เมื่อพระเยซูกำลังสอน พระองค์มักจะดึงความสนใจผู้ฟังที่เป็นคนเก็บภาษีและคนบาป พระเยซูไม่เพียงแค่สอนผู้คนเหล่านี้ แต่พระองค์กินอาหารร่วมกับพวกเขา เมื่อพวกฟาริสีเห็นพระเยซูเต็มใจกินอาหารร่วมกับคนบาป พวกเขาเริ่มต้นตัดสินพระองค์ พระเยซูตอบสนองด้วยเรื่องเล่าสามเรื่อง เมื่อคุณอ่านเรื่องเล่าเหล่านี้ คุณควรตระหนักถึงเบื้องหลังสำคัญสองประการต่อไปนี้
1. ในสมัยของพระเยซู การกินอาหารร่วมกับคน ๆ หนึ่งย่อมหมายถึงการสร้างความสัมพันธ์กับคนนั้น[1] เมื่อพระเยซูกินอาหารร่วมกับคนบาป นั่นหมายความว่าพระองค์จงใจเข้าสังคมร่วมกับพวกเขา พระเยซูแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าไม่ได้รอให้ผู้คนเข้ามาหาพระองค์ แต่พระเจ้าแข็งขันแสวงหาคนเหล่านั้นที่หลงหาย
2. พวกคนยิวในสมัยของพระเยซูคาดหวังให้คนชอบธรรมหลีกเลี่ยงการติดต่อสื่อสารกับคนบาป พวกรับบีสอนว่า เมื่อพระเมสสิยาห์มา พระองค์จะหลีกเลี่ยงการเข้าสังคมกับพวกคนชั่วและจะกินอาหารร่วมกับคนชอบธรรมเท่านั้น
► อ่าน ลูกา 15:1-32
นี่คือคำอุปมาตอนใหญ่ที่แบ่งเป็นสามเรื่องคือ แกะหลงหาย เหรียญหาย และบุตรน้อยหลงหาย ใจความหลักของคำอุปมานี้คือความยินดีของคนหนึ่งที่พบสิ่งที่หายไป พระเยซูแสดงให้เห็นถึงความยินดีในสวรรค์ที่เมื่อคนบาปถูกนำมาสู่การกลับใจ
[2] พวกรับบีมีภาษิตที่นิยมพูดกันว่า “มีความยินดีในสวรรค์เมื่อคนบาปถูกทำลายต่อหน้าพระเจ้า” พระเยซูพลิกภาษิตนี้เป็น “มีความยินดีในสวรรค์เมื่อคนบาปคนหนึ่งกลับใจใหม่” อะไรคือความแตกต่างระหว่างพระเยซูกับพวกรับบีคนอื่น ๆ? สิ่งนั้นคือความรัก พระเยซูแสดงให้เห็นความหมายของการเป็นผู้รับใช้ที่มีความรักในหัวใจ
เมื่อเรารับใช้โดยปราศจากความรัก สิ่งที่จะสำคัญกว่าผู้คนก็คือฐานะและตำแหน่ง อย่างไรก็ตามเมื่อเรารับใช้ด้วยความรักในหัวใจ เราก็เต็มใจสละฐานะเพื่อเห็นแก่คนที่หลงหาย พระเยซูเต็มใจยอมทนทุกข์กับคำตัดสินของพวกผู้นำศาสนาเพื่อแสดงให้เห็นถึงความรักที่มีต่อคนเหล่านั้นที่ขัดสนความรักมากที่สุด
► ถ้าหากเราถามว่า “คุณจะแสดงความรักต่อบุตรน้อยหลงหายไหม?” พวกเราทุกคนจะตอบว่า “ใช่” เรารู้คำตอบที่ถูกต้อง! แต่หากถามว่า “ใครคือคนที่หลงหายล่าสุดที่เข้ามาในเส้นทางชีวิตของฉัน? ฉันแสดงความรักต่อคนนั้นไหม?”
พระเยซูแสดงความรักผ่านการเมตตาสงสารคนที่ช้ำตรม
เมื่ออ่านพระกิตติคุณ คุณสังเกตไหมว่าคนบาปที่วิ่งหนีจาก พวกผู้นำศาสนาต่างวิ่งมาหา พระเยซู? อะไรที่เป็นสาเหตุให้คนบาปแสวงหาการอยู่ด้วยของพระเยซู?
