ยอห์น 13-16 อาจเปรียบเทียบกับ “คำอำลา” ในพันธสัญญาเดิมของยาโคบ โมเสส โยชูวา และดาวิด[1] “คำกล่าวอำลา” ของพระเยซูให้คำสอนที่ลึกซึ้งที่สุดและสนิทสนมที่สุด
ยอห์น 13:1 ให้พื้นฐานของคำสอนที่เป็นคำอำลานี้ไว้ว่า “พระเยซูทรงทราบว่าถึงเวลาแล้วที่พระองค์จะทรงจากโลกนี้ไปหาพระบิดา” ถ้าหากคุณรู้ว่าคุณจะตายภายใน 48 ชั่วโมง คุณจะพูดอะไรกับคนที่จะสานต่อพันธกิจของคุณ? คำพูดเหล่านั้นจะแทนถึงสิ่งที่คุณเชื่อว่าสำคัญที่สุดสำหรับผู้ติดตามของคุณ
ที่อาหารมื้อสุดท้าย พระเยซูแสดงให้เห็นความรักที่สมบูรณ์ของพระองค์ต่อพวกสาวก ทั้งโดยผ่านการกระทำ (การล้างเท้าของพวกเขา) และด้วยคำพูดของพระองค์ พระเยซู “รักบรรดาคนของพระองค์ที่อยู่ในโลกนี้” พระองค์รักพวกเขาจนถึงที่สุด (ยอห์น 13:1) “จนถึงที่สุด” ประกอบไปด้วยสองแนวคิดต่อไปนี้
1. หมายความว่าพระเยซูรักพวกเขาจนถึงเวลาสุดท้ายที่อยู่กับพวกเขา
2. หมายความว่าพระเยซูรักพวกเขาอย่างที่สุด คือรักพวกเขาอย่างสมบูรณ์ครบถ้วน
► อ่าน ยอห์น 13:31-14:31
คำสั่งและคำสัญญาในคำกล่าวอำลาของพระเยซู
คำสั่ง: จงรักกันและกัน (ยอห์น 13:34)
“เราให้บัญญัติใหม่ไว้กับพวกท่าน คือให้รักซึ่งกันและกัน เรารักพวกท่านมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น” สำหรับสาวกกลุ่มหนึ่งที่รู้จักการทะเลาะวิวาทมากกว่าความรัก นี่เป็นคำสั่งที่ยาก
นี่เป็นคำสั่งใหม่อย่างไร? แม้คำสั่งในพันธสัญญาเดิมคนของพระเจ้าต้อง “รักเพื่อนบ้าน” มีสองแง่มุมที่เป็นเรื่องใหม่ในคำสอนของพระเยซูเรื่องความรัก[2]
แง่มุมแรก พระเยซูจัดเตรียมแบบอย่าง ของความรักตามที่พระองค์สั่ง พวกเขาจะต้องรักเหมือนที่พระองค์รัก หลังจากล้างเท้าพวกเขาด้วยความถ่อมใจแล้ว พระเยซูตรัสว่า “เรารักพวกท่านมาแล้วอย่างไร ท่านก็จงรักกันและกันด้วยอย่างนั้น” พระเยซูให้กำเนิดความรักที่แสดงออกเป็นการรับใช้ด้วยความถ่อมใจ สาวกทั้งในอดีตและปัจจุบันต้องรักเหมือนที่พระเยซูรัก รักนี้ยอมเอาผ้าเช็ดตัวมาเช็ดให้ ความรักนี้รับใช้แม้แต่กับคนที่ทรยศ รักนี้ยืนหยัดไปจนวันตาย
แง่มุมที่สอง ความรักระหว่างคริสเตียนคือการเป็นพยาน ที่เป็นเอกลักษณ์ถึงความจริงในคำสอนของพระเยซู “ถ้าท่านรักกันและกัน ดังนี้แหละทุกคนก็จะรู้ว่าท่านเป็นสาวกของเรา” (ยอห์น 13:35) ต่อมา พระเยซูอธิษฐานว่า “เพื่อพวกเขาจะได้เป็นอันหนึ่งอันเดียวกันอย่างสมบูรณ์ เพื่อโลกจะได้รู้ว่าพระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มา” (ยอห์น 17:23) ความรักและความเป็นหนึ่งเดียวกันของคริสตจักรคือการเป็นพยานถึงข่าวสารของพระเยซู
คริสเตียนหลายคนค้นพบว่าการรักเพื่อนบ้านที่ไม่เชื่อพระเจ้านั้นง่ายกว่าการรักพี่น้องคริสเตียนที่เต็มไปด้วยข้อบกพร่องทางบุคลิกภาพ แต่ในฐานะคริสเตียน เราได้รับคำสั่งให้รักกัน ห้าสิบปีต่อมา ยอห์นเตือนคริสตจักรถึงคำสั่งนี้
