ชีวิตและพันธกิจ ของพระเยซู
ชีวิตและพันธกิจ ของพระเยซู
Audio Course Purchase

Search Course

Type at least 3 characters to search

Search through all lessons and sections in this course

Searching...

No results found

No matches for ""

Try different keywords or check your spelling

results found

Lesson 9: ทิ้งมรดกไว้

2 min read

by Randall McElwain


จุดประสงค์บทเรียน

เมื่อจบบทเรียน นักศึกษาควรบรรลุวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้

(1) เข้าใจมรดกสุดท้ายของพระเยซูที่ทิ้งไว้ให้กับพวกสาวกและคริสตจักร

(2) เห็นคุณค่าความสำคัญของมิชชันในมรดกของพระเยซู

(3) ยอมรับผลกระทบอย่างต่อเนื่องของพันธกิจของพระเยซูผ่านทางสาวกของพระองค์ในพระธรรมกิจการ

(4) พัฒนาขั้นตอนในเชิงปฏิบัติสำหรับการทิ้งพันธกิจของพระองค์ไว้เป็นมรดก

หลักการสำหรับพันธกิจ

บททดสอบของพันธกิจของเราคือ เราทิ้งอะไรไว้เมื่อเราจากไป

บทนำ

ทิโมธีใกล้จะเกษียณแล้วหลังจากเป็นศิษยาภิบาลที่ได้รับความนับถือมาหลายปี มีคนถามเขาว่า “คุณกำลังเตรียมคริสตจักรสำหรับการเกษียณอายุของคุณอย่างไร? วิสัยทัศน์ของคริสตจักรในอีก 10 ปีข้างหน้าคืออะไร” ทิมตอบว่า “ผมจะไม่อยู่ที่นี่ ดังนั้นผมไม่สนใจว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากที่ผมจากไป” ศิษยาภิบาลคนนี้ไม่เข้าใจหลักการสำคัญสำหรับการทำพันธกิจ บททดสอบขั้นสุดท้ายของการทำพันธกิจของเราคือ มีอะไรเกิดขึ้นหลังจากเราไม่อยู่

เปรียบเทียบศิษยาภิบาลคนนี้กับนาธาน นาธานเสียชีวิตกระทันหันหลังจากทำงานรับใช้มา 25 ปี ในช่วงหลายปีที่ผ่านมา นาธานเป็นผู้นำพันธกิจต่างๆ ในคริสตจักรท้องถิ่นของเขา เขาได้พัฒนาพันธกิจเพื่อคนไร้บ้าน โครงการฟื้นฟูสมรรถภาพผู้ติดยา และการเข้าถึงเพื่อประกาศกับผู้นำทางธุรกิจ ในงานศพของนาธาน หัวหน้าพันธกิจการฟื้นฟูผู้ติดยาเสพติดกล่าวว่า “เมื่อเดือนที่แล้ว ผมกับนาธานได้พบกันเพื่อหารือเกี่ยวกับงบประมาณในปีหน้า” ผู้นำพันธกิจคนไร้บ้านเปิดเผยภาพร่างของอาคารหลังใหม่เพื่อจัดหาที่พักชั่วคราวให้ครอบครัวต่าง ๆ นาธานวางแผนอย่างรอบคอบสำหรับอนาคตของพันธกิจ เขาทิ้งมรดกไว้

ในบทสุดท้ายนี้ เราจะศึกษาคำสอนสุดท้ายของพระเยซูสำหรับพวกสาวก พระมหาบัญชาสุดท้ายของพระองค์ต่อพวกสาวก และการทำพันธกิจของสาวกหลังจากพระเยซูถูกรับขึ้นสู่สวรรค์ เราจะเรียนรู้บทเรียนเกี่ยวกับการทิ้งมรดกไว้

► ถ้าคุณต้องตายคืนนี้ มรดกอะไรที่คุณจะทิ้งไว้?

  • อะไรคือมรดกสำหรับครอบครัวของคุณ?

  • อะไรคือมรดกสำหรับชุมชนของคุณ?

  • อะไรคือมรดกสำหรับพันธกิจของคุณ?

คำกล่าวอำลาของพระเยซู

ยอห์น 13-16 อาจเปรียบเทียบกับ “คำอำลา” ในพันธสัญญาเดิมของยาโคบ โมเสส โยชูวา และดาวิด[1] “คำกล่าวอำลา” ของพระเยซูให้คำสอนที่ลึกซึ้งที่สุดและสนิทสนมที่สุด

ยอห์น 13:1 ให้พื้นฐานของคำสอนที่เป็นคำอำลานี้ไว้ว่า “พระเยซูทรงทราบว่าถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงจากโลกนี้ไปหาพระบิดา” ถ้าหากคุณรู้ว่าคุณจะตายภายใน 48 ชั่วโมง คุณจะพูดอะไรกับคนที่จะสานต่อพันธกิจของคุณ? คำพูดเหล่านั้นจะแทนถึงสิ่งที่คุณเชื่อว่าสำคัญที่สุดสำหรับผู้ติดตามของคุณ

ที่อาหารมื้อสุดท้าย พระเยซูแสดงให้เห็นความรักที่สมบูรณ์ของพระองค์ต่อพวกสาวก ทั้งโดยผ่านการกระทำ (การล้างเท้าของพวกเขา) และด้วยคำพูดของพระองค์ พระเยซู “รักบรรดาคนของพระองค์ที่อยู่ในโลกนี้” พระองค์รักพวกเขาจนถึงที่สุด (ยอห์น 13:1) “จนถึงที่สุด” ประกอบไปด้วยสองแนวคิดต่อไปนี้

1. หมายความว่าพระเยซูรักพวกเขาจนถึงเวลาสุดท้ายที่อยู่กับพวกเขา

2. หมายความว่าพระเยซูรักพวกเขาอย่างที่สุด คือรักพวกเขาอย่างสมบูรณ์ครบถ้วน

► อ่าน ยอห์น 13:31-14:31

คำสั่งและคำสัญญาในคำกล่าวอำลาของพระเยซู

คำสั่ง: จงรักกันและกัน (ยอห์น 13:34)

“เราให้บัญญัติใหม่ไว้กับพวกท่าน คือให้รักซึ่งกันและกัน เรารักพวกท่านมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น” สำหรับสาวกกลุ่มหนึ่งที่รู้จักการทะเลาะวิวาทมากกว่าความรัก นี่เป็นคำสั่งที่ยาก

นี่เป็นคำสั่งใหม่อย่างไร? แม้คำสั่งในพันธสัญญาเดิมคนของพระเจ้าต้อง “รักเพื่อนบ้าน” มีสองแง่มุมที่เป็นเรื่องใหม่ในคำสอนของพระเยซูเรื่องความรัก[2]

แง่มุมแรก พระเยซูจัดเตรียมแบบอย่างของความรักตามที่พระองค์สั่ง พวกเขาจะต้องรักเหมือนที่พระองค์รัก หลังจากล้างเท้าพวกเขาด้วยความถ่อมใจแล้ว พระเยซูตรัสว่า “เรารักพวกท่านมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น” พระเยซูให้กำเนิดความรักที่แสดงออกเป็นการรับใช้ด้วยความถ่อมใจ สาวกทั้งในอดีตและปัจจุบันต้องรักเหมือนที่พระเยซูรัก รักนี้ยอมเอาผ้าเช็ดตัวมาเช็ดให้ ความรักนี้รับใช้แม้แต่กับคนที่ทรยศ รักนี้ยืนหยัดไปจนวันตาย

แง่มุมที่สอง ความรักระหว่างคริสเตียนคือการเป็นพยานที่เป็นเอกลักษณ์ถึงความจริงในคำสอนของพระเยซู “ถ้าท่านรักกันและกัน ดังนี้แหละทุกคนก็จะรู้ว่าท่านเป็นสาวกของเรา” (ยอห์น 13:35) ต่อมา พระเยซูอธิษฐานว่า “เพื่อพวกเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา” (ยอห์น 17:23) ความรักและความเป็นหนึ่งเดียวกันของคริสตจักรคือการเป็นพยานถึงข่าวสารของพระเยซู

