คนที่ไม่เชื่อในการสร้างของพระเจ้าว่าเต็มไปด้วยความรักและวัตถุประสงค์ ก็จะมีปัญหาในการสร้างอัตลักษณ์และวัตถุประสงค์ของตัวเอง เป็นไปไม่ได้ที่จะเข้าใจมนุษย์ได้อย่างถูกต้องโดยไม่ต้องมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า คนที่ดำเนินชีวิตตามคำแนะนำของสติปัญญาทางโลก คือการแสวงหาความสุขที่มีมนุษย์เป็นศูนย์กลาง ก็ไม่สามารถเข้าใจชีวิตได้อย่างแท้จริง
เพื่อจะเข้าใจอัตลักษณ์ของเรา (ผู้ที่เราเป็น) วัตถุประสงค์ของเรา (เหตุผลที่เรามีชีวิตอยู่) และวิธีการที่เราถูกออกแบบมาได้อย่างแท้จริง เราต้องรู้วัตถุประสงค์ของพระผู้สร้างซึ่งพบได้ในพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์ พระเจ้ากำหนดอัตลักษณ์ของเราไว้เรียบร้อยแล้ว ไม่ใช่สิ่งที่เราประดิษฐ์ขึ้น พระองค์สร้างเราด้วยวัตถุประสงค์และออกแบบเราอย่างตั้งใจ มีเพียงเมื่อเราเข้าใจแผนการของพระองค์สำหรับชีวิตของเราและสำหรับความสัมพันธ์เท่านั้นที่เราจะสามารถเป็นคนอย่างที่เราสมควรเป็น และสามารถทำให้ความประสงค์ของพระองค์สำหรับการมีชีวิตอยู่ของเราสำเร็จเป็นจริงได้
การถูกสร้างขึ้นในพระฉายของพระเจ้าหมายถึงผู้คนถูกสร้างอย่างเฉพาะเจาะจงเพื่อให้มีความสัมพันธ์ เหมือนกับพระเจ้าเป็นบุคคลแห่งความสัมพันธ์ พระองค์ก็สร้างมนุษย์ให้เป็นบุคคลแห่งความสัมพันธ์ พระเจ้าออกแบบจิต วิญญาณ และร่างกายของแต่ละคนเพื่อให้มีความสัมพันธ์กับพระเจ้าและกับคนอื่น ๆ
คู่มือสำหรับความสัมพันธ์ของมนุษย์
ข้อมูลความจริงที่ว่าพระเจ้าออกแบบมนุษย์มาเพื่อให้มีความสัมพันธ์นั้นบอกเป็นนัยว่าพระองค์มีหลักการและแนวทางสำหรับความสัมพันธ์ของเรา ผู้ผลิตสินค้าชิ้นหนึ่งเขียนคู่มือการใช้ผลิตภัณฑ์ซึ่งอธิบายว่าผลิตภัณฑ์นี้ออกแบบมาอย่างไรและมีวิธีการใช้อย่างไร ในทำนองเดียวกัน พระเจ้าให้พระวจนะของพระองค์คือพระคัมภีร์ซึ่งอธิบายว่าเราถูกออกแบบมาอย่างไร และมีวิธีการอย่างไรเพื่อให้เราดำเนินชีวิตและมีความสัมพันธ์ได้อย่างถูกต้องเหมาะสม
พระคัมภีร์อธิบายชัดเจนถึงบทบาทที่พระเจ้าได้กำหนดไว้ในความสัมพันธ์ของมนุษย์ พระคัมภีร์กล่าวถึงบทบาทและความสัมพันธ์ของสามีกับภรรยา พ่อ แม่ และลูก ๆ พี่น้องชายหญิง ปู่ย่าตายาย เพื่อน ๆ ศัตรู เพื่อนบ้าน รัฐบาลกับพลเมือง นายจ้างกับลูกจ้าง หลักการเหล่านี้จากพระวจนะของพระเจ้าสอนให้เรารู้ถึงการออกแบบของพระองค์สำหรับเรา ไม่ว่าสถานการณ์ใดหรือสภาพแวดล้อมใด พระคัมภีร์สอนให้เราถึงถึงความประสงค์ของพระเจ้าที่มีต่อเราในทุกช่วงของชีวิต
