คนที่เป็นเหมือนพระคริสต์คือคนที่อธิษฐานเป็นชีวิตจิตใจ เจ ซี ไรเยิล บิชอพแห่งลิเวอร์พูล ในศตวรรษที่ 19 ได้ศึกษาชีวิตของคริสเตียนที่ยิ่งใหญ่ตลอดประวัติศาสตร์ เขาบอกว่าบางคนร่ำรวย บางคนยากจน บางคนมีการศึกษา บางคนขาดการศึกษา บางคนอยู่ในกลุ่มคาลวิน บางคนกลุ่มอามินัส บางคนยึดมั่นในรูปแบบพิธี บางคนก็ไม่ยึดอะไร “แต่มีสิ่งหนึ่งที่ทุกคนมีเหมือนกัน นั่นคือพวกเขาล้วนเป็นคนที่อธิษฐานเป็นชีวิตจิตใจ”[1]
ตลอดประวัติศาสตร์คริสตจักร คนที่เป็นเหมือนพระคริสต์เป็นคนที่อธิษฐานเป็นชีวิตจิตใจ อี เอ็ม บาวด์ ผู้นำคริสเตียนยิ่งใหญ่คนหนึ่ง อธิษฐานตั้งแต่ตีสี่ถึงเจ็ดโมงทุกเช้า เขาเขียนว่า “พระวิญญาณบริสุทธิ์ไม่ได้เคลื่อนผ่านวิธีการแต่เคลื่อนผ่านคน พระองค์ไม่ได้มาเหนือเครื่องจักรแต่มาเหนือมนุษย์ พระองค์ไม่ได้เจิมแผนการแต่เจิมคน คือคนที่อธิษฐานเป็นชีวิตจิตใจ”[2]
จอร์จ มูเลอร์ ดูแลเด็กกำพร้านับพัน ๆ คน เขาตั้งใจว่าจะไม่ขอการช่วยเหลือใด ๆ จากมนุษย์ แต่จะพึ่งพาการอธิษฐานเท่านั้น เขาได้รับเงิน 7,000,000 ดอลล่าร์สหรัฐ ผ่านการอธิษฐานอย่างเดียวเท่านั้น มูเลอร์ไม่ได้สนับสนุนเด็กกำพร้าของเขาเองเท่านั้น แต่เขายังบริจาคเงินหลายพันดอลล่าร์เพื่อช่วยเหลือพันธกิจอื่น ๆ จอร์จ มูลเลอร์ รู้ถึงพลังของการอธิษฐาน
เราอธิษฐานทำไม?
[3] เราอธิษฐานเพราะเราพึ่งพาพระเจ้า
พระเยซูในฐานะมนุษย์ พระองค์พึ่งพาการอธิษฐานเพื่อสื่อสารกับพระบิดา การอธิษฐานคือการพึ่งพาพระเจ้า เป็นการแสดงให้เห็นว่าเราไม่ได้พึ่งตัวเอง แต่พึ่งพระเจ้า
► อ่าน มัทธิว 26:31-46
ความล้มเหลวของซีโมนเปโตรแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของการอธิษฐาน พระเยซูเตือนพวกสาวกว่า “พวกเจ้าทุกคนจะล้มลงเพราะเราในคืนนี้” ยิ่งกว่านั้น พระเยซูเตือนเปโตรอย่างตรงไปตรงมาว่า “ซีโมน ซีโมนเอ๋ย นี่แน่ะ ซาตานขอพวกท่านไว้” (ลูกา 22:31) เปโตรล้มเหลวเพราะจุดอ่อนสองประการ
1. เปโตรมั่นใจมากเกินไป เขายืนกรานว่า “แม้ทุกคนจะทิ้งพระองค์ไป ข้าพระองค์จะไม่มีวันทิ้งพระองค์เลย...ถึงแม้ข้าพระองค์จะต้องตายกับพระองค์ ข้าพระองค์ก็จะไม่ปฏิเสธพระองค์เลย” (มัทธิว 26:33, 35) ความหยิ่งทำให้เปโตรมั่นใจมากเกินกว่ากำลังของเขาเอง