คริสเตียนหลายคนค้นพบว่าการรักเพื่อนบ้านที่ไม่เชื่อพระเจ้านั้นง่ายกว่าการรักพี่น้องคริสเตียนที่เต็มไปด้วยข้อบกพร่องทางบุคลิกภาพ แต่ในฐานะคริสเตียน เราได้รับคำสั่งให้รักกัน ห้าสิบปีต่อมา ยอห์นเตือนคริสตจักรถึงคำสั่งนี้

ถ้าใครกล่าวว่า “ข้าพเจ้ารักพระเจ้า” แต่ใจยังเกลียดชังพี่น้องของตน เขาเป็นคนพูดมุสา เพราะว่าผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตนที่มองเห็นแล้ว จะรักพระเจ้าที่มองไม่เห็นไม่ได้ พระบัญญัตินี้เราได้มาจากพระองค์ คือให้คนที่รักพระเจ้านั้นรักพี่น้องของตนด้วย (1 ยอห์น 4:20-21)

พระเยซูเริ่มต้นคำอำลาของพระองค์ด้วยคำสั่งให้รักกันและกัน คำสั่งนี้เป็นรากฐานของทุกสิ่งอื่นที่พระองค์ประกาศในข้อความนี้

คำสั่ง: อย่าให้ใจของพวกท่านเป็นทุกข์เลย พวกท่านวางใจในพระเจ้า (ยอห์น 14:1)

อย่างที่ทำบ่อย ๆ เปโตรขัดจังหวะพระเยซูโดยการถามว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะไปที่ไหน?” พระเยซูตอบโดยการพยากรณ์ถึงการปฏิเสธของเปโตร จากนั้นพระเยซูให้คำสอนต่อไปกับเปโตร กับสาวกที่เหลือ และกับเราในวันนี้ว่า “อย่าให้ใจของพวกท่านเป็นทุกข์เลย”

เนื่องจากมีบทคั่นกลางหลังจากยอห์น 13:38 เรามักอ่านยอห์น 14:1 ว่าเป็นการเริ่มต้นเรื่องใหม่ ยอห์น 14:1 เป็นส่วนหนึ่งของคำตอบให้กับเปโตร อ่านตามนี้ว่า...

เปโตร เจ้าจะปฏิเสธเราสามครั้ง เจ้าอ่อนแอมากกว่าที่เจ้าคิด แต่อย่าท้อแท้ เรามีถ้อยคำแห่งความหวังให้เจ้าเปโตร และให้กับเจ้าทุกคนผู้ที่ในอีกไม่ช้าจะวิ่งหนีไปด้วยความกลัวเมื่อเราถูกจับกุม อย่าให้ใจของเจ้าเป็นทุกข์เลย จงวางใจในเรา

เปโตรจำเป็นต้องรู้ว่าแม้เขาจะล้มเหลว แต่พระเยซูก็ยังมีข่าวสารแห่งความหวัง พวกสาวกจำเป็นต้องรู้ว่าแม้พวกเขาจะกลัว พระเยซูมีข่าวสารแห่งความหวัง “อย่าให้ใจของท่านเป็นทุกข์เลย” อยู่ในรูปแบบปัจจุบันกาล เมื่อได้รับคำเตือนของพระเยซูและการต่อต้านจากพวกผู้นำศาสนา พวกสาวกก็กลัวอยู่แล้ว พระเยซูพูดว่า “อย่าให้ใจของพวกท่านเป็นทุกข์เลย พวกท่านวางใจในพระเจ้า จงวางใจในเราด้วย”

วิธีเดียวที่เราจะหลีกเลี่ยงการเป็นทุกข์เพราะความเครียดจากการทำพันธกิจคือการเชื่อวางใจ ในทุกวันจันทร์ จะมีศิษยาภิบาลทั่วโลกที่ท้อแท้ เมื่อวานนี้คุณเทศนาอย่างซื่อสัตย์และสมาชิกคนหนึ่งของคุณโกรธ คุณเทศนาข่าวสารเรื่องการกลับใจและไม่มีใครตอบสนอง คุณเชิญคนที่ไม่เชื่อและไม่มีใครมา

ในบางประเทศ คริสตจักรถูกคุกคามจากการต่อต้านของรัฐบาล ในบางประเทศ คริสตจักรถูกคุกคามโดยกลุ่มติดอาวุธอิสลาม ในบางประเทศ คริสตจักรถูกคุกคามจากความไม่แยแสทางสังคม ไม่มีใครใส่ใจ พระเยซูพูดว่า “อย่าให้ใจของพวกท่านเป็นทุกข์เลย พวกท่านวางใจในพระเจ้า จงวางใจในเราด้วย”

พระสัญญา: เราเป็นทางนั้น (ยอห์น 14:6)

พระเยซูหนุนใจพวกสาวกว่าพระองค์ไปเตรียมที่ให้กับพวกเขา ตอนนี้โธมัสขัดจังหวะพูดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พวกข้าพระองค์ไม่ทราบว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ไหน พวกข้าพระองค์จะรู้จักทางนั้นได้อย่างไร?”

การตอบสนองของพระเยซูสอนหลักการสำคัญสำหรับชีวิตคริสเตียน พระเยซูไม่ได้พูดว่า “เราจะไปที่นี่” แต่พระองค์พูดว่า “เราเป็นทางนั้น” พระเยซูไม่ได้ชี้ทางหรือให้ทิศทาง พระองค์ชี้มาที่พระองค์เอง ไม่มีตอนไหนในพระคัมภีร์ที่ชัดเจนกว่านี้แล้วกับการที่บอกว่าทางเดียวไปถึงพระบิดาคือผ่านทางพระคริสต์ เมื่อเปรียบเทียบกับศาสนศาสตร์ของพวกเสรีนิยม พระเยซูกล่าวชัดเจนว่าพระองค์เป็นทางเดียวที่ไปถึงพระเจ้า

พระสัญญา: ท่านจะทำกิจที่ยิ่งใหญ่กว่า (ยอห์น 14:12-14)

พระเยซูสัญญาว่า “คนที่วางใจในเราจะทำกิจการที่เราทำนั้นด้วย และเขาจะทำกิจที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก เพราะว่าเราจะไปหาพระบิดาของเรา” งานเหล่านี้จะยิ่งใหญ่ขึ้นไม่ใช่เพราะน่าทึ่งกว่า แต่เพราะเข้าถึงได้กว้างกว่า ระหว่างการทำพันธกิจบนแผ่นดินโลก งานของพระเยซูถูกจำกัดไว้เพียงพื้นที่เดียว ตอนนี้เนื่องจากพระเยซูกำลังส่งพระวิญญาณมา งานที่คริสตจักรทำจึงเข้าถึงโลกนี้

พระเยซูพูดต่อว่า “สิ่งใดที่พวกท่านขอในนามของเรา เราจะทำสิ่งนั้น เพื่อว่าพระบิดาจะทรงได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่ทางพระบุตร” มีเงื่อนไขสองประการอยู่ในพระสัญญานี้

(1) “ขอในนามของเรา”

นี่ไม่ใช่แค่การเพิ่มคำว่า “ในนามพระเยซู” ต่อท้ายคำอธิษฐาน ไม่ใช่วลีวิเศษที่ผลักดันให้พระเยซูทำตามคำขอของเรา ตลอดทั้งพระคัมภีร์ พระนามของพระเจ้าแทนถึงพระลักษณะของพระองค์ การ “อธิษฐานในนามพระเยซู” หมายถึงการอธิษฐานให้ตรงกับคุณลักษณะของพระเยซูและตรงกับความประสงค์ของพระองค์

การอธิษฐานในนามพระเยซูอาจหมายถึงการมาหาพระบิดาโดยสิทธิอำนาจของพระบุตร เมื่อโมเสสเข้าเฝ้าฟาโรห์เพื่อกล่าวในนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า (อพยพ 5:23) เขามาด้วยสิทธิอำนาจของพระเจ้าผู้ส่งเขามา การอธิษฐานในนามพระเยซูหมายถึงการอธิษฐานโดยได้รับอนุญาตและมีสิทธิอำนาจจากพระองค์ เราเข้าใกล้พระบิดาผ่านการอธิษฐานวิงวอนของพระบุตรผู้ “ทรงพระชนม์อยู่ทุกเวลา เพื่อทูลขอ” เพื่อเรา (ฮีบรู 7:25)

