ชีวิตและพันธกิจ ของพระเยซู
ชีวิตและพันธกิจ ของพระเยซู
Audio Course Purchase

Search Course

Type at least 3 characters to search

Search through all lessons and sections in this course

Searching...

No results found

No matches for ""

Try different keywords or check your spelling

results found

Lesson 6: พระเยซูและอาณาจักรของพระเจ้า

2 min read

by Randall McElwain


จุดประสงค์บทเรียน

เมื่อจบบทเรียน นักศึกษาควรบรรลุวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้

(1) เข้าใจความหมายของอาณาจักรของพระเจ้าในพระกิตติคุณ

(2) ตระหนักถึงแง่มุมทั้งในปัจจุบันและอนาคตเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้า

(3) ทำตามหลักการของพระเยซูเรื่องชีวิตในอาณาจักรจากคำเทศนาบนภูเขา

(4) อธิบายความหมายอย่างเหมาะสมเกี่ยวกับคำอุปมาของพระเยซูเรื่องอาณาจักร

(5) ยอมจำนนต่อเงื่อนไขของพระเยซูในการเป็นสาวก

หลักการสำหรับพันธกิจ

เรารับใช้ในฐานะทูตซึ่งเป็นผู้แทนของอาณาจักรของพระเจ้าในโลกนี้

บทนำ

อาณาจักรของพระเจ้าเป็นหัวข้อหลักในพันธสัญญาใหม่[1] คำวา อาณาจักร ปรากฏในมัทธิว 54 ครั้ง ในมาระโก 14 ครั้ง ในลูกา 39 ครั้ง และในยอห์นห้าครั้ง[2]

เกือบจะครึ่งหนึ่งของคำอุปมา พระเยซูสอนเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า พระองค์เทศนาเรื่องอาณาจักร พระองค์รักษาโรคและขับผีออกเพื่อแสดงให้เห็นถึงฤทธิ์อำนาจของอาณาจักร หลังจากพระเยซูถูกรับขึ้นไป คริสตจักรยุคแรกยังคงเทศนาต่อเนื่องเรื่องอาณาจักร (กิจการ 8:12, กิจการ 28:23)

ในบทเรียนนี้ เราจะศึกษาเรื่องอาณาจักรของพระเจ้าในพันธกิจของพระเยซูและผลกระทบของอาณาจักรต่อพันธกิจในปัจจุบัน ตอนจบของนี้ มีคำเทศนาที่เทศน์ในไนจีเรียเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้า คำเทศนานี้อธิบายให้เห็นภาพว่าคำสอนเรื่องอาณาจักรของพระเจ้ามีผลกระทบต่อพันธกิจในโลกนี้อย่างไร


[1]แหล่งที่มาที่ใช้ในบทนี้ได้แก่
D. Matthew Allen, “The Kingdom in Matthew.” (1999) ข้อมูลพร้อมที่ https://bible.org/article/kingdom-matthew March 22, 2021
Darrell L. Bock, Luke: Baker Exegetical Commentary on the New Testament. (Grand Rapids: Baker Books, 1994-1996)
J. Dwight Pentecost, The Words and Works of Jesus Christ. (Grand Rapids: Zondervan, 1981)
Martyn Lloyd-Jones, Studies in the Sermon on the Mount. (Grand Rapids: Eerdmans, 1959)
[2]มัทธิวมักจะกล่าวถึง “อาณาจักรสวรรค์” ในขณะที่ลูกากล่าวถึง “อาณาจักรของพระเจ้า” มัทธิวมีกลุ่มผู้ฟังแรกเป็นชาวยิว ชาวยิวหลีกเลี่ยงใช้พระนามของพระเจ้าและมักจะใช้คำว่า “สวรรค์” เป็นคำสละสลวยสำหรับพระเจ้า เห็นชัดว่ามัทธิวแทนที่คำว่า “อาณาจักรพระเจ้า” ด้วยคำว่า “อาณาจักรสวรรค์” ในกรณีส่วนใหญ่ สำหรับบทเรียนนี้ ผมจะใช้คำว่า “อาณาจักรพระเจ้า” เว้นแต่เป็นการอ้างอิงจากมัทธิว

อาณาจักรของพระเจ้า

มีคำถามสองข้อที่แนะนำการศึกษาเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า[1]

1. อาณาจักรของพระเจ้าคืออะไร?

