ชีวิตและพันธกิจ ของพระเยซู
ชีวิตและพันธกิจ ของพระเยซู
Audio Course Purchase

Search Course

Type at least 3 characters to search

Search through all lessons and sections in this course

Searching...

No results found

No matches for ""

Try different keywords or check your spelling

results found

Lesson 7: รักเหมือนพระเยซู

2 min read

by Randall McElwain


จุดประสงค์บทเรียน

เมื่อจบบทเรียน นักศึกษาควรบรรลุวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้

(1) ตระหนักถึงความรักที่เป็นศูนย์กลางในชีวิตและพันธกิจของพระเยซู

(2) เข้าใจว่าความรักต่อพระเจ้านั้นเกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์กับพระเจ้า ความรู้ในพระวจนะของพระเจ้า และความวางใจในพระประสงค์ของพระองค์

(3) เลียนแบบความรักของพระเยซูต่อผู้คนในพันธกิจ

(4) เห็นคุณค่าความสำคัญของการยอมจำนนอย่างต่อเนื่องกับพระเจ้า

(5) แสดงถึงอุปนิสัยของพระเยซูในชีวิตประจำวัน

หลักการสำหรับพันธกิจ

การรักเหมือนพระคริสต์คือแรงจูงใจในการทำพันธกิจเหมือนพระคริสต์

บทนำ

ชีวิตทั้งหมดของพระเยซูและพันธกิจของพระองค์มีความรักเป็นแรงจูงใจ ครั้งแล้วครั้งเล่าที่พระองค์แสดงให้เห็นว่าความรักต่อพระเจ้าและความรักต่อผู้อื่นเป็นศูนย์กลางของชีวิตและพันธกิจของพระองค์ ถ้าหากเราทำตามแบบอย่างของพระเยซู ความรักต้องเป็นศูนย์กลางของชีวิตและพันธกิจของเรา ไม่มีที่ใดที่ชัดเจนมากไปกว่าในคำอุปมาเรื่องชาวสะมาเรียใจดี

► อ่าน ลูกา 10:25-37

ไม่นานก่อนให้คำอุปมานี้ พระเยซูพูดว่าพระเจ้าได้ “ปิดบังสิ่งเหล่านี้ไว้จากคนมีปัญญาและคนฉลาด แต่ทรงสำแดงแก่พวกทารก” (ลูกา 10:21) เรื่องนี้สอนบทเรียนสำคัญเกี่ยวกับความเข้าใจฝ่ายวิญญาณ การเข้าใจความจริงฝ่ายวิญญาณจำเป็นต้องมีมากกว่าการศึกษาทางสติปัญญา แต่จำเป็นต้องมีการเปิดเผยฝ่ายวิญญาณ ความจริงของพระเจ้านั้นเรียบง่ายพอที่เด็กคนหนึ่งจะเข้าใจได้ด้วยความช่วยเหลือจากพระวิญญาณของพระเจ้า แต่มันลึกซึ้งสำหรับนักวิชาการที่จะเข้าใจด้วยความสามารถทางปัญญาเท่านั้น

สิ่งนี้เป็นไปได้อย่างไร? พระเจ้าปิดบังความจริงจากคนที่ปรารถนาความจริงหรือ? คำตอบเกี่ยวข้องกับหลักการสองประการ

1. ความจริงฝ่ายวิญญาณได้รับการเปิดเผยผ่านทางพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น เปาโลเขียนว่า “พระดำริของพระเจ้าก็ไม่มีใครหยั่งรู้ได้เว้นแต่พระวิญญาณของพระเจ้า” ด้วยเหตุนี้เราต้องรับสิ่งที่ “พระวิญญาณทรงสอนไว้ คือเราได้อธิบายความหมายของเรื่องฝ่ายจิตวิญญาณ ให้คนฝ่ายจิตวิญญาณฟัง” (1 โครินธ์ 2:11, 13)

2. ความจริงฝ่ายวิญญาณได้รับการเปิดเผยกับผู้ฟังที่ยอมรับเท่านั้น เปาโลกล่าวต่อว่า “แต่คนทั่วไปจะไม่รับสิ่งเหล่านี้ซึ่งเป็นของพระวิญญาณแห่งพระเจ้า เพราะว่าเขาเห็นว่าเป็นเรื่องโง่ และเขาไม่สามารถเข้าใจ เพราะจะเข้าใจสิ่งเหล่านี้ได้ก็ต้องวินิจฉัยโดยพึ่งพระวิญญาณ” (1 โครินธ์ 2:14)

คำอุปมาเรื่องผู้หว่านพืชแสดงให้เห็นถึงท่าทีของผู้ฟังที่เป็นตัวกำหนดการเกิดผลของเมล็ดพืช (มัทธิว 13:1-23) มีเพียงคนที่ยอมรับความจริงเท่านั้นที่จะเข้าใจความจริงที่พวกเขาได้ยิน[1]

ผู้เชี่ยวชาญกฎบัญญัติในลูกา 10:25 เป็นภาพชีวิตจริงที่อธิบายถึงหลักการที่สองนี้ คำถามของผู้เชี่ยวชาญกฎบัญญัติไม่ได้มาจากความหิวกระหายความจริง แต่มาจากความปรารถนาที่จะดักจับพระเยซู เขาต้องการทดสอบพระองค์ หลังจากเขาได้ยินคำตอบของพระเยซูแล้ว การตอบสนองของเขาไม่ได้เป็นการตอบสนองของดินดีที่เกิดผล แต่เขาถามอีกคำถามเพื่ออยากจะทำให้ตัวเองชอบธรรม (ลูกา 10:29)

พระเยซูตอบคำถามที่ถามว่า “ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไรเพื่อจะได้รับชีวิตนิรันดร์?” คำตอบนั้นถูกเขียนไว้ในกฎบัญญัติแล้ว “วกท่านจงรักองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้เป็นพระเจ้าของท่านด้วยสุดใจของท่าน ด้วยสุดจิตของท่าน ด้วยสุดกำลังของท่าน และด้วยสุดความคิดของท่าน และจงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง” (ลูกา 10:27)

นี่คือหัวใจที่เป็นแบบอย่างของพระเยซูสำหรับเรา การดำเนินชีวิตและทำพันธกิจเหมือนอย่างพระเยซู เราต้องรักพระเจ้าและรักเพื่อนบ้านเหมือนที่พระเยซูรัก ถ้าไม่มีความรับแบบพระคริสต์ ก็ไม่มีบทเรียนใดในวิชานี้ที่จะสำคัญอย่างแท้จริง การอธิษฐาน การเป็นผู้นำ การสอน และการเทศนา ถ้าไม่มีความรักก็ไม่สำคัญอะไรเลยจริง ๆ

บางทีเรื่องนี้ดูเหมือนง่าย คุณอาจพูดว่า “แน่นอน เราควรรักพระเจ้าและรักผู้คน ฉันรู้เรื่องนั้นอยู่แล้ว!” แต่ในทุกวันที่แบกภาระในงานพันธกิจ เราสามารถสูญเสียใจรักได้ เป็นไปได้ที่เราจะรับใช้สมาชิกคริสตจักรโดยไม่ได้รักพวกเขาเลย เป็นไปได้ที่เรารับใช้ครอบครัวโดยไม่ได้รักพวกเขา เป็นไปได้ที่เราจะทำการงานของคริสเตียนโดยที่ไม่ได้รักพระเจ้า แรงจูงใจของเราสำหรับพันธกิจคริสเตียนต้องมาจากความรักเหมือนพระคริสต์


[1]สังเกตเป็นพิเศษในมัทธิว 13:12 คนที่ยอมรับความจริงจะรับความจริงได้มากกว่า “เพราะว่าใครมีอยู่แล้ว จะเพิ่มเติมให้คนนั้นมีเหลือเฟือ” คนที่ปฏิเสธความจริงก็ถูกทำให้ตามืดบอดแม้แต่กับความจริงที่พวกเขาได้ยินแล้วก็ตาม “แต่คนที่ไม่มีนั้น แม้ที่เขามีอยู่ก็จะเอาไปจากเขา”

การรักพระเจ้าเหมือนที่พระเยซูรัก

งานรับใช้ของพระเยซูต่อมวลมนุษย์มีแรงจูงใจมาจากความรักที่พระองค์มีต่อพระบิดา เพื่อหลีกเลี่ยงภาวะหมดไฟและท้อแท้ในงานพันธกิจ งานรับใช้ของเราต้องได้รับแรงบันดาลใจโดยความรักที่มีต่อพระเจ้า งานพันธกิจที่ปราศจากความรักต่อพระเจ้าก็จะว่างเปล่าและไม่เกิดผลในอีกไม่นาน

สามด้านของความรักของพระเยซูที่มีต่อพระบิดาควรเป็นแบบอย่างให้กับเรานั้นคือ ความสัมพันธ์ ความรู้ และความไว้วางใจ

พระเยซูยังคงรักษาความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกับพระบิดาของพระองค์

ครั้งแล้วครั้งเล่าที่พระกิตติคุณแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์อันใกล้ชิดของพระเยซูกับพระบิดาของพระองค์ เรื่องนี้เราเห็นได้ในพระคัมภีร์ตอนต่อไปนี้

  • คำกล่าวของพระเยซูต่อพ่อแม่ของพระองค์ว่า “พ่อกับแม่ไม่รู้หรือว่าลูกต้องอยู่ในพระนิเวศของพระบิดา?” (ลูกา 2:49)

  • การอธิษฐานด้วยความสนิทสนมของพระเยซูในยอห์น 17

  • เสียงร้องด้วยความเจ็บปวดของพระเยซูบนไม้กางเขน “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย?” (มัทธิว 27:46)

ในสวนเกทเสมนี พระเยซูพูดถึงพระเจ้าโดยใช้ภาษาบ่งบอกความสนิทสนมของครอบครัว “อับบา พ่อ” (มาระโก 14:36) นี่คือภาษาของพระบุตรผู้มั่นคงอยู่ในความสัมพันธ์กับพระบิดาของพระองค์

