การแต่งงานตามหลักการพระคัมภีร์เป็นสิ่งสวยงาม แต่คู่สมรสที่ต้องการพบกับความสวยงามและลิ้มรสความดีงามของการแต่งงาน จะต้องพิจารณาสิ่งที่พระคัมภีร์สอนเอาไว้ในเรื่องนี้ และจากนั้นจึงแสวงหาที่จะเชื่อฟังสิ่งที่พวกเขาเรียนรู้ การแต่งงานที่น่าพึงพอใจต้องอาศัยความพยายามและการเสียสละ
การแต่งงานตามหลักการพระคัมภีร์นั้นเพื่อการสามัคคีธรรม 
ปฐมกาลอธิบายว่าพระเจ้าสร้างการแต่งงาน ทุกส่วนของคำอธิบายให้เกียรติแก่การแต่งงาน
พระยาห์เวห์พระเจ้าตรัสว่า “การที่ชายผู้นี้จะอยู่แต่ลำพังนั้นไม่ดี เราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสมกับเขาขึ้น” (ปฐมกาล 2:18)
 
เช่นเดียวกับพระเจ้าพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่มีการสามัคคีธรรมต่อกัน พระเจ้าออกแบบให้เราต้องการสังคม เราถูกสร้างมาเพื่อการสนทนา เราถูกสร้างเพื่อความสนิทสนมและการสามัคคีธรรม พระเจ้าตรัสว่าการอยู่ตามลำพังไม่ดี!
พระเจ้าเอากระดูกซี่โครงอันหนึ่งจากผู้ชายออกมาและสร้างอีกบุคคลหนึ่งให้เป็นผู้หญิงสวยงามจากกระดูกนั้น เธอเป็นผู้ที่มีพระฉายของพระเจ้าเท่าเทียมกัน มีคุณค่าเท่าเทียมกัน แต่ออกแบบมาแตกต่างกัน และมาทำให้ผู้ชายสมบูรณ์ เธอ “ถูกนำมามอบให้กับผู้ชายคนนั้นอย่างมีเกียรติเป็นพิเศษในฐานะผลงานชิ้นสุดท้ายที่สมบูรณ์แบบที่สุดของพระผู้สร้าง”[1] 
การแต่งงานคือการเป็นหนึ่งเดียวกันด้วยความเบิกบานใจ 
เมื่ออาดัมพูดว่า “นี่แหละ กระดูกจากกระดูกของเรา” (ปฐมกาล 2:23) เขากำลังแสดงถึงความเคารพและปิติยินดี อาดัมไม่ได้พูดว่า “นี่ไง ทาสของเรา! ตอนนี้เรามีคนซักผ้า ทำอาหาร นวดหลัง และทำงานบ้านให้แล้ว!” ไม่ใช่แบบนั้น แต่อาดัมพูดว่า “นี่แหละ คู่อุปถัมป์ที่มาทำให้เราสมบูรณ์!”
การแต่งงานคือการเป็นหนึ่งเดียวกันด้วยความเท่าเทียม 
...เราจะสร้างคู่อุปถัมภ์ที่เหมาะสมกับเขาขึ้น (ปฐมกาล 2:18)
 
พระเจ้าออกแบบผู้หญิงมาเพื่อให้เข้ากันได้อย่างสมบูรณ์กับผู้ชายและมาทำให้ผู้ชายสมบูรณ์
มัทธิว เฮนรี่ เตือนเราให้จดจำว่า “ผู้หญิงนั้นถูกสร้างจากกระดูกซี่โครงด้านข้างของอาดัม ไม่ได้สร้างจากศีรษะเพื่อปกครองเหนือเขา หรือไม่ได้สร้างจากเท้าเพื่อให้เขาเหยียบย่ำ แต่มาจากด้านข้างเพื่อจะเท่าเทียมกันกับเขา ภายใต้วงแขนเพื่อรับการปกป้อง และอยู่ใกล้ดวงใจเพื่อเป็นที่รัก”[2]  ผู้หญิงไม่ได้ด้อยกว่าหรือเหนือกว่าผู้ชาย แต่เท่าเทียมกับเขา
การแต่งงานคือการเป็นหนึ่งเดียวกันด้วยพันธสัญญา 
เพราะเหตุนั้นผู้ชายจะละจากบิดามารดาของเขาไปผูกพันอยู่กับภรรยา และเขาทั้งสองจะเป็นเนื้อเดียวกัน (ปฐมกาล 2:24)
 
