ชีวิตและพันธกิจ ของพระเยซู
ชีวิตและพันธกิจ ของพระเยซู
Audio Course Purchase

Search Course

Type at least 3 characters to search

Search through all lessons and sections in this course

Searching...

No results found

No matches for ""

Try different keywords or check your spelling

results found

Lesson 2: อธิษฐานเหมือนพระเยซู

2 min read

by Randall McElwain


จุดประสงค์บทเรียน

เมื่อจบบทเรียน นักศึกษาควรบรรลุวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้

(1) ตระหนักถึงความสำคัญของการอธิษฐานในชีวิตและพันธกิจของพระเยซู

(2) เรียนรู้หลักการอธิษฐานจากคำสอนของพระเยซู

(3) เข้าใจความสำคัญของการอธิษฐานในพันธกิจของเราวันนี้

(4) พัฒนาขั้นตอนการปฏิบัติเพื่อเป็นบุคคลแห่งการอธิษฐาน

หลักการสำหรับพันธกิจ

ถ้าเราต้องการรับใช้เหมือนพระเยซู เราต้องอธิษฐานเหมือนพระเยซู

บทนำ

ในคำสอนเรื่องการอธิษฐาน ศาตราจารย์ฮาวเวิร์ด เฮนดริกส์ ได้กล่าวข้อความที่น่าเชื่อถือดังนี้...

ถ้าคุณไม่อธิษฐาน ซาตานไม่สนใจหรอกหากคุณจะอ่านพระคัมภีร์ เพราะพระคัมภีร์จะไม่มีวันเปลี่ยนแปลงชีวิตของคุณ แต่คุณอาจเป็นคนที่หยิ่งฝ่ายวิญญาณอย่างรุนแรงได้เพราะคุณรู้พระคัมภีร์ดีมาก

ถ้าคุณไม่อธิษฐาน ซาตานไม่สนใจหรอกหากคุณจะแบ่งปันความเชื่อของคุณ เพราะมันรู้ว่าการพูดคุยกับพระเจ้าเรื่องคนก็สำคัญกว่าการพูดคุยกับคนเรื่องพระเจ้า

ถ้าคุณไม่อธิษฐาน ซาตานไม่สนใจหรอกหากคุณจะมีส่วนรับใช้ในคริสตจักรท้องถิ่น เพราะคุณก็จะขยันขันแข็งแต่ไม่ค่อยบรรลุผลสำเร็จมากนัก[1]

การอธิษฐานเป็นศูนย์กลางพันธกิจของพระเยซูบนโลกนี้ ไม่มีสิ่งใดที่สำคัญกว่าการอธิษฐาน พันธกิจของพระเยซูหยั่งรากในความสัมพันธ์กับพระบิดาในสวรรค์ ความสัมพันธ์นั้นดำรงอยู่ผ่านการอธิษฐานและการสามัคคีธรรมอันสนิทสนมกับพระเจ้า

► ก่อนศึกษาบทเรียนนี้ ขอให้ประเมินบทบาทการอธิษฐานในชีวิตและพันธกิจของคุณ โดยถามคำถามต่อไปนี้

  • [2]ฉันมีชีวิตแห่งการอธิษฐานที่คงเส้นคงวาไหม?

  • ครั้งล่าสุดที่ฉันได้รับคำตอบการอธิษฐานคือเมื่อใด?

  • อะไรคือความท้าทายใหญ่ที่สุดต่อชีวิตแห่งการอธิษฐานของฉัน?

  • ฉันกำลับเติบโตในชีวิตแห่งการอธิษฐานของฉันไหม?


[1]ดัดแปลงจาก Howard G. Hendricks, “Prayer—the Christian’s Secret Weapon.” จัดพิมพ์ใหม่ในเวอริทัส เดือนมกราคม 2004
[2]

“การอธิษฐานคือโรงยิม
สำหรับจิตวิญญาณ”
- Samuel Zwemer, “อัครทูตไปยังอิสลาม”

แบบอย่างของพระเยซูในการอธิษฐาน

ตลอดการทำพันธกิจของพระเยซู เราเห็นพระองค์อธิษฐานในช่วงเวลาที่วิกฤติต่าง ๆ พระกิตติคุณพูดถึงตัวอย่างเจาะจง 15 ตัวอย่างเมื่อพระเยซูอธิษฐาน การอธิษฐานไม่เคยเป็นเรื่องรอง การอธิษฐานเป็นศูนย์กลางชีวิตของพระองค์

ลูกาเน้นเรื่องการอธิษฐานในพันธกิจของพระเยซูมากกว่าผู้เขียนคนอื่น ๆ มีเพียงลูกาเท่านั้นที่บอกเราว่าพระเยซูอธิษฐานตลอดคืนก่อนเลือกสาวกสิบสองคน (ลูกา 6:12) มีเพียงลูกาเท่านั้นที่บอกเราว่าการจำแลงพระกายเกิดขึ้นเมื่อพระเยซูพาเปโตร ยากอบ และยอห์นขึ้นไปบนภูเขาเพื่ออธิษฐาน (ลูกา 9:28) การเน้นนี้ต่อเนื่องในพระธรรมกิจการที่ลูกาได้เขียน 35 ครั้งเกี่ยวกับบทบาทของการอธิษฐานในคริสตจักรยุคแรก

การอธิษฐานในการทำพันธกิจประจำวันของพระเยซู

► อ่าน มาระโก 1:32-39

เรื่องราวนี้จากการทำพันธกิจในช่วงเริ่มต้นของพระเยซู ซึ่งแสดงให้เห็นว่าการอธิษฐานกับการรับใช้นั้นเกี่ยวข้องกันอย่างไร สังเกตความคืบหน้าของเรื่องเล่านี้ เย็นก่อนหน้านั้น ผู้คนมาออกันอยู่นอกบ้านที่พระเยซูพักอาศัยอยู่ และพระองค์รักษาพวกเขามากมายหลายคน

ตอนเช้าตรู่ พระเยซูออกไปในที่เปลี่ยวเพื่ออธิษฐาน ซีโมนเปโตรมาหาพระองค์และพูดว่า “ทุกคนรอพระองค์อยู่” พระเยซูตอบว่า “ให้เราไปอีกเมืองหนึ่งถัดไป เพื่อเราจะเทศนาที่นั่นด้วย เพราะนี่คือเหตุผลที่เรามา” แบบแผนการทำพันธกิจของพระเยซูคือ การอธิษฐานควบคู่ไปกับการรับใช้

นี่ต้องเป็นแบบแผนสำหรับพันธกิจ โดยปราศจากการอธิษฐาน งานรับใช้ของเราก็จะพบกับความอ่อนล้าฝ่ายวิญญาณ โดยปราศจากงานรับใช้ คำอธิษฐานของเราก็จะจดจ่ออยู่กับตัวเอง คือเราจะไม่พยายามรับใช้เพื่อตอบสนองความจำเป็นของคนที่อยู่รอบตัวเรา พระเยซูแสดงให้เห็นว่าการอธิษฐานและการรับใช้เชื่อมโยงกัน

การอธิษฐานในเวลาที่ต้องตัดสินใจ

► อ่าน ลูกา 6:12-16

หนึ่งในการตัดสินใจครั้งสำคัญที่สุดของพระเยซูเกี่ยวกับพันธกิจคือการเลือกอัครทูตสิบสองคน จากคนนับพัน ๆ ที่ฟังพระองค์เทศนา มีคนมากมายที่ใกล้ชิดมากพอที่จะได้รับการเรียกให้เป็นสาวก (ยอห์น 6:60, 66) ผู้ติดตาม 72 คนของพระองค์มีความใกล้ชิดมากพอที่จะเป็นตัวแทนของพระเยซูในการเดินทางเทศนา (ลูกา 10:1) แต่พระเยซูเลือกเพียงสิบสองคนให้เป็นอัครทูต