คำอธิษฐานตามธรรมเนียมของชาวยิวจะใช้หลานพระนามสำหรับพระเจ้า เช่น พระเจ้าของอับราฮัม อิสอัค และยาโคบ พระเจ้าพระบิดา สาธุการพระเจ้า ผู้ทรงฤทธิ์ พระผู้ไถ่ของอิสราเอล เป็นต้น พระเยซูใช้พระนามที่แสดงความสนิทสนมว่า อับบา พระเยซูมีความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกับพระบิดาของพระองค์

เคนเนธ อี บายเลย์ ใช้เวลาหลายปีเพื่อสอนในตะวันออกกลาง เขาเขียนว่า อับบา คือคำแรกที่เด็กในตะวันออกกลางเรียนรู้ อับบาคือชื่อที่ลูกใช้เรียกพ่อของตัวเอง

เปาโลบอกเราว่า ในฐานะลูกของพระเจ้า เรามีสิทธิพิเศษในการร้องเรียกเช่นกันว่า “อับบา! พ่อ!” (โรม 8:15, กาลาเทีย 4:6) เราไม่ได้นมัสการพระเจ้าผู้อยู่ห่างไกล แต่เหมือนกับพระเยซู เรามีชีวิตอย่างมั่นคงและสบายใจในความรักของพระบิดา

ในฐานะศิษยาภิบาล เราอาจถูกทดลองให้วัดคุณค่าของตัวเองจากความสำเร็จในงานพันธกิจ ถ้าหากคุณค่าของเรามาจากขนาดของคริสตจักร การยอมรับจากสมาชิกในคริสตจักร หรือการจดจำจากเพื่อน ๆ ของเรา เราก็จะถูกทดลองให้ยอมสละความซื่อสัตย์ภักดีเพื่อเห็นแก่ความสำเร็จ เราจะท้อแท้เมื่อความพยายามของเราล้มเหลว อย่างไรก็ตามถ้าหากเรามั่นใจว่า อับบา ของเรารักเราโดยไม่คำนึงถึงความสำเร็จของเรา เราก็จะฝากผลลัพธ์ไว้กับพระองค์ได้ ความรักของพระองค์ไม่ได้ขึ้นอยู่กับการปฏิบัติของเรา

พระเยซูรู้ความประสงค์ของพระบิดา

ตอนปลายของพันธกิจบนโลกนี้ของพระเยซู พระองค์ยืนยันว่า “เพราะข้าพระองค์ทำกิจที่พระองค์ทรงให้ข้าพระองค์ทำนั้นสำเร็จแล้ว” (ยอห์น 17:4) พระเยซูรู้ว่าพระบิดาส่งพระองค์มาทำอะไรให้สำเร็จ และพระองค์อุทิศทั้งชีวิตเพื่อทำมิชชันนั้นให้สำเร็จลุล่วง

ในความเป็นมนุษย์ พระเยซูเรียนรู้ถึงความประสงค์ของพระบิดาผ่านการอธิษฐานและพระวจนะ โดยผ่านการอธิษฐาน พระเยซูค้นพบความประสงค์ของพระบิดา

พระเยซูเรียนรู้ความประสงค์ของพระบิดาผ่านทางพระวจนะด้วยเช่นกัน ที่คาเปอร์นาอุม พระเยซูสรุปมิชชันของพระองค์ว่าสำเร็จเป็นจริงตามคำเผยพระวจนะของอิสยาห์ (ลูกา 4:18-19) เมื่อพระองค์ให้คำตอบแก่ผู้ส่งสารจากยอห์นผู้ให้บัพติศมา พระเยซูใช้ถ้อยคำของอิสยาห์เป็นหลักฐานสำหรับพันธกิจในการเป็นพระเมสสิยาห์ของพระองค์ (มัทธิว 11:4-5) พระเยซูรู้พระวจนะ

ตลอดพันธสัญญาใหม่ เราพบว่าคริสเตียนทั้งหลายกล่าวถึงพระวจนะในการตอบสนองต่อความยากลำบาก ในการเผชิญกับการพลีชีพ คำเทศนาสุดท้ายของสเตเฟนเต็มไปด้วยข้อพระคัมภีร์ในพันธสัญญาเดิมเป็นหลักกับคำเผยพระวจนะที่สำเร็จในพระเยซูคริสต์ (กิจการ 7:1-53) เมื่อผู้นำชาวยิวสั่งให้คริสเตียนเลิกประกาศเรื่องราวของพระเยซู คริสตจักรก็รวมตัวกันอธิษฐาน คำอธิษฐานของพวกเขาเต็มไปด้วยข้ออ้างอิงจากสดุดีบทที่ 2 (กิจการ 4:24-30, สดุดี 2:1-2) ผู้เชื่อในยุคแรกรู้พระคัมภีร์ พระคัมภีร์เป็นภาษาที่เป็นธรรมชาติของพวกเขาในการเทศนาและอธิษฐาน

ตลอดประวัติศาสตร์คริสตจักร ผู้เทศนาที่เปลี่ยนโลกล้วนเป็นคนแห่งพระวจนะ มาร์ติน ลูเธอร์ ยืนยันที่ไดเอทออฟเวิร์ม (Diet of Worms) ว่า “ข้าพเจ้าถูกผูกมัดโดยพระคัมภีร์และจิตสำนึกของข้าพเจ้าเป็นเชลยต่อพระวจนะของพระเจ้า” จอห์น เวสเลย์ อธิบายถึงตัวเองว่าเป็น “บุรุษแห่งหนังสือเล่มหนึ่ง” ชารลส์ สปอร์เจียน กล่าวว่าผู้เทศนาควรบำรุงเลี้ยงด้วยพระวจนะไปจนกว่า “แก่นแท้ของพระคัมภีร์จะไหลออกมาจากคุณ” ฮัดสัน เทย์เลอร์ ใช้เวลาจำนวนมากกับพระวจนะกระทั่งคนหนึ่งเขียนไว้ว่า “พระคัมภีร์เป็นบรรยากาศในที่ที่เทย์เลอร์อาศัยอยู่” บุรุษเหล่านี้เปลี่ยนโลกของพวกเขาเพราะพวกเขาเทศนาพระวจนะด้วยสิทธิอำนาจ

[1]ถ้าหากเรารับใช้เหมือนพระเยซู เหมือนคริสเตียนในยุคแรก และเหมือนผู้เทศนาผู้ยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ เราเองก็ต้องหล่อหลอมท่าทีและความคิดของเราด้วยพระวจนะของพระเจ้า พระคัมภีร์เป็นสิทธิอำนาจสูงสุดสำหรับพันธกิจของเปาโล (2 ทิโมธี 3:16-17) พระเยซูอธิษฐานว่าสาวกของพระองค์จะได้รับการชำระให้บริสุทธิ์หรือถูกแยกไว้เพื่อการรับใช้ สิ่งนี้จะบรรลุผลได้โดยผ่านทางพระวจนะ “ขอทรงแยกพวกเขาให้บริสุทธิ์ด้วยความจริง พระวจนะของพระองค์เป็นความจริง” (ยอห์น 17:17) พระวจนะทำให้พวกสาวกเกิดผลในงานพันธกิจมาแล้ว พระวจนะก็ทำให้เราเกิดผลในงานพันธกิจเวลานี้

อาจิธ เฟอร์นาโด ใช้ชีวิตของเขาเพื่อรับใช้ในประเทศศรีลังกา เขาเขียนว่าเขาได้ฝึกปฏิบัติตนที่จะไม่มีข้อความหลักใด ๆ ในคำเทศนาที่ไม่ได้มาจากพระคัมภีร์ นี่เองทำให้การเทศนาของเขาลงลึกในพระวจนะ ในฐานะคริสเตียน เรารู้จักพระเจ้าผ่านทางพระวจนะของพระองค์ ในฐานะผู้รับใช้ เราสร้างคริสตจักรที่เข้มแข็งได้โดยพันธกิจที่ลงลึกในพระวจนะของพระเจ้า

พระเยซูไว้วางใจพระบิดาของพระองค์

ความสัมพันธ์ของพระเยซูกับพระบิดาในช่วงระหว่างพันธกิจบนโลกนี้สามารถสรุปได้ในคำอธิษฐานของพระเยซูที่สวนเกทเสมนี “แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” (มัทธิว 26:39) นี่คือภาษาที่สื่อถึงความไว้วางใจและยอมจำนนอย่างสิ้นเชิง

การยอมจำนนอย่างสิ้นเชิงต่อความประสงค์ของใครบางตนเป็นเรื่องที่ทำได้ยากหากเราไม่ได้ไว้วางใจเขา เราอาจถูกบังคับให้ยอมแต่ภายนอก แต่ในใจต่อต้านการควบคุมให้ยอมจำนนของคนที่เราไม่ได้ไว้วางใจเขา พระเยซูยอมจำนนต่อความประสงค์ของพระบิดาเพราะพระองค์ไว้วางใจในความรักและความดีของพระบิดาอย่างสมบูรณ์

► อ่าน ยอห์น 5:1-47

พันธกิจทั้งหมดของพระเยซูแสดงให้เห็นถึงท่าทีนี้ที่เป็นการพึ่งพาพระบิดาอย่างสิ้นเชิง เมื่อผู้นำชาวยิวต่อต้านพระเยซูเพราะพระองค์รักษาคนง่อยในวันสะบาโต พระองค์ตอบสนองดังต่อไปนี้

เราบอกความจริงกับพวกท่านว่า พระบุตรจะทำสิ่งใดตามใจไม่ได้นอกจากที่ได้เห็นพระบิดาทำ เพราะสิ่งใดที่พระบิดาทำ สิ่งนั้นพระบุตรจะทำเหมือนกัน….เราจะทำสิ่งใดตามใจไม่ได้ เราได้ยินอย่างไรเราก็พิพากษาอย่างนั้น และการพิพากษาของเราก็ยุติธรรม เพราะเราไม่ได้มุ่งที่จะทำตามใจของเราเอง แต่ตามพระประสงค์ของผู้ทรงใช้เรามา (ยอห์น 5:19, 30)