สังคมและวัฒนธรรมของมนุษย์สะท้อนถึงการออกแบบของพระเจ้าแม้ว่าจะไม่สมบูรณ์ก็ตาม วัฒนธรรมอธิบายถึงพฤติกรรมโดยปกติของมนุษย์สำหรับความสัมพันธ์และสถานการณ์ทั้งหมด แต่ละวัฒนธรรมมีวิธีการของตนเองในการเลี้ยงดูลูกและรักษาความสัมพันธ์ในชีวิตแต่งงาน วัฒนธรรมแสดงให้เห็นถึงความหลากหลายอย่างมากทางด้านประเพณี สภาพแวดล้อม พันธุกรรม และเหตุการณ์สำคัญต่าง ๆ แต่ทุกวัฒนธรรมมีศีลธรรมพื้นฐานร่วมกัน ตัวอย่างเช่น ทุกวัฒนธรรมมีรูปแบบการแต่งงาน อย่างไรก็ตาม พฤติกรรมทั้งหมดต้องได้รับการประเมินตามหลักการในพระคัมภีร์ ไม่ใช่บรรทัดฐานทางวัฒนธรรม พระคัมภีร์เป็นสิทธิอำนาจของเรา ไม่ใช่วัฒนธรรม (โรม 12:2)
รายละเอียดทางวัฒนธรรมไม่จำเป็นต้องเป็นกลาง และเราไม่ควรคาดหวังให้เป็นเช่นนั้น (เอเฟซัส 2:2) วัฒนธรรมได้รับการพัฒนาโดยมนุษย์ที่ล้มลงในบาปที่ถูกหล่อหลอมด้วยความปรารถนาผิด ๆ และการเอาตัวเองเป็นศูนย์กลาง สังคมอาจมีความรู้บางอย่างเกี่ยวกับความจริงในพระคัมภีร์ แต่ไม่มีสังคมใดที่สอดคล้องกับมาตรฐานความถูกผิดของพระเจ้าอยู่เสมอ ไม่ควรมีสิ่งใดที่ได้รับการยอมรับว่าถูกต้องเพียงเพราะนั่นเป็นวัฒนธรรม พระคัมภีร์เท่านั้นที่แสดงให้เราเห็นถึงมาตรฐานของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ (สดุดี 19:7-11)
ถ้าคุณไปเยือนประเทศลิเบียและสังเกตว่าชาวลิเบียขับรถโดยไม่ห่วงความปลอดภัย คุณอาจคิดว่า “นั่นมันเป็นวัฒนธรรม มันเป็นวิธีการขับรถที่เหมาะกับพวกเขา” จริงอยู่ที่พวกเขาได้สร้างวัฒนธรรมของตัวเองสำหรับวิธีการขับรถ อย่างไรก็ตาม ประเทศลิเบียมีอัตราการเสียชีวิตจากการจราจรสูงที่สุดในโลก สถิติของพวกเขาสูงกว่าประเทศที่มีสถิติการเสียชีวิตจากการจราจรสูงเป็นอันดับสองของโลกถึงสองเท่า เห็นได้ชัดว่าวัฒนธรรมของพวกเขาไม่ได้พัฒนารูปแบบการขับขี่ที่ดี
พระเจ้ารู้ว่าชีวิตควรดำเนินไปอย่างไรและพระองค์มีกฎเกณฑ์ไว้ให้เรา เราไม่ได้เป็นเพียงการทดลองและการสำรวจ เราต้องไม่ทำแต่สิ่งที่ดูเหมือนจะให้ในสิ่งที่เราต้องการ เราไม่ควรแค่พยายามบรรลุสิ่งที่เรานึกคิดว่าจะทำให้ชีวิตมีความสุข เราต้องทำตามการออกแบบของพระเจ้าสำหรับความสัมพันธ์
สิ่งที่งดงามคือการเชื่อฟังคำสั่งสอนของพระเจ้าเป็นผลดีต่อตัวเรา พระเจ้าให้คำบัญชาต่าง ๆ แก่เราเพราะพระองค์รักเรา (เฉลยธรรมบัญญัติ 6:24) โดยการถือรักษาคำบัญชาเหล่านั้น เราก็จะชื่นชมกับผลลัพธ์ที่ดีและได้รับการปกป้องจากผลอันเลวร้ายที่ตามมามากมาย พระเจ้าผู้ออกแบบสร้างเรารู้ว่าอะไรดีที่สุดสำหรบเรา และเมื่อเราทำตามแผนของพระองค์ เราก็ได้รับการอวยพร
ความรับผิดชอบต่อพระเจ้าเกี่ยวกับความสัมพันธ์
► พฤติกรรมของเราต่อคนอื่นมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าอย่างไร?
► ให้นักศึกษาอ่านพระคัมภีร์แต่ละตอนต่อไปนี้ในกลุ่ม อภิปรายร่วมกันสั้น ๆ ถึงสิ่งที่พระเจ้าเรียกร้องจากความสัมพันธ์เหล่านี้ของมนุษย์ และการเชื่อฟังมีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าอย่างไร การไม่เชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้ามีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าอย่างไร?
