เอเฟซัส 5:33 สั่งไว้ว่า “อย่างไรก็ดี พวกท่านแต่ละคนจงรักภรรยาของตนเหมือนรักตัวเอง และภรรยาก็จงยำเกรง สามี”
ผู้ชายต้องการความเคารพยำเกรง ผู้ชายส่วนใหญ่อยากให้คนเคารพมากกว่าให้คนชอบ พระเจ้าออกแบบผู้ชายมาเพื่อให้เป็นคนปกป้อง สนับสนุน และนำครอบครัวของเขา ตำแหน่งของพ่อและสามีสมควรได้รับความเคารพยำเกรงก่อนที่เขาจะทำอะไรเพื่อให้ได้ความเคารพด้วยซ้ำ ภรรยาควรประพฤติต่อสามีด้วยความเคารพยำเกรงแม้เมื่อเขาทำผิด เธอควรปฏิบัติต่อเขาในฐานะบุคคลหนึ่งที่ถูกสร้างขึ้นตามพระฉายของพระเจ้า ซึ่งเขาเป็นคนสำคัญแม้เมื่อเขาไม่ได้ใช้สิทธิอำนาจอย่างสมบูรณ์ก็ตาม (เอเฟซัส 5:23) นี่ไม่ได้หมายความว่าเธอไม่สามารถบอกเขาได้ว่าไม่เห็นด้วยกับการกระทำหรือการตัดสินใจของเขา แต่เธอไม่ควรปฏิบัติต่อเขาด้วยการไม่เคารพยำเกรง
เมื่อภรรยาเคารพสามีโดยการยอมอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจของเขา เธอก็แสดงความรักต่อพระเยซู (เอเฟซัส 5:22, 31-33)
ภรรยาบางคนคิดว่าเธอรักสามีของเธอแม้เมื่อเธอไม่ได้แสดงความเคารพต่อสามีก็ตาม เช่น วิพากษ์วิจารณ์สามีเรื่องเพื่อนของเขา แอบทำอะไรลับ ๆ และใช้คำรุนแรง พวกเธอควรเข้าใจว่าไม่มีความน่าดึงดูดใจอันใดที่จะมาชดเชยการไม่เคารพยำเกรงได้
ผู้หญิงส่วนใหญ่มีสายใยแน่นแฟ้นในการเป็นแม่กับลูกเล็ก ๆ ของเธอ พวกเธอมีความสามารถในการเลี้ยงดูและความปรารถนาตามธรรมชาติในการเอาใจใส่ดูแลลูกน้อย นึกถึงผู้หญิงจะรู้สึกอย่างไรถ้าหากมีบางคนพูดว่า “เธอเลี้ยงลูกไม่ได้เรื่องเลย” ในทำนองเดียวกันผู้ชายเองก็มีสายใยแข็งแกร่งเพื่อปกป้อง จัดเตรียม และนำ เมื่อภรรยาของชายคนหนึ่งบอกว่าเขาทำสิ่งเหล่านั้นไม่ได้ เขาก็รู้สึกว่าตัวเองล้มเหลวในฐานะเป็นผู้ชายคนหนึ่ง
ภรรยาควรเข้าใจว่าจะมีผู้ชายคนอื่นที่มีบุคลิกเข้มแข็งกว่า หาเงินได้เก่งกว่า หรือมีตำแหน่งสูงกว่าสามีของเธอ เธอไม่ควรทำให้สามีรู้สึกล้มเหลวโดยการเปรียบเทียบเขากับคนอื่น เมื่อเราเรียนรู้จาก เอเฟซัส 5:21-33 ภรรยาเป็นหนึ่งเดียวกันกับสามีของเธอ เมื่อภรรยาวิพากษ์วิจารณ์สามีหรือเปรียบเทียบเขากับคนอื่น เธอก็สร้างความเสียหายให้กับทั้งคู่ และให้กับความสัมพันธ์ของพวกเขา
► ให้นักศึกษาคนหนึ่งเป็นตัวแทนกลุ่ม อ่านสุภาษิต 31:11-12, 26 ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้สอนอะไรเกี่ยวกับวิธีการที่ภรรยาผู้รักพระเจ้าจะปฏิบัติต่อสามีด้วยการประพฤติและด้วยคำพูด?