พระเยซูได้รับกล่าวไว้แล้วถึงความเป็นพระเจ้า “พระบิดาของเรายังทรงทำงานอยู่เรื่อย ๆ และเราก็ทำด้วย” (ยอห์น 5:17) แต่แม้ว่าพระองค์เป็นพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ พระเยซูก็เต็มใจยอมรับบทบาทรองในการทำมิชชันของพระองค์บนโลกนี้ พระองค์และพระบิดาเท่าเทียมกัน แต่พระองค์ยอมจำนนต่อความประสงค์ของพระบิดา

เมื่อพวกธรรมาจารย์และฟาริสีต่อต้านพระเยซูในช่วงไม่กี่เดือนต่อมา พระองค์ปกป้องการกระทำของพระองค์อีกครั้งโดยการชี้ไปยังสิทธิอำนาจของพระบิดา “เราไม่ได้ทำอะไรตามใจชอบ พระบิดาทรงสอนเราอย่างไร เราก็กล่าวอย่างนั้น” (ยอห์น 8:28) เนื่องจากพระองค์ไว้วางใจในพระบิดาอย่างเต็มที่ พระเยซูจึงสามารถเต็มใจยอมจำนนต่อความประสงค์ของพระบิดา

ผู้นำคริสตจักรจำเป็นต้องมีความสมดุลที่ทำได้ยาก ศิษยาภิบาลจำนวนมามีทักษะการเป็นผู้นำสูง ในฐานะผู้นำ พวกเขาเชื่อมั่นในความคิดเห็นและมีบุคลิกภาพที่เข้มแข็ง นี่อาจเป็นจุดแข็งที่มีคุณค่าสำหรับคนเป็นผู้นำ อย่างไรก็ตาม จุดแข็งนี้ต้องสมดุลกับความเต็มใจยอมจำนนต่อพระเจ้า ถ้าหากเราไม่ยอมจำนนต่อพระเจ้าด้วยความไว้วางใจ เราจะมีแนวโน้มผลักดันสิ่งต่าง ๆ ด้วยวิธีการของเราแทนที่จะยอมจำนนต่อวิธีการของพระเจ้า

บางทีตัวอย่างที่ดีที่สุดในพระคัมภีร์คือโมเสส โมเสสเป็นคนถ่อมใจยิ่งกว่าคนทั้งหมดบนพื้นแผ่นดิน (กันดารวิถี 12:3) โมเสสเข้มแข็งแต่ถ่อมใจด้วยเช่นกัน เขาเผชิญหน้าฟาโรห์ บุคคลผู้ทรงอำนาจในอียิปต์ เขานำชนชาติอิสราเอลผู้หัวแข็งดื้อรั้นก้าวผ่านถิ่นทุรกันการ โมเสสเป็นผู้นำที่เข้มแข็ง แต่ในเวลานั้นเขายอมจำนนต่อพระเจ้า สิ่งนี้เป็นไปได้ก็ต่อเมื่อเราเดินกับพระเจ้าด้วยชีวิตแห่งความเชื่อและไว้วางใจเท่านั้น

► สามด้านของความรักต่อพระบิดาเหล่านี้ (ความสัมพันธ์ ความรู้ในพระวจนะของพระองค์ และการยอมจำนนด้วยความไว้วางใจ) ด้านใดที่เป็นความท้าทายมากที่สุดในชีวิตส่วนตัวของคุณ?


[1]

“อย่าให้หนังสือดี ๆ มาแทนที่พระคัมภีร์ ดื่มจากบ่อน้ำนี้!”

- Amy Carmichael

พิจารณาอย่างละเอียด: พระเยซูกล่าวถึงพระองค์เองว่าเป็นพระเจ้าหรือไม่?

ลัทธิสอนผิดอย่างเช่นมอร์มอนและพยานพระเยโฮวาห์ รวมถึงศาสนาต่าง ๆ ที่ไม่ใช่คริสเตียนอย่างเช่นอิสลาม ต่างก็ปฏิเสธความเป็นพระเจ้าแท้จริงของพระเยซู พวกเขายอมรับพระเยซูว่าเป็นอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่หรือผู้เผยพระวจนะ ผู้ที่อยู่ตั้งแต่แรกครั้งสร้างโลก หรือแม้แต่ในฐานะพระเมสสิยาห์ แต่พวกเขาปฏิเสธว่าพระองค์เป็นพระเจ้าที่แท้จริง[1]

ผู้ติดตามของศาสนาเหล่านี้มักจะอ้างว่า “พระเยซูไม่เคยกล่าวถึงพระองค์เองว่าเป็นพระเจ้า พระองค์พูดว่าพระองค์เป็นพระบุตรของพระเจ้าอย่างเดียวกันกับที่เราแต่ละคนเป็นบุตรของพระเจ้า”

พระเยซูกล่าวถึงพระองค์ว่าเป็นพระเจ้าหรือไม่? ใช่ พระองค์กล่าว ผู้คนที่ได้ยินต่างก็เข้าใจคำกล่าวถึงของพระองค์ เมื่อพระเยซูกล่าวว่าพระเจ้าเป็น “พระบิดาของข้าพระองค์” พวกผู้นำชาวยิวพยายามฆ่าพระองค์ ทำไมหรือ? “เพราะเหตุนี้พวกยิวยิ่งหาโอกาสที่จะฆ่าพระองค์ ไม่ใช่เพราะพระองค์ฝ่าฝืนกฎวันสะบาโตเท่านั้น แต่ยังเรียกพระเจ้าเป็นบิดาด้วย ซึ่งเป็นการทำตัวเสมอพระเจ้า” (ยอห์น 5:18)

ในคำกล่าวหนึ่งที่ชัดเจนที่สุดของพระเยซูที่กล่าวถึงพระองค์เองว่าเป็นพระเจ้า คือเมื่อพระองค์พูดกับพวกผู้นำชาวยิวว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ก่อนอับราฮัมเกิด เราเป็นอยู่แล้ว” (ยอห์น 8:58) นี่เป็นถ้อยคำที่พระเจ้าใช้เพื่อเปิดเผยพระองค์เองต่อโมเสสที่พุ่มไม้ไฟลุกโชน “ไปบอกชนชาติอิสราเอลดังนี้ว่า พระองค์ผู้ทรงพระนามว่า เราเป็นทรงใช้ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลาย” (อพยพ 3:14) ด้วยถ้อยคำเหล่านี้ พระเยซูกล่าวถึงพระองค์เองว่าเป็นพระเจ้าผู้ปรากฎแก่โมเสส พวกผู้นำชาวยิวรู้ชัดถึงความหมายของถ้อยคำเหล่านี้ที่พระเยซูกล่าว พวกเขาตอบสนองด้วยการหยิบก้อนหินขึ้นมาเพื่อจะขว้างพระองค์ให้ตาย นี่คือการลงโทษอย่างสาสมสำหรับคนที่ดูหมิ่นพระเจ้าซึ่งอ้างตนอย่างเป็นความเท็จว่าเป็นพระเจ้า (เลวีนิติ 24:16)

คายฟัสถามพระเยซูเมื่อมาทดสอบพระองค์ว่า “เจ้าเป็นพระคริสต์ พระบุตรของพระเจ้าผู้สมควรแก่การนมัสการหรือ?” คำตอบของพระเยซูชัดเจนว่า “และ ท่านทั้งหลายจะเห็นบุตรมนุษย์ ประทับข้างขวาของผู้ทรงฤทธิ์เดช และเสด็จมาในเมฆแห่งฟ้าสวรรค์” โดยคำตอบนี้พระเยซูได้กล่าวถึงพระองค์เองว่าเป็นผู้นั้นที่นั่งอยู่ด้านขวามือของพระเจ้าและเป็นบุตรมนุษย์ผู้จะมาพิพากษาโลกตามคำเผยพระวจนะของดาเนียล (สดุดี 110:1 และดาเนียล 7:13-14) คายฟัสรู้ว่าพระเยซูกำลังกล่าวถึงพระองค์เองว่าเป็นพระเจ้า เขาฉีกเสื้อคลุมของเขาและพูดว่า “ท่านทั้งหลายได้ยินเขาพูดหมิ่นประมาทพระเจ้าแล้ว” (มาระโก 14:61-64)

คุณอาจปฏิเสธที่จะเชื่อคำกล่าวถึงของพระเยซู แต่คุณไม่สามารถอ่านพระกิตติคุณอย่างละเอียดและทั่วถึงได้โดยไม่ยอมรับว่าพระเยซูกล่าวถึงพระองค์เองว่าเป็นพระบุตรของพระเจ้า ผู้ฟังของพระองค์ได้ยินคำกล่าวถึงของพระองค์และถูกผลักดันให้เลือกว่าจะยอมรับพระองค์ในฐานะพระเจ้าหรือจะฆ่าพระองค์ทิ้งในฐานะผู้เผยพระวจนะเท็จและคนที่ดูหมิ่นพระเจ้า


[1]เพื่อศึกษาคำสอนของศาสนาเทียมเท็จเหล่านี้ ท่านสามารถศึกษาจากหลักสูตรของ Shepherds Global Classroom วิชา ประเพณีทางความเชื่อของโลกนี้

รักเพื่อนบ้านเหมือนที่พระเยซูรัก

เมื่อพระเยซูกำลังสอน พระองค์มักจะดึงความสนใจผู้ฟังที่เป็นคนเก็บภาษีและคนบาป พระเยซูไม่เพียงแค่สอนผู้คนเหล่านี้ แต่พระองค์กินอาหารร่วมกับพวกเขา เมื่อพวกฟาริสีเห็นพระเยซูเต็มใจกินอาหารร่วมกับคนบาป พวกเขาเริ่มต้นตัดสินพระองค์ พระเยซูตอบสนองด้วยเรื่องเล่าสามเรื่อง เมื่อคุณอ่านเรื่องเล่าเหล่านี้ คุณควรตระหนักถึงเบื้องหลังสำคัญสองประการต่อไปนี้