(2) “…เพื่อว่าพระบิดาจะทรงได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่ทางพระบุตร”

คำอธิษฐานของเราต้องถวายเกียรติแด่พระเจ้า ยากอบเตือนคนที่ “ขอและไม่ได้รับเพราะขอผิด หวังจะเอาไปสนองความปรารถนาชั่วของตนเอง” (ยากอบ 4:3) เมื่อเราอ้างพระสัญญาของพระเยซู เราต้องแน่ใจว่าเราอธิษฐานเพื่อให้พระเจ้าได้รับเกียรติ ไม่ใช่เพื่อจุดประสงค์ส่วนตัว

คำสั่ง: ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา (ยอห์น 14:15)

พระเยซูให้มาตรฐานที่ใช้วัดความรักที่เรามีต่อพระองค์ “ถ้าพวกท่านรักเรา ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา” ยอห์นจำข้อความนี้ได้เมื่อเขาเขียนจดหมายฝากฉบับแรกว่า “แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระวจนะของพระองค์ ความรักของพระเจ้าก็บริบูรณ์อยู่ในผู้นั้นอย่างแท้จริง” (1 ยอห์น 2:5) ตรงกันข้ามกับคำสอนของนักเทศน์สมัยใหม่บางคน พระเยซูไม่เคยสอนว่าสาวกของพระองค์สามารถดำเนินชีวิตโดยจงใจไม่เชื่อฟังคำสั่งของพระองค์ ความรักเห็นได้จากการเต็มใจเชื่อฟัง

พระสัญญา: พระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้กับพวกท่าน (ยอห์น 14:16)

คำที่แปลว่า “ผู้ช่วย” ในยอห์น 14:16 หมายถึงผู้สนับสนุนที่มาแก้ต่าง หมายถึงผู้ช่วยเหลือหรือผู้ปลอบประโลมใจในยามลำบาก

พระเยซูพูดว่าพระบิดา “จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้กับพวกท่าน เพื่อจะอยู่กับท่านตลอดไป” สิ่งนี้บ่งชี้ว่าการทำพันธกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเหมือนกับการทำพันธกิจของพระเยซู พระวิญญาณไม่ได้มาในฐานะพลังที่ไม่มีตัวตน แต่มาในฐานะบุคคล เช่นเดียวกับที่พระเยซูเป็นบุคคล

พระผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์แห่งความจริง ซึ่งจะสถิตอยู่ “กับท่านและประทับอยู่ท่ามกลางท่าน” (ยอห์น 14:17) พระองค์ “จะทรงสอนพวกท่านทุกสิ่ง...ที่เรากล่าวกับท่านแล้ว” (ยอห์น 14:26) การทำพันธกิจของพระองค์จะทรงพลังมากจนพระเยซูกล่าวว่า “การที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป องค์ผู้ช่วยก็จะไม่เสด็จมาหาพวกท่าน” (ยอห์น 16:7)

การที่พระเยซูจากไป จะเป็นประโยชน์แก่พวกสาวกอย่างไร? โรเบิร์ต เคลแมน อธิบายว่า...

ขณะที่พระองค์อยู่กับพวกเขาในรูปกาย [พวกสาวก] เห็นว่าไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพระวิญญาณมากนัก ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่ได้รู้ลึกลงไปถึงความจริงอันลึกซึ้งในชีวิตของพระองค์ อย่างไรก็ตาม เมื่อพระองค์ไม่อยู่ พวกเขาไม่มีการสนับสนุนที่มองเห็นได้ เพื่อความอยู่รอด พวกเขาต้องเรียนรู้ความลับของการสัมพันธ์สนิทภายในกับพระบิดา ด้วยความจำเป็น พวกเขาจะมีประสบการณ์สามัคคีธรรมกับพระคริสต์มากกว่าที่พวกเขาเคยรู้จักมาก่อน[3]

ชีวิตในเถาองุ่น

► อ่าน ยอห์น 15:1-16:37

พระเยซูกล่าวต่อไปโดยให้ภาพอันทรงพลังที่สุดคือ “เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราทรงเป็นผู้ดูแลรักษา” พันธสัญญาเดิมกล่าวบ่อยครั้งว่าอิสราเอลเป็นดั่งเถาองุ่น[4] อย่างไรก็ตามเนื่องจากความบาปของอิสราเอล อิสราเอลจึงไม่มีวันบรรลุความประสงค์ของพระเจ้าสำหรับการเป็นเถาองุ่นที่สวยงามที่พระองค์ปลูก แต่เมื่ออิสราเอลรุ่งเรืองทางด้านวัตถุ เธอกลับสร้างแท่นบูชาของพระเทียมเท็จ (โฮเชยา 10:2) แทนที่จะเกิดผลที่อวยพรชนชาติอื่น ๆ อิสราเอลกลับเป็นองุ่นป่า[5] (อิสยาห์ 5:2) อิสราเอลเต็มไปด้วยความบาปจนทำให้พระเจ้าไม่สามารถทำสิ่งใดกับเถาองุ่นนี้ได้นอกจากเผาเป็นเชื้อเพลิง (เอเสเคียล 15:1-6)

พระเยซูมาในฐานะเถาองุ่นแท้ พระองค์มาเพื่อทำให้สิ่งที่ชนชาติอิสราเอลล้มเหลวให้สำเร็จ พระองค์มาเพื่อทำให้การทรงเรียกอิสราเอลให้เป็นพรแก่ชนชาติอื่น ๆ สำเร็จ

พระเยซูบอกกับพวกสาวกว่าพระองค์เป็นเถาองุ่นและพวกเขาเป็นแขนง คำสอนของพระเยซูชัดเจน การเกิดผลนั้นขึ้นอยู่กับความเต็มใจยอมติดสนิทกับพระองค์อย่างสิ้นเชิง

เราเป็นเถาองุ่น พวกท่านเป็นแขนง คนที่ติดสนิทอยู่กับเราและเราติดสนิทอยู่กับเขา คนนั้นจะเกิดผลมาก เพราะว่าถ้าแยกจากเราแล้วพวกท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย (ยอห์น 15:5)

ถ้าแยกออกจากเถาองุ่น พวกสาวกก็ทำอะไรไม่ได้เลย ถ้าแยกออกจากเถาองุ่น เราก็ทำอะไรไม่ได้เลยในวันนี้ เมื่อเราพยายามทำพันธกิจด้วยกำลังของเราเอง เราก็จะถูกกำหนดให้สิ้นหวังและไร้กำลัง เพราะอะไรหรือ? เพราะเราไม่มีวันตั้งใจให้ออกผลได้ด้วยตัวเราเอง

ชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องของเรากับเถาองุ่น ถ้าใครไม่ติดอยู่กับเถาองุ่น “คนนั้นก็ต้องถูกตัดทิ้งเสียเหมือนแขนง แล้วก็เหี่ยวแห้งไป และถูกเก็บเอาไปเผาไฟ” (ยอห์น 15:6) แม้ว่าข้อนี้จะเป็นคำเตือน แต่ก็เป็นคำหนุนใจที่ดีมากเช่นกัน ถ้าแยกจากเถาองุ่นแล้ว พวกเราก็ไร้ประโยชน์และไร้ค่า แต่ถ้าเราคงอยู่ในเถาองุ่นต่อไป เราก็มีชีวิตและเกิดผล ชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับกำลังของเราเอง เราใช้ชีวิตอยู่ “ในเถาองุ่น”