2. เปโตรล้มเหลวเรื่องการอธิษฐาน เนื่องจากเขามั่นใจในกำลังของตัวเอง เปโตรไม่พึ่งพาพระเจ้า แทนที่จะร่วมกับพระเยซูในการอธิษฐาน เปโตรกลับนอนหลับ เราอธิษฐานด้วยความกระตือรือร้นมากที่สุดเมื่อเราตระหนักว่าเราต้องพึ่งพระเจ้าเท่านั้น ดิ๊ค อีสมัน เขียนว่า “โดยการอธิษฐานเท่านั้นที่เรายอมมอบปัญหาของเราไว้กับพระเจ้าอย่างแท้จริง”[4]
เราอธิษฐานเพื่อรู้จักพระเจ้าอย่างเต็มที่มากขึ้น
[5] จุดอ่อนร้ายแรงของคริสตจักรสมัยใหม่คือการมีความรู้ที่ตื้นเขินเกี่ยวกับพระเจ้า บ่อยเกินไปที่คำอธิษฐานของเราร้องขอความจำเป็นฝ่ายวัตถุและความสำเร็จส่วนบุคคลอย่างต่อเนื่อง พวกเราหลายคนใช้เวลามากในการอธิษฐานว่า “พระเจ้า ขอช่วยลูก ๆ ของข้าพระองค์ให้หางานที่ดีทำได้” แทนที่จะอธิษฐานว่า “พระเจ้า ขอหล่อหลอมลูกของข้าพระองค์ให้เป็นไปตามพระฉายาของพระองค์” เราอธิษฐานด้วยความกระตือรือร้นสำหรับการรักษาโรคทางกายมากกว่าการรักษาโรคฝ่ายวิญญาณ นี่แสดงให้เห็นว่าเราเข้าใจน้อยแค่ไหนถึงความหมายที่แท้จริงของการอธิษฐาน
หนึ่งในจุดประสงค์เบื้องต้นของการอธิษฐานคือการรู้จักพระเจ้าอย่างเต็มที่มากขึ้น ในการอธิษฐานเราได้รับการปรับให้ตรงกับใจของพระเจ้า การอธิษฐานไม่ใช่การให้พระเจ้าทำในสิ่งที่เราต้องการให้ทำ การอธิษฐานให้ความรู้ถึงพระทัยของพระเจ้าแก่เราจนกว่าเราจะต้องการในสิ่งที่พระองค์ต้องการ
เมื่อเรามาถึงจุดนี้ พระเยซูตรัสว่า “เมื่อพวกท่านอธิษฐานขอสิ่งใด จงเชื่อว่าได้รับ แล้วพวกท่านจะได้รับสิ่งนั้น” (มาระโก 11:24) เนื่องจากใจของเราได้รับการปรับให้เข้ากับใจของพระเจ้า เราจะไม่ขอด้วยแรงจูงใจที่ผิดหรือขอในสิ่งที่ตรงกันข้ามกับความประสงค์ของพระองค์ (ยากอบ 4:3 และ 1 ยอห์น 5:14) ความรู้ถึงพระทัยของพระเจ้านี้มาทางการอธิษฐานอย่างสม่ำเสมอ
กลุ่มเพียวริตันพูดว่าเราต้อง “อธิษฐานจนกว่าเราอธิษฐาน” กล่าวอีกอย่างคือ เราต้องอธิษฐานนานพอและอดทนมากพอที่จะผ่านคำพูดซ้ำซากว่างเปล่าและเข้าไปในการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า เราต้องอธิษฐานจนกว่าเราปลื้มปิติในพระเจ้า
► บอกเกี่ยวกับเวลาที่เมื่อการอธิษฐานให้ความรู้ที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับพระเจ้าและความประสงค์ของพระองค์
เราอธิษฐานอย่างไร?