อัครทูตสิบสองคนใช้เวลาจำนวนมากกับพระเยซู พวกเขาอยู่กับพระองค์ในช่วงตอนปลายของพันธกิจบนโลกนี้ หลังจากพระองค์ถูกรับขึ้นสู่สวรรค์ อัครทูตสิบเอ็ดคนกลายเป็นผู้นำในคริสตจักรยุคแรก การเลือกสิบสองคนเป็นการตัดสินใจที่สำคัญอย่างมาก พระเยซูไม่ได้เขียนหนังสือเล่มใดหรือสร้างโรงเรียนอะไร นิมิตของพระองค์สำหรับคริสตจักรจะได้รับการทำให้สำเร็จโดยบุรุษเหล่านี้

พระเยซูทำอะไรก่อนการเลือกอัครทูตสิบสองคน? พระองค์อธิษฐาน ในการเผชิญหน้ากับการตัดสินใจครั้งสำคัญ พระเยซูใช้เวลาตลอดคืนเพื่ออธิษฐาน ถ้าหากพระบุตรของพระเจ้าอธิษฐานด้วยความกระตือรือร้นก่อนการตัดสินใจครั้งสำคัญ แล้วเรายิ่งควรให้การอธิษฐานมีบทบาทที่สำคัญในการตัดสินใจของเรามากกว่านั้นสักเท่าใด!

การอธิษฐานเมื่อต้องเผชิญกับความทุกข์

► อ่าน มัทธิว 26:36-46

ไม่กี่ชั่วโมงก่อนถูกจับกุม พระเยซูไปที่เกธเสมาเนเพื่ออธิษฐาน พระองค์เตรียมตัวสำหรับการทนทุกข์ด้วยการอธิษฐาน พระเยซูไม่เคยใช้ความเป็นพระเจ้าของพระองค์ช่วยให้รอดพ้นจากความเจ็บปวดที่จะเกิดขึ้นกับความเป็นมนุษย์ของพระองค์ แต่พระองค์พึ่งพาการอธิษฐานเพื่อได้รับกำลังในการเผชิญกับความทุกข์

คำอธิษฐานของพระเยซูในสวนนั้นเป็นแบบอย่างให้กับเราในวันนี้ คำอธิษฐานของพระองค์ไม่ได้ประดิษฐ์ขึ้นมา แต่พระเยซูเผชิญกับความเป็นจริงที่เป็นการทนทุกข์ นี่ช่วยหนุนใจคุณให้ตระหนักว่าพระเยซูตอบสนองแบบมนุษย์ต่อความเจ็บปวดบ้างไหม? ในการเผชิญหน้ากับความทุกข์นั้น พระเยซูอธิษฐานขอให้ได้รับการบรรเทาทุกข์ดังนี้

พระองค์ไม่ได้อธิษฐานในสวนว่า “โอ พระเจ้า ลูกขอบคุณพระองค์มากที่เลือกให้ลูกทนทุกข์แทนพระองค์” ไม่ใช่แบบนั้น แต่พระเยซูประสบกับความโศกเศร้า ความกลัว การถูกทอดทิ้ง และถึงขนาดกับเกือบสิ้นหวัง กระนั้นพระองค์ยังอดทนยืนหยัด เพราะพระองค์รู้ว่าที่ใจกลางของจักรวาลมีพระบิดาของพระองค์อยู่ที่นั่น พระเจ้าแห่งความรักที่พระองค์สามารถไว้วางใจได้ไม่ว่าสิ่งต่าง ๆ จะเป็นไปอย่างไรก็ตาม[1]

ในการเผชิญกับความทุกข์ เราต้องไม่แสร้งทำเป็นเข้มแข็งกว่าที่เป็น เหมือนกับโยบ เราอาจร้องไห้ในสภาพที่เราเจ็บปวด ในความเป็นมนุษย์ของพระเยซู พระองค์ทำอย่างเดียวกันนี้! อย่างไรก็ตาม เหมือนกับพระเยซู เราสามารถยังคงสัตย์ซื่อเพราะเรารู้ว่าพระบิดาในสวรรค์ผู้เป็นที่รักของเรานั้นมีอำนาจสูงสุดในการควบคุมทุกสิ่ง

เราสามารถยอมรับพระประสงค์ของพระบิดาได้ในคำอธิษฐานของเรา กุญแจสำคัญในคำอธิษฐานของพระเยซูในการเผชิญความทุกข์ กุญแจสำคัญในคำอธิษฐานของเราในความทุกข์คือการยอมจำนนต่อพระประสงค์ของพระบิดาว่า “อย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระประสงค์ของพระองค์”


[1]Philip Yancey, The Jesus I Never Knew. (Grand Rapids: Zondervan, 1995), 161

คำสอนของพระเยซูเรื่องการอธิษฐาน

พระเยซูไม่เพียงแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการอธิษฐานโดยการเป็นแบบอย่าง พระองค์อุทิศตัวในการสอนเรื่องการอธิษฐานอย่างมาก พระเยซูรู้ว่าชีวิตฝ่ายวิญญาณของสาวกของพระองค์จำเป็นต้องเป็นชีวิตที่ต้องอธิษฐาน ด้วยเหตุนี้พระองค์จึงฝึกฝนสาวกให้อธิษฐาน

คำสอนของพระเยซูในคำเทศนาบนภูเขา

► อ่าน มัทธิว 6:1-18

ในคำเทศนาบนภูเขา พระเยซูสอนเรื่องกิจกรรมฝ่ายวิญญาณสามด้านคือ ช่วยเหลือคนยากจน อธิษฐาน และอดอาหาร จากคำสอนของพระเยซู เราเห็นได้ชัดว่าพระองค์คาดหวังให้กิจกรรมเหล่านี้เป็นเรื่องที่ทำกันเป็นปกติสำหรับสาวกของพระองค์ พระเยซูไม่ได้พูดว่า “ถ้าท่านช่วยเหลือคนยากจน...” หรือ “ถ้าท่านอธิษฐาน...” หรือ “ถ้าท่านอดอาหาร...” พระองค์คาดหวังให้พวกสาวกใจกว้างขวาง อธิษฐานเต็มที่ และมีวินัยในตนเอง

พระเยซูแสดงให้เห็นว่ากิจกรรมที่ดีเหล่านี้อาจไร้ความหมายถ้าหากมาจากแรงจูงใจที่เสื่อมเสีย ในโลกยุคโบราณ คนหน้าซื่อใจคดคือนักแสดงที่สวมหน้ากากที่แตกต่างกันเพื่อเล่นบทบาทต่างๆ ในละคร เป็นไปได้ที่จะ “แสดงบทบาททางศาสนา” ต่อหน้าผู้อื่น

  • เป็นไปได้ที่จะช่วยเหลือคนยากจนเพื่อทำให้ผู้คนประทับใจในความใจกว้างของเรา พระเยซูตรัสว่า “พวกเขาได้รับบำเหน็จรางวัลของตัวเองแล้ว”

  • เป็นไปได้ที่จะอธิษฐานเพื่อทำให้คนที่มองมาประทับใจกับถ้อยคำอันสวยหรูของเรา พระเยซูตรัสว่า “พวกเขาได้รับบำเหน็จรางวัลของตัวเองแล้ว”

  • เป็นไปได้ที่จะอดอาหารเพื่อทำให้คนอื่นประทับใจกับความเคร่งทางศาสนาและมีวินัยของเรา พระเยซูตรัสว่า “พวกเขาได้รับบำเหน็จรางวัลของตัวเองแล้ว”