2. เมื่อใดที่อาณาจักรของพระเจ้าถูกก่อตั้งขึ้น?

อาณาจักรของพระเจ้าคืออะไร?

► อ่าน กิจการ 1:1-8

ในช่วงระหว่าง 40 วันหลังจากการฟื้นขึ้นจากความตาย พระเยซูอยู่กับพวกสาวกของพระองค์ พระเยซูพูดเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า ตอนที่พระเยซูจะถูกรับขึ้นไป พวกสาวกถามว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า พระองค์จะทรงตั้งราชอาณาจักรขึ้นใหม่ ให้ชนชาติอิสราเอลในครั้งนี้หรือ?” พวกสาวกคาดหวังสิ่งต่อไปนี้

1. อาณาจักรที่เกิดขึ้นทันที: “ตอนนี้” พวกเขาคาดหวังให้พระเยซูก่อตั้งอาณาจักรทันที

2. อาณาจักรที่ปกครองทางการเมืองและตามภูมิศาสตร์: “ตั้งขึ้นใหม่” พวกเขาคาดหวังให้พระเยซูคว่ำโรมันและตั้งอำนาจการปกครองทางการเมืองขึ้นมาใหม่สำหรับอิสราเอล

3. อาณาจักรสำหรับประเทศชาติ: “อาณาจักรให้ชนชาติอิสราเอล” พวกเขาคาดหวังให้พระเยซูปกครองชนชาติเหมือนกษัตริย์ดาวิดในพันธสัญญาเดิม[2]

พระเยซูตอบว่า “ไม่ใช่ธุระของพวกท่านที่จะรู้เวลาและวาระที่พระบิดาทรงกำหนดไว้โดยสิทธิอำนาจของพระองค์ แต่พวกท่านจะได้รับพระราชทานฤทธานุภาพ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นสักขีพยานของเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย ทั่วแคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก”

คำตอบของพระเยซูแสดงให้เห็นว่าอาณาจักรของพระองค์เป็นดังต่อไปนี้

1. อาณาจักรที่อยู่เหนือกาลเวลา: “เวลาและวาระที่พระบิดาทรงกำหนดไว้” อาณาจักรของพระเยซูไม่ได้ขึ้นอยู่กับเวลาของมนุษย์แต่ขึ้นอยู่กับเวลาของพระเจ้า

2. อาณาจักรที่เหนือธรรมชาติ: “ฤทธานุภาพ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือท่าน” อาณาจักรของพระเยซูตั้งอยู่บนพื้นฐานของฤทธานุภาพของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ไม่ใช่สิทธิอำนาจทางการเมือง

3. อาณาจักรที่เป็นสากล: “จนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก” อาณาจักรของพระเยซูเข้าถึงทุกชนชาติ ไม่ได้จำกัดอยู่แค่อิสราเอล

พระเยซูบอกกับพวกสาวกว่าพวกเขาไม่จำเป็นต้องรู้เรื่องวาระและเวลา แต่พวกเขาต้องห่วงเกี่ยวกับสองสิ่งคือ การรับพระวิญญาณบริสุทธิ์และการเป็นพยานของพระองค์ไปจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก

[3]อาณาจักรของพระเจ้าก่อตั้งเมื่อใด?

มีสามทัศนะเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้าในท่ามกลางนักศาสนศาสตร์

อาณาจักรจะมา

นักศาสนศาสตร์บางคนมองว่าอาณาจักรจะก่อตั้งในวาระสุดท้ายเมื่อพระเยซูปกครองโลกช่วงพันปี ผู้เขียนเหล่านี้พิจารณาพระคัมภีร์อย่างเช่นใน มัทธิว 24-25 ว่าเป็นการเน้นด้านการเมืองและเขตแดนของอาณาจักร

อาณาจักรมาแล้ว

นักศาสนศาสตร์บางคนสอนว่าอาณาจักรของพระเยซูได้รับการก่อตั้งแล้วในขณะที่พระองค์อยู่บนโลก พวกเขาเน้นพระคัมภีร์อย่างเช่นคำกล่าวของพระเยซูที่ว่า “อาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว” และ “อาณาจักรของพระเจ้าก็มาถึงพวกท่านแล้ว” (มัทธิว 4:17 และลูกา 11:20) ทัศนะนี้เรื่องอาณาจักรของพระเจ้ามุ่งเน้นที่ธรรมชาติฝ่ายวิญญาณของอาณาจักรและการปกครองของพระเจ้าในใจของผู้เชื่อ

อาณาจักรได้มาแล้วแต่ยังไม่ถูกทำให้สมบูรณ์

นักศาสนศาสตร์จำนวนมากสอนว่า อาณาจักรประกอบไปด้วยด้านปัจจุบันและอนาคต ทัศนะนี้สอนว่าอาณาจักรของพระเจ้าได้เริ่มต้นแล้วในช่วงระหว่างการทำพันธกิจของพระเยซูบนโลกนี้ แต่อาณาจักรได้ขยายต่อเนื่องผ่านการทำงานของคริสตจักร และอาณาจักรจะถูกทำให้ขยายไปอย่างเต็มที่เมื่อพระคริสต์เสด็จกลับมาปกครอง[4] เมื่อถึงเวลาที่พระคริสต์เสด็จกลับมา พระองค์จะมอบอาณาจักรให้กับพระเจ้าพระบิดาหลังจากการทำลายผู้ภูตผีที่ครอบครองทั้งหมด ภูติผีที่มีสิทธิอำนาจและที่มีฤทธานุภาพ (1 โครินธ์ 15:24) นี่คือการก่อตั้งอาณาจักรของพระเจ้าอย่างสมบูรณ์

► คุณยึดมั่นในทัศนะใดเหล่านี้เกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้า? อะไรคือผลกระทบในเชิงปฏิบัติของแต่ละทัศนะต่อพันธกิจ?

ในบทเรียนนี้ เราจะเห็นแง่มุมต่าง ๆ ของอาณาจักรที่กำลังดำเนินการอยู่และแง่มุมต่าง ๆ ของอาณาจักรที่ยังคงรอการทำให้สำเร็จ อาณาจักรประกอบไปด้วยสิ่งต่อไปนี้

  • กษัตริย์องค์หนึ่ง: จากพวกโหราจารย์ตั้งแต่เวลาการประสูติของพระองค์ไปจนถึงข้อความจารึกที่บนไม้กางเขนระบุว่า พระเยซูมาในฐานะกษัตริย์

  • สิทธิอำนาจ: พระเยซูแสดงให้เห็นถึงสิทธิอำนาจของพระองค์ผ่านการอัศจรรย์ของพระองค์และชัยชนะเหนืออุโมงค์ฝังศพ

  • กฎบัญญัติ: พระเยซูสสรุปกฎบัญญัติเรื่องอาณาจักรในคำเทศนาบนภูเขา

  • เขตแดน: พระเยซูสอนว่าอาณาจักรของพระองค์ขยายออกไปจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลกและประกอบไปด้วยผู้คนจากทุกภาษาและชนชาติ

  • ประชาชน: ทุกคนที่ได้รับการไถ่โดยกษัตริย์องค์นี้และอยู่ใต้การปกครองของพระองค์ก็เป็นพลเมืองของอาณาจักรของพระเยซู


[1]สำหรับวีดีโอการบรรยายเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า คุณดูวีดีโอของ Scot McKnight เรื่อง “What and Where is the Kingdom of God?” ได้ที่ http://www.seedbed.com/where-is-the-kingdom-of-god/ (Accessed March 22, 2021)
[2]John Stott, The Message of Acts (Westmont, Illinois: InterVarsity Press, 1990), 41
[3]

“อาณาจักรได้มาแล้ว

อาณาจักรกำลังมา

อาณาจักรยังมาไม่ถึง”