ชีวิตแต่งงานที่มั่นคงไม่ได้ขึ้นอยู่กับความรู้สึกโรแมนติกอย่างต่อเนื่อง (ความรู้สึกไม่มั่นคง) หรือความพอใจ (แม้ว่าชีวิตแต่งงานที่ดีจะนำความยินดีมาให้ก็ตาม) หรือความสมหวังส่วนตัว (แม้ว่าชีวิตแต่งงานที่มั่นคงจะเป็นความสมหวังก็ตาม) ผลประโยชน์อันดีเลิศของการแต่งงานไม่ได้เป็นสาเหตุ ทำให้ชีวิตแต่งงานเข้มแข็งมั่นคง การแต่งงานได้รับการสถาปนาบนรากฐานที่ไม่หวั่นไหวของพันธสัญญา ชายคนหนึ่งกับหญิงคนหนึ่งที่อุทิศตัวผูกพันกันตลอดชีวิต
การแต่งงานคือความสัมพันธ์ที่โปร่งใส ไว้วางใจ และยอมรับ “ผู้ชายและภรรยาของเขาเปลือยกายอยู่ทั้งสองคนและไม่อายกัน” (ปฐมกาล 2:25) เนื่องจากความบาปยังไม่ได้ทำลายความบริสุทธิ์เดียงสาของคู่สมรสคู่แรกให้เสื่อมทรามลงไป การแต่งงานของพวกเขาจึงปราศจากการพิพากษา ปราศจากความอาย และปราศจากความกลัว พันธสัญญาใหม่บอกกับเราว่า “ จงให้การสมรสเป็นที่นับถือแก่คนทั้งปวง และให้เตียงสมรสปราศจากมลทิน” (ฮีบรู 13:4)
ชีวิตแต่งงานที่มั่นคงไม่ได้ดำรงอยู่ในที่ที่ไม่มั่นคง ไม่วางใจ สงสัย หรือหวาดกลัว โดยที่คู่สมรสไม่แน่ใจในการอุทิศตัวผูกพันของอีกฝ่ายหนึ่งในการแต่งงาน ชีวิตแต่งงานที่มั่นคงจำเป็นต้องมีคำสัญญาที่จะสิ้นสุดลงก็ต่อเมื่อคู่สมรสคนหนึ่งตายไป (โรม 7:1-2)
พระเจ้าตั้งใจให้การแต่งงานเป็นพันธสัญญาตลอดชีวิตระหว่างผู้ชายคนหนึ่งกับผู้หญิงคนหนึ่ง (มัทธิว 19:3-6) เปาโลพูดว่าผู้เชื่อไม่ได้ถูกผูกมัดเมื่อคู่ครองที่ไม่เชื่อแยกจากไป (1 โครินธ์ 7:15) แต่ผู้เชื่อไม่ควรแสวงหาที่จะแยกขาดจากคู่ครองที่ไม่เชื่อ (1 โครินธ์ 7:12-14, 16) เปาโลได้เขียนไว้ก่อนหน้านี้ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าตรัสอย่างเดียวกันว่า ผู้เชื่อต้องไม่เลือกที่จะละทิ้ง/แยกจากคู่ครองของพวกเขา แต่ถ้าเรื่องนี้เกิดขึ้น พวกเขาต้องไม่แต่งงานใหม่กับใคร (1 โครินธ์ 7:10-11, มัทธิว 5:31-32, มัทธิว 19:9)