ในแต่ละกรณี คนที่ช่วยเหลือคนยากจน คนที่อธิษฐาน คนที่อดอาหาร ทำเพื่อให้คนอื่นประทับใจ ผู้คนที่ประทับใจนั้นเป็นบำเหน็จรางวัลของเขาแต่ละคนแล้ว ดังนั้นเขาจะไม่ได้รับบำเหน็จรางวัลอะไรจากพระเจ้า

แรงจูงใจสำหรับกิจกรรมฝ่ายวิญญาณเหล่านี้ต้องเป็นการทำให้พระบิดาในสวรรค์พอพระทัย ไม่ว่าจะเป็นการช่วยเหลือคนยากจน อธิษฐาน หรืออดอาหาร บำเหน็จรางวัลของเราคือพระเจ้าพระองค์เอง เราต้องไม่ทำกิจกรรมฝ่ายวิญญาณเหล่านี้เพื่อเห็นแก่การยอมรับชมเชยในโลกนี้ แต่เราทำสิ่งเหล่านี้โดยออกมาจากใจปรารถนาลึก ๆ เพื่อพระเจ้า

พระเยซูสอนพวกสาวกให้อธิษฐานแบบเรียบง่ายตรงไปตรงมา

ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้สถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก ขอประทานอาหารประจำวันแก่พวกข้าพระองค์ในวันนี้ และขอทรงยกบาปผิดของพวกข้าพระองค์ เหมือนพวกข้าพระองค์ยกโทษบรรดาคนที่ทำผิดต่อข้าพระองค์ และขออย่าทรงนำพวกข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง แต่ขอให้พวกข้าพระองค์พ้นจากความชั่วร้าย(มัทธิว 6:9-13)

นี่ไม่ใช่คำอธิษฐานสำหรับท่องแบบไม่ต้องคิดและปราศจากความหมายอย่างที่พระเยซูตำหนิใน มัทธิว 6:7-8 แต่คำอธิษฐานนี้เป็นต้นแบบถึงท่าทีต่าง ๆ ที่ควรชี้นำการอธิษฐานของเรา

ความสัมพันธ์

“ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้สถิตในสวรรค์” แสดงถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดระหว่างเรากับพระเจ้า เรายอมรับพระเจ้าในฐานะพระบิดาผู้ยินดีที่จะให้ของขวัญที่ดีแก่ลูก ๆ ของพระองค์ แทนที่จะเป็นพระเจ้าผู้ห่างไกล (มัทธิว 7:11) วลีนี้แนะนำทั้งความสนิทสนม (“พระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย”) และสิทธิอำนาจ (“ในสวรรค์”) พระเจ้ามีทั้งบารมียิ่งใหญ่และความเป็นบุคคล

ความเคารพ

“ขอให้พระนามของพระองค์เป็นที่เคารพสักการะ” แสดงถึงความแตกต่างระหว่างเรากับพระบิดาในสวรรค์ ถึงแม้พระเจ้าเป็นพระบิดาที่รักเรา แต่พระองค์ก็บริสุทธิ์[1] เหมือนที่นักปราชญ์ในปัญญาจารย์ได้เรียนรู้ เราต้องเข้าไปในการสถิตอยู่ของพระเจ้าด้วยความเคารพยำเกรง (ปัญญาจารย์ 5:2)

การยอมจำนน

“ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก” แทนถึงการยอมจำนนเจตน์จำนงของเราต่อสิทธิอำนาจของพระองค์ เมื่อพระประสงค์ของพระเจ้าบรรลุผลอย่างสมบูรณ์ในสวรรค์ เราควรอธิษฐานว่าจะบรรลุผลในโลกนี้

การจัดเตรียม

จำนวนเปอร์เซ็นต์สูงมากสำหรับผู้คนในโลกนี้ที่ต้องทำงานเพื่อหาเลี้ยงชีพตัวเองในทุก ๆ วัน “ขอประทานอาหารประจำวันแก่พวกข้าพระองค์ในวันนี้” แนะนำให้เราวางใจพระบิดาสำหรับชีวิตประจำวันของเรา ในฐานะลูกของพระองค์ เราวางใจว่าพระองค์จะจัดเตรียมสิ่งที่จำเป็นให้กับเรา

การสารภาพ

“ขอทรงยกบาปผิดของพวกข้าพระองค์ เหมือนพวกข้าพระองค์ยกโทษบรรดาคนที่ทำผิดต่อข้าพระองค์” ในลูกา 11:2-4 คำอธิษฐานอย่างเดียวกันถูกกล่าวว่า “ขอทรงยกโทษบาปผิดของพวกข้าพระองค์ เพราะว่าพวกข้าพระองค์ยกโทษให้กับทุกคนที่เป็นหนี้ข้าพระองค์นั้น” เนื่องจากความบาปคือการที่เราเป็นหนี้พระเจ้า (โคโลสี 2:14) ความหมายอย่างเดียวกันทั้งในมัทธิวและลูกา

โดยการเชื่อมโยงการที่เรายกโทษให้ผู้อื่นเข้ากับการที่พระเจ้ายกโทษให้เรา พระเยซูไม่ได้สอนว่าเราต้องทำอะไรเพื่อให้ได้รับการยกโทษ แต่เราได้รับการยกโทษแล้วโดยการที่เราเต็มใจยกโทษให้คนเหล่านั้นที่ทำผิดต่อเรา อุปมาของพระเยซูเรื่องทาสที่ไม่ยอมให้อภัยแสดงให้เห็นความสัมพันธ์ระหว่างการที่เราได้รับการยกโทษกับการที่เราเต็มใจยกโทษให้คนอื่น (มัทธิว 18:21-35)

ชัยชนะ

“ขออย่าทรงนำพวกข้าพระองค์เข้าไปในการทดลอง แต่ขอให้พวกข้าพระองค์พ้นจากความชั่วร้าย” เป็นคำอธิษฐานเพื่อชัยชนะเหนือการทดลองและการทดสอบ พระเจ้าไม่เคยทดลองลูกของพระองค์ให้ทำบาป (ยากอบ 1:13) แต่พวกเราแต่ละคนจะเผชิญกับช่วงเวลาแห่งการทดสอบและการทดลอง (1 เปโตร 1:6-7) ในช่วงเวลาเหล่านั้น พระเจ้าจะไม่มีวันอนุญาตให้เราถูกทดลองเกินกว่าที่เราจะทนได้ (1 โครินธ์ 10:13)

คำสอนของพระเยซูเรื่องการอธิษฐานด้วยความกล้า

► อ่าน ลูกา 11:1-13

ลูกาจัดวางคำอุปมาเรื่องหนึ่งตามหลังคำอธิษฐานขององค์พระผู้เป็นเจ้า คือคำอุปมาที่สอนให้เราอธิษฐานด้วยความกล้าต่อพระบิดาผู้ยินดีให้ของขวัญที่ดีแก่ลูกของพระองค์ ในตะวันออกกลาง การยืมเงินเพื่อนบ้านเพื่อเอามาดูแลต้อนรับแขกนั้นเป็นเรื่องปกติ ถ้าหากคน ๆ หนึ่งกล้าขอ เพื่อนบ้านของเขาก็จะให้สิ่งที่เขาต้องการ ในวัฒนธรรมนั้น การตอบปฏิเสธคำร้องขอว่า “ไม่ได้” ถือว่าหยาบคาย แม้แต่ถ้าเพื่อนบ้านไม่ต้องการรบกวนครอบครัวของเขา เขาก็จะไม่ปฏิเสธเมื่อมีการร้องขอให้ช่วยเหลือ