โดยการศึกษาแบบอย่างในการอธิษฐานของพระเยซู เราเรียนรู้บทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการอธิษฐานที่เกิดผล
เราอธิษฐานด้วยความอดทน
พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า คนหนึ่งอาจคาดหวังให้ชีวิตแห่งการอธิษฐานของเขาเรียบง่ายด้วยการพูดว่า “พระบิดา พระองค์ต้องการให้ลูกทำอะไร?” และได้รับคำตอบทันที! แต่เราเห็นพระเยซูใช้เวลาตลอดคืนในการอธิษฐานก่อนการเลือกอัครทูตสิบสองคน เราเห็นพระองค์ปล้ำสู้ในการอธิษฐานที่สวนเกทเสมนี การอธิษฐานเรียกร้องให้มีความอดทนและต้องการเวลา แม้แต่กับพระเยซู การอธิษฐานคือการรอคอยพระเจ้า
การเขียนถึงความสำคัญของการรอคอยในการอธิษฐาน เกลน แพทเทอร์สัน กล่าวว่า “สิ่งที่พระเจ้าทำในเราขณะที่เรารอคอยมีความสำคัญเท่าเทียมกันกับสิ่งที่เรากำลังรอคอย การรอคอยเป็นส่วนหนึ่งในกระบวนการของพระเจ้าเพื่อสร้างเราให้เป็นอย่างที่พระองค์ต้องการ” เมื่อเรารอคอยพระเจ้า เราเรียนรู้ที่จะรู้จักพระองค์ดีขึ้น
สดุดี 37:1-9 สอนบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับการอธิษฐาน ขอให้เราดูคำสั่งเหล่านี้
คำสั่งเหล่านี้ชี้ไปที่ความวางใจด้วยความอดทนในพระเจ้าผู้ดูแลคุณและจะให้คุณตามใจปรารถนา (สดุดี 37:4) โดยผ่านการอธิษฐานด้วยความอดทน เรากลายเป็นคนที่ไว้วางใจอย่างที่พระเจ้าต้องการให้เป็น
[6] แบบอย่างการอธิษฐานที่พากเพียร
ช่วงต้นของชีวิตคริสเตียนของ จอร์จ มูลเลอร์ เขาเริ่มต้นอธิษฐานให้เพื่อนของเขาห้าคนกลับใจมาเชื่อพระเจ้า หลังจากผ่านไปหลายเดือน หนึ่งในห้าคนมาเชื่อพระเจ้า จากนั้นอีกสิบปี อีกสองคนกลับใจมาเชื่อ ใช้เวลา 25 ปีก่อนที่เพื่อนคนที่สี่จะได้รับความรอด
มูลเลอร์พากเพียรในการอธิษฐานจนวันตายเพื่อเพื่อนคนที่ห้า ตลอดเวลา 52 ปีเขาไม่เคยยอมแพ้ในการอธิษฐานให้เพื่อนคนนี้ต้อนรับพระคริสต์! ไม่กี่วันต่อมาหลังจากงานศพของมูลเลอร์ เพื่อนคนที่ห้าได้รับความรอด มูลเลอร์เชื่อในการอธิษฐานที่พากเพียร
เราอธิษฐานด้วยความถ่อมใจ
พระเยซูอธิษฐานว่า “อย่าให้เป็นไปตามใจข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” (ลูกา 22:42) พระเยซูรู้ว่าพระองค์ไว้วางใจความประสงค์อันสมบูรณ์ของพระบิดาได้
การอธิษฐานเป็นการแสดงความถ่อมใจ เราอธิษฐานเผื่อคนอื่นเพราะเราไม่สามารถช่วยพวกเขาได้ด้วยสติปัญญาของเราเอง เราต้องพึ่งพาพระเจ้า เราอธิษฐานเผื่อตัวเราเองเพราะเราไม่สามารถจัดการชีวิตได้ด้วยกำลังของเรา เราต้องพึ่งพาพระเจ้า
การอธิษฐานเป็นการตระหนักว่าเราต้องการพระเจ้า เมื่อเรารู้สึกมั่นใจในความสามารถของเราเองเพื่อจะจัดการปัญหาในชีวิต เราก็จะไม่อธิษฐานด้วยความกระตือรือร้น เมื่อเราตระหนักว่าเราไม่สามารถจัดการชีวิตได้ด้วยกำลังของเราเอง เราก็จะอธิษฐานด้วยความถ่อมใจ
การอธิษฐานของเราควรเกิดขึ้นด้วยความเชื่อมั่นแต่ถ่อมใจ เมื่อเรารอคอยพระเจ้าเพื่อจะรับคำตอบ เราสามารถมั่นใจและมีสันติสุขเพราะเรากำลังอธิษฐานต่อพระบิดาในสวรรค์ผู้รักเราและปรารถนาสิ่งดีที่สุดเพื่อลูกของพระองค์ ในความกดดันของชีวิตและในพันธกิจ การอธิษฐานด้วยความถ่อมใจให้ความไว้วางใจที่สงบนิ่งในพระเจ้าแก่เรา
เราอธิษฐานแบบส่วนตัว
พระเยซูสอนพวกสาวกให้เริ่มต้นอธิษฐานโดยการเอ่ยถึงพระเจ้าแบบส่วนตัวคือ “ข้าแต่พระบิดาของข้าพระองค์ทั้งหลาย” การอธิษฐานที่แท้จริงเป็นการอธิษฐานแบบส่วนตัว พอล มิลเลอร์ เขียนว่า “มีคนมากมายมีปัญหาในการเรียนรู้วิธีอธิษฐานเพราะพวกเขาจดจ่อกับการอธิษฐาน ไม่ได้จดจ่อกับพระเจ้า”[7] บ่อยครั้งเรา “พูดคำอธิษฐาน” แทนที่จะพูดคุยกับพระเจ้า นี่คือใจความสำคัญของคำเตือนของพระเยซูเพื่อต่อต้านการ “พูดพล่อย ๆ ซ้ำซาก” (มัทธิว 6:7)
ลองนึกถึงคนหนึ่งมาที่โต๊ะอาหารมื้อเย็นพร้อมกับคำที่ท่องจำมาเป็นชุด เขาพูดว่า “ผมอยากพูดกับครอบครัวของผม ผมได้เตรียมคำที่ท่องจำมาพูด” นี่ไม่ใช่การพูดคุยที่แท้จริง! เราคาดหวังให้คนนั้นจดจ่อกับคนอื่นที่โต๊ะอาหารนั้น ไม่ใช่ที่คำพูดที่เขาจะพูด
การอธิษฐานที่เราเขียนขึ้นมาหรือคนอื่นเขียนอาจช่วยให้เราจำหัวข้อที่ควรอธิษฐาน แต่การอธิษฐานจดจ่อที่พระเจ้าแทนที่จะจดจ่อกับคำท่องจำเป็นชุด การอธิษฐานไม่ใช่ระบบ การอธิษฐานคือความสัมพันธ์ การอธิษฐานต้องเป็นแบบส่วนตัว
เราจะเป็นคนที่อธิษฐานเป็นชีวิตจิตใจได้อย่างไร?