นั่นไม่ใช่ว่าพระเยซูเพิกเฉยต่อความบาปของพวกเขา พระองค์เรียกร้องมาตรฐานความชอบธรรมที่สูงกว่าพวกฟาริสี (มัทธิว 5:20) คนบาปวิ่งไปหาพระเยซูเพราะพระองค์เป็นบุรุษที่เต็มไปด้วยความเมตตาสงสาร พระองค์ไม่ได้ยกเว้นความบาป แต่พระองค์รู้สึกเมตตาสงสารคนที่เป็นเชลยความบาป
เรามองเห็นสิ่งนี้ในถ้อยคำของพระเยซูต่อผู้หญิงที่ถูกจับได้ขณะล่วงประเวณี หลังจากผู้คนที่กล่าวโทษเธอจากไป พระเยซูตรัสว่า “เราก็ไม่เอาโทษเหมือนกัน จงไปเถิดและจากนี้ไปอย่าทำบาปอีก” (ยอห์น 8:11) พระเยซูไม่ได้ยกเว้นความบาป พระองค์ประสงค์ให้ผู้หญิงคนนี้ละทิ้งชีวิตบาปของเธอ แต่พระองค์แสดงความรักเมตตามากกว่าที่จะตำหนิลงโทษ
พระกิตติคุณลูกาใส่ใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับความเมตตาสงสารของพระเยซู ลูกาเล่าเรื่องศักเคียส คนเก็บภาษีผู้ที่พวกผู้นำศาสนาอื่น ๆ ดูหมิ่นเหยียดหยาม พระเยซูทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตกใจสุดขีด เมื่อพระองค์บอกว่าจะไปเป็นแขกที่บ้านของผู้ชายที่เป็นคนบาปคนหนึ่งนี้ (ลูกา 19:7)
► อ่าน ลูกา 5:12-16
ในการรายงานเรื่องการรักษาโรค ลูกาให้รายละเอียดที่ทำให้ฝูงชนตกใจสุดขีด พระเยซูยื่นมือออกไปและแตะตัวเขา ไม่มีใครในโลกสมัยโบราณที่จะแตะตัวคนโรคเรื้อน! เป็นอันตรายในทางการแพทย์เนื่องจากมีโอกาสติดเชื้อได้ และสำหรับคนยิว นั่นเป็นสาเหตุทำให้คน ๆ หนึ่งกลายเป็นมลทินตามระเบียบพิธี
[3] ทำไมพระเยซูจึงแตะตัวคนโรคเรื้อน? พระองค์รู้สึกเมตตาสงสาร “พระเยซูทรงสงสารเขาจึงยื่นพระหัตถ์แตะต้องคนนั้น” (มาระโก 1:41) คนโรคเรื้อนคนนี้จำเป็นต้องได้รับการรักษาทางกายภาพ แต่เขาก็จำเป็นต้องได้รับการรักษาทางอารมณ์ด้วย คนโรคเรื้อนต้องอยู่ห่าง ๆ จากคนอื่น หลังจากที่เขาติดโรคเรื้อน ชายคนนี้ไม่รู้สึกถึงสัมผัสของคนอื่น พระเยซูสามารถรักษาโรคได้โดยไม่ต้องสัมผัสแตะตัวชายที่ผิดปกติคนนี้ แต่พระองค์รู้ว่าคนโรคเรื้อนต้องการการสัมผัสจากคนอื่น พระเยซูรู้สึกเมตตาสงสาร
ถ้าหากเราต้องการรับใช้เหมือนพระเยซู เราต้องมีใจเมตตาสงสารเหมือนพระเยซู เมื่อคนบาปมองเข้าไปในดวงตาของพระเยซู พวกเขามองเห็นความรักเมตตาสงสาร เมื่อคนบาปมองเข้าไปในดวงตาของคุณ พวกเขามองเห็นอะไร?
