ในหลักสูตรนี้ เราจะสำรวจการออกแบบของพระเจ้าสำหรับการแต่งงาน จากพระคัมภีร์เราเรียนรู้เกี่ยวกับวัตถุประสงค์ของพระเจ้าสำหรับการแต่งงาน เราอภิปรายร่วมกันถึงคำแนะนำของพระเจ้าสำหรับการแต่งงานและวิธีปฏิบัติเพื่อเสริมสร้างชีวิตสมรสของเรา เราเห็นความดีงามในแผนการของพระเจ้าสำหรับการแต่งงาน
การแต่งงานเป็นความประสงค์ของพระเจ้าสำหรับคนส่วนใหญ่ แต่หลายคนใช้ชีวิตเป็นโสดหลายปีก่อนแต่งงาน บางครั้งการอยู่เป็นโสดนี้ก็ยาวนาน บางคนมีประสบการณ์เป็นโสดอีกช่วงหนึ่งหลังจากคู่สมรสเสียชีวิตหรือหลังจากการหย่าร้าง บางคนก็ไม่เคยแต่งงานเลย
คน ๆ หนึ่งอาจไม่แต่งงานเพราะหนึ่งในหลายเหตุผลต่อไปนี้
	
	พวกเขาชอบข้อดีของการเป็นโสดมากกว่าการแต่งงาน
	 
	
	พวกเขากังวลเกี่ยวกับการแต่งงานเพราะพวกเขาไม่เห็นความสัมพันธ์ที่ดีในชีวิตแต่งงาน
	 
	
	ขณะนี้พวกเขากำลังมุ่งไปที่เป้าหมาย เช่น การศึกษาหรืออาชีพ
	 
	
	พวกเขาไม่รู้สึกถึงความต้องการทางอารมณ์หรือทางกายภาพในการแต่งงาน
	 
	
	พวกเขาไม่มีโอกาสที่จะมีชีวิตแต่งงานที่ดี
	 
 
เนื่องจากการเลือกของคนโสดส่งผลอย่างมากต่อความสัมพันธ์กับพระเจ้าและคนอื่น ๆ บทเรียนนี้จึงเน้นไปที่ชีวิตของผู้เชื่อที่ยังไม่ได้แต่งงาน
พระเยซูและเปาโลพูดเกี่ยวกับการอยู่เป็นโสดว่าอย่างไร 
พวกฟาริสีถามคำถามพระเยซูเกี่ยวกับการหย่าร้าง หลังจากได้ยินคำตอบของพระเยซู เหล่าสาวกจึงสรุปว่าอย่าแต่งงานก็ดีกว่า (มัทธิว 19:10) พระเยซูผู้ที่ไม่แต่งงานและอยู่เป็นคนโสดตลอดชีวิตบนโลกนี้ พระองค์ตอบว่าคนส่วนใหญ่จำเป็นต้องแต่งงานและมีเพียงไม่กี่คนเท่านั้นที่ได้รับของประทานพร้อมกับความสามารถในการยอมรับความเป็นโสดได้ในระยะยาว (มัทธิว 19:11-12)
อัครทูตเปาโลผู้ซึ่งไม่เคยแต่งงานหรือเป็นพ่อหม้าย ก็มีคำแนะนำคล้าย ๆ กันสำหรับผู้เชื่อที่ไม่แต่งงานในเมืองโครินธ์ เนื่องจากการล่อใจให้ทำบาปทางเพศ คนส่วนใหญ่จึงควรแต่งงาน (1 โครินธ์ 7:2, 8-9) เปาโลรู้ว่าพระเจ้าสร้างความสนิทสนมทางเพศในการแต่งงานให้เป็นดั่งของขวัญที่ดี (1 โครินธ์ 7:7, 1 ทิโมธี 4:1-5, ฮีบรู 13:4) เขาบอกว่ากิจกรรมทางเพศไม่ควรเกิดขึ้นนอกการสมรส (1 เธสะโลนิกา 4:3-4)
เปาโลอธิบายถึงข้อดีของชีวิตที่ไม่แต่งงาน ผู้เชื่อที่ไม่แต่งงานสามารถทุ่มเทเวลา พลังงาน และความพยายามไปกับการทำให้พระเจ้าพอพระทัยและรับใช้ในงานพันธกิจ (1 โครินธ์ 7:32-35)
เปาโลยังคงอยู่ในสถานะของคนที่ไม่แต่งงาน (1 โครินธ์ 9:5) เขาเลือกที่จะไม่แต่งงานเพื่อเขาจะสามารถจดจ่อกับงานของมิชชันนารีที่พระเจ้าให้เขา เขาถือว่าการอยู่เป็นโสดเป็นของประทาน (1 โครินธ์ 7:7-8) เขาอดทนต่อการทนทุกข์ในงานพันธกิจ (2 โครินธ์ 11:23-28) การทนทุกข์นี้เผชิญได้ง่ายกว่าเพราะเขาไม่ต้องรับผิดชอบในการดูแลภรรยาหรือลูก (1 ทิโมธี 5:8)
ถึงแม้ว่าเปาโลพบว่าการอยู่เป็นโสดมีข้อดีสำหรับงานพันธกิจของเขา แต่ก็มีหนทางที่การแต่งงานจะมีข้อดีสำหรับงานพันธกิจด้วย
► คุณเคยมองเห็นว่าการอยู่เป็นโสดมีข้อดีสำหรับงานพันธกิจมาอย่างไรบ้าง? คุณเคยมองเห็นว่าการแต่งงานมีข้อดีสำหรับงานพันธกิจมาอย่างไรบ้าง?
เปาโลบอกว่าคนควรพิจารณาหลายสิ่งต่อไปนี้เมื่อตัดสินใจว่าจะแต่งงานหรือไม่แต่งงาน
	