ยิ่งไปกว่านั้น พระเจ้าต้องการให้ของขวัญที่ดีแก่ลูกของพระองค์ที่กล้าขอ เราสามารถเข้ามาหาพระบิดาในสวรรค์ของเราได้ด้วยความมั่นใจ เพราะอะไรหรือ? ไม่ใช่เพราะพระเจ้าจะต้องละอายที่จะปฏิเสธคำขอของเรา แต่เพราะเราได้รับอนุญาตให้ขอ หา และเคาะ (ลูกา 11:9)


[1]คำว่า “สักการะ” หมายถึง “บริสุทธิ์” หรือ “แยกไว้”

พิจารณารายละเอียด: รูปแบบคำสอนในภาษาฮีบรู

ในลูกา 11:1-13 พระเยซูสอนเรื่องชายคนหนึ่งที่ไม่อยากลุกขึ้นจากที่นอนเพื่อมาช่วยเพื่อนบ้านของเขาที่จำเป็นต้องขอยืมอาหารเพื่อไปรับรองแขก

เพื่อจะเข้าใจคำอุปมานี้ คุณควรเข้าใจรูปแบบการสอนในภาษาฮีบรูเรื่องข้อโต้แย้งน้อยไปหามาก วิธีการสอนแบบนี้จะบอกว่า “ถ้า A (น้อย) เป็นจริง แล้ว B (มาก) จะต้องเป็นจริงมากกว่าสักเท่าใด” ในวันนี้เราอาจพูดว่า “ถ้าคนหนึ่งจะเตรียมอาหารให้คนแปลกหน้าที่หิวโหย (A) แล้วพ่อที่รักลูกของตนจะยิ่งจัดเตรียมให้ลูกมากกว่าสักเท่าใด (B)”

เมื่อคุณอ่านคำอุปมานี้ อย่าคิดว่า “พระเจ้าเป็นเหมือนเพื่อนบ้านที่ไม่เต็มใจคนนี้ ฉันจึงต้องเกลี้ยกล่อมให้พระองค์ตอบคำอธิษฐานของฉัน” แต่พระเยซูเปรียบให้เห็นความแตกต่างระหว่างเพื่อนบ้านที่ไม่เต็มใจกับพระบิดาในสวรรค์ ถ้าเพื่อนบ้านในโลกนี้จะตอบสนองต่อคำขอด้วยความกล้า พระบิดาในสวรรค์ก็จะตอบสนองลูกของพระองค์มากสักเท่าใด!

คำสอนของพระเยซูเรื่องการอธิษฐาน (ต่อเนื่อง)

คำสอนของพระเยซูเรื่องการอธิษฐานด้วยความกล้า (ต่อเนื่อง)

การอธิษฐานคือความสัมพันธ์

ถ้าพระเจ้าต้องการตอบคำอธิษฐานลูกของพระองค์ ทำไมบางครั้งคำตอบถึงล่าช้า? ขอ หา เคาะ เป็นคำสั่งที่อยู่ในรูปปัจจุบันกาล มีความหมายเป็นนัยว่าเราต้องหมั่นขอ หา และเคาะ เพราะอะไรหรือ?

[1]หนึ่งเหตุผลที่การอธิษฐานไม่ได้เป็นเพียงแค่การบอกรายการคำขอ การอธิษฐานคือความสัมพันธ์ที่ต่อเนื่องกับพระบิดาในสวรรค์ของเรา เหมือนกับที่เราเปาโลสั่งเราให้ “อธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ” (1 เธสะโลนิกา 5:17) พระเยซูสั่งให้เราหมั่นเพียรในการขอ หา และเคาะ ผ่านทางการสนทนากับพระเจ้านี้ ความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์ก็ลึกซึ้งมากขึ้น การอธิษฐานไม่ได้เป็นเพียงการบอกรายการคำขอ แต่การอธิษฐานคือความสัมพันธ์

คำอุปมาเรื่องการอธิษฐานอย่างต่อเนื่อง

ในลูกา 17 พวกฟาริสีถามพระเยซูว่าเมื่อใดที่แผ่นดินของพระเจ้าจะมาถึง พระองค์ตอบว่าพวกเขาไม่ควรคาดหวังหมายสำคัญที่น่าตื่นเต้น แต่พระองค์บอกพวกเขาว่า “แผ่นดินของพระเจ้านั้นอยู่ท่ามกลางพวกท่าน” (ลูกา 17:20-21) แผ่นดินของพระเจ้าอยู่ในคนที่ติดตามพระเยซูเรียบร้อยแล้ว

จากนั้นพระเยซูหันมาหาพวกสาวกและสอนพวกเขาเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า พวกเขาคาดหวังให้พระเยซูสถาปนาอาณาจักรทางการเมืองโดยทันที แต่พระเยซูเตรียมพวกเขาให้รอคอยแม้หลังจากความตาย ในขณะที่กำลังรอคอย พวกเขาต้องอธิษฐานอย่างต่อเนื่องและไม่สูญเสียกำลังใจ แล้วพระเยซูก็เล่าเรื่องเกี่ยวกับการอธิษฐานอย่างสัตย์ซื่อ

► อ่าน ลูกา 18:1-8

[2]ในเมืองต่าง ๆ สมัยโบราณ ผู้พิพากษาไม่ซื่อสัตย์ จะไม่มีคดีของใครเป็นที่รับฟังจนกว่าจะมีการติดสินบน หญิงม่ายคนนี้ไม่มีเงินติดสินบนผู้พิพากษา ดังนั้นเขาจึงปฏิเสธคดีของเธอ อย่างไรก็ตาม หญิงที่พากเพียรคนนี้ไม่ยอมแพ้ ในที่สุดผู้พิพากษาที่อธรรมก็พูดว่า “แต่เพราะแม่ม่ายคนนี้มาทำให้ข้าลำบาก ข้าจะให้ความยุติธรรมแก่นางเพื่อไม่ให้นางมารบกวนให้รำคาญใจบ่อยๆ”

คำอุปมานี้ใช้รูปแบบการสอนน้อยไปหามากเหมือนกับคำอุปมาเรื่องเพื่อนบ้านที่กล้าหาญ เมื่อคุณอ่านคำอุปมานี้ ขอให้เข้าใจดังนี้

  • พระเจ้าไม่ใช่ผู้พิพากษาอธรรม พระบิดาของเราอยากให้ความยุติธรรมแก่ผู้ที่พระองค์เลือก

  • เราไม่ใช่หญิงม่ายคนนั้น เธอเป็นคนแปลกหน้า แต่เราเป็นลูกของพระเจ้า

  • เธอไม่สามารถเข้าถึงผู้พิพากษาได้ แต่เราเข้าถึงพระเจ้าได้โดยทางพระเยซู

นี่คือคำอุปมาเพื่อเปรียบเทียบความแตกต่าง ถ้าหากผู้พิพากษาอธรรมจะตอบคำร้องขอของหญิงม่ายที่พากเพียรขอ พระบิดาในสวรรค์ของเราจะตอบคำอธิษฐานของลูกของพระองค์มากกว่าสักเท่าใด

คำอุปมาเรื่องการอธิษฐานด้วยความถ่อมใจ

► อ่าน ลูกา 18:9-14

คำอุปมาเรื่องถัดไปของพระเยซูเกี่ยวกับการอธิษฐานนั้นพูดถึง “คนที่วางใจว่าตัวเองชอบธรรมและดูถูกเหยียดหยามคนอื่น” คำอุปมานี้สอนเกี่ยวกับท่าทีที่ถูกต้องในการอธิษฐาน