พระเยซูแสดงความรักผ่านการรับใช้คนที่ขัดสน
เป็นเรื่องง่ายที่จะพูดว่า “ฉันรู้สึกสงสารคนขัดสน” เป็นเรื่องยากยิ่งกว่าที่จะรับใช้ในสิ่งที่จำเป็นสำหรับพวกเขา พระเยซูแสดงความรักโดยการรับใช้ในสิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้คนรอบตัวพระองค์ พันธกิจทั้งหมดของพระเยซูคือการรับใช้อย่างหนึ่ง เปาโลเขียนว่าพระเยซูยอมสละพระองค์เองและรับสภาพทาส (ฟิลิปปี 2:7) พระเยซูบอกกับพวกสาวกของพระองค์ว่า “เพราะว่าบุตรมนุษย์ไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อจะปรนนิบัติคนอื่น และให้ชีวิตของท่านเป็นค่าไถ่คนจำนวนมาก” (มาระโก 10:45)
การอัศจรรย์ของพระเยซูแสดงให้เห็นถึงการที่พระองค์รับใช้ผู้อื่น การอัศจรรย์คือหมายสำคัญของมิชชันในการเป็นพระเมสสิยาห์ของพระองค์ แต่ก็เป็นวิธีการตอบสนองความจำเป็นในชีวิตมนุษย์ด้วย บางครั้งการอัศจรรย์เกิดขึ้นกับคนกลุ่มเล็ก ๆ บางครั้งเป็นประโยชน์ต่อคนที่ไม่มีอำนาจหรืออิทธิพลอะไร บางครั้งการอัศจรรย์ของพระองค์ (ในวันสะบาโต) ทำให้พระองค์ถูกปฏิเสธมากขึ้น
พระเยซูไม่ได้ทำการอัศจรรย์เพื่อเอาใจคนมีอำนาจ พระองค์ทำการอัศจรรย์เพื่อรับใช้คนที่ขัดสน พระคัมภีร์บันทึกสองครั้งว่าพระเยวูปฏิเสธที่จะทำการอัศจรรย์ พวกฟาริสีโต้เถียงและขอให้พระองค์ “แสดงหมายสำคัญจากฟ้าสวรรค์” (มาระโก 8:11) พระเยซูปฏิเสธที่จะให้หมายสำคัญ จากนั้นในการพิจารณาคดีของพระเยซู เฮโรดหวังว่าจะได้เห็นหมายสำคัญบางอย่างจากพระองค์ (ลูกา 23:8) พระเยซูปฏิเสธแม้แต่จะให้คำตอบกับเฮโรด พระเยซูจะไม่ทำการอัศจรรย์ตามคำเรียกร้องหรือทำเพื่อสร้างความประทับใจให้กับผู้ฟังที่สงสัย
ถึงแม้ว่าพระเยซูปฏิเสธการทำการอัศจรรย์เพื่อเฮโรดแอนติพาส พระองค์รักษาแม่ยายของชาวประมงคนหนึ่ง รักษาขอทานตาบอด คนโรคเรื้อน และคนที่ถูกผีเข้าที่ไม่สามารถทำอะไรเป็นการตอบแทนพระองค์ได้ พระองค์เลี้ยงอาหารคน 5,000 คนซึ่งแสดงความไม่สำนึกในพระคุณด้วยการละทิ้งพระองค์ และพระองค์รักษาคนรับใช้ของมหาปุโรหิตที่มาจับกุมพระองค์ พระเยซูรับใช้คนขัดสนผ่านการอัศจรรย์ของพระองค์
ในฐานะศิษยาภิบาลและผู้นำคริสตจักร เป็นเรื่องง่ายที่เราจะตัดสินใจเพื่อช่วยคนที่สามารถช่วยเราได้ เมื่อเราใช้เวลากับคนร่ำรวยมากกว่าคนยากจน เราอาจพูดว่า “นักธุรกิจคนนั้นช่วยสนับสนุนพันธกิจของคริสตจักรเราได้” เมื่อเรายกเลิกการไปเยี่ยมเยียนหญิงม่ายเพื่อไปเยี่ยมเยียนข้าราชการที่มีอิทธิพลแทน เราอาจแก้ตัวว่า “เขามีอิทธิพลและสามารถช่วยงานของพระเจ้าได้” พระเยซูไม่เคยทำแบบนี้ ถ้าหากเราต้องการทำพันธกิจเหมือนพระเยซู เราต้องเป็นผู้รับใช้เหมือนพระเยซู เราต้องไม่แสวงหาเพื่อจะรับการปรนนิบัติแต่แสวงหาที่จะปรนนิบัติผู้อื่น (มัทธิว 20:28) เปาโลเขียนไว้ว่า “เพราะว่าเราไม่ได้ประกาศตัวเอง แต่ประกาศว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และประกาศว่าตัวเราเองเป็นทาสของท่านทั้งหลายเพราะเห็นแก่พระเยซู” (2 โครินธ์ 4:5)
