบายหนึ่งย่อหน้าให้กับกลุ่มในกรณีที่หัวหน้าชั้นได้ขอให้คุณแบ่งปันในช่วงเวลาที่มีการอภิปรายกัน เขียนประโยคเหล่านี้จากการท่องจำตอนเริ่มต้นชั่วโมงเรียนถัดไป

2. อย่าลืมกำหนดเวลาเพื่อสอนนอกชั้นเรียนด้วยตัวของคุณเองและรายงานให้กับหัวหน้าชั้นเรียนเมื่อคุณสอนแล้ว

3. งานมอบหมายในการเขียน: แบ่งข้อพระคัมภีร์อ้างอิงด้านล่างนี้ให้กับนักศึกษา โดยแต่ละคนควรเขียนคำอธิบายหนึ่งย่อหน้าถึงสิ่งที่ข้อพระคัมภีร์ที่เขาได้รับบอกให้เราทำ

  • 1 ทิโมธี 5:13

  • ทิตัส 2:3

  • กาลาเทีย 5:15, 26

  • กาลาเทีย 6:1

  • โคโลสี 3:8-9

  • โคโลสี 3:12-15

  • ฟิลิปปี 4:8

  • เอเฟซัส 4:29-32

Next Lesson