แนวคิดนี้มีให้เห็นอีกครั้งในภาษาฮีบรู พระเยซูมหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่ของเรา “ทรงพระชนม์อยู่ทุกเวลา เพื่อทูลขอ” สำหรับคนที่เข้าใกล้พระเจ้า (ฮีบรู 7:25) ฮาวเวิร์ด เฮนดริคส์ หนุนใจศิษยาภิบาลที่รู้สึกโดดเดี่ยวว่า “ถ้าคุณไม่มีใครอธิษฐานเผื่อคุณ อย่าลืมว่าพระคริสต์กำลังอธิษฐานเผื่อคุณ” พระองค์เป็นผู้อธิษฐานวิงวอนเพื่อเรา พระองค์เป็นแหล่งชีวิตฝ่ายวิญญาณของเรา

พระเยซูเตือนพวกสาวกระลึกได้ว่าพวกเขาต้องติดสนิทกับเถาองุ่น สิ่งนี้ยังคงเป็นจริงในปัจจุบัน ในฐานะศิษยาภิบาลและผู้นำคริสตจักร คุณไม่ได้ทำพันธกิจด้วยกำลังของตนเอง คุณอาศัยอยู่ในฤทธิ์อำนาจของเถาองุ่นและด้วยฤทธิ์อำนาจของมหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งวิงวอนขอเพื่อคุณในยามที่คุณไร้กำลังที่จะวิงวอนเพื่อตัวของคุณเอง

ตลอดคำกล่าวอำลาส่วนที่เหลือของพระเยซู พระองค์สอนสาวกอีกครั้งว่าพวกเขาต้องรักกันและกัน พระองค์เตรียมพวกเขาให้พร้อมเผชิญกับความเกลียดชังของโลกนี้ โลกเกลียดชังพระเยซู โลกจะเกลียดผู้ติดตามที่แท้จริงของพระเยซู

จากนั้นพระเยซูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก่อนหน้านี้ในคำกล่าวอำลา พระเยซูสัญญาว่าจะประทานพระวิญญาณ ตอนนี้พระองค์สอนพวกเขามากขึ้นเกี่ยวกับการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณจะทำให้โลกสำนึกผิด พระองค์จะนำพวกสาวกไปสู่ความจริงทั้งมวล พระองค์จะถวายเกียรติแด่พระบุตร

พระเยซูอธิบายให้พวกเขาฟังอีกครั้งเกี่ยวกับการจากไปของพระองค์ในเพียงชั่วครู่ และพระองค์พูดกับพวกเขาอีกครั้งถึงความสงบสุขท่ามกลางปัญหา ในช่วงต้นของคำกล่าวนี้ พระเยซูสั่งว่า “อย่าให้ใจของพวกท่านเป็นทุกข์เลย พวกท่านวางใจในพระเจ้า จงวางใจในเราด้วย” (ยอห์น 14:1) พระองค์จบคำกล่าวอำลายด้วยการหนุนใจแบบให้ภาพคู่ขนานกันว่า “ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงมีใจกล้าเถิด เพราะว่าเราชนะโลกแล้ว” (ยอห์น 16:33)

สังเกตว่าในทั้งสองกรณี ความหวังของเราอยู่ในพระคริสต์เท่านั้น เราไม่ต้องเป็นทุกข์หากเราเชื่อในพระคริสต์ แต่เราต้องมีใจกล้าเพราะพระคริสต์ชนะโลกแล้ว! ชีวิตที่ติดอยู่กับเถาองุ่นเป็นชีวิตสุขสงบได้ด้วยความมั่นใจ ความมั่นใจของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางโลก ความมั่นใจของเราขึ้นอยู่กับพระคริสต์และชัยชนะของพระองค์เหนือโลก


[1]ปฐมกาล 49, เฉลยธรรมบัญญัติ 32-33, โยชูวา 23-24, 1 พงศาวดาร 28-29
[2]Darrell L. Bock, Jesus According to Scripture (Grand Rapids: Baker Book House, 2002), 498
[3]Robert Coleman, The Mind of the Master (Colorado Springs: WaterBrook Press, 2000), 29
[4]สดุดี 80:8-9, อิสยาห์ 5:1-7, อิสยาห์ 27:2-6, โฮเชยา 10:1-2
[5]“ป่า” ให้แนวคิดว่าเป็นรส “เปรี้ยว” แทนที่จะมีรสหวานของไร่องุ่นที่เพาะปลูก

พิจารณาอย่างละเอียด: อาหารมื้อสุดท้าย

มิชนาห์ (Mishnah) เป็นบันทึกเกี่ยวกับประเพณียิวโบราณ ตอนหนึ่งของ มิชนาห์ แสดงให้เห็นว่าคนยิวถือรักษาการกินมื้ออาหารปัสกา[1]อย่างไร ในการกินอาหารมื้อสุดท้าย พระเยซูกับพวกสาวกอาจดำเนินตามรูปแบบนี้ซึ่งยังคงดำเนินต่อไปอีก 2,000 ปีต่อมา

ไวน์ผสมน้ำแก้วแรกถูกเสิร์ฟ กล่าวคำอวยพรเหนือถ้วยนั้นรวมถึงพระสัญญาจากพระธรรมอพยพที่ว่า “เราจะนำเจ้าออกมา”

ไวน์แก้วที่สองผสมแล้ว แต่ยังไม่ได้เสิร์ฟ ลูกชายคนเล็กถามว่า “ทำไมคืนนี้จึงแตกต่างจากคืนอื่นๆ” ผู้เป็นพ่อตอบด้วยเรื่องราวการช่วยกู้อิสราเอลออกจากอียิปต์

หลังจากเล่าเรื่องราว ครอบครัวก็ร้องเพลงปัสกาฮาเล (Passover Hallel) ครั้งแรกจากพระธรรมสดุดี 113-114 พวกเขาดื่มถ้วยที่สองพร้อมกับพระสัญญาที่ว่า “เราจะปลดปล่อยพวกเจ้าจากการเป็นทาสของพวกเขา”

หลังจากการอวยพร อาหารมื้อนั้นก็ถูกเสิร์ฟ อาหารประกอบไปด้วยสมุนไพรรสขม ขนมปังไร้เชื้อ เนื้อแกะ และซอสผลไม้ปรุงรสด้วยเครื่องเทศและน้ำส้มสายชู ผู้เป็นพ่อล้างมือ หักขนมปังและขอพระพร เขาหยิบขนมปังห่อด้วยสมุนไพรที่มีรสขม จุ่มในซอส แล้วกิน จากนั้นเขาก็ขอบคุณพระเจ้าและกินเนื้อแกะชิ้นหนึ่ง สมาชิกในครอบครัวแต่ละคนจึงรับประทานอาหาร

ถ้วยที่สามได้รับการอวยพรจากพระสัญญาแห่งปัสกาที่ว่า “เราจะไถ่เจ้า”

ถ้วยที่สี่ได้รับการอวยพรด้วยพระสัญญาแห่งปัสกาที่ว่า “เราจะยอมรับเจ้าเป็นชนชาติหนึ่ง”

ครอบครัวร้องเพลงปัสกาฮาเลครั้งสุดท้ายจากพระธรรมสดุดี 115-118[2]

ในมื้ออาหารปัสกา คนยิวระลึกถึงการที่พระเจ้าปลดปล่อยอิสราเอลจากการเป็นทาส ที่สำคัญยิ่งกว่านั้น พวกเขาตั้งตารอพระสัญญาของพระเจ้าสำเร็จเป็นจริงเมื่อพระเมสสิยาห์จะปลดปล่อยพวกเขาจากการเป็นทาสอย่างทันทีและตลอดไป

วันรุ่งขึ้นหลังจากกินอาหารมื้อสุดท้าย พระเยซูจะต้องตายในฐานะลูกแกะปัสกาที่สมบูรณ์แบบ บนไม้กางเขนนั้น พระสัญญาแห่งการช่วยกู้สำเร็จเป็นจริงแล้ว


[1]คุณสามารถดูวีดีโอเกี่ยวกับอาหารปัสกาของพระเมสสิยาห์ของชาวยิวได้ที่ https://www.youtube.com/watch?v=bVolBDlWloQ, accessed March 22, 2021. You can read more at http://www.crivoice.org/haggadah.html, accessed March 22, 2021
[2]นี่คือสดุดีบทสุดท้ายที่พระเยซูร้องร่วมกับพวกสาวกก่อนไปที่สวนเกทเสมนี (มัทธิว 26:30)