ศิษยาภิบาลบางคนรู้สึกว่า “ผมมีการศึกษาสูง ผมไม่ได้เป็นคนรับใช้ของชาวนาในคริสตจักรของผม!” เปาโลไม่เคยรู้สึกในลักษณะนี้ เปาโลมีการศึกษาสูงสุด แต่เขากลายเป็นผู้รับใช้ของชาวโครินธ์เพื่อเห็นแก่พระเยซู เขาสามารถพูดได้ว่า “ดูที่การศึกษาของผม ผมได้รับการฝึกด้านวรรณกรรมของชาวยิว ปรัชญาของกรีก และนักศาสนศาสตร์คริสเตียน ผมกล่าวในสภาแซนเฮดดริน สภาผู้อาวุโสของกรีก และสภาสูงสุดแห่งโรม” แต่เขาไม่พูดเช่นนั้น เขาพูดว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของคนที่มีการศึกษาน้อยที่สุดในโครินธ์เพื่อเห็นแก่พระเยซู พระอาจารย์ของข้าพเจ้า”
ถ้าหากเราต้องการทำพันธกิจเหมือนพระเยซู เราต้องมีความถ่อมใจในการใช้ชีวิตแบบผู้รับใช้ รูปแบบชีวิตของเราต้องไม่ใช่รูปแบบของผู้มีอำนาจปกครอง ถ้าหากเราปรารถนาที่จะรักเหมือนพระเยซู เราต้องเป็นผู้รับใช้ที่ถ่อมใจ
พระเยซูแสดงความรักผ่านการมีความเมตตาต่อศัตรูของพระองค์
► อ่าน มัทธิว 5:43-48
พระเยซูสอนผู้ติดตามของพระองค์ให้ดีพร้อมเหมือนที่พระบิดาในสวรรค์ดีพร้อม นี่หมายความว่า รักเหมือนที่พระบิดาในสวรรค์รัก หมายถึงรักศัตรูของคุณและอธิษฐานเผื่อคนที่ข่มเหงคุณ เมื่อคุณแสดงให้เห็นลักษณะของความรักเช่นนั้น โลกจะรู้ว่าคุณเป็นบุตรของพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์
เมื่อประมาณ 200 ปีก่อนพระเยซูเทศนาคำเทศนาบนภูเขา มีธรรมาจารย์ชาวยิวคนหนึ่งเขียนชุดคำสอนที่เรียกว่า ศิรช (Sirach ) ลองฟังดูเขาสอนผู้ติดตามของเขาให้ปฏิบัติต่อผู้คนที่ไม่สมควรช่วยเหลืออย่างไร[4]
เมื่อคุณทำการดี ขอให้แน่ใจถึงประโยชน์ที่คุณจะได้รับจากการทำสิ่งนั้น แล้วคุณจะไม่เสียเวลาเปล่า
ทำดีกับคนที่ถ่อมใจ แต่อย่าให้อะไรกับคนที่ตะกละตะกลาม
อย่าให้อาหารแก่พวกเขา ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะใช้ความใจดีของคุณมาทำร้ายคุณ ทุกสิ่งดีที่คุณทำให้กับคนเช่นนั้นจะสนองกลับคืนคุณด้วยปัญหาที่หนักเป็นสองเท่า
องค์สูงสุดเองก็เกลียดคนบาป และพระองค์จะลงโทษพวกเขา
จงให้กับคนดี แต่อย่าช่วยคนบาป
งานเขียนของ เบน ศิรา ได้รับการนับถือว่าเป็นพระคัมภีร์ที่พวกยิวใช้กันในสมัยของพระเยซู เมื่อพระเยซูพูดว่า “ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า ‘จงรักเพื่อนบ้านของท่าน และเกลียดชังศัตรูของท่าน’” (มัทธิว 5:43) นี่คืองานเขียนนี้ที่พระองค์กล่าวถึง ศิรช กล่าวว่า “ทำดีกับคนชอบธรรมเท่านั้น อย่าเสียเวลาทำดีกับคนอธรรม”
► ตอนนี้ขอให้อ่าน มัทธิว 5:43-48 อีกครั้ง คุณเห็นไหมว่าทำไมคำสอนของพระเยซูจึงทำให้ผู้ฟังเวลานั้นตกใจสุดขีด?
ในพันธสัญญาเดิม พระเจ้าสอนคนของพระองค์ให้รักศัตรูของพวกเขา นี่ไม่ใช่คำสอนใหม่ ต่อไปนี้เป็นคำถามที่ศาสตราจารย์ในวิทยาลัยให้เพื่อทดสอบนักศึกษาของเขาในชั้นเรียนพันธสัญญาเดิม
เพื่อนบ้านของคุณตั้งตัวเป็นศัตรูต่อคริสตจักร เมื่อคุณเดินผ่าน เขาแช่งด่าคุณ เขาพยายามโกงคุณและขโมยฝูงสัตว์ของคุณ วันหนึ่งมีพายุฝนกระหน่ำลงมา คุณเห็นวัวของเพื่อนบ้านหลุดและวิ่งหนีไป ความรับผิดชอบของคุณต่อเพื่อนบ้านคืออะไร?