ในศตวรรษที่ 5 แอนิเซีย ฟัลโทเนีย โพรบา สตรีผู้สูงศักดิ์ชาวโรมัน ขอคำแนะนำเกี่ยวกับการอธิษฐานของออกัสติน โพรบาต้องการทราบวิธีที่จะเป็นคนที่อธิษฐานเป็นชีวิตจิตใจ ออกัสตินเขียนจดหมายฉบับยาวพร้อมคำแนะนำที่ชาญฉลาดเกี่ยวกับการอธิษฐาน[8] ในหัวข้อนี้ เราจะตรวจสอบหลักการอธิษฐานของออกัสติน
คนลักษณะใดที่เป็นคนที่อธิษฐานเป็นชีวิตจิตใจได้?
อย่างแรก ออกัสตินกล่าวว่าคนที่อธิษฐานต้องเป็นคนที่ไม่มีแหล่งทรัพยากรอื่น ๆ คนที่อธิษฐานคือคนที่พึ่งพาการอธิษฐานแต่เพียงอย่างเดียว
โพรบาเป็นหญิงม่ายของหนึ่งในชายที่ร่ำรวยและมีอำนาจมากที่สุดในกรุงโรม ลูกชายสามคนของเธอทำหน้าที่เป็นกงสุลโรมัน ออกัสตินเริ่มต้นด้วยการบอกโพรบาว่าเธอต้อง "นับว่าตัวเองโดดเดี่ยวในโลกนี้" ไม่ว่าเราจะมั่งคั่ง มีอำนาจ หรือประสบความสำเร็จเพียงใด เราต้องยอมรับความสิ้นหวังของเราต่อพระพักตร์พระเจ้า มิฉะนั้น คำอธิษฐานของเราจะเหมือนคำอธิษฐานของพวกฟาริสีมากกว่าคำอธิษฐานของคนเก็บภาษี
เราควรอธิษฐานเผื่อเรื่องอะไร?
ออกัสตินให้คำแนะนำที่น่าสนใจแก่โพรบา เขาพูดว่า “อธิษฐานเผื่อชีวิตที่มีความสุข” นี่ดูเหมือนเห็นแก่ตัว แต่ออกัสตินอธิบายว่าความสุขที่แท้จริงมาจากพระเจ้าเท่านั้น คนที่มี “ความสุขแท้จริงคือคนที่มีทุกสิ่งที่ปรารถนา และปรารถนาที่จะไม่มีสิ่งใดที่เขาไม่ควรปรารถนา”
คริสเตียนมีความสุขเพราะเขามีพระเจ้า และปรารถนาที่จะไม่มีสิ่งใดที่พระเจ้าไม่ต้องการให้เขามี เหมือนกับผู้เขียนสดุดี เราอิ่มใจอยู่ในการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้า
ข้าพเจ้าทูลขอสิ่งหนึ่งจากพระยาห์เวห์ ซึ่งข้าพเจ้าจะเสาะแสวงหา คือที่ข้าพเจ้าจะได้อยู่ในพระนิเวศของพระยาห์เวห์ ตลอดวันคืนแห่งชีวิตของข้าพเจ้า เพื่อจะดูความงามของพระยาห์เวห์ และเพื่อจะพินิจพิจารณาอยู่ในพระวิหารของพระองค์ (สดุดี 27:4)
ถ้าเราปรารถนาการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าเหนือสิ่งใดอย่างแท้จริง เราก็สามารถอธิษฐานขอความสุขโดยรู้ว่าพระเจ้าจะเติมเต็มความปรารถนาส่วนลึกที่สุดของเราโดยการให้พระองค์เองแก่เรา!