คำอธิษฐานของมหาปุโรหิต

► อ่าน ยอห์น 17

คำอธิษฐานครั้งสุดท้ายของพระเยซูกับพวกสาวกมีความสำคัญต่อการทำความเข้าใจเรื่องมรดกของพระองค์สำหรับสาวกและคริสตจักรในปัจจุบัน คำอธิษฐานนี้เรียกว่า "คำอธิษฐานอันบริสุทธิ์ที่สุดของพระเยซู" นี่เป็นคำอธิษฐานที่แสดงความสนิทสนมมากที่สุดของพระองค์

พระเยซูอธิษฐานเผื่อพระองค์เอง (ยอห์น 17:1-5)

พระเยซูอธิษฐานต่อพระบิดาว่า “ขอโปรดให้พระบุตรของพระองค์ได้รับเกียรติ เพื่อพระบุตรจะได้ถวายพระเกียรติแด่พระองค์” ในขณะที่พวกสาวกไม่เข้าใจคำอธิษฐานนี้ อีกไม่นานพวกเขาก็จะเรียนรู้ถึงความจริงที่น่าตกใจสุดขีดว่า คำอธิษฐานนี้จะได้รับคำตอบที่บนไม้กางเขนของโรมัน

ในวันจันทร์ของสัปดาห์แห่งการทนทุกข์ พระเยซูพูดว่า “เมื่อเราถูกยกขึ้นจากแผ่นดินโลกแล้ว เราจะชักนำทุกคนให้มาหาเรา” ยอห์นอธิบายว่า “พระองค์ตรัสอย่างนั้นเพื่อแสดงว่าพระองค์จะสิ้นพระชนม์อย่างไร” (ยอห์น 12:32-33) พระเยซูได้รับเกียรติไม่ใช่เพราะชัยชนะ แต่ผ่านความพ่ายแพ้ที่เห็นได้ชัดเจน พระเยซูได้รับเกียรติผ่านทางไม้กางเขน

พระเยซูอธิษฐานเผื่อสาวกของพระองค์ (ยอห์น 17:6-19)

พระเยซูอธิษฐานเผื่อสามสิ่งสำหรับสาวกของพระองค์ พระองค์อธิษฐานว่าพระบิดาจะพิทักษ์รักษาพวกเขาไว้โดยพระนามของพระองค์ พระเยซูอธิษฐานว่าพวกเขาจะได้รับการปกป้องจากมาร และพระองค์อธิษฐานว่าพระบิดาจะแยกพวกเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง

พระเยซูอธิษฐานเผื่อผู้เชื่อทั้งหมด (ยอห์น 17:20-26)

พระเยซูอธิษฐานเผื่อคนทั้งหมดที่จะมาเชื่อพระองค์ในอนาคต พระองค์อธิษฐานว่าพวกเขาจะเป็นหนึ่งเดียวกัน ความเป็นหนึ่งเดียวกันนี้เป็นคำพยานต่อโลกคือ “เพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา”

พระเยซูไม่ได้อธิษฐานเผื่อโลกนี้ “ข้าพระองค์ไม่ได้อธิษฐานเพื่อโลก แต่เพื่อคนเหล่านั้นที่พระองค์ประทานแก่ข้าพระองค์” (ยอห์น 17:9) แต่พระองค์อธิษฐานเผื่อคริสเตียนทั้งหลาย เพื่อว่าโลกจะเชื่อ ในคำอธิษฐานสุดท้ายเผื่อคริสตจักร พระเยซูอธิษฐานว่าเราจะเป็นพยานให้กับโลกนี้ผ่านทางความเป็นหนึ่งเดียวกันและความสัตย์ซื่อ

มรดกของพระเยซูคือกลุ่มผู้เชื่อที่จะบรรลุวัตถุประสงค์ของพระองค์ในโลกนี้ ในพันธสัญญาเดิม อิสราเอลได้รับการอวยพรจากพระเจ้าเพื่อให้เป็นพาหนะที่นำการอวยพรไปยังทุกชนชาติ (ปฐมกาล 12:1-3) ในพันธสัญญาใหม่ คริสตจักรได้รับการอวยพรจากพระเจ้าเพื่อให้เป็นพาหนะที่นำการอวยพรไปให้กับมนุษย์ทุกคน พระเยซูอธิษฐานว่าเราจะทำให้ภารกิจของเราสำเร็จโดยการเป็นพระพรให้กับทุกคน

การมอบหมายสุดท้ายของพระเยซูต่อพวกสาวก

► อ่าน มัทธิว 28:16-20, มาระโก 16:15, ลูกา 24:44-49, และกิจการ 1:6-11

อิทธิพลที่ยั่งยืนของผู้นำนั้น โดยส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับความสามารถของเขาในการแบ่งปันนิมิตให้กับผู้อื่น พระเยซูให้แบบอย่างสำหรับการอธิบายถึงนิมิตโดยใช้วิธีสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้ติดตามที่อุทิศตัว เนื่องจากนิมิตของพระองค์ พวกสาวกจึงอุทิศชีวิตเพื่อเผยแพร่คำสอนเรื่องอาณาจักรของพระเจ้าไปทั่วจักรวรรดิ์โรมัน

พระกิตติคุณมีคำกล่าวสามประการเกี่ยวกับงานมอบหมายของพระเยซู แต่ละคำกล่าวมุ่งเน้นไปที่แง่มุมต่างๆ ของการมอบหมายนั้น มัทธิวเน้นย้ำถึงสิทธิอำนาจที่จำเป็นสำหรับมิชชัน มาระโกกล่าวถึงการที่งานมอบหมายจะขยาย “ไปทั่วโลก” ลูกาสรุปเนื้อหาของคำสอนที่อัครทูตจะเทศนา

คำกล่าวที่สมบูรณ์ที่สุดของการมอบหมายครั้งสุดท้ายของพระเยซูนั้นอยู่ในมัทธิว 28:18-20

สิทธิอำนาจทั้งหมดในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปและนำชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา จงบัพติศมาพวกเขาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ และสอนพวกเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดที่เราสั่งพวกท่านไว้ และนี่แน่ะ เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค

คำสั่งหลักในการมอบหมายครั้งนี้คือ "สร้างสาวก" การที่จะบรรลุคำสั่งนี้ได้เราจำเป็นต้องออกไป ให้บัพติศมาคนที่กลับใจมาเชื่อ และสอนผู้เชื่อใหม่ กิจกรรมเหล่านี้สนับสนุนคำสั่งหลักคือ “สร้างสาวก” การประกาศข่าวประเสริฐ งานสังคมสงเคราะห์ การศึกษา และด้านอื่นๆ ของพันธกิจได้รับการชี้นำโดยลำดับความสำคัญที่เป็นศูนย์กลางนี้คือ เราได้รับมอบหมายให้สร้างสาวก

วัตถุประสงค์ของการอภิบาล

เอ็ด มาร์คควาร์ต ศิษยาภิบาลชาวอเมริกาได้กินอาหารค่ำกับ ริชาร์ด เวิร์มแบรนด์ ศิษยาภิบาลชาวโรมาเนียผู้ใช้เวลาหลายปีในคุกของคอมมิวนิสต์ ในช่วงระหว่างกินอาหารค่ำ เวิร์มแบรนด์หันไปหาสมาชิกของมาร์คควาร์ตและถามว่า “ศิษยาภิบาลของคุณเป็นศิษยาภิบาลที่ดีไหม?” สมาชิกตอบว่า “ใช่”

เวิร์มแบรนด์ถามว่า “ทำไมเขาเป็นศิษยาภิบาลที่ดี?” สมาชิกตอบว่า “เพราะเขาเทศนาดี”

เวิร์มแบรนด์ถามอีกว่า “แต่เขาสร้างสาวกไหม?” ศิษยาภิบาลมาร์ควาร์ตพูดว่าคำถามนี้เปลี่ยนทิศทางการทำพันธกิจของเขาทั้งหมด เขาพูดว่า...