(1) ภรรยาเคารพสามีของเธอด้วยคำพูดยืนยัน
ภรรยาควรยืนยันศักยภาพของสามี ความเคารพจะปรากฏชัดด้วยถ้อยคำที่ภรรยาพูดกับสามีของเธอ คำพูดมีผลอย่างมากต่อผู้ชายส่วนใหญ่ คำพูดจะก่อสร้างขึ้นหรือรื้อลงก็ได้ (สุภาษิต 14:1) คำพูดจะให้กำลังใจหรือทำให้อ่อนแอลง จะเสริมความมั่นใจของเขาหรือทำลายจิตวิญญาณของเขา (สุภาษิต 18:21) ผู้ชายอาจไม่ประสบความสำเร็จในทุกธุรกิจหรือไม่สามารถดำรงตำแหน่งบางตำแหน่งได้ แต่ภรรยาควรยืนยันความพยายามของเขาในการจัดหาบ้านและความมั่นคงให้กับครอบครัว เธอไม่ควรพยายามสกัดกั้นเขาจากการมีความคิดและความพยายามต่อการท้าทายใหม่ ๆ
► ให้นักศึกษาบางคนเป็นตัวแทนกลุ่ม อ่าน สุภาษิต 15:4 และสุภาษิต 16:24
(2) ภรรยาเคารพสามีโดยผ่านการยอมเชื่อฟัง (1 เปโตร 3:5)
การยอมเชื่อฟังของภรรยาไม่ได้หมายความว่าเธอด้อยกว่าสามี แต่หมายความว่าบทบาทของพวกเขาแตกต่างกัน แม้ในตรีเอกานุภาพ เราก็เห็นว่าพระบุตรยอมเชื่อฟังพระบิดา แม้พระบุตรไม่ได้ด้อยกว่าพระบิดาในลักษณะทางธรรมชาติ ในฤทธิ์อำนาจ หรือในลักษณะใด ๆ ก็ตาม
หลักการนี้ไม่ง่ายสำหรับภรรยาบางคน โดยเฉพาะถ้าสามีของเธอไม่ใช้ชีวิตตามพระวจนะของพระเจ้า หรือถ้าหากเขาไม่ได้เห็นอกเห็นใจพวกเธอ ภรรยาบางคนรู้สึกว่าพวกเธอสามารถตัดสินใจเพื่อตัวเองหรือเพื่อครอบครัวได้ดีกว่าสามี บางครั้งภรรยาก็ถูกต้อง และสามีเป็นคนผิด อย่างไรก็ตามถ้าภรรยายอมเชื่อฟังสามีของเธอเฉพาะเมื่อเธอเห็นด้วยกับเขาเท่านั้น เธอก็กำลังแย่งสิทธิอำนาจและไม่ได้ยอมเชื่อฟังอย่างแท้จริง การยอมเชื่อฟังหมายถึงยอมให้อีกคนตัดสินใจ
เปโตรบอกกับภรรยาทั้งหลายว่า
ส่วนพวกท่านที่เป็นภรรยาก็เช่นกัน จงยอมเชื่อฟังสามีของตน เพื่อว่าแม้สามีบางคนไม่เชื่อพระวจนะ แต่ความประพฤติของภรรยาก็อาจจะจูงใจพวกเขาให้เชื่อได้...อย่าประดับตัวแต่ภายนอก ด้วยการถักผม การสวมใส่เครื่องทอง หรือการนุ่งห่มเสื้อผ้าณ 4 แต่จงประดับด้วยบุคลิกที่ซ่อนอยู่ในใจ ด้วยเครื่องประดับซึ่งไม่รู้เสื่อมสลาย คือด้วยจิตใจที่สุภาพอ่อนโยนและจิตใจที่สงบ ซึ่งเป็นสิ่งล้ำค่ายิ่งนักในสายพระเนตรพระเจ้า (1 เปโตร 3:1, 3-4)
มีหลายสถานการณ์ที่ยากลำบาก ภรรยาหลายคนถามคำถามว่า “ ถ้าเขาบอกให้ฉัน_______ ฉันต้องทำสิ่งนั้นไหม?” บทเรียนนี้ไม่สามารถพูดถึงสถานการณ์ต่าง ๆ มากมายที่มีอยู่ได้ อย่างไรก็ตาม ปัญหาของการยอมเชื่อฟังมักไม่ใช่เพราะสามีเรียกร้องสิ่งที่ภรรยาไม่ควรทำ ภรรยาอาจไม่อยากยอมเชื่อฟังเพราะคิดว่าสามีของเธอทำเกินกว่าเหตุที่ให้เธอทำเช่นนั้น บางทีสามีอาจไม่ได้รักและเห็นอกเห็นใจเธอ ภรรยาอาจไม่ต้องการยอมสละสิทธิเสรีภาพในการตัดสินใจด้วยตัวเอง ภรรยาอาจมีท่าทีแข็งขืน ภรรยาอาจใช้ตัวอย่างการกระทำที่ไร้ความกรุณาของสามีหรือความผิดพลาดเป็นข้ออ้างเพื่อปฏิเสธสิทธิอำนาจโดยทั่วไปของเขา นี่เป็นการไม่เชื่อฟังคำสั่งจากพระวจนะของพระเจ้า