ใจความสำคัญของคำอุปมานี้อยู่ตอนท้ายคือ “เพราะว่าทุกคนที่ยกตัวขึ้นจะต้องถูกเหยียดลง แต่ทุกคนที่ถ่อมตัวลงจะได้รับการยกขึ้น” พวกฟาริสีคิดว่าคำอธิษฐานได้รับคำตอบเพราะความชอบธรรมของพวกเขาเอง พระเยซูแสดงให้เห็นว่าคำอธิษฐานได้รับคำตอบเพราะพระคุณของพระเจ้าที่มีให้กับคนที่ไม่มีความชอบธรรมสำหรับตัวเอง ไม่มีใครที่สมควรได้รับคำตอบคำอธิษฐาน พระเจ้าตอบคำอธิษฐานเพราะพระคุณของพระองค์ให้กับคนที่ไม่สมควรได้รับอะไรเลย


[1]

“การอธิษฐานไม่ใช่แค่การขอเพื่อจะได้สิ่งต่าง ๆ และได้ในสิ่งที่ต้องการ การอธิษฐานคือการขอเพื่อจะได้พระเจ้า
และได้ในสิ่งที่จำเป็น”

- Philip Yancey

[2]

“การอธิษฐานไม่ใช่การเอาชนะความลังเลใจของพระเจ้า การอธิษฐานคือการยึดมั่นในความประสงค์ของพระเจ้า”
- Martin Luther

การประยุกต์ใช้: การอธิษฐานในชีวิตคริสเตียน

คนที่เป็นเหมือนพระคริสต์คือคนที่อธิษฐานเป็นชีวิตจิตใจ เจ ซี ไรเยิล บิชอพแห่งลิเวอร์พูล ในศตวรรษที่ 19 ได้ศึกษาชีวิตของคริสเตียนที่ยิ่งใหญ่ตลอดประวัติศาสตร์ เขาบอกว่าบางคนร่ำรวย บางคนยากจน บางคนมีการศึกษา บางคนขาดการศึกษา บางคนอยู่ในกลุ่มคาลวิน บางคนกลุ่มอามินัส บางคนยึดมั่นในรูปแบบพิธี บางคนก็ไม่ยึดอะไร “แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทุกคนมีเหมือนกัน นั่นคือพวกเขาล้วนเป็นคนที่อธิษฐานเป็นชีวิตจิตใจ”[1]

ตลอดประวัติศาสตร์คริสตจักร คนที่เป็นเหมือนพระคริสต์เป็นคนที่อธิษฐานเป็นชีวิตจิตใจ อี เอ็ม บาวด์ ผู้นำคริสเตียนยิ่งใหญ่คนหนึ่ง อธิษฐานตั้งแต่ตีสี่ถึงเจ็ดโมงทุกเช้า เขาเขียนว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้เคลื่อนผ่านวิธีการแต่เคลื่อนผ่านคน พระองค์ไม่ได้มาเหนือเครื่องจักรแต่มาเหนือมนุษย์ พระองค์ไม่ได้เจิมแผนการแต่เจิมคน คือคนที่อธิษฐานเป็นชีวิตจิตใจ”[2]

จอร์จ มูเลอร์ ดูแลเด็กกำพร้านับพัน ๆ คน เขาตั้งใจว่าจะไม่ขอการช่วยเหลือใด ๆ จากมนุษย์ แต่จะพึ่งพาการอธิษฐานเท่านั้น เขาได้รับเงิน 7,000,000 ดอลล่าร์สหรัฐ ผ่านการอธิษฐานอย่างเดียวเท่านั้น มูเลอร์ไม่ได้สนับสนุนเด็กกำพร้าของเขาเองเท่านั้น แต่เขายังบริจาคเงินหลายพันดอลล่าร์เพื่อช่วยเหลือพันธกิจอื่น ๆ จอร์จ มูลเลอร์ รู้ถึงพลังของการอธิษฐาน

เราอธิษฐานทำไม?

[3]เราอธิษฐานเพราะเราพึ่งพาพระเจ้า

พระเยซูในฐานะมนุษย์ พระองค์พึ่งพาการอธิษฐานเพื่อสื่อสารกับพระบิดา การอธิษฐานคือการพึ่งพาพระเจ้า เป็นการแสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้พึ่งตัวเอง แต่พึ่งพระเจ้า

► อ่าน มัทธิว 26:31-46

ความล้มเหลวของซีโมนเปโตรแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการอธิษฐาน พระเยซูเตือนพวกสาวกว่า “พวกเจ้าทุกคนจะล้มลงเพราะเราในคืนนี้” ยิ่งกว่านั้น พระเยซูเตือนเปโตรอย่างตรงไปตรงมาว่า “ซีโมน ซีโมนเอ๋ย นี่แน่ะ ซาตานขอพวกท่านไว้” (ลูกา 22:31) เปโตรล้มเหลวเพราะจุดอ่อนสองประการ

1. เปโตรมั่นใจมากเกินไป เขายืนกรานว่า “แม้ทุกคนจะทิ้งพระองค์ไป ข้าพระองค์จะไม่มีวันทิ้งพระองค์เลย...ถึงแม้ข้าพระองค์จะต้องตายกับพระองค์ ข้าพระองค์ก็จะไม่ปฏิเสธพระองค์เลย” (มัทธิว 26:33, 35) ความหยิ่งทำให้เปโตรมั่นใจมากเกินกว่ากำลังของเขาเอง

2. เปโตรล้มเหลวเรื่องการอธิษฐาน เนื่องจากเขามั่นใจในกำลังของตัวเอง เปโตรไม่พึ่งพาพระเจ้า แทนที่จะร่วมกับพระเยซูในการอธิษฐาน เปโตรกลับนอนหลับ เราอธิษฐานด้วยความกระตือรือร้นมากที่สุดเมื่อเราตระหนักว่าเราต้องพึ่งพระเจ้าเท่านั้น ดิ๊ค อีสมัน เขียนว่า “โดยการอธิษฐานเท่านั้นที่เรายอมมอบปัญหาของเราไว้กับพระเจ้าอย่างแท้จริง”[4]

เราอธิษฐานเพื่อรู้จักพระเจ้าอย่างเต็มที่มากขึ้น

[5]จุดอ่อนร้ายแรงของคริสตจักรสมัยใหม่คือการมีความรู้ที่ตื้นเขินเกี่ยวกับพระเจ้า บ่อยเกินไปที่คำอธิษฐานของเราร้องขอความจำเป็นฝ่ายวัตถุและความสำเร็จส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่อง พวกเราหลายคนใช้เวลามากในการอธิษฐานว่า “พระเจ้า ขอช่วยลูก ๆ ของข้าพระองค์ให้หางานที่ดีทำได้” แทนที่จะอธิษฐานว่า “พระเจ้า ขอหล่อหลอมลูกของข้าพระองค์ให้เป็นไปตามพระฉายาของพระองค์” เราอธิษฐานด้วยความกระตือรือร้นสำหรับการรักษาโรคทางกายมากกว่าการรักษาโรคฝ่ายวิญญาณ นี่แสดงให้เห็นว่าเราเข้าใจน้อยแค่ไหนถึงความหมายที่แท้จริงของการอธิษฐาน

หนึ่งในจุดประสงค์เบื้องต้นของการอธิษฐานคือการรู้จักพระเจ้าอย่างเต็มที่มากขึ้น ในการอธิษฐานเราได้รับการปรับให้ตรงกับใจของพระเจ้า การอธิษฐานไม่ใช่การให้พระเจ้าทำในสิ่งที่เราต้องการให้ทำ การอธิษฐานให้ความรู้ถึงพระทัยของพระเจ้าแก่เราจนกว่าเราจะต้องการในสิ่งที่พระองค์ต้องการ

เมื่อเรามาถึงจุดนี้ พระเยซูตรัสว่า “เมื่อพวกท่านอธิษฐานขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ แล้วพวกท่านจะได้รับสิ่งนั้น” (มาระโก 11:24) เนื่องจากใจของเราได้รับการปรับให้เข้ากับใจของพระเจ้า เราจะไม่ขอด้วยแรงจูงใจที่ผิดหรือขอในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความประสงค์ของพระองค์ (ยากอบ 4:3 และ 1 ยอห์น 5:14) ความรู้ถึงพระทัยของพระเจ้านี้มาทางการอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ

กลุ่มเพียวริตันพูดว่าเราต้อง “อธิษฐานจนกว่าเราอธิษฐาน” กล่าวอีกอย่างคือ เราต้องอธิษฐานนานพอและอดทนมากพอที่จะผ่านคำพูดซ้ำซากว่างเปล่าและเข้าไปในการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า เราต้องอธิษฐานจนกว่าเราปลื้มปิติในพระเจ้า

► บอกเกี่ยวกับเวลาที่เมื่อการอธิษฐานให้ความรู้ที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับพระเจ้าและความประสงค์ของพระองค์

เราอธิษฐานอย่างไร?