ความสัมพันธ์ของเรากับคนอื่น และความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า
บทตอนในพระคัมภีร์
บุคคล/บทบาท
สิ่งที่พระเจ้าเรียกร้อง
ในความสัมพันธ์ของมนุษย์
ผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า
1 เปโตร 3:7
สามี
เข้าใจและให้เกียรติภรรยา
คำอธิษฐานของสามีไม่มีอุปสรรคขัดขวาง
เอเฟซัส
5:22, 24, 33; 1 เปโตร 3:1-6
ภรรยา
ยอมเชื่อฟังสามี
นั่นเป็นวิธีที่ภรรยายอมเชื่อฟังพระเจ้า
พระเจ้าให้คุณค่าต่อท่าทีนี้และพฤติกรรมนี้ของเธอ
โคโลสี 3:20
ลูก
เชื่อฟังพ่อแม่ในทุกเรื่อง
พฤติกรรมนี้ทำให้พระเจ้าชอบพระทัย
มัทธิว 6:12-15
ทุกคน
ยกโทษคนที่ทำผิดต่อเรา
พระเจ้าจะยกโทษให้เรา
โรม 13:1-5
ทุกคน
ยอมอยู่ใต้บังคับของผู้มีอำนาจปกครอง
นั่นคือวิธีที่เราเชื่อฟังพระเจ้า
1 เปโตร 2:18-20
คนรับใช้
อดทนต่อการปฏิบัติอย่างไม่ยุติธรรม
คนรับใช้ได้รับความเมตตาจากพระเจ้า
เราเป็นสิ่งมีชีวิตที่มีศีลธรรม ซึ่งหมายความว่าเราเข้าใจว่าการกระทำบางอย่างผิดและบางอย่างถูกต้อง และเราต้องรับผิดชอบต่อพระเจ้าสำหรับการเลือกของเรา สิ่งนี้ทำให้เรามีศักยภาพและความรับผิดชอบยิ่งใหญ่ การเลือกของเรามีผลกระทบต่อความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า การเชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้าเกี่ยวกับความสัมพันธ์ไม่ได้เกี่ยวข้องกับวิธีปฏิบัติเพื่อจะมีความสุขหรือได้สิ่งดีที่สุดในชีวิต เราต้องรับผิดชอบต่อพระเจ้าสำหรับการตัดสินใจของเราและพฤติกรรมของเราในความสัมพันธ์ (โรม14:10, 12)
พระเจ้าเรียกเราให้ปฏิบัติต่อคนอื่นอย่างยุติธรรมและมีการกระทำแห่งความรักและเมตตา (มีคาห์ 6:8) ปัญหาคือ เนื่องจากความบาปของอาดัม เชื้อสายทั้งหมดของเขาจึงเกิดมาพร้อมกับธรรมชาติบาป (โรม 5:12, 19) เพราะสิ่งนี้ เราจึงไม่สามารถกระทำสิ่งต่าง ๆ ด้วยความรัก ความเมตตา และยุติธรรมได้อย่างเสมอต้นเสมอปลาย (โรม 7:15-24) แต่พระคุณของพระเจ้าเปลี่ยนเราเมื่อเราบังเกิดใหม่ พระวิญญาณบริสุทธิ์ให้ความสามารถแก่เราเพื่อทำให้ข้อกำหนดของพระเจ้าสำเร็จ (โรม 8:3-4)
คุณค่าของมนุษย์ทุกคน
► ให้นักศึกษาบางคนเป็นตัวแทนกลุ่ม อ่าน อิสยาห์ 44:24, สดุดี 139:13-16, ปฐมกาล 9:6, และยากอบ 3:9 พระคัมภีร์เหล่านี้บอกอะไรเกี่ยวกับคุณค่าของแต่ละชีวิต? อะไรทำให้คน ๆ หนึ่งมีคุณค่า?
เพื่อมีความสัมพันธ์ที่ดีกับคนอื่น เราต้องเห็นคุณค่าของคนเหมือนที่พระเจ้าเห็น ทุกคนถูกสร้างขึ้นตามพระฉายของพระเจ้าและด้วยเหตุนี้เขาจึงมีคุณค่า ทุกคนแต่ละคนเป็นสิ่งทรงสร้างที่เฉพาะเจาะจงของพระเจ้า ไม่ว่าชายหรือหญิง ไม่ว่าคนแข็งแรงหรือคนป่วย ไม่ว่าคนที่สมบูรณ์หรือพิการ ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ไม่ว่าคนรวยหรือคนจน (สุภาษิต 14:31) ไม่ว่าเกิดมาแล้วหรือยังอยู่ในท้องแม่ ไม่ว่าผิวสีอะไร และไม่ขึ้นอยู่กับว่าความสามารถทางกายและปัญญาของเขาจะดีหรือมีความจำกัด (อพยพ 4:11)
มีบางวัฒนธรรมที่หลงลืมผู้สูงอายุ เพศหญิงถูกปฏิบัติว่าด้อยค่ากว่าเพศชาย หรือเด็กถูกมองว่าน่ารำคาญ ในบางวัฒนธรรมคนที่เสียแขนขาถูกมองว่าถูกแช่งสาปและเขาต้องซ่อนตัวจากสังคมหรือถูกสังคมปฏิเสธ การเหยียดเชื้อชาติเป็นเรื่องธรรมดาทั่วโลก คือการที่ชนเผ่าหรือกลุ่มชาติพันธุ์หนึ่งคิดว่าตนเองเหนือกว่าอีกกลุ่มหนึ่งและปฏิบัติต่ออีกกลุ่มหนึ่งอย่างน่าละอาย แต่ละการกระทำเหล่านี้ลดคุณค่าของมนุษย์ผู้ที่มีค่าที่สุดในบรรดาสิ่งทรงสร้างทั้งหมดของพระเจ้า การที่จะมีความสัมพันธ์ที่ดีที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้าได้นั้น เราต้องคิดถึงมนุษย์ทุกคนว่าเป็นผู้ผดุงพระฉายของพระเจ้า
Previous
Next