ความประสงค์ของพระเจ้าสำหรับศิษยาภิบาลทุกคน… คือการสร้างสาวกของพระเยซูคริสต์ คนที่รักพระเยซูคริสต์ ผู้ติดตามพระเยซูคริสต์ ผู้ซึ่งเรียกพระเยซูคริสต์ว่าองค์พระผู้เป็นเจ้าของพวกเขา นั่นคือสิ่งที่เราถูกเรียกให้เป็น คือสร้างสาวกของพระเยซูคริสต์ ไม่ใช่สร้างสมาชิกคริสตจักร ไม่ใช่สร้างชั้นระวีศึกษา ไม่ใช่สร้างอาคาร…. เราต้องสร้างสาวกของพระเยซูคริสต์ นั่นคือทั้งหมดที่เราต้องทำ[1]


[1]จากคำเทศนาของ Edward Markquart, หัวข้อ “Pentecost: Go, Go, Go, Go, Go”, สามารถดูได้ที่ https://www.sermonsfromseattle.com/pentecost_go_go_go_go_go.htm, เข้าถึงเมื่อ 17 พฤศจิกายน 2022

พิจารณาอย่างละเอียด: มิชชันของพระเยซู

เหตุการณ์ในการทำพันธกิจสัปดาห์สุดท้ายของพระเยซูแสดงให้เห็นมิชชันของพระองค์ในการสร้างอาณาจักรที่ประกอบด้วยทุกชนชาติ ทุกเชื้อชาติ และทุกเผ่าพันธุ ฉากการทำพันธกิจสัปดาห์สุดท้ายของพระเยซูแสดงให้เห็นมิชชันของพระองค์ต่อทุกชนชาติ

  • พระเยซูเข้ากรุงโดยนั่งบนหลังลูกลา มัทธิวและยอห์นอ้างอิงจากคำเผยพระวจนะของเศคาริยาห์ “แน่ะ กษัตริย์ของท่านกำลังเสด็จมา ด้วยความสุภาพอ่อนโยน พระองค์ทรงลา” เศคาริยาห์อธิบายถึงการปกครองของกษัตริย์องค์นี้ว่า “พระองค์จะทรงบัญชาสันติภาพให้มีแก่ประชาชาติทั้งหลาย อาณาจักรของพระองค์จะตั้งอยู่จากทะเลนี้ไปถึงทะเลโน้น” (มัทธิว 21:5, เศคาริยาห์ 9:9-10)

  • เมื่อพระองค์ชำระลานวิหารสำหรับคนต่างชาติ พระเยซูอ้างถึงอิสยาห์ว่า “มีพระวจนะเขียนไว้ไม่ใช่หรือว่า ‘นิเวศของเราจะได้ชื่อว่านิเวศอธิษฐานสำหรับประชาชาติทั้งหลาย’?” (มาระโก 11:17, อ้างอิงจากอิสยาห์ 56:7) พวกผู้นำชาวยิวได้เปลี่ยนลานวิหารที่พวกคนต่างชาติมาชุมนุมกันเพื่ออธิษฐานให้กลายเป็นตลาดสำหรับแลกเงินและขายนกพิราบ

  • เมื่อพวกสาวกตัดสินมารีย์เรื่องการทำให้น้ำมันหอมเสียเปล่า พระเยซูตอบสนองว่า “เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า สิ่งที่หญิงคนนี้ทำจะถูกกล่าวขวัญถึงไปทุกหนแห่งทั่วโลกที่มีการประกาศข่าวประเสริฐเพื่อเป็นการระลึกถึงนาง” (มาระโก 14:9)

  • ในคำเทศนาเรื่องวาระสุดท้าย พระเยซูเผยพระวจนะถึงวันหนึ่งที่เมื่อ “ข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้านี้จะถูกประกาศไปทั่วโลก ให้เป็นคำพยานแก่บรรดาประชาชาติ แล้วที่สุดปลายจะมาถึง” (มัทธิว 24:14) ต่อสาวกที่เป็นคนยิวเหล่านี้ที่ถูกสอนมาว่าอาณาจักรเป็นของคนที่เลือกสรรไว้เท่านั้น พระเยซูสอนว่าข่าวประเสริฐจะประกาศไปยังทุกคนทั่วโลก

ผู้เผยพระวจนะในพันธสัญญาเดิมได้แสดงให้เห็นว่าพระเมสสิยาห์จะมาเพื่อชนทุกชาติ ในสัปดาห์สุดท้ายของการทำพันธกิจต่อสาธารณชน พระเยซูสอนสาวกของพระองค์ว่าอาณาจักรของพระเจ้าจะรวมผู้คนจากทุกชาติเข้าไว้ด้วยกัน พระสัญญาผ่านทางผู้เผยพระวจนะจะต้องสำเร็จเป็นจริงโดยทางคริสตจักร

มรดกของพระเยซู: คริสตจักรในกิจการ

หนังสือหลายเล่มเกี่ยวกับชีวิตของพระคริสต์จบลงที่พระเยซูถูกรับขึ้นสู่สวรรค์ อย่างไรก็ตาม การทำพันธกิจของพระเยซูไม่เพียงนำไปสู่ไม้กางเขนหรือแม้แต่อุโมงค์ว่างเปล่าเท่านั้น พันธกิจของพระองค์นำไปสู่วันเพ็นเทคอส พระเยซูสัญญาว่าจะส่งผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งมาอยู่กับพวกเขาตลอดไป (ยอห์น 14:16) พระสัญญานี้เป็นจริงในพระธรรมกิจการ ฉากสองฉากในกิจการแสดงถึงมรดกของพระเยซูที่สำเร็จเป็นจริง

คริสตจักรในวันเพ็นเทคอส

► อ่าน กิจการ 1:4-11 และกิจการ 2:1-41

ก่อนพระเยซูถูกรับขึ้นสู่สวรรค์ พวกสาวกถามว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงตั้งราชอาณาจักรขึ้นใหม่ ให้ชนชาติอิสราเอลในครั้งนี้หรือ?” พวกเขาคาดหวังให้พระเยซูตั้งอาณาจักรทางการเมืองบนโลกนี้ ในความคิดของพวกเขา การฟื้นขึ้นจากความตายเป็นการส่งเสริมความเป็นไปได้ในการมีอาณาจักรทางโลก พวกเขาคิดว่าทั้งหมดที่พระเยซูต้องทำคือ ใช้ฤทธิ์อำนาจของพระองค์คว่ำโรมัน พระเยซูตอบว่า...

ไม่ใช่ธุระของพวกท่านที่จะรู้เวลาและวาระที่พระบิดาทรงกำหนดไว้โดยสิทธิอำนาจของพระองค์ แต่พวกท่านจะได้รับพระราชทานฤทธานุภาพ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นสักขีพยานของเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย ทั่วแคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก (กิจการ 1:7-8)

“ไม่ใช่ความรับผิดชอบของเจ้าเกี่ยวกับเวลาสำหรับอาณาจักร” พระเยซูหมายความว่า “แต่เจ้าต้องทำมิชชันที่เรามอบไว้แก่เจ้าให้สำเร็จ คือรับใช้ในฐานะพยานของเราไปจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก แต่ก่อนที่พวกเจ้าจะไป เจ้าต้องรอคอยก่อน” ในลูกา พระเยซูตรัสว่า “แต่ท่านทั้งหลายจงคอยอยู่ในกรุง จนกว่าท่านจะสวมด้วยฤทธิ์เดชที่มาจากเบื้องบน” (ลูกา 24:49)

ห้าสิบวันหลังจากเทศกาลปัสกา ขณะที่สาวก 120 คนมารวมกันในห้องชั้นบน พระสัญญาเกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ก็สำเร็จ พวกเขาเริ่มพูดภาษาของผู้คนที่มารวมตัวกันจากชาติอื่น ๆ ในเทศกาลเพ็นเทคอสต์ของชาวยิว (กิจการ 2:4, 6-11) สิ่งนี้เป็นสัญลักษณ์ของการบรรลุผลสำเร็จตามแผนการของพระคริสต์ในการสร้างคริสตจักรของพระองค์จากทุกชนชาติ