1. ในสมัยของพระเยซู การกินอาหารร่วมกับคน ๆ หนึ่งย่อมหมายถึงการสร้างความสัมพันธ์กับคนนั้น[1] เมื่อพระเยซูกินอาหารร่วมกับคนบาป นั่นหมายความว่าพระองค์จงใจเข้าสังคมร่วมกับพวกเขา พระเยซูแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าไม่ได้รอให้ผู้คนเข้ามาหาพระองค์ แต่พระเจ้าแข็งขันแสวงหาคนเหล่านั้นที่หลงหาย

2. พวกคนยิวในสมัยของพระเยซูคาดหวังให้คนชอบธรรมหลีกเลี่ยงการติดต่อสื่อสารกับคนบาป พวกรับบีสอนว่า เมื่อพระเมสสิยาห์มา พระองค์จะหลีกเลี่ยงการเข้าสังคมกับพวกคนชั่วและจะกินอาหารร่วมกับคนชอบธรรมเท่านั้น

► อ่าน ลูกา 15:1-32

นี่คือคำอุปมาตอนใหญ่ที่แบ่งเป็นสามเรื่องคือ แกะหลงหาย เหรียญหาย และบุตรน้อยหลงหาย ใจความหลักของคำอุปมานี้คือความยินดีของคนหนึ่งที่พบสิ่งที่หายไป พระเยซูแสดงให้เห็นถึงความยินดีในสวรรค์ที่เมื่อคนบาปถูกนำมาสู่การกลับใจ

[2]พวกรับบีมีภาษิตที่นิยมพูดกันว่า “มีความยินดีในสวรรค์เมื่อคนบาปถูกทำลายต่อหน้าพระเจ้า” พระเยซูพลิกภาษิตนี้เป็น “มีความยินดีในสวรรค์เมื่อคนบาปคนหนึ่งกลับใจใหม่” อะไรคือความแตกต่างระหว่างพระเยซูกับพวกรับบีคนอื่น ๆ? สิ่งนั้นคือความรัก พระเยซูแสดงให้เห็นความหมายของการเป็นผู้รับใช้ที่มีความรักในหัวใจ

เมื่อเรารับใช้โดยปราศจากความรัก สิ่งที่จะสำคัญกว่าผู้คนก็คือฐานะและตำแหน่ง อย่างไรก็ตามเมื่อเรารับใช้ด้วยความรักในหัวใจ เราก็เต็มใจสละฐานะเพื่อเห็นแก่คนที่หลงหาย พระเยซูเต็มใจยอมทนทุกข์กับคำตัดสินของพวกผู้นำศาสนาเพื่อแสดงให้เห็นถึงความรักที่มีต่อคนเหล่านั้นที่ขัดสนความรักมากที่สุด

► ถ้าหากเราถามว่า “คุณจะแสดงความรักต่อบุตรน้อยหลงหายไหม?” พวกเราทุกคนจะตอบว่า “ใช่” เรารู้คำตอบที่ถูกต้อง! แต่หากถามว่า “ใครคือคนที่หลงหายล่าสุดที่เข้ามาในเส้นทางชีวิตของฉัน? ฉันแสดงความรักต่อคนนั้นไหม?”

พระเยซูแสดงความรักผ่านการเมตตาสงสารคนที่ช้ำตรม

เมื่ออ่านพระกิตติคุณ คุณสังเกตไหมว่าคนบาปที่วิ่งหนีจากพวกผู้นำศาสนาต่างวิ่งมาหาพระเยซู? อะไรที่เป็นสาเหตุให้คนบาปแสวงหาการอยู่ด้วยของพระเยซู?

นั่นไม่ใช่ว่าพระเยซูเพิกเฉยต่อความบาปของพวกเขา พระองค์เรียกร้องมาตรฐานความชอบธรรมที่สูงกว่าพวกฟาริสี (มัทธิว 5:20) คนบาปวิ่งไปหาพระเยซูเพราะพระองค์เป็นบุรุษที่เต็มไปด้วยความเมตตาสงสาร พระองค์ไม่ได้ยกเว้นความบาป แต่พระองค์รู้สึกเมตตาสงสารคนที่เป็นเชลยความบาป

เรามองเห็นสิ่งนี้ในถ้อยคำของพระเยซูต่อผู้หญิงที่ถูกจับได้ขณะล่วงประเวณี หลังจากผู้คนที่กล่าวโทษเธอจากไป พระเยซูตรัสว่า “เราก็ไม่เอาโทษเหมือนกัน จงไปเถิดและจากนี้ไปอย่าทำบาปอีก” (ยอห์น 8:11) พระเยซูไม่ได้ยกเว้นความบาป พระองค์ประสงค์ให้ผู้หญิงคนนี้ละทิ้งชีวิตบาปของเธอ แต่พระองค์แสดงความรักเมตตามากกว่าที่จะตำหนิลงโทษ

พระกิตติคุณลูกาใส่ใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับความเมตตาสงสารของพระเยซู ลูกาเล่าเรื่องศักเคียส คนเก็บภาษีผู้ที่พวกผู้นำศาสนาอื่น ๆ ดูหมิ่นเหยียดหยาม พระเยซูทำให้ทุกคนที่อยู่ในเหตุการณ์ตกใจสุดขีด เมื่อพระองค์บอกว่าจะไปเป็นแขกที่บ้านของผู้ชายที่เป็นคนบาปคนหนึ่งนี้ (ลูกา 19:7)

► อ่าน ลูกา 5:12-16

ในการรายงานเรื่องการรักษาโรค ลูกาให้รายละเอียดที่ทำให้ฝูงชนตกใจสุดขีด พระเยซูยื่นมือออกไปและแตะตัวเขา ไม่มีใครในโลกสมัยโบราณที่จะแตะตัวคนโรคเรื้อน! เป็นอันตรายในทางการแพทย์เนื่องจากมีโอกาสติดเชื้อได้ และสำหรับคนยิว นั่นเป็นสาเหตุทำให้คน ๆ หนึ่งกลายเป็นมลทินตามระเบียบพิธี

[3]ทำไมพระเยซูจึงแตะตัวคนโรคเรื้อน? พระองค์รู้สึกเมตตาสงสาร “พระเยซูทรงสงสารเขาจึงยื่นพระหัตถ์แตะต้องคนนั้น” (มาระโก 1:41) คนโรคเรื้อนคนนี้จำเป็นต้องได้รับการรักษาทางกายภาพ แต่เขาก็จำเป็นต้องได้รับการรักษาทางอารมณ์ด้วย คนโรคเรื้อนต้องอยู่ห่าง ๆ จากคนอื่น หลังจากที่เขาติดโรคเรื้อน ชายคนนี้ไม่รู้สึกถึงสัมผัสของคนอื่น พระเยซูสามารถรักษาโรคได้โดยไม่ต้องสัมผัสแตะตัวชายที่ผิดปกติคนนี้ แต่พระองค์รู้ว่าคนโรคเรื้อนต้องการการสัมผัสจากคนอื่น พระเยซูรู้สึกเมตตาสงสาร

ถ้าหากเราต้องการรับใช้เหมือนพระเยซู เราต้องมีใจเมตตาสงสารเหมือนพระเยซู เมื่อคนบาปมองเข้าไปในดวงตาของพระเยซู พวกเขามองเห็นความรักเมตตาสงสาร เมื่อคนบาปมองเข้าไปในดวงตาของคุณ พวกเขามองเห็นอะไร?

พระเยซูแสดงความรักผ่านการรับใช้คนที่ขัดสน

เป็นเรื่องง่ายที่จะพูดว่า “ฉันรู้สึกสงสารคนขัดสน” เป็นเรื่องยากยิ่งกว่าที่จะรับใช้ในสิ่งที่จำเป็นสำหรับพวกเขา พระเยซูแสดงความรักโดยการรับใช้ในสิ่งที่จำเป็นสำหรับผู้คนรอบตัวพระองค์ พันธกิจทั้งหมดของพระเยซูคือการรับใช้อย่างหนึ่ง เปาโลเขียนว่าพระเยซูยอมสละพระองค์เองและรับสภาพทาส (ฟิลิปปี 2:7) พระเยซูบอกกับพวกสาวกของพระองค์ว่า “เพราะว่าบุตรมนุษย์ไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อจะปรนนิบัติคนอื่น และให้ชีวิตของท่านเป็นค่าไถ่คนจำนวนมาก” (มาระโก 10:45)

การอัศจรรย์ของพระเยซูแสดงให้เห็นถึงการที่พระองค์รับใช้ผู้อื่น การอัศจรรย์คือหมายสำคัญของมิชชันในการเป็นพระเมสสิยาห์ของพระองค์ แต่ก็เป็นวิธีการตอบสนองความจำเป็นในชีวิตมนุษย์ด้วย บางครั้งการอัศจรรย์เกิดขึ้นกับคนกลุ่มเล็ก ๆ บางครั้งเป็นประโยชน์ต่อคนที่ไม่มีอำนาจหรืออิทธิพลอะไร บางครั้งการอัศจรรย์ของพระองค์ (ในวันสะบาโต) ทำให้พระองค์ถูกปฏิเสธมากขึ้น

พระเยซูไม่ได้ทำการอัศจรรย์เพื่อเอาใจคนมีอำนาจ พระองค์ทำการอัศจรรย์เพื่อรับใช้คนที่ขัดสน พระคัมภีร์บันทึกสองครั้งว่าพระเยวูปฏิเสธที่จะทำการอัศจรรย์ พวกฟาริสีโต้เถียงและขอให้พระองค์ “แสดงหมายสำคัญจากฟ้าสวรรค์” (มาระโก 8:11) พระเยซูปฏิเสธที่จะให้หมายสำคัญ จากนั้นในการพิจารณาคดีของพระเยซู เฮโรดหวังว่าจะได้เห็นหมายสำคัญบางอย่างจากพระองค์ (ลูกา 23:8) พระเยซูปฏิเสธแม้แต่จะให้คำตอบกับเฮโรด พระเยซูจะไม่ทำการอัศจรรย์ตามคำเรียกร้องหรือทำเพื่อสร้างความประทับใจให้กับผู้ฟังที่สงสัย