ถ้าใครกล่าวว่า “ข้าพเจ้ารักพระเจ้า” แต่ใจยังเกลียดชังพี่น้องของตน เขาเป็นคนพูดมุสา เพราะว่าผู้ที่ไม่รักพี่น้องของตนที่มองเห็นแล้ว จะรักพระเจ้าที่มองไม่เห็นไม่ได้ พระบัญญัตินี้เราได้มาจากพระองค์ คือให้คนที่รักพระเจ้านั้นรักพี่น้องของตนด้วย (1 ยอห์น 4:20-21)
พระเยซูเริ่มต้นคำอำลาของพระองค์ด้วยคำสั่งให้รักกันและกัน คำสั่งนี้เป็นรากฐานของทุกสิ่งอื่นที่พระองค์ประกาศในข้อความนี้
คำสั่ง: อย่าให้ใจของพวกท่านเป็นทุกข์เลย พวกท่านวางใจในพระเจ้า (ยอห์น 14:1)
อย่างที่ทำบ่อย ๆ เปโตรขัดจังหวะพระเยซูโดยการถามว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะไปที่ไหน?” พระเยซูตอบโดยการพยากรณ์ถึงการปฏิเสธของเปโตร จากนั้นพระเยซูให้คำสอนต่อไปกับเปโตร กับสาวกที่เหลือ และกับเราในวันนี้ว่า “อย่าให้ใจของพวกท่านเป็นทุกข์เลย”
เนื่องจากมีบทคั่นกลางหลังจากยอห์น 13:38 เรามักอ่านยอห์น 14:1 ว่าเป็นการเริ่มต้นเรื่องใหม่ ยอห์น 14:1 เป็นส่วนหนึ่งของคำตอบให้กับเปโตร อ่านตามนี้ว่า...
เปโตร เจ้าจะปฏิเสธเราสามครั้ง เจ้าอ่อนแอมากกว่าที่เจ้าคิด แต่อย่าท้อแท้ เรามีถ้อยคำแห่งความหวังให้เจ้าเปโตร และให้กับเจ้าทุกคนผู้ที่ในอีกไม่ช้าจะวิ่งหนีไปด้วยความกลัวเมื่อเราถูกจับกุม อย่าให้ใจของเจ้าเป็นทุกข์เลย จงวางใจในเรา
เปโตรจำเป็นต้องรู้ว่าแม้เขาจะล้มเหลว แต่พระเยซูก็ยังมีข่าวสารแห่งความหวัง พวกสาวกจำเป็นต้องรู้ว่าแม้พวกเขาจะกลัว พระเยซูมีข่าวสารแห่งความหวัง “อย่าให้ใจของท่านเป็นทุกข์เลย” อยู่ในรูปแบบปัจจุบันกาล เมื่อได้รับคำเตือนของพระเยซูและการต่อต้านจากพวกผู้นำศาสนา พวกสาวกก็กลัวอยู่แล้ว พระเยซูพูดว่า “อย่าให้ใจของพวกท่านเป็นทุกข์เลย พวกท่านวางใจในพระเจ้า จงวางใจในเราด้วย”
วิธีเดียวที่เราจะหลีกเลี่ยงการเป็นทุกข์เพราะความเครียดจากการทำพันธกิจคือการเชื่อวางใจ ในทุกวันจันทร์ จะมีศิษยาภิบาลทั่วโลกที่ท้อแท้ เมื่อวานนี้คุณเทศนาอย่างซื่อสัตย์และสมาชิกคนหนึ่งของคุณโกรธ คุณเทศนาข่าวสารเรื่องการกลับใจและไม่มีใครตอบสนอง คุณเชิญคนที่ไม่เชื่อและไม่มีใครมา
ในบางประเทศ คริสตจักรถูกคุกคามจากการต่อต้านของรัฐบาล ในบางประเทศ คริสตจักรถูกคุกคามโดยกลุ่มติดอาวุธอิสลาม ในบางประเทศ คริสตจักรถูกคุกคามจากความไม่แยแสทางสังคม ไม่มีใครใส่ใจ พระเยซูพูดว่า “อย่าให้ใจของพวกท่านเป็นทุกข์เลย พวกท่านวางใจในพระเจ้า จงวางใจในเราด้วย”
พระสัญญา: เราเป็นทางนั้น (ยอห์น 14:6)
พระเยซูหนุนใจพวกสาวกว่าพระองค์ไปเตรียมที่ให้กับพวกเขา ตอนนี้โธมัสขัดจังหวะพูดว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พวกข้าพระองค์ไม่ทราบว่าพระองค์จะเสด็จไปที่ไหน พวกข้าพระองค์จะรู้จักทางนั้นได้อย่างไร?”