	ความสามารถส่วนบุคคลหรือการไม่มีความสามารถในการใช้ชีวิตอย่างคนโสด (1 โครินธ์ 7:9, 36-37)
	 
	
	สภาพการณ์ที่ยากในปัจจุบัน อย่างเช่น การข่มเหง (1 โครินธ์ 7:26)
	 
	
	ความรับผิดชอบต่าง ๆ ในชีวิตแต่งงาน (1 โครินธ์ 7:27-28, 32-35)
	 
 
ลำดับความสำคัญที่ถูกต้อง 
ไม่ว่าการอยู่เป็นโสดหรือการแต่งงานก็ไม่ได้ดีกว่าหรือเป็นฝ่ายจิตวิญญาณมากกว่ากัน มีการล่อใจ ความยากลำบาก การอวยพร และโอกาสต่าง ๆสำหรับแต่ละอย่างที่ไม่เหมือนกัน  แต่ละอย่างก็เหมาะสมในเวลาต่างกันและกับคนที่แตกต่างกัน
ในที่สุดแล้ว ความสมหวังและความสมบูรณ์ของคนต้องมาจากความสัมพันธ์ของคนนั้นกับพระเจ้า ไม่ว่าคนนั้นจะแต่งงานหรือไม่แต่งงานก็ตาม (สดุดี 73:25, สดุดี 107:8-9) ยิ่งกว่านั้นผู้เชื่อทุกคนทั้งที่แต่งงานและไม่แต่งงาน ต้องจดจ่อที่นิรันดร์กาลเพราะชีวิตนี้มันสั้น แต่นิรันดร์กาลนั้นแน่นอน (1 โครินธ์ 7:31)
► ให้นักศึกษาคนหนึ่งเป็นตัวแทนกลุ่ม อ่าน มัทธิว 6:26-33
ในพระคัมภีร์ตอนนี้ พระเยซูอธิบายว่าค่านิยมและลำดับความสำคัญของโลกนี้แตกต่างจากของผู้เชื่อ เป้าหมายสูงสุดของผู้เชื่อคือการมีส่วนร่วมในอาณาจักรของพระเจ้า ลำดับความสำคัญอย่างแรกของผู้เชื่อคือการใช้ชีวิตอย่างชอบธรรมโดยพระคุณของพระเจ้า พระเจ้าสัญญาการจัดเตรียมสิ่งจำเป็นด้านกายภาพและด้านวัตถุให้กับลูกของพระองค์เมื่อพวกเขาเชื่อฟังทำตามถ้อยคำของพระเยซูในมัทธิว 6:33
เมื่อใดที่คริสเตียนผู้ชายควรจะแต่งงาน? เมื่อการแต่งงานช่วยให้เขารับใช้ในอาณาจักรของพระเจ้าได้ดีขึ้น เมื่อการแต่งงานช่วยเขาให้ดำเนินชีวิตที่เกิดผลมากขึ้น ชีวิตที่มีชัยชนะในความชอบธรรมมากขึ้น
เมื่อใดที่คริสเตียนผู้ชายซึ่งไม่แต่งงานควรคงอยู่เป็นโสด? เมื่อการแสวงหาที่จะแต่งงานหรือการแต่งงานเองเบี่ยงเบนความสนใจของเขาจากบทบาทหน้าที่ในอาณาจักรของพระเจ้า เมื่อเขาจะเกิดผลฝ่ายวิญญาณมากกว่าหากอยู่เป็นโสด เมื่อเขาสามารถมีชัยชนะฝ่ายวิญญาณและคงอยู่ในความบริสุทธิ์ทางศีลธรรมโดยไม่ต้องมีเพศสัมพันธ์ที่เป็นความสนิทสนมในการแต่งงานได้
► ถ้าหากคุณเป็นโสด ขอให้หยุดสักครู่เพื่อสะท้อนคิดสิ่งต่อไปนี้ในชีวิตส่วนตัวอย่างซื่อตรง
	