ถึงแม้ว่าพระเยซูปฏิเสธการทำการอัศจรรย์เพื่อเฮโรดแอนติพาส พระองค์รักษาแม่ยายของชาวประมงคนหนึ่ง รักษาขอทานตาบอด คนโรคเรื้อน และคนที่ถูกผีเข้าที่ไม่สามารถทำอะไรเป็นการตอบแทนพระองค์ได้ พระองค์เลี้ยงอาหารคน 5,000 คนซึ่งแสดงความไม่สำนึกในพระคุณด้วยการละทิ้งพระองค์ และพระองค์รักษาคนรับใช้ของมหาปุโรหิตที่มาจับกุมพระองค์ พระเยซูรับใช้คนขัดสนผ่านการอัศจรรย์ของพระองค์

ในฐานะศิษยาภิบาลและผู้นำคริสตจักร เป็นเรื่องง่ายที่เราจะตัดสินใจเพื่อช่วยคนที่สามารถช่วยเราได้ เมื่อเราใช้เวลากับคนร่ำรวยมากกว่าคนยากจน เราอาจพูดว่า “นักธุรกิจคนนั้นช่วยสนับสนุนพันธกิจของคริสตจักรเราได้” เมื่อเรายกเลิกการไปเยี่ยมเยียนหญิงม่ายเพื่อไปเยี่ยมเยียนข้าราชการที่มีอิทธิพลแทน เราอาจแก้ตัวว่า “เขามีอิทธิพลและสามารถช่วยงานของพระเจ้าได้” พระเยซูไม่เคยทำแบบนี้ ถ้าหากเราต้องการทำพันธกิจเหมือนพระเยซู เราต้องเป็นผู้รับใช้เหมือนพระเยซู เราต้องไม่แสวงหาเพื่อจะรับการปรนนิบัติแต่แสวงหาที่จะปรนนิบัติผู้อื่น (มัทธิว 20:28) เปาโลเขียนไว้ว่า “เพราะว่าเราไม่ได้ประกาศตัวเอง แต่ประกาศว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และประกาศว่าตัวเราเองเป็นทาสของท่านทั้งหลายเพราะเห็นแก่พระเยซู” (2 โครินธ์ 4:5)

ศิษยาภิบาลบางคนรู้สึกว่า “ผมมีการศึกษาสูง ผมไม่ได้เป็นคนรับใช้ของชาวนาในคริสตจักรของผม!” เปาโลไม่เคยรู้สึกในลักษณะนี้ เปาโลมีการศึกษาสูงสุด แต่เขากลายเป็นผู้รับใช้ของชาวโครินธ์เพื่อเห็นแก่พระเยซู เขาสามารถพูดได้ว่า “ดูที่การศึกษาของผม ผมได้รับการฝึกด้านวรรณกรรมของชาวยิว ปรัชญาของกรีก และนักศาสนศาสตร์คริสเตียน ผมกล่าวในสภาแซนเฮดดริน สภาผู้อาวุโสของกรีก และสภาสูงสุดแห่งโรม” แต่เขาไม่พูดเช่นนั้น เขาพูดว่า “ข้าพเจ้าเป็นผู้รับใช้ของคนที่มีการศึกษาน้อยที่สุดในโครินธ์เพื่อเห็นแก่พระเยซู พระอาจารย์ของข้าพเจ้า”

ถ้าหากเราต้องการทำพันธกิจเหมือนพระเยซู เราต้องมีความถ่อมใจในการใช้ชีวิตแบบผู้รับใช้ รูปแบบชีวิตของเราต้องไม่ใช่รูปแบบของผู้มีอำนาจปกครอง ถ้าหากเราปรารถนาที่จะรักเหมือนพระเยซู เราต้องเป็นผู้รับใช้ที่ถ่อมใจ

พระเยซูแสดงความรักผ่านการมีความเมตตาต่อศัตรูของพระองค์

► อ่าน มัทธิว 5:43-48

พระเยซูสอนผู้ติดตามของพระองค์ให้ดีพร้อมเหมือนที่พระบิดาในสวรรค์ดีพร้อม นี่หมายความว่า รักเหมือนที่พระบิดาในสวรรค์รัก หมายถึงรักศัตรูของคุณและอธิษฐานเผื่อคนที่ข่มเหงคุณ เมื่อคุณแสดงให้เห็นลักษณะของความรักเช่นนั้น โลกจะรู้ว่าคุณเป็นบุตรของพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์

เมื่อประมาณ 200 ปีก่อนพระเยซูเทศนาคำเทศนาบนภูเขา มีธรรมาจารย์ชาวยิวคนหนึ่งเขียนชุดคำสอนที่เรียกว่า ศิรช (Sirach) ลองฟังดูเขาสอนผู้ติดตามของเขาให้ปฏิบัติต่อผู้คนที่ไม่สมควรช่วยเหลืออย่างไร[4]

  • เมื่อคุณทำการดี ขอให้แน่ใจถึงประโยชน์ที่คุณจะได้รับจากการทำสิ่งนั้น แล้วคุณจะไม่เสียเวลาเปล่า

  • ทำดีกับคนที่ถ่อมใจ แต่อย่าให้อะไรกับคนที่ตะกละตะกลาม

  • อย่าให้อาหารแก่พวกเขา ไม่อย่างนั้นพวกเขาจะใช้ความใจดีของคุณมาทำร้ายคุณ ทุกสิ่งดีที่คุณทำให้กับคนเช่นนั้นจะสนองกลับคืนคุณด้วยปัญหาที่หนักเป็นสองเท่า

  • องค์สูงสุดเองก็เกลียดคนบาป และพระองค์จะลงโทษพวกเขา

  • จงให้กับคนดี แต่อย่าช่วยคนบาป

งานเขียนของ เบน ศิรา ได้รับการนับถือว่าเป็นพระคัมภีร์ที่พวกยิวใช้กันในสมัยของพระเยซู เมื่อพระเยซูพูดว่า “ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า ‘จงรักเพื่อนบ้านของท่าน และเกลียดชังศัตรูของท่าน’” (มัทธิว 5:43) นี่คืองานเขียนนี้ที่พระองค์กล่าวถึง ศิรช กล่าวว่า “ทำดีกับคนชอบธรรมเท่านั้น อย่าเสียเวลาทำดีกับคนอธรรม”

► ตอนนี้ขอให้อ่าน มัทธิว 5:43-48 อีกครั้ง คุณเห็นไหมว่าทำไมคำสอนของพระเยซูจึงทำให้ผู้ฟังเวลานั้นตกใจสุดขีด?

ในพันธสัญญาเดิม พระเจ้าสอนคนของพระองค์ให้รักศัตรูของพวกเขา นี่ไม่ใช่คำสอนใหม่ ต่อไปนี้เป็นคำถามที่ศาสตราจารย์ในวิทยาลัยให้เพื่อทดสอบนักศึกษาของเขาในชั้นเรียนพันธสัญญาเดิม

เพื่อนบ้านของคุณตั้งตัวเป็นศัตรูต่อคริสตจักร เมื่อคุณเดินผ่าน เขาแช่งด่าคุณ เขาพยายามโกงคุณและขโมยฝูงสัตว์ของคุณ วันหนึ่งมีพายุฝนกระหน่ำลงมา คุณเห็นวัวของเพื่อนบ้านหลุดและวิ่งหนีไป ความรับผิดชอบของคุณต่อเพื่อนบ้านคืออะไร?

1. คุณใช้แส้ไล่ต้อนวัวให้มันหนีเตลิดไปไกลยิ่งขึ้นไหม?

นักศึกษารู้ว่านี่ไม่ใช่คำตอบที่ถูกต้อง!

2. คุณทำเป็นไม่รู้ไม่เห็นและพูดว่า “ไม่ใช่ปัญหาของฉัน” ไหม?

นักศึกษาหลายคนเลือกความคิดเห็นนี้ พวกเขาพูดว่า “มันคือวัวของเพื่อนบ้าน ไม่ใช่วัวของผม ถ้าเป็นวัวของผม ผมก็จะสนใจ อีกอย่างเพื่อนบ้านก็ไม่ได้ชอบผม เขาไม่ประทับใจแน่ถ้าหากผมเข้าไปช่วย”

3. คุณเชื่อฟังทำตาม อพยพ 23:4 ไหม? “เมื่อเจ้าพบโคหรือลาของศัตรูหลงมา จงพาไปส่งคืนเขาให้ได้”

แม้แต่ในพันธสัญญาเดิม ประชากรของพระเจ้าถูกเรียกให้รักศัตรูของพวกเขา แต่ในสมัยของพระเยซู ผู้คนกลับไม่กล่าวถึงอพยพ 23 มากเท่ากล่าวถึง ศิรช พวกเขาชอบคำสอนนั้นที่อำนวยให้พวกเขารักเพื่อนบ้านแต่เกลียดศัตรูได้! พระเยซูกล่าวว่า “เจ้าต้องรักศัตรูของเจ้า เพราะพระบิดาในสวรรค์รักทั้งคนชั่วและคนดี”

ในชีวิตจริงเรื่องนี้เป็นแบบไหน? ลองคิดถึงฉากนี้ในงานพันธกิจของคุณ

มีคนกลุ่มหนึ่งที่ดูเหมือนมีความเชื่อเหมือนกับคุณแต่มักจะคัดค้านคุณครั้งแล้วครั้งเล่า พวกเขาถามคำถามที่จงใจดักจับคุณ พวกเขาบอกสมาชิกของคุณว่าคุณเป็นผู้สอนเท็จ พวกเขาหวังว่าคุณทำบางสิ่งที่ก่อให้เกิดปัญหากับสมาชิกของคุณ คุณจะปฏิบัติกับพวกเขาอย่างไร?