การตอบสนองของพระเยซูสอนหลักการสำคัญสำหรับชีวิตคริสเตียน พระเยซูไม่ได้พูดว่า “เราจะไปที่นี่” แต่พระองค์พูดว่า “เราเป็นทางนั้น” พระเยซูไม่ได้ชี้ทางหรือให้ทิศทาง พระองค์ชี้มาที่พระองค์เอง ไม่มีตอนไหนในพระคัมภีร์ที่ชัดเจนกว่านี้แล้วกับการที่บอกว่าทางเดียวไปถึงพระบิดาคือผ่านทางพระคริสต์ เมื่อเปรียบเทียบกับศาสนศาสตร์ของพวกเสรีนิยม พระเยซูกล่าวชัดเจนว่าพระองค์เป็นทางเดียวที่ไปถึงพระเจ้า
พระสัญญา: ท่านจะทำกิจที่ยิ่งใหญ่กว่า (ยอห์น 14:12-14)
พระเยซูสัญญาว่า “คนที่วางใจในเราจะทำกิจการที่เราทำนั้นด้วย และเขาจะทำกิจที่ยิ่งใหญ่กว่านั้นอีก เพราะว่าเราจะไปหาพระบิดาของเรา” งานเหล่านี้จะยิ่งใหญ่ขึ้นไม่ใช่เพราะน่าทึ่งกว่า แต่เพราะเข้าถึงได้กว้างกว่า ระหว่างการทำพันธกิจบนแผ่นดินโลก งานของพระเยซูถูกจำกัดไว้เพียงพื้นที่เดียว ตอนนี้เนื่องจากพระเยซูกำลังส่งพระวิญญาณมา งานที่คริสตจักรทำจึงเข้าถึงโลกนี้
พระเยซูพูดต่อว่า “สิ่งใดที่พวกท่านขอในนามของเรา เราจะทำสิ่งนั้น เพื่อว่าพระบิดาจะทรงได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่ทางพระบุตร” มีเงื่อนไขสองประการอยู่ในพระสัญญานี้
(1) “ขอในนามของเรา”
นี่ไม่ใช่แค่การเพิ่มคำว่า “ในนามพระเยซู” ต่อท้ายคำอธิษฐาน ไม่ใช่วลีวิเศษที่ผลักดันให้พระเยซูทำตามคำขอของเรา ตลอดทั้งพระคัมภีร์ พระนามของพระเจ้าแทนถึงพระลักษณะของพระองค์ การ “อธิษฐานในนามพระเยซู” หมายถึงการอธิษฐานให้ตรงกับคุณลักษณะของพระเยซูและตรงกับความประสงค์ของพระองค์
การอธิษฐานในนามพระเยซูอาจหมายถึงการมาหาพระบิดาโดยสิทธิอำนาจของพระบุตร เมื่อโมเสสเข้าเฝ้าฟาโรห์เพื่อกล่าวในนามขององค์พระผู้เป็นเจ้า (อพยพ 5:23) เขามาด้วยสิทธิอำนาจของพระเจ้าผู้ส่งเขามา การอธิษฐานในนามพระเยซูหมายถึงการอธิษฐานโดยได้รับอนุญาตและมีสิทธิอำนาจจากพระองค์ เราเข้าใกล้พระบิดาผ่านการอธิษฐานวิงวอนของพระบุตรผู้ “ทรงพระชนม์อยู่ทุกเวลา เพื่อทูลขอ” เพื่อเรา (ฮีบรู 7:25)
(2) “…เพื่อว่าพระบิดาจะทรงได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่ทางพระบุตร”