โดยการศึกษาแบบอย่างในการอธิษฐานของพระเยซู เราเรียนรู้บทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการอธิษฐานที่เกิดผล

เราอธิษฐานด้วยความอดทน

พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า คนหนึ่งอาจคาดหวังให้ชีวิตแห่งการอธิษฐานของเขาเรียบง่ายด้วยการพูดว่า “พระบิดา พระองค์ต้องการให้ลูกทำอะไร?” และได้รับคำตอบทันที! แต่เราเห็นพระเยซูใช้เวลาตลอดคืนในการอธิษฐานก่อนการเลือกอัครทูตสิบสองคน เราเห็นพระองค์ปล้ำสู้ในการอธิษฐานที่สวนเกทเสมนี การอธิษฐานเรียกร้องให้มีความอดทนและต้องการเวลา แม้แต่กับพระเยซู การอธิษฐานคือการรอคอยพระเจ้า

การเขียนถึงความสำคัญของการรอคอยในการอธิษฐาน เกลน แพทเทอร์สัน กล่าวว่า “สิ่งที่พระเจ้าทำในเราขณะที่เรารอคอยมีความสำคัญเท่าเทียมกันกับสิ่งที่เรากำลังรอคอย การรอคอยเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการของพระเจ้าเพื่อสร้างเราให้เป็นอย่างที่พระองค์ต้องการ” เมื่อเรารอคอยพระเจ้า เราเรียนรู้ที่จะรู้จักพระองค์ดีขึ้น

สดุดี 37:1-9 สอนบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการอธิษฐาน ขอให้เราดูคำสั่งเหล่านี้

  • อย่าฉุนเฉียว

  • จงวางใจในพระยาห์เวห์

  • จงปีติยินดีในพระยาห์เวห์

  • จงมอบทางของท่านไว้กับพระยาห์เวห์

  • จงวางใจในพระองค์

  • จงสงบอยู่ต่อพระยาห์เวห์

  • เพียรรอคอยพระองค์

  • จงระงับความโกรธ

  • อย่าฉุนเฉียว (อีกครั้ง!)

คำสั่งเหล่านี้ชี้ไปที่ความวางใจด้วยความอดทนในพระเจ้าผู้ดูแลคุณและจะให้คุณตามใจปรารถนา (สดุดี 37:4) โดยผ่านการอธิษฐานด้วยความอดทน เรากลายเป็นคนที่ไว้วางใจอย่างที่พระเจ้าต้องการให้เป็น

[6]แบบอย่างการอธิษฐานที่พากเพียร

ช่วงต้นของชีวิตคริสเตียนของ จอร์จ มูลเลอร์ เขาเริ่มต้นอธิษฐานให้เพื่อนของเขาห้าคนกลับใจมาเชื่อพระเจ้า หลังจากผ่านไปหลายเดือน หนึ่งในห้าคนมาเชื่อพระเจ้า จากนั้นอีกสิบปี อีกสองคนกลับใจมาเชื่อ ใช้เวลา 25 ปีก่อนที่เพื่อนคนที่สี่จะได้รับความรอด

มูลเลอร์พากเพียรในการอธิษฐานจนวันตายเพื่อเพื่อนคนที่ห้า ตลอดเวลา 52 ปีเขาไม่เคยยอมแพ้ในการอธิษฐานให้เพื่อนคนนี้ต้อนรับพระคริสต์! ไม่กี่วันต่อมาหลังจากงานศพของมูลเลอร์ เพื่อนคนที่ห้าได้รับความรอด มูลเลอร์เชื่อในการอธิษฐานที่พากเพียร

เราอธิษฐานด้วยความถ่อมใจ

พระเยซูอธิษฐานว่า “อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” (ลูกา 22:42) พระเยซูรู้ว่าพระองค์ไว้วางใจความประสงค์อันสมบูรณ์ของพระบิดาได้

การอธิษฐานเป็นการแสดงความถ่อมใจ เราอธิษฐานเผื่อคนอื่นเพราะเราไม่สามารถช่วยพวกเขาได้ด้วยสติปัญญาของเราเอง เราต้องพึ่งพาพระเจ้า เราอธิษฐานเผื่อตัวเราเองเพราะเราไม่สามารถจัดการชีวิตได้ด้วยกำลังของเรา เราต้องพึ่งพาพระเจ้า

การอธิษฐานเป็นการตระหนักว่าเราต้องการพระเจ้า เมื่อเรารู้สึกมั่นใจในความสามารถของเราเองเพื่อจะจัดการปัญหาในชีวิต เราก็จะไม่อธิษฐานด้วยความกระตือรือร้น เมื่อเราตระหนักว่าเราไม่สามารถจัดการชีวิตได้ด้วยกำลังของเราเอง เราก็จะอธิษฐานด้วยความถ่อมใจ

การอธิษฐานของเราควรเกิดขึ้นด้วยความเชื่อมั่นแต่ถ่อมใจ เมื่อเรารอคอยพระเจ้าเพื่อจะรับคำตอบ เราสามารถมั่นใจและมีสันติสุขเพราะเรากำลังอธิษฐานต่อพระบิดาในสวรรค์ผู้รักเราและปรารถนาสิ่งดีที่สุดเพื่อลูกของพระองค์ ในความกดดันของชีวิตและในพันธกิจ การอธิษฐานด้วยความถ่อมใจให้ความไว้วางใจที่สงบนิ่งในพระเจ้าแก่เรา

เราอธิษฐานแบบส่วนตัว

พระเยซูสอนพวกสาวกให้เริ่มต้นอธิษฐานโดยการเอ่ยถึงพระเจ้าแบบส่วนตัวคือ “ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย” การอธิษฐานที่แท้จริงเป็นการอธิษฐานแบบส่วนตัว พอล มิลเลอร์ เขียนว่า “มีคนมากมายมีปัญหาในการเรียนรู้วิธีอธิษฐานเพราะพวกเขาจดจ่อกับการอธิษฐาน ไม่ได้จดจ่อกับพระเจ้า”[7] บ่อยครั้งเรา “พูดคำอธิษฐาน” แทนที่จะพูดคุยกับพระเจ้า นี่คือใจความสำคัญของคำเตือนของพระเยซูเพื่อต่อต้านการ “พูดพล่อย ๆ ซ้ำซาก” (มัทธิว 6:7)

ลองนึกถึงคนหนึ่งมาที่โต๊ะอาหารมื้อเย็นพร้อมกับคำที่ท่องจำมาเป็นชุด เขาพูดว่า “ผมอยากพูดกับครอบครัวของผม ผมได้เตรียมคำที่ท่องจำมาพูด” นี่ไม่ใช่การพูดคุยที่แท้จริง! เราคาดหวังให้คนนั้นจดจ่อกับคนอื่นที่โต๊ะอาหารนั้น ไม่ใช่ที่คำพูดที่เขาจะพูด

การอธิษฐานที่เราเขียนขึ้นมาหรือคนอื่นเขียนอาจช่วยให้เราจำหัวข้อที่ควรอธิษฐาน แต่การอธิษฐานจดจ่อที่พระเจ้าแทนที่จะจดจ่อกับคำท่องจำเป็นชุด การอธิษฐานไม่ใช่ระบบ การอธิษฐานคือความสัมพันธ์ การอธิษฐานต้องเป็นแบบส่วนตัว

เราจะเป็นคนที่อธิษฐานเป็นชีวิตจิตใจได้อย่างไร?