พันธสัญญารักคือการยอมสละตัวเอง ความเคารพนับถือ และความงดงามแม้เมื่อมีปัญหาเกิดขึ้นในความสัมพันธ์ (1 โครินธ์ 13) การขาดการอุทิศตัวทำให้เกิดความลังเลที่จะพยายาม ทำให้ตัดขาดทางอารมณ์ ถอนตัว และถูกล่อใจให้ทำบาป
สามีจะยึดมั่นในพันธสัญญารักเมื่อเขาไม่ถอดใจจากเจ้าสาวแม้ในยามที่เธอไม่ตอบสนอง ไม่เคารพ หรือไม่สบายก็ตาม ภรรยาจะยึดมั่นในพันธสัญญารักเมื่อเธอเลือกเคารพและเชื่อฟังสามีเพื่อเห็นแก่พระคริสต์ แม้ในยามที่สามีไม่รักเธอก็ตาม
ความรักของเขาทำให้เขาได้ความเคารพจากเธอ ความเคารพของเธอทำให้เธอได้ความรักจากเขา ทั้งสองก็เติบโตไปอย่างต่อเนื่อง!
►  อะไรคือปัญหาที่เป็นผลลัพธ์ถ้าผู้คนแต่งงานในขณะที่คิดว่าพวกเขาสามารถเปลี่ยนใจภายหลังได้หากไม่มีความสุขกับการแต่งงาน? การอุทิศตัวอย่างเต็มที่สร้างความแตกต่างอะไรให้เกิดขึ้นเมื่อคน ๆ หนึ่งเชื่อว่าการแต่งงานของเขาเป็นแบบถาวร?
การแต่งงานตามหลักการพระคัมภีร์คือที่สำหรับความสมหวังทางเพศและการให้กำเนิดบุตร 
พระเจ้าทำให้เรื่องเพศเป็นความสุขและเต็มไปด้วยพลังอย่างมีลักษณะเฉพาะ เป็นการกระทำที่มุ่งหมายให้เกิดความเป็นหนึ่งเดียวกันทางกาย อารมณ์ และจิตวิญญาณ ชีวิตทางเพศที่ดีไม่เพียงให้ความเบิกบานใจและทำให้เป็นหนึ่งเดียวกัน แต่ยังบำรุงเลี้ยงความสัมพันธ์ในชีวิตแต่งงาน สำหรับคนที่ต้องการทำตามจริยธรรมเรื่องเพศตามพระคัมภีร์ เพศสัมพันธ์เป็นของขวัญจากพระเจ้าที่มอบไว้เพื่อให้เกิดความสุขอย่างเต็มที่ในการแต่งงาน[3] 
 