	คุณกำลังใช้ชีวิตด้วยการเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้าอยู่ไหม?
	 
	
	พระเจ้าให้คุณทำอะไรในอาณาจักรของพระองค์ตอนนี้?
	 
	
	คุณคิดว่าพระเจ้าเรียกให้คุณทำอะไรกับชีวิตของคุณในระยะยาว?
	 
	
	คุณคิดว่าการแต่งงานจะทำให้ความสัมพันธ์ของคุณกับพระเจ้าและการงานเพื่อพระเจ้าในโลกนี้ของคุณดีขึ้นหรือแย่ลง?
	 
 
การยอมรับลำดับความสำคัญของพระเจ้าช่วยให้ผู้เชื่อที่ไม่แต่งงานตัดสินใจได้ว่าจะแสวงหาการแต่งงานหรือไม่ ทั้งยังหล่อหลอมความเข้าใจของเราถึงสิ่งที่เราควรมองหาในตัวของคนที่คาดว่าจะเป็นคู่สมรส ผู้เชื่อทุกคนที่ปรารถนาการแต่งงานควรแสวงหาคนที่ให้พระเจ้าเป็นที่หนึ่ง ใช้ชีวิตที่เชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า และแสวงหาที่จะขยายอาณาจักรของพระเจ้า
► ให้นักศึกษาบางคนเป็นตัวแทนกลุ่ม อ่าน เอเฟซัส 4:17-24 และ 1 ยอห์น 2:15-17
คนทั้งโลกอยู่เพื่อตนเอง พวกเขาเลือกที่จะทำสิ่งที่ร่างกายและจิตใจต้องการ (เอเฟซัส 2:3) และพวกเขาเต็มใจที่จะไม่เชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า คนบาปมักจะทำสิ่งที่พวกเขารู้สึกดี สะดวกที่สุด หรือทำสิ่งที่คนอื่นจะสนใจพวกเขา ลำดับความสำคัญของพวกเขาคือการทำให้ตัวเองพอใจ พวกเขาอาจสร้างความสัมพันธ์ที่โรแมนติกกับใครบางคนเพียงเพราะพวกเขาถูกดึงดูดทางร่างกายต่อบุคคลนั้น พวกเขาอาจจะกำลังมีความสัมพันธ์กับบางคนเพียงเพราะพวกเขามีความรู้สึกตื่นเต้นเมื่ออยู่กับคนๆ นั้น
คนที่เห็นแก่ตัวอาจไม่อยากอุทิศตัวต่อความสัมพันธ์แบบเสียสละตัวเองในการแต่งงาน พวกเขาอาจเต็มใจมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ต้องแต่งงานแม้พระเจ้าตรัสว่าความสัมพันธ์เช่นนั้นผิดก็ตาม (1 โครินธ์ 6:9-11)
คนที่เห็นแก่ตัวที่แต่งงานอาจทิ้งคู่สมรสไปเมื่อมีปัญหาในการแต่งงาน พวกเขาอาจหย่าขาดกับคู่ครองและไปมีความสัมพันธ์ใหม่กับคนอื่น พระเจ้ามีสิ่งที่ดีกว่าสำหรับคนที่เชื่อฟังคำสั่งจากพระวจนะของพระองค์ (สดุดี 19:8, 11, เฉลยธรรมบัญญัติ 6:24)
พระเยซูเรียกเราให้ทำทุกสิ่งที่พระเจ้าพอพระทัย (มัทธิว 16:24, 2 โครินธ์ 5:9, โคโลสี 1:10) เนื่องจากเราเป็นผู้ติดตามพระคริสต์ ลำดับความสำคัญในชีวิตส่วนตัวของเราต้องเป็นอาณาจักรพระเจ้าและความชอบธรรมก่อน นอกจากนี้ลำดับความสำคัญในการแสวงหาการแต่งงานของเราต้องเป็นอาณาจักรของพระเจ้าและความชอบธรรม เหตุผลที่เราแต่งงานและวิธีในการแสวงหาการแต่งงานของเราต้องถวายเกียรติแด่พระเจ้า เราต้องฟังพระเยซูในเรื่องค่านิยมของพระองค์และเชื่อฟังสิ่งที่พระองค์บอกว่าถูกต้องและดี จากนั้นเราต้องถวายเกียรติพระเจ้าด้วยการทำตามความคาดหวังของพระองค์สำหรับเราในฐานะสามีและภรรยา