ในศตวรรษที่ 5 แอนิเซีย ฟัลโทเนีย โพรบา สตรีผู้สูงศักดิ์ชาวโรมัน ขอคำแนะนำเกี่ยวกับการอธิษฐานของออกัสติน โพรบาต้องการทราบวิธีที่จะเป็นคนที่อธิษฐานเป็นชีวิตจิตใจ ออกัสตินเขียนจดหมายฉบับยาวพร้อมคำแนะนำที่ชาญฉลาดเกี่ยวกับการอธิษฐาน[8] ในหัวข้อนี้ เราจะตรวจสอบหลักการอธิษฐานของออกัสติน

คนลักษณะใดที่เป็นคนที่อธิษฐานเป็นชีวิตจิตใจได้?

อย่างแรก ออกัสตินกล่าวว่าคนที่อธิษฐานต้องเป็นคนที่ไม่มีแหล่งทรัพยากรอื่น ๆ คนที่อธิษฐานคือคนที่พึ่งพาการอธิษฐานแต่เพียงอย่างเดียว

โพรบาเป็นหญิงม่ายของหนึ่งในชายที่ร่ำรวยและมีอำนาจมากที่สุดในกรุงโรม ลูกชายสามคนของเธอทำหน้าที่เป็นกงสุลโรมัน ออกัสตินเริ่มต้นด้วยการบอกโพรบาว่าเธอต้อง "นับว่าตัวเองโดดเดี่ยวในโลกนี้" ไม่ว่าเราจะมั่งคั่ง มีอำนาจ หรือประสบความสำเร็จเพียงใด เราต้องยอมรับความสิ้นหวังของเราต่อพระพักตร์พระเจ้า มิฉะนั้น คำอธิษฐานของเราจะเหมือนคำอธิษฐานของพวกฟาริสีมากกว่าคำอธิษฐานของคนเก็บภาษี

เราควรอธิษฐานเผื่อเรื่องอะไร?

ออกัสตินให้คำแนะนำที่น่าสนใจแก่โพรบา เขาพูดว่า “อธิษฐานเผื่อชีวิตที่มีความสุข” นี่ดูเหมือนเห็นแก่ตัว แต่ออกัสตินอธิบายว่าความสุขที่แท้จริงมาจากพระเจ้าเท่านั้น คนที่มี “ความสุขแท้จริงคือคนที่มีทุกสิ่งที่ปรารถนา และปรารถนาที่จะไม่มีสิ่งใดที่เขาไม่ควรปรารถนา”

คริสเตียนมีความสุขเพราะเขามีพระเจ้า และปรารถนาที่จะไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าไม่ต้องการให้เขามี เหมือนกับผู้เขียนสดุดี เราอิ่มใจอยู่ในการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า

ข้าพเจ้าทูลขอสิ่งหนึ่งจากพระยาห์เวห์ ซึ่งข้าพเจ้าจะเสาะแสวงหา คือที่ข้าพเจ้าจะได้อยู่ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ตลอดวันคืนแห่งชีวิตของข้าพเจ้า เพื่อจะดูความงามของพระยาห์เวห์ และเพื่อจะพินิจพิจารณาอยู่ในพระวิหารของพระองค์ (สดุดี 27:4)

ถ้าเราปรารถนาการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าเหนือสิ่งใดอย่างแท้จริง เราก็สามารถอธิษฐานขอความสุขโดยรู้ว่าพระเจ้าจะเติมเต็มความปรารถนาส่วนลึกที่สุดของเราโดยการให้พระองค์เองแก่เรา!

เราควรอธิษฐานในช่วงเวลาทุกข์ยากอย่างไร?

ออกัสตินเตือนโพรบาให้ระลึกว่า เปาโลตระหนักว่าจะมีช่วงเวลาที่เมื่อ “เราไม่รู้ว่าควรจะอธิษฐานขออะไรอย่างไร” (โรม 8:26) เราจะอธิษฐานอย่างไรเมื่อมาถึงจุดที่สิ้นหวัง?

ออกัสตินดูที่ข้อพระคัมภีร์สามตอน ตอนที่หนึ่ง เขาชี้ไปที่แบบอย่างของเปาโลเมื่อครั้งที่อธิษฐานขอการช่วยให้พ้นจาก “หนามในเนื้อ” แทนที่พระเจ้าจะช่วยเขา พระเจ้าสัญญาว่า “การมีพระคุณของเราก็เพียงพอกับเจ้า เพราะว่าความอ่อนแอมีที่ไหน ฤทธานุภาพของเราก็ปรากฏเต็มที่ที่นั่น” เปาโลเป็นพยานได้ว่า “เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจะอวดบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้ามากขึ้นด้วยความยินดีอย่างยิ่ง เพื่อว่าฤทธานุภาพของพระคริสต์จะอยู่ในข้าพเจ้า...เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะเข้มแข็งมากเมื่อนั้น” (2 โครินธ์ 12:8-10)

ตอนที่สอง ออกัสตินชี้ไปที่แบบอย่างของพระเยซูที่สวนเกทเสมนี พระเยซูยอมจำนนความปรารถนาของพระองค์ต่อพระเจ้า พระเยซูอธิษฐานขอการช่วยให้พ้น “พระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด” แต่พระองค์สรุปว่า “แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” (มัทธิว 26:39)

ในที่สุด ออกัสตินชี้ไปที่โรม 8:26 เมื่อเราไม่รู้ว่าจะอธิษฐานอย่างไร พระวิญญาณบริสุทธิ์นำใจเรา พระวิญญาณช่วยเราในความอ่อนแอและวิงวอนเพื่อเราด้วยการคร่ำครวญที่ลึกซึ้งเกินกว่าจะเป็นคำพูด เมื่อเราพูดอะไรไม่ได้ พระวิญญาณบริสุทธิ์นำคำอธิษฐานของเราไปให้พระบิดา ผู้ยอมรับและทำให้ทุกสิ่งเกิดผลดีสำหรับคนที่ได้รับการทรงเรียกตามความประสงค์ของพระองค์ (โรม 8:26-28)


[1]อ้างอิงใน Matt Friedeman, The Accountability Connection. (Wheaton, Illinois: Victor Books, 1992), 37
[2]Edward M. Bounds, Power Through Prayer. (Kenosha, Wisconsin: Treasures Media, n.d.), 2
[3]

“ถ้าคุณทำสิ่งใดได้โดยไม่ต้องอธิษฐาน มันคุ้มที่จะทำจริง ๆ หรือ?