คำอธิษฐานของเราต้องถวายเกียรติแด่พระเจ้า ยากอบเตือนคนที่ “ขอและไม่ได้รับเพราะขอผิด หวังจะเอาไปสนองความปรารถนาชั่วของตนเอง” (ยากอบ 4:3) เมื่อเราอ้างพระสัญญาของพระเยซู เราต้องแน่ใจว่าเราอธิษฐานเพื่อให้พระเจ้าได้รับเกียรติ ไม่ใช่เพื่อจุดประสงค์ส่วนตัว
คำสั่ง: ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา (ยอห์น 14:15)
พระเยซูให้มาตรฐานที่ใช้วัดความรักที่เรามีต่อพระองค์ “ถ้าพวกท่านรักเรา ท่านก็จะประพฤติตามบัญญัติของเรา” ยอห์นจำข้อความนี้ได้เมื่อเขาเขียนจดหมายฝากฉบับแรกว่า “แต่ผู้ที่ประพฤติตามพระวจนะของพระองค์ ความรักของพระเจ้าก็บริบูรณ์อยู่ในผู้นั้นอย่างแท้จริง” (1 ยอห์น 2:5) ตรงกันข้ามกับคำสอนของนักเทศน์สมัยใหม่บางคน พระเยซูไม่เคยสอนว่าสาวกของพระองค์สามารถดำเนินชีวิตโดยจงใจไม่เชื่อฟังคำสั่งของพระองค์ ความรักเห็นได้จากการเต็มใจเชื่อฟัง
พระสัญญา: พระองค์จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่งให้กับพวกท่าน (ยอห์น 14:16)
คำที่แปลว่า “ผู้ช่วย” ในยอห์น 14:16 หมายถึงผู้สนับสนุนที่มาแก้ต่าง หมายถึงผู้ช่วยเหลือหรือผู้ปลอบประโลมใจในยามลำบาก
พระเยซูพูดว่าพระบิดา “จะประทานผู้ช่วยอีกผู้หนึ่ง ให้กับพวกท่าน เพื่อจะอยู่กับท่านตลอดไป” สิ่งนี้บ่งชี้ว่าการทำพันธกิจของพระวิญญาณบริสุทธิ์จะเหมือนกับการทำพันธกิจของพระเยซู พระวิญญาณไม่ได้มาในฐานะพลังที่ไม่มีตัวตน แต่มาในฐานะบุคคล เช่นเดียวกับที่พระเยซูเป็นบุคคล
พระผู้ช่วยคือพระวิญญาณบริสุทธิ์แห่งความจริง ซึ่งจะสถิตอยู่ “กับท่านและประทับอยู่ท่ามกลางท่าน” (ยอห์น 14:17) พระองค์ “จะทรงสอนพวกท่านทุกสิ่ง...ที่เรากล่าวกับท่านแล้ว” (ยอห์น 14:26) การทำพันธกิจของพระองค์จะทรงพลังมากจนพระเยซูกล่าวว่า “การที่เราจากไปนั้นก็เพื่อประโยชน์ของท่าน เพราะถ้าเราไม่ไป องค์ผู้ช่วยก็จะไม่เสด็จมาหาพวกท่าน” (ยอห์น 16:7)
การที่พระเยซูจากไป จะเป็นประโยชน์แก่พวกสาวกอย่างไร? โรเบิร์ต เคลแมน อธิบายว่า...
