มุมมองต่อการทำงาน
ในบางวัฒนธรรม เป็นเรื่องปกติที่จะมองเห็นผู้คนนั่งและไม่ได้ทำงานมาก แม้ว่าพวกเขาจะอายุน้อยและสุขภาพดีก็ตาม ถึงแม้ว่าพวกเขาจะมีความจำเป็นและต้องรับผิดชอบผู้อื่น พวกเขาก็ไม่มีแรงจูงใจในการทำงาน พวกเขาบอกว่าพวกเขาจะทำงานถ้าได้รับค่าจ้างที่ดี พวกเขาไม่เต็มใจทำงานที่ได้ค่าจ้างต่ำหรือทำงานที่ดูเหมือนมีสถานะต่ำ พวกเขาไม่เต็มใจที่จะทำงานเพื่อปรับปรุงสภาพแวดล้อมของตนหากพวกเขาจะไม่ได้แสวงหาผลกำไรเป็นการส่วนตัว
บางครั้งคนที่ถูกจ้างก็รู้สึกตื่นเต้นที่ได้งาน บางทีพวกเขาอาจอาศัยอยู่ในประเทศที่ผู้คนจำนวนมากไม่สามารถหางานที่ดีได้ พวกเขาชื่นชอบการสวมเครื่องแบบของบริษัทและภูมิใจในสถานะการจ้างงานของตน แต่ในขณะที่พวกเขาชื่นชอบสถานะของตัวเอง พวกเขาก็ไม่ได้คิดมากว่าจะรับใช้นายจ้างหรือให้บริการลูกค้าอย่างไร พวกเขาภูมิใจที่ได้เป็นส่วนหนึ่งของบริษัท แต่พวกเขาไม่รู้ว่าทำไมพวกเขาถึงถูกจ้าง
ในทางตรงกันข้ามกับคนที่ปฏิเสธที่จะทำงาน มีบางคนที่ให้ความสำคัญกับอาชีพหรือการหาเงินมากเกินไป บางทีพวกเขาอาจย้ายไปอยู่ในสถานที่ที่การจ้างงานได้รับเงินเดือนสูงกว่าที่บ้านเกิดมาก พวกเขาต้องการทำงานและหาเงินให้ได้มากที่สุด พวกเขาละเลยส่วนสำคัญอื่น ๆ ของชีวิต เช่น การบำรุงเลี้ยงความสัมพันธ์กับพระเจ้าและครอบครัว
ผู้คนในสังคมอาจทำสิ่งเหล่านี้ แต่ผู้เชื่อต้องไม่เพียงทำสิ่งที่เป็นเรื่องปกติในวัฒนธรรมของพวกเขาเท่านั้น แต่จะต้องค้นหาสิ่งที่พระเจ้าตรัส แล้วจึงเชื่อฟังพระองค์ พระคัมภีร์กล่าวไว้มากมายเกี่ยวกับงาน ความขยัน และประสิทธิภาพในการทำงาน[1]
ต้นกำเนิดของงาน
พระเจ้าเป็นผู้สร้างสรรค์ (สดุดี 104:24) พระเจ้าก่อให้เกิดประสิทธิภาพ (สดุดี 104) พระเจ้าทำงานอยู่เสมอ พระองค์มีส่วนร่วมในชีวิตของแต่ละคนและในกิจการที่มีในโลกนี้ตลอดเวลา (ยอห์น 5:17) เมื่อพระเจ้าสร้างมนุษย์ พระองค์สร้างพวกเขาตามพระฉายของพระองค์ ซึ่งเป็นภาพสะท้อนของพระองค์เอง พระองค์ต้องการให้ผู้คนเป็นผู้จัดการที่สร้างสรรค์และก่อให้เกิดประสิทธิภาพในสิ่งทรงสร้างของพระองค์ พระเจ้าให้มนุษย์มีอำนาจครอบครองเหนือสัตว์ทุกชนิดในโลก ทะเล และท้องฟ้า (ปฐมกาล 1:26) พระองค์ทำให้ผู้คนเป็นผู้จัดการและผู้อารักขาทรัพยากรของโลก (ปฐมกาล 1:28-30)
การทำงานเป็นส่วนหนึ่งของการออกแบบของพระเจ้าสำหรับชีวิตมนุษย์ ตั้งแต่จุดเริ่มต้น พระเจ้าได้ให้ความรับผิดชอบใหญ่หลวงแก่ผู้คน เราแต่ละคนต้องตอบพระเจ้าว่าเราได้ทำงานใด ๆ ที่พระเจ้ามอบไว้ให้เราอย่างสัตย์ซื่อหรือไม่
หลักการจากพระธรรมสุภาษิต
พระธรรมสุภาษิตถูกเขียนขึ้นเพื่อคนหนุ่มสาวโดยเฉพาะ เป็นการสอนพวกเขาให้คิดและประพฤติอย่างฉลาด สุภาษิตพูดถึงการทำงานเยอะมาก
► ให้นักศึกษาบางคนเป็นตัวแทนกลุ่มอ่านพระคัมภีร์แต่ละตอน
สุภาษิต 6:6-11, สุภาษิต 10:5 มดเป็นตัวอย่างที่ดีให้กับผู้คน
พวกมันทำงานอย่างขยันขันแข็งแม้ว่าจะไม่มีใครบังคับให้ทำก็ตาม ไม่มีใครบอกพวกมันว่าควรทำอะไรหรือทำอย่างไร แต่พวกมันทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ จากพวกมดนี้ เราเรียนรู้ว่าเราไม่ควรต้องถูกบังคับให้ทำงาน เราควรต้องการ ทำงาน เพราะนั่นคือวิธีจัดเตรียมของพระเจ้าสำหรับสิ่งจำเป็นต่าง ๆ ของเรา
พวกมันทำงานเมื่อถึงเวลาทำงาน มีเวลาสำหรับการทำงาน มีเวลาสำหรับกิจกรรมอื่น ๆ และสำหรับการพักผ่อน เป็นประโยชน์ที่จะถามว่า “ฉันควรทำอะไรตอนนี้?”