รายชื่อชนชาติต่าง ๆ ในกิจการบทที่ 2 ทำให้เรานึกถึงรายชื่อชนชาติในปฐมกาลบทที่ 10 ในปฐมกาลบทที่ 11 พระเจ้าพิพากษาความพยายามที่จะจัดตั้งอาณาจักรสากลที่บาเบลด้วยการทำให้ภาษาของพวกเขาสับสน ในกิจการบทที่ 2 พระเจ้าเริ่มสร้างอาณาจักรของพระองค์โดยทำให้ความสับสนของภาษาเป็นไปในทางตรงกันข้าม

เทศกาลเพ็นเทคอสต์เป็นจุดเริ่มต้นของ “กิจที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก” ตามที่พระเยซูสัญญาไว้ (ยอห์น 14:12) การบรรลุผลสำเร็จเกี่ยวกับมรดกของพระเยซูได้เริ่มขึ้นแล้ว พระวิญญาณบริสุทธิ์ตามพระสัญญากำลังทำงานอย่างแข็งขันในพันธกิจของเหล่าอัครทูต จากเวลานี้ไป คริสตจักรจะเริ่มบรรลุความประสงค์อันยิ่งใหญ่ของพระเจ้าในการสร้างอาณาจักรของพระองค์ เมื่อคำเทศนาของเปโตรชัดเจน บัดนี้พระสัญญาในพันธสัญญาเดิมกำลังถูกทำให้สำเร็จเป็นจริงผ่านทางคริสตจักร

จอห์น สตอท อธิบายถึงสี่แง่มุมของวันเพ็นเทคอส[1]

  • วันเพ็นเทคอสเป็นกิจแห่งการช่วยให้รอดของพระเยซูครั้งสุดท้ายบนโลกนี้

  • วันเพ็นเทคอสเสริมสร้างอัครทูตสำหรับพระมหาบัญชา

  • วันเพ็นเทคอสเริ่มต้นยุคใหม่ของพระวิญญาณ ตลอดพันธสัญญาเดิม พระวิญญาณบริสุทธิ์ให้ฤทธิ์เดชแก่ผู้รับใช้ของพระเจ้าในช่วงเวลาพิเศษในพันธกิจ หลังจากเพ็นเทคอส คริสเตียนทั้งหลายในทุกยุคสมัยและในทุกที่ได้รับผลประโยชน์จากพันธกิจของพระองค์

  • การฟื้นฟูครั้งแรกของคริสเตียนเริ่มต้นที่วันเพ็นเทคอส

ผลกระทบของเพ็นเทคอสต์มีให้เห็นตลอดทั้งเล่มที่เหลือของกิจการ หมายสำคัญในวันเพ็นเทคอสต์นั้นพิเศษ ความชื่นชมยินดี การสามัคคีธรรมของผู้เชื่อ เสรีภาพในการนมัสการ ความกล้าหาญในการเป็นพยาน และฤทธิ์อำนาจในการทำพันธกิจจะต้องเป็นหลักฐานที่เห็นเป็นปกติของการทำพันธกิจด้วยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์

ชีวิตประจำวันในคริสตจักรยุคแรก

► อ่าน กิจการ 2:42-47

ฉากที่สองแสดงให้เห็นมรดกของพระเยซูที่สำเร็จเป็นจริงก็คือตอนจบของกิจการบทที่ 2 ฉากนี้แสดงให้เห็นถึงชีวิตประจำวันของคริสตจักรยุคแรก

ในคำอธิษฐานของพระเยซูผู้เป็นมหาปุโรหิต พระองค์อธิษฐานขอความเป็นหนึ่งเดียวกันให้เกิดขึ้นกับผู้ติดตามของพระองค์ พระองค์อธิษฐานว่า “เพื่อพวกเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ดังเช่นพระองค์กับข้าพระองค์” (ยอห์น 17:22) คำตอบของคำอธิษฐานนี้เริ่มต้นในกิจการบทที่ 2 “คนทั้งหมดที่เชื่อมารวมตัวกัน” พวกเขา “อุทิศตัวอยู่ด้วยกันในพระวิหารและหักขนมปังตามบ้าน” พระเจ้า “โปรดให้คนทั้งหลายที่กำลังจะรอด เพิ่มจำนวนเข้ามามากยิ่งขึ้นทุกๆ วัน”

ในกิจการ คำว่า “หนึ่งเดียว” แสดงถึงความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันของคริสตจักรยุคแรก แม้จะมีความยากลำบากในการสร้างคริสตจักรของทั้งชาวยิวและคนต่างชาติ การข่มเหงจากผู้นำชาวยิว และความขัดแย้งส่วนตัวระหว่างอัครทูต คริสตจักรยังคงเป็นหนึ่งเดียว คำอธิษฐานของพระเยซู “ขอให้พวกเขาเป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน” สำเร็จเป็นจริงและอยู่เหนือทุกสิ่ง

► ภาพของคริสตจักรในกิจการ 2:42-47 คล้ายกับคริสตจักรของคุณไหม? คุณกำลังรับใช้ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณไหม? ถ้าหากไม่ อะไรคือสิ่งขวางกั้นการงานของพระวิญญาณในพันธกิจและผ่านพันธกิจของคุณ? เป็นการไม่เชื่อฟังไหม? หรืออธิษฐานน้อยไป? ขาดความเชื่อไหม? หรือขาดความเป็นหนึ่งเดียวกัน? คุณจะมองเห็นการงานใหม่ของพระวิญญาณหลั่งไหลในพันธกิจของคุณได้อย่างไร?


[1]John W. Stott, The Message of Acts (Westmont, Illinois: InterVarsity Press, 1990), 60-61

การประยุกต์ใช้: การทิ้งมรดกไว้

ผู้นำพันธกิจที่เกษียณอายุแล้วได้แบ่งปันประเด็นต่าง ๆ เกี่ยวกับมรดกของพวกเขา การเตรียมตัวเพื่อปล่อยมือจากการเป็นผู้นำ และบทเรียนต่าง ๆ สำหรับการถ่ายโอน[1]

(1) ผู้นำที่ทิ้งมรดกไว้ย่อมวางแผนสำหรับอนาคต

ลองนึกภาพการถามผู้สร้างว่า “คุณกำลังสร้างอะไร” คุณจะตกใจสุดขีดถ้าผู้สร้างตอบว่า “ฉันยังไม่รู้ ฉันกำลังรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

ก่อนที่เขาจะเริ่มสร้าง ผู้สร้างวางแผนสำหรับผลิตผลขั้นสุดท้าย ผู้นำที่ทิ้งมรดกรู้ดีว่าพวกเขาต้องการทิ้งอะไรไว้ให้คนข้างหลัง

ผู้นำที่จบดีย่อมรู้ถึงมรดกที่พวกเขาต้องการทิ้งไว้ให้คนข้างหลัง พวกเขาไม่เดินผ่านพันธกิจไปอย่างสุ่มสี่สุ่มห้า ผู้นำเหล่านี้เชื่อว่า “นี่คือสิ่งที่พระเจ้าเรียกฉันทำให้สำเร็จในงานรับใช้ที่เป็นเวทีของฉัน”

มรดกของพระเยซูคือกลุ่มสาวกที่ถูกเตรียมให้นำคริสตจักร ตั้งแต่เริ่มต้นพันธกิจ พระเยซูได้ให้เวลาและพลังงานอย่างเพียงพอเพื่อเตรียมคนเหล่านี้ให้เป็นมรดกของ[2]พระองค์

หากคุณต้องการทิ้งมรดกไว้ คุณต้องวางแผนสำหรับอนาคต น่าเศร้าที่หลายคนสร้างชีวิตโดยไม่สนใจเป้าหมาย หากคุณถามพวกเขาในวัย 30, 50 หรือแม้แต่ 70 ปีว่า “คุณกำลังสร้างอะไรให้กับชีวิตของคุณ” คำตอบก็คือ “ฉันไม่รู้ ฉันกำลังรอดูว่าจะเกิดอะไรขึ้น”