เราควรอธิษฐานในช่วงเวลาทุกข์ยากอย่างไร?
ออกัสตินเตือนโพรบาให้ระลึกว่า เปาโลตระหนักว่าจะมีช่วงเวลาที่เมื่อ “เราไม่รู้ว่าควรจะอธิษฐานขออะไรอย่างไร” (โรม 8:26) เราจะอธิษฐานอย่างไรเมื่อมาถึงจุดที่สิ้นหวัง?
ออกัสตินดูที่ข้อพระคัมภีร์สามตอน ตอนที่หนึ่ง เขาชี้ไปที่แบบอย่างของเปาโลเมื่อครั้งที่อธิษฐานขอการช่วยให้พ้นจาก “หนามในเนื้อ” แทนที่พระเจ้าจะช่วยเขา พระเจ้าสัญญาว่า “การมีพระคุณของเราก็เพียงพอกับเจ้า เพราะว่าความอ่อนแอมีที่ไหน ฤทธานุภาพของเราก็ปรากฏเต็มที่ที่นั่น” เปาโลเป็นพยานได้ว่า “เพราะฉะนั้น ข้าพเจ้าจะอวดบรรดาความอ่อนแอของข้าพเจ้ามากขึ้นด้วยความยินดีอย่างยิ่ง เพื่อว่าฤทธานุภาพของพระคริสต์จะอยู่ในข้าพเจ้า...เพราะว่าข้าพเจ้าอ่อนแอเมื่อใด ข้าพเจ้าก็จะเข้มแข็งมากเมื่อนั้น” (2 โครินธ์ 12:8-10)
ตอนที่สอง ออกัสตินชี้ไปที่แบบอย่างของพระเยซูที่สวนเกทเสมนี พระเยซูยอมจำนนความปรารถนาของพระองค์ต่อพระเจ้า พระเยซูอธิษฐานขอการช่วยให้พ้น “พระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด” แต่พระองค์สรุปว่า “แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” (มัทธิว 26:39)
ในที่สุด ออกัสตินชี้ไปที่โรม 8:26 เมื่อเราไม่รู้ว่าจะอธิษฐานอย่างไร พระวิญญาณบริสุทธิ์นำใจเรา พระวิญญาณช่วยเราในความอ่อนแอและวิงวอนเพื่อเราด้วยการคร่ำครวญที่ลึกซึ้งเกินกว่าจะเป็นคำพูด เมื่อเราพูดอะไรไม่ได้ พระวิญญาณบริสุทธิ์นำคำอธิษฐานของเราไปให้พระบิดา ผู้ยอมรับและทำให้ทุกสิ่งเกิดผลดีสำหรับคนที่ได้รับการทรงเรียกตามความประสงค์ของพระองค์ (โรม 8:26-28)
[1] อ้างอิงใน Matt Friedeman,
The Accountability Connection. (Wheaton, Illinois: Victor Books, 1992), 37
[2] Edward M. Bounds,
Power Through Prayer. (Kenosha, Wisconsin: Treasures Media, n.d.), 2
[3]
“ถ้าคุณทำสิ่งใดได้โดยไม่ต้องอธิษฐาน มันคุ้มที่จะทำจริง ๆ หรือ?
- Dr. Howard Hendricks
[4] Dick Eastman,
The Hour That Changes the World. (Grand Rapids: Baker Book House, 1995), 12
[5]
“เรามองการอธิษฐานว่าเป็นดั่งวิธีการได้บางสิ่งเพื่อตัวเราเอง แนวคิดในพระคัมภีร์
เรื่องการอธิษฐานคือการที่เราจะ
รู้จักพระเจ้าพระองค์เอง”
- Oswald Chambers
[6]
“คนอาจปฏิเสธคำขอของเรา ปฏิเสธข้อความของเรา ต่อต้านข้อโต้แย้งของเรา ดูหมิ่นตัวเรา
แต่พวกเขาหมดสิ้นหนทางที่จะ
ต่อต้านคำอธิษฐานของเรา”
- J. Sidlow Baxter
[7] Paul E. Miller,
A Praying Life: Connecting with God in a Distracting World . (Colorado Springs: NavPress, 2009)
[8] Philip Schaff, ed.
The Confessions and Latters of St.Augustine: Nicene and Post-Nicene Fathers, First Series, Volume 1. (Buffalo, New York: Christian Literature Publishing Company, 1886), 459-469
Previous
Next