ทุกสิ่งมีเวลาของมัน 
วัยผู้ใหญ่ตอนต้นเป็นเวลาที่ดีที่สุดสำหรับคนส่วนใหญ่ในการแสวงหาการแต่งงาน (สุภาษิต 5:18, มาลาคี 2:15, ทิตัส 2:4) คนหนุ่มสาวควรได้รับการฝึกอบรมมาแล้วและพร้อมที่จะใช้ชีวิต ชายหนุ่มหรือหญิงสาวควรมีวุฒิภาวะซึ่งสามารถรับผิดชอบและตัดสินใจได้อย่างชาญฉลาด (1 ทิโมธี 4:12) ตามหลักการแล้ว คนหนุ่มสาวพร้อมที่จะรับผิดชอบในการแต่งงานและในการเลี้ยงดูลูก ร่างกายของเขาพร้อมสำหรับการคลอดบุตร และในกรณีส่วนใหญ่ พวกเขามีความต้องการทางเพศสูงและจำเป็นต้องมีความสนิทสนมในชีวิตสมรส
ทุกวันนี้ในหลายวัฒนธรรม การแต่งงานช้าเป็นเรื่องปกติสำหรับคนหนุ่มสาว พวกเขารอจนกว่าจะเรียนจบระดับการศึกษาที่สูงกว่า หรือรอจนมีอาชีพการงานมั่นคง คนหนุ่มสาวบางคนไม่สนใจการแต่งงานเพราะพวกเขาอยากใช้ชีวิตโดยไม่ต้องมีความรับผิดชอบ
คนหนุ่มสาวมากมายใช้ชีวิตในการผิดศีลธรรมทางเพศก่อนแต่งงาน พวกเขามีความต้องการทางเพศสูง พวกเขาต้องการมิตรภาพที่ให้ความสนิทสนมในทางอารมณ์ แต่พวกเขาไม่อุทิศตัวต่อการแต่งงานและการสร้างครอบครัว เนื่องจากเป้าหมายชีวิตหรือไม่เต็มใจที่จะรับผิดชอบ หรือไม่ก็ทั้งสองอย่าง
หนุ่มสาวคริสเตียนที่แต่งงานช้าควรระมัดระวังในการพิจารณาเรื่องลำดับความสำคัญ พวกเขาควรแน่ใจว่าตนได้ดำเนินชีวิตในทางของพระเจ้าและมีชีวิตที่บริสุทธิ์ทำตามความประสงค์ของพระเจ้า บางคนจำเป็นต้องพิจารณาเรื่องความสำคัญในการแต่งงานและการเลี้ยงดูลูกในทางของพระเจ้าตามที่พระเจ้ากำหนดไว้
คู่รักที่อยู่ด้วยกันแม้ยังไม่ได้แต่งงาน 
บางครั้งชายและหญิงอยู่ด้วยกันในความสัมพันธ์ที่สนิทสนม แต่ทำให้การแต่งงานล่าช้า พวกเขาอาจอุทิศตัวต่อกัน แต่พวกเขาไม่ได้ทำพันธสัญญาเรื่องการแต่งงาน ผู้คนมีเหตุผลที่แตกต่างกันสำหรับสิ่งนี้
1. บางครั้งความคาดหวังทางวัฒนธรรมที่งานแต่งงานจะต้องประณีตและมีค่าใช้จ่ายสูง ทำให้คู่รักที่ยากจนไม่สามารถจัดงานแต่งงานซึ่งเป็นที่ยอมรับได้
2. บางครั้งคู่รักไม่ยอมแต่งงานเพราะกลัวว่าชีวิตสมรสจะล้มเหลว พวกเขาอาจคิดว่าการแยกทางกันจะสร้างความเสียหายเล็กน้อยหากพวกเขายังไม่แต่งงานกัน พวกเขาอาจคาดหวังให้ความสัมพันธ์ของพวกเขาแข็งแกร่งขึ้นในขณะที่พวกเขาอยู่ด้วยกัน