พระคัมภีร์บอกเราว่าภรรยาที่รักพระเจ้าและยอมเชื่อฟังก็อาจนำสามีของเธอมาหาองค์พระผู้เป็นเจ้าได้ เราไม่ได้รับประกันว่าสามีจะมาเป็นผู้เชื่อเพราะภรรยาดี แต่เขามีโอกาสน้อยมากที่จะมาเป็นผู้เชื่อหากภรรยาที่เป็นคริสเตียนแข็งขืน ภรรยาอาจได้รับความโปรดปรานมากมายจากสามีของเธอโดยการให้ความเคารพ แต่นั่นไม่ใช่เหตุผลหลักที่เธอควรทำ เธอควรเคารพสามีของเธอเพราะเธอมีหน้าที่ที่ต้องเคารพต่อเขาและเพราะเธอต้องการทำให้พระเจ้าพอพระทัย
สุภาษิต 12:4 กล่าวว่า “ภรรยาที่เลิศประเสริฐเป็นมงกุฎของสามีตน แต่นางผู้นำความอับอายมาก็เหมือนความเน่าเปื่อยในกระดูกสามี” ถ้าภรรยาปฏิบัติต่อสามีด้วยการไม่แสดงความเคารพต่อหน้าเพื่อน ๆ ของเขา นั่นเป็นการทำให้เขาเสียเกียรติโดยที่เธอไม่มีวันนำกลับคืนมาได้อีก ผู้ชายชื่นชมผู้ชายคนอื่นที่มีภรรยาซึ่งอุทิศตัวต่อเขา ผู้ชายสงสารผู้ชายคนอื่นที่มีภรรยาที่ไม่เคารพเขา
(3) ภรรยาเคารพสามีโดยการใส่ใจต่อความต้องการของเขา (สุภาษิต 31:15, 21, 25, 27)
เมื่อภรรยาเรียนรู้รายละเอียดเกี่ยวกับการเตรียมอาหารและดูแลบ้านเรือนเป็นพิเศษเพื่อให้สามีชอบใจ สามีก็รู้สึกว่าภรรยาให้เกียรติเขา ถ้าเธอปฏิเสธที่จะเปลี่ยนนิสัยตัวเองเพื่อเห็นแก่เขา เขาก็รู้สึกว่าตัวเองไม่สำคัญต่อเธอ
ถ้าภรรยายุ่งกับการทำงานหรือมัวอยู่กับเพื่อน ๆ หรือคริสตจักร หรือสิ่งบันเทิง และไม่ใช้เวลาฟังสามีพูดหรือสังเกตความต้องการของเขา เขาก็รู้สึกว่าตนเองไม่สำคัญสำหรับเธอเลย
ปฐมกาล 2:18 สอนว่า “พระยาห์เวห์พระเจ้าตรัสว่า ‘การที่ชายผู้นี้จะอยู่แต่ลำพังนั้นไม่ดี เราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสมกับเขาขึ้น’”
(4) ภรรยาเคารพสามีโดยการเอาใจใส่ดูแลฝ่ายร่างกาย
ความพึงพอใจทางเพศดูเหมือนจะมีความสำคัญมากกว่าสำหรับผู้ชายส่วนใหญ่เมื่อเทียบกับผู้หญิง ผู้หญิงอาจไม่ค่อยสนใจ ในกิจกรรมทางเพศ นอกเสียจากว่าอารมณ์ของเธอโน้มเอียงไปทางนั้น ซึ่งบ่อยน้อยกว่าที่ผู้ชายต้องการ นั่นหมายความว่าสามีมักจะไม่พอใจในขณะที่ภรรยาไม่เข้าใจความต้องการของเขา เธออาจดูหมิ่นความต้องการทางเพศของผู้ชายเพราะเคยถูกทารุณกรรมครั้งก่อน ๆ หรือที่เธอเคยสังเกตเห็น สามีควรพยายามอดทนและเข้าใจภรรยาของเขา แต่ภรรยาควรตระหนักว่าเป็นการดีสำหรับเธอที่จะตอบสนองความต้องการทางเพศของสามีแม้ในบางครั้งที่เธอไม่รู้สึกว่าตัวเองต้องการก็ตาม หากผู้ชายสัตย์ซื่อและอุทิศตนให้กับภรรยา โดยไม่มีความสัมพันธ์ที่ผิดกับผู้หญิงคนอื่น เขาอาจรู้สึกไม่พอใจเมื่อภรรยาไม่สนใจความต้องการของเขา ความซื่อสัตย์ของสามีต่อการอุทิศตตัวในการแต่งงานไม่ควรขึ้นอยู่กับความพึงพอใจทางกาย แต่ความใส่ใจของภรรยาต่อความต้องการทางเพศสามารถลดการต่อสู้กับสิ่งล่อใจได้
เพลงซาโลมอนชี้ให้เห็นว่า “ที่รักของดิฉันเป็นกรรมสิทธิ์ของดิฉัน และตัวดิฉันก็เป็นของเขา...ที่รักของดิฉันจ๋า มาเถอะจ๊ะ ให้เราพากันออกไปในท้องทุ่ง ให้เราพักแรมในหมู่บ้าน...ณ ที่นั่นแหละดิฉันจะมอบความรักของดิฉันให้แก่เธอ” (เพลงซาโลมอน 2:16; เพลงซาโลมอน 7:11-12, เพิ่มเติมตรงเน้นข้อความตัวหนา; ดูใน 1 โครินธ์ 7:3-5 ด้วย)
Previous
Next