- Martyn Lloyd-Jones

[4]นักวิจารณ์ใช้คำศัพท์คำว่า “การเปิดตัวของอาณาจักร” เพื่อกล่าวถึงจุดเริ่มต้นของอาณาจักรในช่วงพันธกิจของพระเยซูบนโลกนี้ “การทำให้อาณาจักรสมบูรณ์” คือความสำเร็จขั้นสุดท้ายของอาณาจักรตามพระสัญญาเมื่อพระคริสต์เสด็จกลับมา

พระสัญญาเรื่องอาณาจักร

► อ่าน มัทธิว 3:1-12

คำกล่าวถึงอาณาจักรของพระเจ้าครั้งแรกในพันธสัญญาใหม่พบได้ในคำเทศนาของยอห์นผู้ให้บัพติศมา ในฐานะผู้เผยพระวจนะคนสุดท้ายของพันธสัญญาเดิม ยอห์นประณามความหน้าซื่อใจคดของพวกผู้นำทางศาสนาของอิสราเอล ในฐานะผู้ส่งสารคนแรกในพันธสัญญาใหม่ เขาเตรียมทางสำหรับกษัตริย์องค์ใหม่ “จงกลับใจใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว” (มัทธิว 3:2) คำว่า “มาใกล้แล้ว” เป็นการแนะนำว่าอาณาจักรเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว ยังมาไม่ถึง แต่ใกล้มากแล้ว ยอห์นเทศนาเพื่อเตรียมชนอิสราเอลสำหรับการมาของพระเมสสิยาห์ผู้จะนำอาณาจักรใหม่เข้ามา

ไม่นานหลังจากยอห์นถูกจับ พระเยซูเริ่มต้นงานพันธกิจของพระองค์ต่อสาธารณชน พระองค์เดินทางไปทั่วกาลิลีเพื่อประกาศข่าวประเสริฐเรื่องอาณาจักร (มัทธิว 4:23) เช่นเดียวกับยอห์นผู้ให้บัพติศมา พระเยซูประกาศว่า “จงกลับใจใหม่ เพราะว่าแผ่นดินสวรรค์มาใกล้แล้ว” (มัทธิว 4:17)

► อ่าน มัทธิว 10:5-42

พระเยซูส่งสาวกสิบสองคนไปเทศนาข่าวสารเรื่องอาณาจักรให้กับแกะหลงหายที่เป็นวงศ์วานของอิสราเอล พวกเขาเทศนาเหมือนกับที่ยอห์นผู้ให้บัพติศมาและพระเยซูเทศนาว่า “อาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว” (มัทธิว 10:5-7)

พันธกิจของพวกสาวกได้รับการวางรูปแบบตามพันธกิจของพระอาจารย์ของพวกเขา เหมือนกับพระเยซู พวกเขาต้องประกาศเรื่องอาณาจักรและตอบสนองความจำเป็นทางกายภาพของประชาชน เหมือนกับพระเยซู พวกเขารักษาโรคและขับผีเป็นหมายสำคัญว่าอาณาจักรของพระเจ้ากำลังแทรกแซงการครอบงำของซาตาน พระเยซูส่งผู้แทนของพระองค์ไปรักษาโรค ทำให้คนตายฟื้น รักษาคนง่อยให้หายปกติ และขับผีออก (มัทธิว 10:8)

การเปิดตัวของอาณาจักร

► อ่าน มัทธิว 12:22-32

พระสัญญาเรื่องอาณาจักรไม่ใช่เรื่องใหม่ ผู้เผยพระวจนะในพันธสัญญาเดิมได้สัญญาถึงอาณาจักรในอนาคต อย่างไรก็ตามพระเยซูประกาศว่าอาณาจักรไม่ใช่แค่ความหวังในอนาคต แต่เป็นความจริงที่เกิดขึ้นทันที พระเยซูประกาศการเปิดตัวของอาณาจักรของพระเจ้า อาณาจักรของพระเจ้าปรากฏในที่ที่พระเยซูปรากฏ