พวกมันทำงานในขณะที่ยังคงมีโอกาสให้ทำงานอยู่ ฤดูกาลเปลี่ยน และโอกาสที่จะได้รับทรัพยากรอาจผ่านเลยไป โอกาสของเรามาและไปด้วยเช่นกัน เราต้องใช้โอกาสที่เรามีตอนนี้ หรือไม่อย่างนั้นมันก็จะเสียไป
พวกมันทำงานเพื่อว่าภายหลังพวกมันจะมีอาหารตามที่ต้องการ เราไม่ควรนอนหลับหรือพักผ่อนเมื่อถึงเวลาทำงาน ถ้าหากเราขี้เกียจเมื่อเราควรจะยุ่งอยู่กับการทำการดี สิ่งที่เราจำเป็นต้องใช้ในอนาคตก็จะไม่ถูกจัดเตรียม เราควรทำงานวันนี้ เพื่อจะมีสิ่งจำเป็นสำหรับวันพรุ่งนี้
สุภาษิต 19:15, สุภาษิต 20:4, สุภาษิต 12:24 พระเจ้าได้สร้างโลกในลักษณะที่การเลือกของเรามีผลที่ตามมาอย่างแท้จริง (กาลาเทีย 6:7)
หากเราเลือกที่จะให้ร่างกายเราเกียจคร้านอยู่เสมอ ร่างกายเราก็จะอ่อนแอ หากเราเลือกที่จะให้ความคิดของเราเกียจคร้านอย่างต่อเนื่อง ความสามารถในการเรียนรู้ การคิด และการใช้เหตุผลของเราจะลดลง
หากเราปฏิเสธที่จะทำงานเมื่อเราทำได้ พระเจ้าตรัสว่าเราสมควรที่จะขาดแคลนอาหาร (อ่าน 2 เธสะโลนิกา 3:6-12)
หากเราขยันหมั่นเพียร พระเจ้ามักจะให้รางวัลแก่เราด้วยการเพิ่มโอกาสและความรับผิดชอบที่ใหญ่ขึ้น
พระเจ้ากำหนดผลที่ตามมาจากการเลือกของเรา เราไม่ได้เลือกผลที่ตามมา แต่เราเลือกได้ว่าเราจะทำอะไร!
สุภาษิต 14:23, สุภาษิต 20:6 บางคนคิดว่าตนฉลาดมากแต่ไม่ยอมทำงาน พวกเขาชอบฝันและพูดคุยเกี่ยวกับสิ่งต่าง ๆ ที่ควรจะทำ แต่พวกเขาไม่ทำอะไรเลย พระเจ้าต้องการให้เราทำงานจริง ๆ ไม่ใช่แค่พูดถึงมันเท่านั้น พระองค์ต้องการให้เรารับผิดชอบและสัตย์ซื่อต่อสิ่งที่เราพูดไว้ว่าจะทำ
สุภาษิต 15:19 บางครั้งผู้คนก็เกียจคร้านเกี่ยวกับวิธีการ ทำอะไรบางอย่าง พวกเขาเลือกวิธีที่ง่ายแม้ว่าจะไม่ได้ผลดีก็ตาม บางทีพวกเขาอาจกำลังทำอะไรบางอย่างที่ราคาถูก แต่สิ่งที่พวกเขาทำจะไม่คงอยู่เมื่อเวลาผ่านเลยไป บางทีวิธีการของพวกเขาอาจไม่ต้องใช้ความพยายามมาก แต่ผลผลิตที่ได้อาจมีคุณภาพไม่ดี บางทีพวกเขาอาจยอมแพ้ต่อแรงกดดันจากผู้อื่น แทนที่จะเต็มใจที่จะฝ่าฟันความท้าทายและทำสิ่งที่ถูกต้อง
► มีตัวอย่างอะไรที่คุณคิดได้เกี่ยวกับผู้คนที่เกียจคร้านในวิธีการทำบางสิ่งบางอย่าง?