►  ให้นักศึกษาคนหนึ่งเป็นตัวแทนกลุ่ม อ่าน 1 โครินธ์ 7:1-5 และฮีบรู 13:4
ข้อพระคัมภีร์ใน 1 โครินธ์บอกเราว่าวัตถุประสงค์หนึ่งของการแต่งงานคือเพื่อตอบสนองความต้องการทางเพศ สามีและภรรยาได้มอบตัวเองให้แก่กัน และยอมละทิ้งการอ้างสิทธิ์เป็นเจ้าของร่างกายของตนเอง หมายความว่าคนที่แต่งงานแล้วไม่ควรคาดหวังที่จะมีเพศสัมพันธ์เฉพาะเมื่อเขาเลือกจะมีเท่านั้น แต่ควรตอบสนองต่อความต้องการของคู่สมรสด้วย ข้อพระคัมภีร์นี้ไม่ได้บอกเราว่าคน ๆ หนึ่งสามารถเรียกร้องความพึงพอใจที่ขัดความประสงค์ของคู่สมรส แต่บอกกับเราว่าแต่ละคนต้องตอบสนองต่อความต้องการของอีกฝ่าย
พระคัมภีร์ตอนนี้บอกเราว่าคนที่แต่งงานแล้วไม่ควรลิดรอนสิทธิพิเศษนี้ของกันและกัน การละเว้นมีเพศสัมพันธ์ช่วงเวลาสั้น ๆ ร่วมกับ 
การอดอาหารเป็นสิ่งที่ถูกต้องตามกฎบัญญัติ แต่การแยกอยู่เป็นเวลานานจะทำให้เกิดการล่อใจให้ทำบาปเพราะความต้องการไม่ได้รับการตอบสนอง บางครั้งคู่ครองเลือกแยกกันอยู่หลายเดือนหรือนานกว่านั้นเพราะคนหนึ่งไปทำงานหรือไปศึกษาต่อในที่ห่างไกล ก่อนตัดสินใจแบบนั้น พวกเขาควรพิจารณาว่าแผนการแบบนั้นเข้ากันกับแผนการของพระเจ้าไหม พวกเขาอาจต้องทนทุกข์กับปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะการแยกกันอยู่เป็นเวลานาน
บางคนชอบที่จะใช้ชีวิตในลักษณะที่ลูก ๆ ไม่มีส่วนร่วม แต่พระคัมภีร์สอนว่าพระเจ้าพอพระทัยเมื่อพ่อแม่มีลูกที่เดินในทางของพระเจ้า (มาลาคี 2:15) สำคัญมากที่จะตระหนักว่าพระเจ้าไม่ได้แค่ต้องการให้มีการสืบพันธุ์เท่านั้น แต่ต้องการให้มีลูกที่เดินในทางของพระเจ้าด้วย พระเจ้าเรียกให้พ่อแม่สอนลูก ๆ ของพวกเขาให้ติดตามพระคริสต์
การแต่งงานตามหลักการพระคัมภีร์นั้นเพื่อพระคริสต์ 
►  ให้นักศึกษาบางคนเป็นตัวแทนกลุ่ม อ่าน 1 เปโตร 3:1-7 และเอเฟซัส 5:22-33 ทุกคนในกลุ่มควรเปิดพระคัมภีร์ตอนนี้เอาไว้เพื่อพิจารณาขณะที่อภิปรายร่วมกัน
ในเอเฟซัส 5:30-32 พระวิญญาณบริสุทธิ์เปิดเผยความหมายลึกซึ้งของการแต่งงานที่ถูกปิดซ่อนไว้จนกระทั่งพระเยซูมา การแต่งงานเป็นภาพทางโลกที่สะท้อนถึงความสัมพันธ์ระหว่างพระเยซูคริสต์กับคริสตจักรของพระองค์
เปาโลเริ่มต้นตอนนี้โดยการเตือนสติผู้เชื่อให้เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณ (เอเฟซัส 5:18) ในบริบทนี้ที่เขาให้คำสั่งต่อไปนี้สำหรับการแต่งงาน
เจ้าสาวที่เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณ  จะยอมจำนน ต่อเจ้าบ่าวของเธอ (“ศีรษะ” ของเธอ) ในองค์พระผู้เป็นเจ้า ในทำนองเดียวกันกับที่ผู้เชื่อยอมจำนนต่อพระเยซู (เอเฟซัส 5:24, 32; ดูใน 1 เปโตร 3:1) นี่คือวิธีที่เธอแสดงความเคารพต่อพระเยซูและต่อสามีของเธอ ภรรยาจำเป็นต้องยอมรับความเป็นผู้นำของสามีแม้สามีไม่ได้เป็นผู้เชื่อ ถ้าเธอทำสิ่งนี้ สามีที่ไม่เชื่อก็ปรารถนาที่จะมาเป็นผู้เชื่อ