ขณะที่พระองค์อยู่กับพวกเขาในรูปกาย [พวกสาวก] เห็นว่าไม่จำเป็นต้องพึ่งพาพระวิญญาณมากนัก ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงไม่ได้รู้ลึกลงไปถึงความจริงอันลึกซึ้งในชีวิตของพระองค์ อย่างไรก็ตาม เมื่อพระองค์ไม่อยู่ พวกเขาไม่มีการสนับสนุนที่มองเห็นได้ เพื่อความอยู่รอด พวกเขาต้องเรียนรู้ความลับของการสัมพันธ์สนิทภายในกับพระบิดา ด้วยความจำเป็น พวกเขาจะมีประสบการณ์สามัคคีธรรมกับพระคริสต์มากกว่าที่พวกเขาเคยรู้จักมาก่อน[3]
ชีวิตในเถาองุ่น
► อ่าน ยอห์น 15:1-16:37
พระเยซูกล่าวต่อไปโดยให้ภาพอันทรงพลังที่สุดคือ “เราเป็นเถาองุ่นแท้ และพระบิดาของเราทรงเป็นผู้ดูแลรักษา” พันธสัญญาเดิมกล่าวบ่อยครั้งว่าอิสราเอลเป็นดั่งเถาองุ่น[4] อย่างไรก็ตามเนื่องจากความบาปของอิสราเอล อิสราเอลจึงไม่มีวันบรรลุความประสงค์ของพระเจ้าสำหรับการเป็นเถาองุ่นที่สวยงามที่พระองค์ปลูก แต่เมื่ออิสราเอลรุ่งเรืองทางด้านวัตถุ เธอกลับสร้างแท่นบูชาของพระเทียมเท็จ (โฮเชยา 10:2) แทนที่จะเกิดผลที่อวยพรชนชาติอื่น ๆ อิสราเอลกลับเป็นองุ่นป่า[5] (อิสยาห์ 5:2) อิสราเอลเต็มไปด้วยความบาปจนทำให้พระเจ้าไม่สามารถทำสิ่งใดกับเถาองุ่นนี้ได้นอกจากเผาเป็นเชื้อเพลิง (เอเสเคียล 15:1-6)
พระเยซูมาในฐานะเถาองุ่นแท้ พระองค์มาเพื่อทำให้สิ่งที่ชนชาติอิสราเอลล้มเหลวให้สำเร็จ พระองค์มาเพื่อทำให้การทรงเรียกอิสราเอลให้เป็นพรแก่ชนชาติอื่น ๆ สำเร็จ
พระเยซูบอกกับพวกสาวกว่าพระองค์เป็นเถาองุ่นและพวกเขาเป็นแขนง คำสอนของพระเยซูชัดเจน การเกิดผลนั้นขึ้นอยู่กับความเต็มใจยอมติดสนิทกับพระองค์อย่างสิ้นเชิง
เราเป็นเถาองุ่น พวกท่านเป็นแขนง คนที่ติดสนิทอยู่กับเราและเราติดสนิทอยู่กับเขา คนนั้นจะเกิดผลมาก เพราะว่าถ้าแยกจากเราแล้วพวกท่านจะทำสิ่งใดไม่ได้เลย (ยอห์น 15:5)
ถ้าแยกออกจากเถาองุ่น พวกสาวกก็ทำอะไรไม่ได้เลย ถ้าแยกออกจากเถาองุ่น เราก็ทำอะไรไม่ได้เลยในวันนี้ เมื่อเราพยายามทำพันธกิจด้วยกำลังของเราเอง เราก็จะถูกกำหนดให้สิ้นหวังและไร้กำลัง เพราะอะไรหรือ? เพราะเราไม่มีวันตั้งใจให้ออกผลได้ด้วยตัวเราเอง
ชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราเกิดขึ้นจากความสัมพันธ์อย่างต่อเนื่องของเรากับเถาองุ่น ถ้าใครไม่ติดอยู่กับเถาองุ่น “คนนั้นก็ต้องถูกตัดทิ้งเสียเหมือนแขนง แล้วก็เหี่ยวแห้งไป และถูกเก็บเอาไปเผาไฟ” (ยอห์น 15:6) แม้ว่าข้อนี้จะเป็นคำเตือน แต่ก็เป็นคำหนุนใจที่ดีมากเช่นกัน ถ้าแยกจากเถาองุ่นแล้ว พวกเราก็ไร้ประโยชน์และไร้ค่า แต่ถ้าเราคงอยู่ในเถาองุ่นต่อไป เราก็มีชีวิตและเกิดผล ชีวิตฝ่ายวิญญาณของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับกำลังของเราเอง เราใช้ชีวิตอยู่ “ในเถาองุ่น”