1. คุณใช้แส้ไล่ต้อนวัวให้มันหนีเตลิดไปไกลยิ่งขึ้นไหม?
นักศึกษารู้ว่านี่ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง!
2. คุณทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นและพูดว่า “ไม่ใช่ปัญหาของฉัน” ไหม?
นักศึกษาหลายคนเลือกความคิดเห็นนี้ พวกเขาพูดว่า “มันคือวัวของเพื่อนบ้าน ไม่ใช่วัวของผม ถ้าเป็นวัวของผม ผมก็จะสนใจ อีกอย่างเพื่อนบ้านก็ไม่ได้ชอบผม เขาไม่ประทับใจแน่ถ้าหากผมเข้าไปช่วย”
3. คุณเชื่อฟังทำตาม อพยพ 23:4 ไหม? “เมื่อเจ้าพบโคหรือลาของศัตรูหลงมา จงพาไปส่งคืนเขาให้ได้”
แม้แต่ในพันธสัญญาเดิม ประชากรของพระเจ้าถูกเรียกให้รักศัตรูของพวกเขา แต่ในสมัยของพระเยซู ผู้คนกลับไม่กล่าวถึงอพยพ 23 มากเท่ากล่าวถึง ศิรช พวกเขาชอบคำสอนนั้นที่อำนวยให้พวกเขารักเพื่อนบ้านแต่เกลียดศัตรูได้! พระเยซูกล่าวว่า “เจ้าต้องรักศัตรูของเจ้า เพราะพระบิดาในสวรรค์รักทั้งคนชั่วและคนดี”
ในชีวิตจริงเรื่องนี้เป็นแบบไหน? ลองคิดถึงฉากนี้ในงานพันธกิจของคุณ
มีคนกลุ่มหนึ่งที่ดูเหมือนมีความเชื่อเหมือนกับคุณแต่มักจะคัดค้านคุณครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาถามคำถามที่จงใจดักจับคุณ พวกเขาบอกสมาชิกของคุณว่าคุณเป็นผู้สอนเท็จ พวกเขาหวังว่าคุณทำบางสิ่งที่ก่อให้เกิดปัญหากับสมาชิกของคุณ คุณจะปฏิบัติกับพวกเขาอย่างไร?
1. ขับไล่พวกเขาไปและห้ามไม่ให้พวกเขากลับมาอีก?
2. ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างที่พวกเขาปฏิบัติต่อคุณ?
3. ตรงไปตรงมาเกี่ยวกับความผิดของพวกเขา แต่ก็ตอบพวกเขาด้วยความรัก?
พวกฟาริสีพยายามทุกวิถีทางเพื่อคัดค้านพระเยซู พระองค์ตรงไปตรงมาเกี่ยวกับความผิดของพวกเขา พระองค์พยายามสอนความจริงให้พวกเขา แต่พระองค์ก็ปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความรักเสมอ
ถ้าหากเราต้องการทำพันธกิจเหมือนพระเยซู เราต้องรักศัตรูของเรา นั่นคือหนึ่งในคำสอนของพระเยซูที่เรียกร้องการตอบสนองมากที่สุด เราต้องแสดงความรักที่ไม่เงื่อนไขของพระเยซูต่อคนที่ทรยศเรา ต่อคนที่หันเหไปจากคำสอนของเรา ต่อคนที่ข่มเหงเรา
[1] นี่คือภาพที่อธิบายในพระธรรมสุภาษิต สติปัญญาเชื้อเชิญ “คนรู้น้อย” มากินอาหารร่วมโต๊ะกับเธอ (สุภาษิต 9:1-6) โดยผ่านความสัมพันธ์ที่มีกับสติปัญญา คนรู้น้อยจะกลายเป็นคนฉลาด
[2]
“คำอุปมาเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าข่าวประเสริฐไม่ได้มีไว้สำหรับคนที่ทำทุกอย่างถูกต้อง ข่าวประเสริฐมีไว้สำหรับคนที่รู้ว่าพวกเขาไม่ได้ทำทุกสิ่งถูกต้อง”
- Samuel Lamerson
[3]
“ผู้คนไม่ใส่ใจว่าคุณรู้มากแค่ไหนจนกว่าพวกเขาจะรู้ว่าคุณใส่ใจมากแค่ไหน”
—Theodore Roosevelt
[4] Sirach 12:1-7,
Good News Translation
Previous
Next