พระเจ้าสงวนความสนิทสนมทางเพศไว้สำหรับการแต่งงาน (ฮีบรู 13:4) คู่รักที่อาศัยอยู่ด้วยกันแต่ไม่ได้แต่งงานมีความผิดฐานไม่เชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า ความสนิทสนมของพวกเขาไม่สามารถเป็นไปอย่างที่ควรจะเป็น เพราะพวกเขาขาดการอุทิศตัวที่เป็นเอกสิทธิ์ต่อกันและกันอย่างถาวรและขาดความไว้วางใจซึ่งกันและกัน
ผู้เชื่อจะต้องไม่ทำตามแบบอย่างของผู้ไม่เชื่อ แต่ต้องเชื่อฟังพระวจนะของพระเจ้า คริสตจักรต้องสนับสนุนความคาดหวังของพระเจ้าในเรื่องศีลธรรมและให้การสนับสนุนในทางปฏิบัติเพื่อช่วยให้คู่รักปฏิบัติตามแผนการของพระคัมภีร์สำหรับการแต่งงาน ตัวอย่างเช่น เมื่อคู่รักไม่สามารถจัดงานแต่งงานที่มีค่าใช้จ่ายสูงได้ ครอบครัวคริสตจักรควรสนับสนุนพวกเขาให้จัดงานแต่งงานที่เรียบง่าย สิ่งนี้จะช่วยให้คู่รักปฏิบัติตามมาตรฐานศีลธรรมของพระเจ้าโดยการแต่งงานกัน นอกจากนี้ยังช่วยให้ทั้งคู่ไม่ต้องเริ่มต้นการแต่งงานด้วยการมีหนี้สินทางการเงิน คริสเตียนต้องจำไว้ว่าการแต่งงานมีความสำคัญมากกว่าพิธีแต่งงาน แต่การอุทิศตัวในการแต่งงานก็ต้องมีอย่างชัดเจนด้วย
► ให้นักศึกษาบางคนเป็นตัวแทนกลุ่ม อ่าน โรม 12:2 และฟิลิปปี 2:15-16 ในกลุ่ม แล้วอภิปรายร่วมกันว่าการอุทิศตัวของผู้เชื่อต่อการมีศีลธรรมนั้นสามารถเปลี่ยนวัฒนธรรมรอบตัวพวกเขาได้อย่างไร?
                                     
                                    
                                    
                                        
                                                                                                                                    
                                                
                                                     
                                                    Previous
                                                 
                                                                                    
                                                                                                                                    
                                                
                                                    Next