1. ขับไล่พวกเขาไปและห้ามไม่ให้พวกเขากลับมาอีก?

2. ปฏิบัติต่อพวกเขาอย่างที่พวกเขาปฏิบัติต่อคุณ?

3. ตรงไปตรงมาเกี่ยวกับความผิดของพวกเขา แต่ก็ตอบพวกเขาด้วยความรัก?

พวกฟาริสีพยายามทุกวิถีทางเพื่อคัดค้านพระเยซู พระองค์ตรงไปตรงมาเกี่ยวกับความผิดของพวกเขา พระองค์พยายามสอนความจริงให้พวกเขา แต่พระองค์ก็ปฏิบัติต่อพวกเขาด้วยความรักเสมอ

ถ้าหากเราต้องการทำพันธกิจเหมือนพระเยซู เราต้องรักศัตรูของเรา นั่นคือหนึ่งในคำสอนของพระเยซูที่เรียกร้องการตอบสนองมากที่สุด เราต้องแสดงความรักที่ไม่เงื่อนไขของพระเยซูต่อคนที่ทรยศเรา ต่อคนที่หันเหไปจากคำสอนของเรา ต่อคนที่ข่มเหงเรา


[1]นี่คือภาพที่อธิบายในพระธรรมสุภาษิต สติปัญญาเชื้อเชิญ “คนรู้น้อย” มากินอาหารร่วมโต๊ะกับเธอ (สุภาษิต 9:1-6) โดยผ่านความสัมพันธ์ที่มีกับสติปัญญา คนรู้น้อยจะกลายเป็นคนฉลาด
[2]

“คำอุปมาเหล่านี้แสดงให้เห็นว่าข่าวประเสริฐไม่ได้มีไว้สำหรับคนที่ทำทุกอย่างถูกต้อง ข่าวประเสริฐมีไว้สำหรับคนที่รู้ว่าพวกเขาไม่ได้ทำทุกสิ่งถูกต้อง”

- Samuel Lamerson

[3]

“ผู้คนไม่ใส่ใจว่าคุณรู้มากแค่ไหนจนกว่าพวกเขาจะรู้ว่าคุณใส่ใจมากแค่ไหน”
—Theodore Roosevelt

[4]Sirach 12:1-7, Good News Translation

การประยุกต์ใช้: คุณลักษณะของพระเยซูในชีวิตของคริสเตียน

การเขียนเรื่องความรักของพระเจ้าและรักเพื่อนบ้านของเรานั้นทำได้ง่าย แต่การแสดงความรักนั้นในชีวิตประจำวันทำได้ยากกว่า โดยการพัฒนาคุณลักษณะของพระเยซูในชีวิตของเราเองเท่านั้นที่เป็นการเตรียมเราให้พร้อมแบ่งปันพระองค์กับคนในโลกของเรา

เป็นไปได้ที่เราจะมีคุณลักษณะของพระเยซู? พระคัมภีร์สอนว่าพระเจ้าให้ความสามารถแก่ประชากรของพระองค์เพื่อคิดได้อย่างที่พระองค์คิด พระองค์ต้องการให้คนของพระองค์มีวิญญาณใหม่ที่ทำให้เราต้องการในสิ่งที่พระเจ้าต้องการ และดำเนินชีวิตตามที่พระองค์เรียกให้เราดำเนินด้วยความเต็มใจ (เอเสเคียล 36:26-27) พระเจ้าต้องการพัฒนาคุณลักษณะของพระบุตรของพระองค์ภายในเรา

ฟังสิ่งที่ ออสวาร์ด แคมเบอร์ พูดเกี่ยวกับความสัตย์ซื่อในงานรับใช้แต่ละวัน

เมื่อคุณไม่มีนิมิตจากพระเจ้า ไม่มีความกระตือรือร้นหลงเหลือในชีวิต ไม่มีคนคอยเฝ้าดูและให้กำลังใจคุณ การที่คุณจะก้าวต่อไปในการอุทิศตัวต่อพระเจ้าได้นั้น คุณต้องการพระคุณขององค์ผู้ทรงฤทธิ์...ต้องการพระคุณของพระเจ้าเพิ่มขึ้น และต้องรับรู้ได้มากขึ้นถึงการดึงดูดให้เข้าไปใกล้พระองค์ เพื่อจะก้าวต่อไปได้ มากกว่าต้องการพระคุณเพื่อเทศนาข่าวประเสริฐ

พยานที่แท้จริงสำหรับพระเจ้าและสำหรับคนของพระเจ้าในระยะยาวคือ การบากบั่นด้วยใจหนักแน่น แม้เมื่อการงานที่ทำจะไม่มีใครมองเห็นก็ตาม และหนทางเดียวที่จะใช้ชีวิตอย่างไม่พ่ายแพ้ คือการมองดูพระเจ้าอย่างไม่ละสายตา ขอพระเจ้าทำให้ดวงตาฝ่ายวิญญาณของคุณเปิดออกต่อพระคริสต์ผู้ฟื้นขึ้นจากความตายเสมอ...[1]

เราจะรักษาความสัตย์ซื่อนี้ในงานพันธกิจได้อย่างไร? เราจะสามารถรักพระเจ้าและรักเพื่อนบ้านอย่างสม่ำเสมอทุกสัปดาห์ ทุก ๆ ปีได้อย่างไร? เราต้องพัฒนาคุณลักษณะของพระเยซูในชีวิตประจำวันของเรา สิ่งนี้ต้องการให้เรามีพระทัยของพระคริสต์

คำอธิบายถึงพระทัยของพระคริสต์

► อ่าน ฟิลิปปี 2:1-16

คำสั่งของเปาโลต่อคริสตจักรที่ฟิลิปปีเป็นคำแนะนำอันทรงพลังถึงความหมายของคุณลักษณะของพระเยซูคริสต์ เปาโลเขียนถึงคริสตจักรที่แตกแยกกันเนื่องจากความขัดแย้งทางบุคลิกภาพว่า “อย่าทำสิ่งใดด้วยการชิงดีหรือถือดี แต่จงถือว่าคนอื่นดีกว่าตัวด้วยใจถ่อม 4 อย่าให้ต่างคนต่างเห็นแก่ประโยชน์ของตนเอง แต่จงเห็นแก่ประโยชน์ของคนอื่นๆ ด้วย” (ฟิลิปปี 2:3-4)

พวกเขาบรรลุผลสิ่งนี้ได้อย่างไร? ได้โดยการที่พวกเขาเชื่อฟังคำสั่งของเปาโลให้ “มีจิตใจเช่นนี้ในพวกท่านเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์” (ฟิลิปปี 2:5)

เปาโลเขียนถึงคุณลักษณะสี่อย่างที่แปลกไปจากชีวิตคริสเตียน[2] คุณลักษณะเหล่านี้ทำลายคำพยานของคริสเตียนและทำลายประสิทธิภาพในการเป็นผู้รับใช้คริสเตียน เปาโลกล่าวว่า...

(1) อย่าทำสิ่งใดด้วยการชิงดี (ฟิลิปปี 2:3)

การชิงดีถามว่า “มีอะไรในสิ่งนี้เพื่อฉันบ้าง? ฉันจะได้รับประโยชน์อะไรจากสิ่งนี้?” มีไหมที่คุณนึกได้เมื่อพระเยซูถามว่า “เราได้รับประโยชน์อะไรบ้าง?” ก่อนที่พระองค์จะรักษาคนโรคเรื้อนหรือเมื่อต้องเผชิญหน้ากับไม้กางเขน? ไม่มีเลย!

เปาโลกล่าวว่า “ถ้าเรามีพระทัยของพระคริสต์ ถ้าเราคิดเหมือนพระคริสต์ เราะจไม่ทำสิ่งใดที่ชิงดีกัน” ท่าทีของเราจะเป็นท่าทีของผู้รับใช้ เราจะถามว่า “ฉันจะรับใช้อะไรได้บ้าง?” ไม่ใช่ “ฉันจะได้รับการปรนนิบัติอะไรบ้าง?”

(2) อย่าทำสิ่งใดจากความถือดี (ฟิลิปปี 2:3)

ความถือดีถามว่า “สิ่งนี้ทำให้ฉันดูดีอย่างไร? ผู้คนจะประทับใจฉันไหม?” มีบ้างไหมที่คุณนึกได้เมื่อพระเยซูถามว่า “ผู้คนจะประทับใจไหม?” ก่อนพระองค์ไปเยี่ยมเยียนหญิงชาวสะมาเรียที่บ่อน้ำ? ไม่มีเลย!

เปาโลพูดว่า “ถ้าเรามีพระทัยของพระคริสต์ ถ้าเราคิดเหมือนพระคริสต์ เราจะไม่ทำสิ่งใดจากความถือดี” เราจะมองหาโอกาสเพื่อสำแดงพระคริสต์ ไม่ใช่หาโอกาสเพื่อจะมีฐานะ

(3) ทำทุกสิ่งโดยปราศจากการบ่น (ฟิลิปปี 2:14)

การบ่นพูดว่า “ฉันสมควรได้สิ่งที่ดีกว่านี้!” มีไหมที่คุณนึกได้เมื่อพระเยซูพูดว่า “เราไม่ควรล้างเท้าสาวกเลย เราเป็นอาจารย์ เราสมควรได้รับสิ่งที่ดีกว่านี้” ไม่มีเลย!