เป็นสิ่งสำคัญที่ภรรยาทุกคนจะมีองค์พระผู้เป็นเจ้าอยู่ในใจขณะที่ยอมจำนนนั้น เป็นการยอมต่อพระองค์และเพื่อพระองค์ ไม่ใช่เพื่อสามีของเธอเท่านั้น สายตาของเธอต้องจับจ้องที่พระเยซูผู้เดียวที่ปราศจากข้อผิดพลาด การเต็มใจยอมจำนนของภรรยาต่อสามีเป็นการกระทำที่เป็นการนมัสการพระเยซู
การยอมจำนนตามหลักการพระคัมภีร์ อย่างเช่นความรัก ไม่สามารถทำด้วยความฝืนใจได้ การยอมจำนนตามหลักการพระคัมภีร์เป็นของขวัญที่ภรรยามอบให้แก่สามีด้วยความยำเกรงพระคริสต์ (เอเฟซัส 5:33) การยอมจำนนในทุกเรื่องเป็นการกระทำที่เป็นการนมัสการพระเยซู[4] 
การยอมจำนนของภรรยาต่อสามีเป็นการกระทำด้วยความเคารพ (เอเฟซัส 5:33) ต่อเขา เป็นส่วนหนึ่งของชีวิตที่เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณ (เอเฟซัส 5:18-21) การให้เกียรติที่มาจากจิตวิญญาณที่สุภาพและสงบนี้มีค่ามาในสายตาของพระเจ้า (1 เปโตร 3:4)
เจ้าบ่าวที่เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณ  จะรัก เจ้าสาวของเขาเหมือนพระเยซูรักคริสตจักร (เอเฟซัส 5:25) เจ้าบ่าวต้องรักเธอเหมือนรักร่างกายของเขาเอง (เอเฟซัส 5:28-29) เขาต้องสำแดงการเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณด้วยการยอมสละตัวเองเหมือนกับพระเยซูสำแดงต่อคริสตจักรเมื่อพระองค์สละตัวเองเพื่อคริสตจักร นี่คือการกระทำที่เป็นการยอมจำนนต่อพระเจ้า (เอเฟซัส 5:21) มีนักวิจารณ์คนหนึ่งพูดถึงเรื่องนี้ในทำนองนี้ว่า...
เหมือนที่พระองค์ (พระเยซู) ยอมทนทุกข์บนไม้กางเขนเพื่อช่วยคริสตจักรให้รอด เราก็จะต้องเต็มใจปฏิเสธตนเองและอดทน [ต่อการทำงานหนักและความยากลำบาก] เพื่อเราจะได้ส่งเสริมความสุขของภรรยา เป็นหน้าที่ของสามีที่จะต้อง [ทำงานหนัก] เพื่อเลี้ยงดูเธอ เพื่อสนองความต้องการของเธอ หากมีความจำเป็น สามีต้องปฏิเสธตัวเองจากการพักผ่อนและผ่อนคลายเพื่อดูแลเธอในยามเจ็บป่วย รีบไปก่อนที่เธอจะตกอยู่ในอันตราย เพื่อปกป้องเธอหากเธออยู่ใน [สถานการณ์อันตราย] อดทนกับเธอเมื่อเธอหงุดหงิด ยึดมั่นกับเธอในยามที่เธอผลักเขาออกไป อธิษฐานร่วมกับเธอเมื่อเธอประสบปัญหาฝ่ายวิญญาณ และพร้อมที่จะตายเพื่อช่วยเธอ มีเหตุผลอะไรหรือที่ไม่ควรเป็นเช่นนี้? หากเรืออับปางและมีไม้กระดานแผ่นเดียวที่ให้ความปลอดภัยได้ เขาจะไม่เต็มใจวางเธอไว้บนนั้นและเห็นเธอปลอดภัยจากอันตรายทั้งมวลที่จะเกิดขึ้นตัวเขาหรือ? แต่มีมากกว่านั้น...สามีควรรู้สึกว่าการแสวงหาความรอดของภรรยาของเขาควรเป็นเป้าหมายสำคัญอย่างหนึ่งในชีวิต เขาจะต้องจัดหาทุกสิ่งที่เธอต้องการสำหรับจิตวิญญาณของเธอ… และเขาจะต้องเป็นแบบอย่าง เขาต้องให้คำปรึกษาแก่เธอหากเธอต้องการคำปรึกษา และให้เส้นทางแห่งความรอดเป็นเรื่องง่ายสำหรับเธอมากที่สุด หากสามีมีพระวิญญาณและมีการปฏิเสธตนเองของพระผู้ช่วยให้รอด เขาจะไม่ถือว่ามีการเสียสละใดที่มากเกินไปหากเขาสามารถส่งเสริมความรอดให้กับครอบครัวของเขาได้[5] 
 