- Dr. Howard Hendricks

[4]Dick Eastman, The Hour That Changes the World. (Grand Rapids: Baker Book House, 1995), 12
[5]

“เรามองการอธิษฐานว่าเป็นดั่งวิธีการได้บางสิ่งเพื่อตัวเราเอง แนวคิดในพระคัมภีร์
เรื่องการอธิษฐานคือการที่เราจะ
รู้จักพระเจ้าพระองค์เอง”
- Oswald Chambers

[6]

“คนอาจปฏิเสธคำขอของเรา ปฏิเสธข้อความของเรา ต่อต้านข้อโต้แย้งของเรา ดูหมิ่นตัวเรา
แต่พวกเขาหมดสิ้นหนทางที่จะ
ต่อต้านคำอธิษฐานของเรา”

- J. Sidlow Baxter

[7]Paul E. Miller, A Praying Life: Connecting with God in a Distracting World. (Colorado Springs: NavPress, 2009)
[8]Philip Schaff, ed. The Confessions and Latters of St.Augustine: Nicene and Post-Nicene Fathers, First Series, Volume 1. (Buffalo, New York: Christian Literature Publishing Company, 1886), 459-469

สรุป: เมื่อคุณไม่รู้ว่าจะอธิษฐานอย่างไร

บางครั้งความเงียบคือสิ่งดีที่สุดที่คุณทำได้[1] คุณอยากอธิษฐาน แต่ไม่รู้ว่าจะอธิษฐานอย่างไร คำอธิษฐานก็จะไม่ออกมา คุณจะทำอะไร? เคล็ดลับอย่างหนึ่งคือการเข้าใจว่าพระคริสต์เป็นมหาปุโรหิตยิ่งใหญ่ของเรา

ในฐานะคริสเตียนอีแวนเจลิคอล เราเชื่อในการเป็นปุโรหิตของผู้เชื่อทุกคน หลักคำสอนของการปฏิรูปครั้งใหญ่สอนว่า พวกเราแต่ละคนเข้าถึงพระบิดาได้โดยตรง อย่างไรก็ตาม ถ้าหากเข้าใจเรื่องนี้ผิด หลักคำสอนนี้สามารถนำเราให้มีปัญหาฝ่ายวิญญาณได้ ผมจะเต็มไปด้วยความสงสัยว่า “ผมอธิษฐานเพียงพอไหม? ผมได้ทำส่วนของผมจริง ๆ ไหม?”

ในงานประชุมใหญ่ปี 2013 ศาสตราจารย์ อลัน ทอร์แรนซ์ ให้คำพยานเรื่องปัญหาคาใจของเขาเกี่ยวกับคำถามต่าง ๆ เหล่านี้

เดือนมกราคม ปี 2008 ภรรยาของผมตายด้วยโรคมะเร็ง เธอเป็นสตรีคริสเตียนที่ดีเลิศที่สุด เป็นภรรยาและแม่ที่ดี การเฝ้าดูเธอจากไปด้วยความเจ็บปวดเมื่อมะเร็งแพร่กระจายไปทั่วร่างนั้นเป็นเรื่องยาก และการมองเห็นลูก ๆ ของเรามารับรู้ถึงความทุกข์ทรมานของเธอยิ่งยากมากกว่า ในความเศร้าโศกของผม มีบางครั้งที่ผมไม่รู้ว่าจะอธิษฐานอย่างไรและจะอธิษฐานเรื่องอะไร ผมไม่รู้ว่าจะอธิษฐานอย่างไร

ในเวลานั้น ความเป็นปุโรหิตของพระคริสต์เข้ามาเกี่ยวข้องกันกับชีวิตของผมเกินกว่าที่ผมจะบรรยายได้ เมื่อผมโอบกอดเจนไว้ในอ้อมแขน ปุโรหิตผู้ถูกรับขึ้นสู่สวรรค์ (พระเยซูคริสต์) กำลังวิงวอนแทนพวกเรา เราสามารถพักสงบในการสถิตอยู่ด้วยของพระองค์

การอธิษฐานที่ผมยึดมั่นในช่วงเวลานั้นคือคำอธิษฐานขององค์พระผู้เป็นเจ้า ผมไม่ได้ถูกทิ้งให้อธิษฐานด้วยตัวเอง “พระบิดาของข้าพระองค์ ผู้อยู่ในสวรรค์ ห่างไกลจากที่ที่ข้าพระองค์อยู่” แต่โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ ผมอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย ผู้สถิตในสวรรค์ ขอให้พระนามเป็นที่เคารพสักการะ ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามน้ำพระทัยของพระองค์”

การค้นพบความสำคัญของการเป็นปุโรหิตเป็นนิจของพระคริสต์ คือการค้นพบพระกิตติคุณที่เปลี่ยนแปลงทุกด้านของชีวิตและการนมัสการของเรา

เราเข้าใจผิดเรื่องการเป็นปุโรหิตของผู้เชื่อทุกคนเมื่อเราคิดว่ามันหมายถึงการที่เราต้องเข้าหาพระบิดาด้วยกำลังฝ่ายวิญญาณของเราเอง นั่นคือความผิดพลาด การเป็นปุโรหิตของผู้เชื่อทุกคนเน้นว่า เราไม่จำเป็นต้องมีคนกลางคนไหนนอกจากพระคริสต์ พระองค์คือผู้เดียวที่วิงวอนเพื่อเรา ยอมรับความพยายามที่ล้มเหลวของเราในการอธิษฐาน และมอบถวายแด่พระบิดาเป็นดั่งเครื่องบูชาที่พระบิดายอมรับ การอธิษฐานของเราได้รับฤทธิ์เดชโดยพระวิญญาณและมีคนกลางคือพระเยซูคริสต์ผู้เป็นมหาปุโรหิตของเรา

เมื่อคุณไม่รู้ว่าจะอธิษฐานอย่างไร อย่าท้อแท้ เรามีผู้หนึ่งที่อธิษฐานเพื่อเรา คุกเข่าข้าง ๆ เรา วิงวอนกับพระบิดา กำลังพูดในสิ่งที่เราพูดเองไม่ได้


[1]ส่วนนี้ดัดแปลงจาก Marc Cortez, Everyday Theology

งานมอบหมายบทที่ 2

สามารถพิมพ์ PDF ได้ที่นี่

(1) ใช้ศัพท์สัมพันธ์หรือโปรแกรมค้นหาพระคัมภีร์ที่ระบุถึงแบบอย่างในการอธิษฐานสามตัวอย่างในพระคัมภีร์ ขอให้เปรียบเทียบแต่ละคำอธิษฐานกับคำอธิษฐานขององค์พระผู้เป็นเจ้า องค์ประกอบใดของคำอธิษฐานขององค์พระผู้เป็นเจ้าที่พบได้ในคำอธิษฐานอื่น ๆ ในพระคัมภีร์? ขอให้ใช้ตารางในหน้าถัดไปเพื่อบันทึกสิ่งที่คุณพบ

(2) จดบันทึกคำอธิษฐานเป็นเวลาหนึ่งเดือน บันทึกความผิดหวังในคำอธิษฐาน ชัยชนะ และคำตอบของพระเจ้า ใช้บันทึกนี้หนุนใจคุณให้เติบโตในชีวิตแห่งการอธิษฐาน

คำอธิษฐานในพระคัมภีร์ ข้อพระคัมภีร์ องค์ประกอบในคำอธิษฐาน
คำอธิษฐานของเนหะมีย์ เนหะมีย์ 1:5-11
  • ความสัมพันธ์: “รักษาพันธสัญญา”

  • เคารพนับถือ: “ยิ่งใหญ่ และน่ายำเกรง”

  • ยอมจำนน: “คำอธิษฐานของผู้รับใช้ของพระองค์”

  • จัดเตรียม: “ประทานความสำเร็จแก่ผู้รับใช้ของพระองค์”

  • สารภาพ: “สารภาพความบาปของประชาชนอิสราเอล”

     
     
     
Next Lesson