แนวคิดนี้มีให้เห็นอีกครั้งในภาษาฮีบรู พระเยซูมหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่ของเรา “ทรงพระชนม์อยู่ทุกเวลา เพื่อทูลขอ” สำหรับคนที่เข้าใกล้พระเจ้า (ฮีบรู 7:25) ฮาวเวิร์ด เฮนดริคส์ หนุนใจศิษยาภิบาลที่รู้สึกโดดเดี่ยวว่า “ถ้าคุณไม่มีใครอธิษฐานเผื่อคุณ อย่าลืมว่าพระคริสต์กำลังอธิษฐานเผื่อคุณ” พระองค์เป็นผู้อธิษฐานวิงวอนเพื่อเรา พระองค์เป็นแหล่งชีวิตฝ่ายวิญญาณของเรา
พระเยซูเตือนพวกสาวกระลึกได้ว่าพวกเขาต้องติดสนิทกับเถาองุ่น สิ่งนี้ยังคงเป็นจริงในปัจจุบัน ในฐานะศิษยาภิบาลและผู้นำคริสตจักร คุณไม่ได้ทำพันธกิจด้วยกำลังของตนเอง คุณอาศัยอยู่ในฤทธิ์อำนาจของเถาองุ่นและด้วยฤทธิ์อำนาจของมหาปุโรหิตผู้ยิ่งใหญ่ซึ่งวิงวอนขอเพื่อคุณในยามที่คุณไร้กำลังที่จะวิงวอนเพื่อตัวของคุณเอง
ตลอดคำกล่าวอำลาส่วนที่เหลือของพระเยซู พระองค์สอนสาวกอีกครั้งว่าพวกเขาต้องรักกันและกัน พระองค์เตรียมพวกเขาให้พร้อมเผชิญกับความเกลียดชังของโลกนี้ โลกเกลียดชังพระเยซู โลกจะเกลียดผู้ติดตามที่แท้จริงของพระเยซู
จากนั้นพระเยซูอธิบายเพิ่มเติมเกี่ยวกับการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ก่อนหน้านี้ในคำกล่าวอำลา พระเยซูสัญญาว่าจะประทานพระวิญญาณ ตอนนี้พระองค์สอนพวกเขามากขึ้นเกี่ยวกับการทำงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระวิญญาณจะทำให้โลกสำนึกผิด พระองค์จะนำพวกสาวกไปสู่ความจริงทั้งมวล พระองค์จะถวายเกียรติแด่พระบุตร
พระเยซูอธิบายให้พวกเขาฟังอีกครั้งเกี่ยวกับการจากไปของพระองค์ในเพียงชั่วครู่ และพระองค์พูดกับพวกเขาอีกครั้งถึงความสงบสุขท่ามกลางปัญหา ในช่วงต้นของคำกล่าวนี้ พระเยซูสั่งว่า “อย่าให้ใจของพวกท่านเป็นทุกข์เลย พวกท่านวางใจในพระเจ้า จงวางใจในเราด้วย” (ยอห์น 14:1) พระองค์จบคำกล่าวอำลายด้วยการหนุนใจแบบให้ภาพคู่ขนานกันว่า “ในโลกนี้ท่านจะประสบความทุกข์ยาก แต่จงมีใจกล้าเถิด เพราะว่าเราชนะโลกแล้ว” (ยอห์น 16:33)
สังเกตว่าในทั้งสองกรณี ความหวังของเราอยู่ในพระคริสต์เท่านั้น เราไม่ต้องเป็นทุกข์หากเราเชื่อในพระคริสต์ แต่เราต้องมีใจกล้าเพราะพระคริสต์ชนะโลกแล้ว! ชีวิตที่ติดอยู่กับเถาองุ่นเป็นชีวิตสุขสงบได้ด้วยความมั่นใจ ความมั่นใจของเราไม่ได้ขึ้นอยู่กับสถานการณ์ทางโลก ความมั่นใจของเราขึ้นอยู่กับพระคริสต์และชัยชนะของพระองค์เหนือโลก
[1] ปฐมกาล 49, เฉลยธรรมบัญญัติ 32-33, โยชูวา 23-24, 1 พงศาวดาร 28-29
[2] Darrell L. Bock,
Jesus According to Scripture (Grand Rapids: Baker Book House, 2002), 498
[3] Robert Coleman,
The Mind of the Master (Colorado Springs: WaterBrook Press, 2000), 29
[4] สดุดี 80:8-9, อิสยาห์ 5:1-7, อิสยาห์ 27:2-6, โฮเชยา 10:1-2
[5] “ป่า” ให้แนวคิดว่าเป็นรส “เปรี้ยว” แทนที่จะมีรสหวานของไร่องุ่นที่เพาะปลูก
Previous
Next