สุภาษิตนี้สอนเราว่าเมื่อเราเกียจคร้านในสิ่งที่ทำ มันจะสร้างปัญหาให้เราและคนอื่น ๆ ในภายหลัง แต่เมื่อเราทำสิ่งที่ถูกต้อง เราก็จะได้รับผลดีตอบแทน เราควรระมัดระวังและถี่ถ้วนในตอนนี้เพื่อที่เราจะได้รับผลลัพธ์ที่ดีที่สุดในภายหลัง
► มีตัวอย่างอะไรที่คุณคิดได้เกี่ยวกับความเกียจคร้านที่นำไปสู่ความยากลำบากและปัญหาในภายหลัง? คุณคิดถึงตัวอย่างอะไรบ้างที่เมื่อความสัตย์ซื่อและความขยันหมั่นเพียรก่อให้เกิดผลดี?
สุภาษิต 12:11, สุภาษิต 21:20, สุภาษิต 28:19 คนหนุ่มสาวทั้งหลาย พระเจ้าไม่ได้ให้กำลังและสุขภาพที่ดีเพื่อให้คุณหมดไปกับการแสวงหาสิ่งไร้ค่า พระองค์ไว้วางใจให้คุณเป็นผู้จัดการที่ดีในด้านความสามารถทางร่างกายและจิตใจของคุณ พระองค์ให้โอกาสคุณรับใช้พระองค์ การเป็นผู้อารักขาที่สัตย์ซื่อจะทำให้คุณต้องควบคุมตนเองได้ คุณจะไม่สามารถตอบสนองทุกความปรารถนาเพื่อความพึงพอใจได้ คุณจะต้องทุ่มเทพลังงาน ทรัพยากร และเวลาเพื่อให้บรรลุผลตามความประสงค์ของพระเจ้า
พระเจ้าคาดหวังให้คุณจัดหาสิ่งจำเป็นสำหรับตนเอง สิ่งจำเป็นสำหรับครอบครัว (1 ทิโมธี 5:8) และสิ่งจำเป็นสำหรับคนที่สมควรช่วยเหลือและไม่มีคนอื่นจัดหาให้ (1 ทิโมธี 5:3-16, เอเฟซัส 4:28, ยากอบ 1:27, ยากอบ 2:15-16)
1 เธสะโลนิกา 4:11-12 กล่าวว่า...
…จงตั้งเป้าว่าจะอยู่อย่างสงบ และทำกิจธุระส่วนของตน และทำงานด้วยมือของตนเอง เหมือนอย่างที่เรากำชับท่านแล้ว เพื่อพวกท่านจะได้เป็นที่นับถือของคนภายนอก และไม่ต้องรบกวนใครเลย
นี่คือความประสงค์ของพระเจ้าสำหรับผู้เชื่อ
► การงานชนิดใดที่ผู้เชื่อควรเต็มใจทำ? สถานะสำคัญหรือไม่? ถ้าสำคัญ สำคัญในทางใดหรือมากน้อยเพียงใด?
เราจะต่อยอดหัวข้อการทำงานโดยพูดคุยเรื่องการเงิน เราเพิ่งคุยกันถึงเหตุผลสำคัญที่สุดที่พระเจ้าต้องการให้เราทำงาน รวมถึงการจัดเตรียมเพื่อสิ่งจำเป็นของเราและของผู้อื่น การทำงานเป็นวิธีปกติของพระเจ้าในการจัดหาสิ่งจำเป็นพื้นฐาน เช่น อาหารและเสื้อผ้า (1 ทิโมธี 6:8) ในหลายแห่ง ผู้คนได้เงินจากการทำงาน จากนั้นก็นำมาใช้จ่ายเพื่อจัดหาทางวัตถุ ในที่อื่น ๆ ผู้คนจะได้รับอาหาร ทรัพย์สิน หรือบริการแทนการได้เงิน ไม่ว่าจะด้วยวิธีใด พระเจ้าจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นของผู้คนผ่านการตรากตรำทำงานของพวกเขา
[1] ต้องการข้อมูลเพิ่มเติมในหัวข้อนี้ ให้ดูบทที่ 3 ของวิชา การดำเนินชีวิตคริสเตียนภาคปฏิบัติ ได้จาก Shepherds Global Classroom
Previous
Next