เปาโลกล่าวว่า “ถ้าหากเรามีพระทัยของพระคริสต์ ถ้าเราคิดเหมือนพระคริสต์ เราจะรับใช้โดยปราศจากการบ่น แม้ในสถานการณ์ที่ยากลำบากที่สุด” เราจะตระหนักว่าเราไม่สมควรได้รับอะไรเลย เมื่อเราระลึกได้ว่าทุกสิ่งที่เรามีเป็นของประทานแห่งพระคุณของพระเจ้า ก็จะเปลี่ยนมุมมองของเราต่อความท้าทายในพันธกิจ

เฮเลน โรเซเวียเร เป็นหนึ่งในมิชชันนารีผู้ยิ่งใหญ่แห่งศตวรรษที่ยี่สิบ เธอเป็นแพทย์ฝึกหัดที่มหาวิทยาลัยแคมบริดจ์ ในขณะที่รับใช้ในฐานะแพทย์มิชชันนารีในซาอีร์ เธออยากสร้างโรงพยาบาล เนื่องจากไม่มีวัสดุอะไรเลย ขั้นตอนแรกจึงต้องทำอิฐก่อน แพทย์หญิงโรเซเวียเรทำงานเคียงข้างกับคนงานชาวแอฟริกาเพื่อทำหลอมอิฐในเตาเผา

เมื่อเธอทำงานหลอมอิฐ มือที่อ่อนนุ่มของเธอมีเลือดไหล เธอเริ่มบ่นว่า “พระเจ้า ลูกมาที่แอฟริกาเพื่อผ่าตัด ไม่ใช่เพื่อมาทำอิฐ! ไม่มีใครคนอื่นมาทำงานต่ำต้อยอย่างนี้แน่”

ไม่กี่สัปดาห์ต่อมา มีคนงานชาวแอฟริกาคนหนึ่งพูดกับเธอว่า “หมอครับ ตอนที่คุณอยู่ในห้องผ่าตัด คุณทำให้เรากลัวเพราะคุณเป็นหมอ แต่พอคุณมาทำงานหลอมอิฐกับเราแล้วนิ้วของคุณมีเลือดไหลเหมือนพวกเรา คุณเป็นพี่น้องของเราและเรารักคุณ” แพทย์หญิงโรเซเวียเรตระหนักได้ในทันทีว่า “พระเจ้าไม่ได้ส่งฉันมาแอฟริกาเพื่อเป็นหมอผ่าตัดเท่านั้น แต่พระองค์ส่งฉันมาสำแดงความรักของพระคริสต์”

(4) ทำทุกสิ่งโดยปราศจากการทุ่มเถียงกัน (ฟิลิปปี 2:14)

การทุ่มเถียงกันพูดว่า “ใช่พระเจ้า แต่...ลูกเต็มใจเชื่อฟัง แต่...” อีกครั้งหนึ่ง มีไหมที่คุณนึกได้เมื่อพระเยซูทุ่มเถียงกับพระบิดา

เปาโลพูดว่า “ถ้าเรามีพระทัยของพระคริสต์ เราคิดเหมือนพระคริสต์ เราจะไม่ทุ่มเถียงและเสาะหาหนทางที่ง่ายกว่า” เราจะไม่ประนีประนอมต่อความประสงค์ของพระเจ้าในชีวิตของเราด้วยการต่อรองหาวิธีที่ง่ายกว่า คำตอบของเราต่อพระเจ้าจะเป็น “ใช่พระเจ้า” เราจะมีพระทัยของพระคริสต์

นับจากเปาโลเรียกให้ชาวฟิลิปปีมีพระทัยของพระคริสต์ เขาเชื่ออย่างเห็นได้ชัดว่าสิ่งนี้เป็นไปได้ เปาโลรู้ว่าพวกเขามีความถ่อมใจได้ มีวิญญาณที่เชื่อฟังซึ่งเป็นเครื่องหมายชีวิตของพระเยซู เรารับพระทัยของพระคริสต์ได้อย่างไร?

ความคิดจิตใจของเราได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ผ่านทางพระคัมภีร์

ช่วงเริ่มต้นของบทเรียนนี้ เราเห็นว่าพระคัมภร์สอนเราอย่างไรเกี่ยวกับความประสงค์ของพระเจ้า พระเยซูรู้พระวจนะของพระเจ้า อัครทูตรู้พระวจนะของพระเจ้า ทุกการฟื้นฟูที่ยั่งยืนในประวัติศาสตร์คริสตจักรได้เริ่มต้นด้วยการศึกษาพระวจนะของพระเจ้า

เปาโลท้าทายผู้เชื่อชาวฟิลิปปีให้ยึดมั่นในพระวจนะแห่งชีวิต (ฟิลิปปี 2:16) ความมั่นใจของพวกเขาและการอุทิศตัวต่อข่าวประเสริฐจะทำให้พวกเขาเป็นแสงสว่างในโลกของพวกเขา

โดยผ่านการศึกษาพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้นที่จะทำให้เราคิดเหมือนพระเยซูคิด ทำให้เรามีพระทัยของพระคริสต์ นั่นไม่ได้หมายความว่าคุณต้องรู้ภาษากรีกและฮีบรูเพื่อจะเข้าใจพระคัมภีร์ ไม่ได้หมายความว่าคุณต้องมีห้องสมุดใหญ่เต็มไปด้วยคู่มืออธิบายพระคัมภีร์ แต่หมายความว่าคุณต้องใช้เวลากับพระวจนะของพระเจ้า พระวจนะต้องเป็นส่วนหนึ่งของอาหารประจำวันของคุณ

ในฐานะคริสเตียน พระวจนะของพระเจ้าควรเป็นอาหารประจำวันของเรา ควรเป็นความชื่นชมยินดี ไม่ใช่เป็นเพียงหน้าที่ ไม่มีใครพูดกับคนที่รักสุขภาพว่า “คุณต้องกินอาหารวันนี้! ถ้าคุณไม่กิน คุณจะไม่แข็งแรง” สิ่งที่คุณต้องทำอย่างเดียวคือเตรียมอาหารที่ดี คนที่รักสุขภาพจะอยากกินเอง! พระวจนะของพระเจ้าควรเป็นอาหารสำหรับคริสเตียนทุกคนที่หิว

เมื่อเรากินพระวจนะของพระเจ้าเป็นอาหาร ความคิดจิตใจของเราจะได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ให้เป็นเหมือนพระทัยของพระคริสต์ คริสเตียนจำนวนมากบังเกิดใหม่แล้ว แต่พวกเขายังคงคิดเหมือนกับคนที่ยังไม่เชื่อ ความคิดจิตใจของพวกเขาไม่ได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ให้เป็นเหมือนพระทัยของพระคริสต์ เพราะอะไรหรือ?

ในฐานะผู้เชื่อใหม่ เราต้องปรับเปลี่ยนโปรแกรมความคิดจิตใจของเราใหม่ให้คิดได้เหมือนพระคริสต์ ก่อนคุณมาเป็นคริสเตียน คุณคิดถึงความต้องการของตัวเองก่อนเป็นอันดับแรก คุณอาจเห็นคนยากจน แต่คุณคิดว่า “ฉันต้องการเงินสำหรับดูแลตัวเอง ฉันให้คนนั้นไม่ได้หรอก” ในฐานะคริสเตียน คุณอ่านพระวจนะของพระเจ้าบอกว่า “ผู้ที่ให้แก่คนยากจนจะไม่ขัดสน” (สุภาษิต 28:27) คุณได้ยินถ้อยคำของพระเยซูที่บอกว่า “จงให้เขา แล้วพวกท่านจะได้รับด้วยแบบยัดสั่นแน่นพูนล้นเต็มหน้าตักของท่าน เพราะว่าเมื่อท่านตวงให้เขาเท่าไร ท่านก็จะได้รับการตวงกลับคืนไปเท่านั้นเช่นกัน” (ลูกา 6:38) คุณเริ่มต้นคิดเกี่ยวกับเงินเหมือนกับที่พระคริสต์คิด คุณได้รับพระทัยของพระคริสต์ผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า

ก่อนเราเป็นคริสเตียน เราพยายามทำร้ายคนอื่นที่ทำร้ายเรา เมื่อใครมาด่าเรา เราก็โกรธ แต่ในฐานะคริสเตียน เราอ่านพบว่า “จงสวมใจเมตตา” (โคโลสี 3:12) เราอ่านพบว่า “อย่าทำชั่วตอบแทนชั่ว หรืออย่าด่าตอบการด่า แต่ตรงกันข้าม จงอวยพร เพราะพระองค์ได้ทรงเรียกให้พวกท่านทำเช่นนั้น เพื่อพวกท่านจะได้รับพระพร” (1 เปโตร 3:9) เราเริ่มต้นตอบสนองต่อคนอื่นเหมือนที่พระคริสต์ตอบสนองต่อคนที่ทำร้ายพระองค์ เราได้รับพระทัยของพระคริสต์ผ่านทางพระวจนะของพระเจ้า

ความคิดจิตใจของเราได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ผ่านการยอมจำนนในทุก ๆ วัน

เปาโลบอกให้ชาวฟิลิปปีมีจิตใจเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์ เปาโลอธิบายถึงจิตใจนี้และจากนั้นก็บอกถึงวิธีที่สิ่งนี้จะเกิดขึ้นในชีวิตของพวกเขา พวกเขาต้องเชื่อฟังและประพฤติให้สมกับความรอดด้วยความสัตย์ซื่อไม่ใช่เพื่อจะได้รับความรอด แต่เพราะพระเจ้ากระทำงานอยู่แล้ว “ให้มีความประสงค์และมีความสามารถทำตามชอบพระทัยของพระองค์” (ฟิลิปปี 2:12-13) เมื่อพวกเขายอมจำนนด้วยความถ่อมใจต่อพระเจ้า พระองค์จะให้พวกเขามีความปรารถนา (“มีความประสงค์”) และมีกำลัง (“มีความสามารถ”) เพื่อใช้ชีวิตในทางของพระเจ้า

เมื่อเราดำเนินชีวิตที่ยอมจำนน พระวิญญาณบริสุทธิ์จะพัฒนาคุณลักษณะอย่างเดียวกับที่เราเห็นในชีวิตและพันธกิจของพระเยซูให้เกิดขึ้นภายในเรา เราไม่ได้พบพระทัยของพระคริสต์ผ่านความอุตสาหะของเรา แต่เราพบได้โดยผ่านการยอมจำนน

นี่ต้องเป็นการยอมจำนนในทุก ๆ วัน เปาโลเรียกให้เราถวายร่างกายของเราเป็นดั่งเครื่องบูชาที่มีชีวิต (โรม 12:1) เครื่องบูชาที่มีชีวิตไม่ได้ตาย แต่ยังคงมีชีวิต มีการยอมจำนนอย่างหนึ่งที่เป็นการยอมจำนนความประสงค์ของเราต่อความประสงค์ของพระเจ้าอย่างสิ้นเชิง และก็มีการยอมจำนนอีกมากมายด้วยที่เรายังคงยอมจำนนต่อความประสงค์ของพระองค์ในทุก ๆ วัน

แนนซี่ ลีห์ เดอมอส ให้ภาพชีวิตที่ยอมจำนน[3] เมื่อคุณอ่านคำอธิบายเหล่านี้ ขอให้ถามว่า “ฉันกำลังใช้ชีวิตที่ยอมจำนนในด้านนี้ทุกวันหรือไม่? ฉันกำลังแสดงให้เห็นถึงพระทัยของพระคริสต์ในด้านนี้ไหม?”