(2) ผู้นำที่ทิ้งมรดกไว้ย่อมเอาใจใส่เตรียมสำหรับการถ่ายโอน

ลองนึกภาพว่าไปพบช่างก่อสร้างที่ใกล้จะสิ้นสุดโครงการก่อสร้างขนาดใหญ่ ผนังเสร็จแล้ว หลังคาเสร็จสมบูรณ์ ใกล้จะถึงเวลาที่คนจะเข้าพักอาศัยแล้ว คุณถามว่า “เหลือขั้นตอนอะไรอีกบ้างก่อนที่จะสร้างเสร็จ”

คุณจะตกใจสุดขีดถ้าเขาตอบว่า “ฉันไม่รู้! ฉันไม่ได้ใช้เวลาคิดเกี่ยวกับขั้นตอนสุดท้ายเหล่านั้น” ไม่ใช่แบบนั้น! คนที่สร้างอาคารย่อมกำลังทิ้งบางสิ่งที่จะอยู่ได้นานกว่าตัวเขาเองไว้ เขาวางแผนอย่างรอบคอบในแต่ละขั้นตอน เขาสามารถบอกคุณได้ว่า “นี่คือวันที่เราจะสร้างอาคารให้เสร็จ นี่คือเวลาที่เจ้าของจะย้ายเข้ามาอยู่” ทุกสิ่งมีการวางแผนไว้สำหรับการถ่ายโอน

ผู้นำที่ทิ้งมรดกไว้ย่อมเตรียมตัวอย่างรอบคอบสำหรับการถ่ายโอน เมื่อเป็นไปได้ พวกเขาวางแผนการลาออกล่วงหน้า เพื่อให้องค์กรสามารถเลือกผู้สืบทอดตำแหน่ง และให้ผู้ที่สืบทอดตำแหน่งเตรียมการสำหรับความรับผิดชอบใหม่ ในบางกรณี ผู้นำที่กำลังจะเข้ามาและผู้นำที่กำลังจะออกจากตำแหน่งจะมีช่วงเวลาที่ผู้นำคนใหม่เริ่มตัดสินใจในขณะที่ผู้นำคนก่อนพร้อมให้คำปรึกษาและคำแนะนำ

ผู้นำที่ทิ้งมรดกไว้เตรียมพันธกิจที่พวกเขาเป็นผู้นำสำหรับการถ่ายโอน ผู้นำที่กำลังจะออกไปที่มีประสิทธิภาพย่อมสื่อสารถึงความมั่นใจในการจัดเตรียมของพระเจ้าสำหรับอนาคต พวกเขาเตรียมคนให้ทำงานได้ดีภายใต้ผู้นำคนต่อไป พวกเขาจะตรวจสอบให้แน่ใจว่าคนในองค์กรรู้สึกปลอดภัยในการเปลี่ยนแปลง ผู้นำคนหนึ่งเขียนว่า “เป้าหมายของฉันคือทำให้ราบรื่นที่สุดจนกระทั่งพนักงานไม่ได้รู้สึกถึงการจากไปของฉัน”

(3) ผู้นำที่ทิ้งมรดกไว้ย่อมรู้เวลาที่จะจากไป

ผู้นำต้องเต็มใจที่จะมอบความรับผิดชอบให้กับผู้สืบทอดตำแหน่งและเดินจากไปโดยไม่เสียใจ อดีตผู้นำควรพร้อมให้คำปรึกษาเฉพาะเมื่อผู้สืบทอดตำแหน่งขอเท่านั้น

ในวิชานี้ เราได้เห็นวิธีที่พระเยซูเตรียมสาวกให้เป็นผู้นำคริสตจักร ในช่วงแรก พระองค์เอาใจใส่ในการฝึกฝนพวกเขา ต่อมาพระองค์ส่งพวกเขาออกไปทำพันธกิจแล้วกลับมารับการประเมิน ในการกินอาหารมื้อสุดท้าย พระองค์ให้คำสั่งสุดท้ายแก่พวกเขาเพื่อทำพันธกิจ ก่อนพระองค์ถูกรับขึ้นสู่สวรรค์ พระองค์เตือนพวกเขาเป็นครั้งสุดท้ายถึงงานมอบหมายยิ่งใหญ่ที่สุดของพวกเขา พระเยซูเตรียมการอย่างรอบคอบสำหรับการถ่ายโอน

น่าเศร้าที่ผู้นำคริสเตียนหลายคนให้ความสนใจเพียงเล็กน้อยต่อการถ่ายโอน พวกเขาคิดเอาเองว่า “ฉันจะทำงานของฉันจนกว่าฉันจะถูกแทนที่ หลังจากนั้นก็เป็นปัญหาของคนอื่น” แน่นอน มีหลายครั้งที่มีความเจ็บป่วยกะทันหัน การเสียชีวิต หรือการเปลี่ยนแปลงพันธกิจหลัก ๆ ซึ่งทำให้ไม่สามารถเตรียมตัวได้เพียงพอสำหรับการเปลี่ยนแปลง แต่เมื่อใดก็ตามที่เป็นไปได้ เราควรวางแผนอย่างรอบคอบสำหรับการถ่ายโอนให้กับผู้นำคนต่อไป นี่เป็นหนึ่งในขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการสงวนมรดกไว้สำหรับอนาคต


[1]การสัมภาษณ์ในตอนนี้ประกอบไปด้วยผู้นำต่อไปนี้
Dr. Michael Avery อดีตประธาน God’s Bible School และ College, Cincinnati, OH
Rev. Paul Pierpoint อดีตศิษยาภิบาล Hobe Sound Bible Church และประธานของ FEA Missions, Hobe Sound, FL
Rev. Leonard Sankey ศิษยาภิบาลเกษียณอายุและผู้นำขององค์กรมิชชันมากมาย
Dr. Sidney Grant อดีตประธาน FEA Missions, Hobe Sound, FL
[2]

“คุณสร้างมรดกของคุณทุกวัน ไม่ใช่แค่ตอนจบของชีวิต”

- Alan Weiss

งานมอบหมายบทที่ 9

เขียนรายงาน 3-5 หน้าตามคำสั่งต่อไปนี้

(1) คิดถึงผู้นำพันธกิจหรือสมาชิกในครอบครัวที่ทิ้งมรดกไว้ซึ่งมีอิทธิพลต่อชีวิตคริสเตียนและพันธกิจของคุณ ขอให้เขียนสรุปอิทธิพลของพวกเขาในชีวิตของคุณโดยมีความยาวหนึ่งหน้ากระดาษ ขอให้ตอบคำถามสองข้อต่อไปนี้

  • อะไรคืออิทธิพลของพวกเขาในชีวิตของคุณ?

  • พวกเขาทำอะไรหรือพูดอะไรที่เป็นผลกระทบที่สำคัญ?

(2) มรดกอะไรที่คุณอยากทิ้งไว้ให้กับคนข้างหลังเมื่อคุณตาย? ขอให้ตอบอย่างเจาะจง เขียนคำตอบความยาว 1-2 หน้ากระดาษ

  • มรดกอะไรที่คุณต้องการทิ้งไว้ให้กับครอบครัวของคุณ?

  • มรดกอะไรที่คุณต้องการทิ้งไว้ให้กับชุมชนของคุณ?

  • มรดกอะไรที่คุณต้องการทิ้งไว้ให้กับพันธกิจของคุณ?

(3) สำหรับคำตอบแต่ละอย่างในข้อที่ 2 ขอให้คุณระบุอย่างเจาะจงว่ามีการปฏิบัติอะไรที่คุณต้องทำตอนนี้เพื่อจะทิ้งสิ่งที่คุณปรารถนาไว้เป็นมรดกได้ ขอให้เขียนคำตอบความยาว 1-2 หน้ากระดาษ

ขอให้เก็บกระดาษคำตอบนี้ไว้และทบทวนทุกสัปดาห์เป็นเวลาหกเดือน ใช้สิ่งนี้เพื่อเริ่มต้นวางแผนมรดกของคุณที่จะมอบให้คนรุ่นต่อไป