เจ้าบ่าวต้องแสวงหาให้เจ้าสาวบริสุทธิ์เหมือนพระคริสต์ชำระเจ้าสาวคือคริสตจักรให้บริสุทธิ์ (เอเฟซัส 5:26-27)
1 เปโตร 3:7 กล่าวว่า สามีควรอยู่กินกับภรรยาด้วยความเข้าใจ หมายความว่าเขาต้องพยายามเข้าใจเธอให้มากที่สุด เขาควรเรียนรู้ว่าเธอเป็นอย่างไรเพื่อจะเข้าใจได้ว่าเธอต้องการอะไร ผู้หญิงถูกเรียกว่าเป็น “เพศที่อ่อนแอกว่า” ในพระคัมภีร์ข้อนี้ ภรรยาจำเป็นต้องการความเอาใจใส่จากสามี เขาควรปกป้องเธอไม่เพียงจากอันตรายทางกายภาพแต่จากความกังวลและอารมณ์ตึงเครียดด้วย
สามีต้องเตรียมทุกสิ่งที่จำเป็นต่อการทำให้ภรรยาเจริญเติบโตขึ้น เช่น ความสัตย์ซื่อ ความรักที่ไม่มีเงื่อนไข ความเข้าใจ คำอธิษฐาน คำปรึกษา คำสอน และความกรุณา
เมื่อสามีปฏิบัติต่อภรรยาด้วยความรักเช่นนี้ เขาจะได้รับความสุขกลับคืนมา เปาโลกล่าวว่า “คนที่รักภรรยาของตัวเองก็รักตัวเองด้วย” (เอเฟซัส 5:28) สามีที่รักภรรยาของตัวเองด้วยการเสียสละตัวเองเช่นนี้จะได้รับการตอบแทนจากพระเจ้า และได้รับความเคารพนับถือ ความเสน่หา และความสัตย์ซื่อจากภรรยามากที่สุด
►  สามีควรทำสิ่งใดอย่างเจาะจงเพื่อจัดเตรียมการสนับสนุนฝ่ายวิญญาณให้กับภรรยา?
การระลึกว่าคำสั่งในข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ให้ไว้อย่างไรย่อมเป็นสิ่งสำคัญ สามีไม่ได้รับคำบอกกล่าวให้ใช้สิทธิอำนาจบังคับควบคุมภรรยา ภรรยาได้รับคำบอกกล่าวให้เชื่อฟังสามี แต่สามีไม่ได้รับคำบอกกล่าวให้ทำให้เธอเชื่อฟัง พระคัมภีร์บอกให้เขารักภรรยาและเสียสละตามความจำเป็นเพื่อดูแลเธอ เช่นเดียวกันพระคัมภีร์ไม่ได้บอกให้ภรรยาเรียกร้องการเอาใจใส่ดูแลจากสามี แต่ให้เธอเคารพสามี
ลำดับความสำคัญของสามีไม่ควรเป็นการใช้สิทธิอำนาจแต่เป็นการจัดเตรียมการเอาใจใส่ดูแลด้วยความรัก ลำดับความสำคัญของภรรยาไม่ควรเป็นการเรียกร้องการเอาใจใส่ดูแลแต่เป็นการเคารพสามี
อัครทูตเปโตรเตือนผู้เป็นสามีว่า คำอธิษฐานของเขาจะมีอุปสรรคขัดขวางหากเขาไม่เอาใจใส่ดูแลภรรยาอย่างเหมาะสม จากถ้อยคำเปาโลและเปโตร เราเห็นได้ว่าผู้ชายที่ไม่เอาใจใส่ดูแลภรรยาก็ไม่ได้รักพระเจ้าอย่างที่เขาควรจะรัก ผู้หญิงที่ไม่เคารพสามีของเธอก็ไม่ได้เคารพพระเจ้าอย่างที่เธอควรเคารพ ความประพฤติของเราในชีวิตแต่งงานส่งผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า 
 
[4] หากต้องการศึกษาหัวข้อการยอมจำนนตามหลักการพระคัมภีร์เพิ่มเติม ขอให้ดูบทที่ 10 ในวิชา การสร้างชีวิตฝ่ายวิญญาณ จาก Shepherds Global Classroom
 
                                     
                                    
                                    
                                        
                                                                                                                                    
                                                
                                                     
                                                    Previous
                                                 
                                                                                    
                                                                                                                                    
                                                
                                                    Next