  • เมื่อเนื้อหนังของคุณอยากทบทวนคำวิจารณ์ต่าง ๆ พระวิญญาณพูดว่า “อย่าว่าร้ายใคร” (ทิตัส 3:2) ใจที่ยอมจำนนตอบว่า “ใช่”

  • เมื่อเนื้อหนังของคุณอยากบ่นเกี่ยวกับความยากลำบาก พระวิญญาณพูดว่า “จงขอบพระคุณในทุกกรณี” (1 เธสะโลนิกา 5:18) ใจที่ยอมจำนนพูดว่า “ใช่”

  • เมื่อเนื้อหนังของคุณอยากต่อต้านเจ้านายที่ไม่สมเหตุสมผล พระวิญญาณพูดว่า “งยอมเชื่อฟังผู้มีสิทธิอำนาจ เพราะเห็นแก่องค์พระผู้เป็นเจ้า” (1 เปโตร 2:13) ใจที่ยอมจำนนพูดว่า “ใช่”

[4]เมื่อเรายอมจำนน พระวิญญาณองค์เดียวกันที่สถิตอยู่ในพระคริสต์ก็อยู่ในเรา โดยผ่านทางพระวิญญาณ ไม่ใช่ผ่านความตั้งใจดีของเราเอง เราจะได้รับกำลังเพื่อจะตอบสนองเหมือนพระคริสต์ต่อความไม่สมหวังในชีวิตแต่ละวัน ต่อความผิดหวังในงานพันธกิจ และต่อการทดลองของซาตาน

► แบ่งปันถึงช่วงเวลาไม่นานมานี้ที่ความปรารถนาทางเนื้อหนังขัดแย้งกับความประสงค์ของพระเจ้า คุณดำเนินชีวิตแต่ละวันด้วยการยอมจำนนเมื่อต้องเผชิญกับการทดลองนี้อย่างไร? มีการทดลองอะไรในปัจจุบันที่คุณต้องยอมจำนนต่อความประสงค์ของพระเจ้าบ้าง? ให้ทุกคนในชั้นเรียนอธิษฐานเผื่อกันในด้านต่าง ๆ เหล่านี้


[1]Oswald Chambers, My Utmost for His Highest (March 6 entry) ดูได้ที่ https://utmost.org/taking-the-next-step/ on March 22, 2021
[2]ตอนนี้ดัดแปลงมาจาก Dennis F. Kinlaw, The Mind of Christ (Anderson, Indiana: Warner Press, 1988), 101-107
[3]ดัดแปลงจาก Nancy Leigh DeMoss, Surrender. (Chicago: Moody Press, 2008), 223-224
[4]

“เคล็ดลับของชีวิตที่บริสุทธิ์ไม่ได้อยู่ที่การเลียนแบบพระเยซู แต่อยู่ที่การให้พระเยซูสำแดงพระองค์เองในชีวิตของฉัน... การชำระให้บริสุทธิ์ไม่ได้เป็นการดึงฤทธิอำนาจที่จะทำให้บริสุทธิ์จากพระเยซู แต่เป็นการดึงความบริสุทธิ์จากพระเยซูซึ่งได้รับการสำแดงแล้วในพระองค์”

- Oswald Chambers

บทสรุป: พระเจ้าทำงานผ่านการรักเหมือนพระคริสต์รัก

เราอยู่ในโลกที่เต็มไปด้วยปัญหา คนมากมายที่อ่านบทเรียนเหล่านี้ตกอยู่ในสถานการณ์ที่คริสตจักรถูกรัฐบาลขู่เข็ญ มีศาสนาเทียมเท็จ หรือมีความกดดันทางสังคม การคิดว่าเราสามารถเปลี่ยนโลกของเราได้โดยการรักศัตรูเป็นเรื่องที่สมเหตุสมผลไหม? เราจะรักศัตรูของเราได้อย่างไรในเมื่อศัตรูพยายามจะฆ่าเรา?

นักข่าวคนหนึ่งพูดคุยกับชาวอิรักที่นับถือศาสนาคริสต์ในกรุงแบกแดด[1] ขณะที่นักข่าวพูดคุยกับชายคนนี้ ทหารของไอซิส (ISIS) อยู่ห่างจากบ้านของเขาซึ่งเดินทางใช้เวลาเพียง 40 นาที นักข่าวถามว่า “คริสตจักรของคุณยังมีการประชุมนมัสการอยู่หรือไม่?” คริสเตียนคนนั้นตอบว่า “ใช่! อันที่จริง เราได้เริ่มกลุ่มอธิษฐานใหม่สองกลุ่มที่คริสตจักรของเรา กลุ่มหนึ่งอธิษฐานเผื่อพี่น้องที่ถูกข่มเหงทางตอนเหนือ และอีกกลุ่มหนึ่งอธิษฐานเผื่อศัตรูของเรา”

สมาชิกคริสตจักรเซนต์จอร์จในกรุงแบกแดด อธิษฐานเผื่อศัตรูของพวกเขา พวกเขาแจกอาหารให้กับกับแม่หม้ายมุสลิม พวกเขารักศัตรูของพวกเขาเพราะเชื่อว่าพวกเขาได้รับการเรียกให้ทำตามแบบอย่างพระเยซู

บทความนี้เตือนเราให้คิดถึงความจริงที่มองเห็นได้ตลอดประวัติศาสตร์ วิธีการทำงานของพระเจ้าแตกต่างจากวิธีการของมนุษย์เสมอ มนุษย์ทำงานผ่านกองทัพครูเสดเพื่อโจมตีมุสลิมในช่วงสงครามยุคกลาง พระเจ้าทำงานผ่าน เรย์มอนด์ ลูล ผู้ที่ตายตอนอายุ 82 ปีระหว่างการเดินทางไปเป็นมิชชันนารีครั้งสุดท้ายในโลกของอิสลาม มนุษย์ทำงานผ่านกองทัพทหาร พระเจ้าทำงานผ่าน ฮัดสัน เทย์เลอร์ ผู้อุทิศทั้งชีวิตประกาศข่าวประเสริฐกับคนภายในของจีน มนุษย์ทำงานผ่านความเข้มแข็ง พระเจ้ามักจะทำงานผ่านคนที่อ่อนแอ

วิธีการของพระเจ้าไม่เคยเป็นวิธีการของมนุษย์ แต่ในที่สุด วิธีการของพระเจ้ามีชัยชนะ โลกของเราเปลี่ยนแปลงไปเพื่อความเป็นนิรันดร์เมื่อคริสเตียนรักเหมือนพระเยซูรัก การเปลี่ยนแปลงนั้นช้าและมักจะเจ็บปวด แต่มันคือวิธีการของพระเจ้าในการทำงานของพระองค์ในโลกของเราที่ล้มลงนี้

การรับใช้เหมือนพระเยซูเรียกร้องให้เรารักเหมือนพระเยซู มีผู้ประกาศข่าวประเสริฐสูงวัยคนหนึ่งถูกถามว่าอะไรคือเคล็ดลับในการทำพันธกิจของเขา เขาตอบว่า “มีเพียงวิธีการเดียวที่ผู้คนจะรู้ว่าพระเจ้ารักพวกเขามากแค่ไหน วิธีนั้นคือการที่พวกเขาเห็นว่าคุณรักพวกเขามากแค่ไหน” ผู้ประกาศคนนี้เข้าใจว่า เมื่อความรักของพระคริสต์ฉายส่องผ่านทางเรา เราก็ดึงดูดโลกนี้ให้เข้าใกล้พระเจ้า นี่คือความหมายของการรักเหมือนพระเยซูรัก


[1]Mindy Belz, “How Does the Church Move the World?” World Magazine, May 27, 2017

งานมอบหมายบทที่ 7

สามารถพิมพ์ PDF ได้ที่นี่

ในบทเรียนนี้ เราได้เห็นว่าพระเยซูรักอย่างไร งานมอบหมายนี้ขอให้คุณหาวิธีการที่คุณจะทำตามแบบอย่างของพระเยซูในการรักเพื่อนบ้าน การทำงานมอบหมายนี้ไม่ควรใช้เวลานาน แต่การปฏิบัติอาจใช้เวลานานกว่า! อย่าล้มเหลวในการนำไปปฏิบัติ เราได้รับการเรียกให้รักเหมือนพระเยซูรัก

จากพระกิตติคุณ จงให้แบบอย่างเจาะจงสามเรื่องเกี่ยวกับความรักของพระเยซูต่อผู้คน จากนั้นให้การประยุกต์ใช้เจาะจงสามเรื่องสำหรับชีวิตของคุณ คุณจะทำตามแบบอย่างของพระเยซูอย่างไร? งานมอบหมายนี้สำหรับคุณ ดังนั้นขอให้เจาะจงมากที่สุดเท่าที่เป็นไปได้

แบบอย่างของพระเยซู การประยุกต์ใช้ของฉัน
   
   
   
Next Lesson