ด้วยฤทธิ์อำนาจของพระองค์เหนือพวกมาร พระเยซูแสดงให้เห็นสิทธิอำนาจของกษัตริย์ที่ได้เอาชนะอาณาจักรของซาตาน หลังจากพระองค์รักษาชายที่ถูกมารเบียดเบียน พวกฟาริสีอ้างว่าพระเยซูขับผีออกโดยอำนาจของเบเอลเซอูลผู้เป็นเจ้าแห่งผี พระเยซูตอบว่าพระองค์พิชิตอาณาจักรของซาตานโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า “แต่ถ้าเราขับผีออกโดยพระวิญญาณของพระเจ้า แผ่นดินของพระเจ้าก็มาถึงพวกท่านแล้ว” (มัทธิว 12:28) พระเยซูได้บุกรุกอาณาจักรของซาตานแล้ว

► อ่าน มัทธิว 11:1-24

การอัศจรรย์ของพระเยซูเป็นหมายสำคัญเริ่มต้นของอาณาจักรของพระองค์ พระกิตติคุณยอห์นใช้คำว่า หมายสำคัญ สำหรับการอัศจรรย์ของพระเยซู การอัศจรรย์เป็นหมายสำคัญถึงความเป็นพระเจ้าของพระเยซูและเป็นหลักฐานถึงอาณาจักรใหม่

ยอห์นผู้ให้บัพติศมาประกาศว่า “อาณาจักรสวรรค์มาใกล้แล้ว” เขาคาดหวังว่าอาณาจักรทางการเมืองจะนำการช่วยกู้มายังอิสราเอล แต่ยอห์นกลับพบว่าตัวเองต้องเผชิญความตายอยู่ในคุก! เขาส่งศิษย์ของเขาไปถามว่า “ท่านเป็นคนที่จะมานั้น หรือว่าเราจะต้องรอคอยคนอื่น?” (มัทธิว 11:3) พันธกิจของพระเยซูไม่ได้ตรงกันกับความคาดหวังของยอห์นถึงพระเมสสิยาห์ที่ปกครองทางการเมืองผู้ซึ่งจะก่อตั้งอาณาจักรบนโลกนี้

พระเยซูตอบสนองโดยการชี้ไปที่การงานในฐานะพระเมสสิยาห์ของพระองค์

ไปบอกยอห์นในสิ่งที่พวกท่านได้ยินและได้เห็น คือว่าบรรดาคนตาบอดเห็นได้ พวกคนง่อยเดินได้ บรรดาคนที่เป็นโรคเรื้อนหายสะอาด บรรดาคนหูหนวกได้ยิน บรรดาคนตายเป็นขึ้น และคนยากจนทั้งหลายได้รับข่าวดี ใครไม่มีเหตุสะดุดในตัวเรา คนนั้นก็เป็นสุข (มัทธิว 11:4-6)

พระเยซูสอนเพื่อเตือนยอห์นให้ระลึกถึงหมายสำคัญตามคำพยากรณ์ถึงพระเมสสิยาห์ที่จะได้รับการทำให้สำเร็จ แม้พระเยซูจะยกย่องกำลังและความกล้าหาญของยอห์น แต่พระองค์ก็ประกาศว่า คนที่เล็กน้อยที่สุดในอาณาจักรสวรรค์ก็ยังยิ่งใหญ่กว่ายอห์น เพราะอะไรหรือ? พระเยซูได้มาเพื่อสถาปนาพันธสัญญาใหม่พร้อมกับสิทธิพิเศษทั้งหมดในอาณาจักรนั้น ผู้เชื่อที่เล็กน้อยที่สุดในพันธสัญญาใหม่ครอบครองสิทธิพิเศษต่าง ๆ ที่ผู้ชอบธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในพันธสัญญาเดิมไม่เคยได้เห็น ผู้เชื่อในพันธสัญญาใหม่ได้เห็นพระสัญญาต่าง ๆ ในพันธสัญญาเดิมสำเร็จเป็นจริง พระสัญญาเรื่องอาณาจักรได้เริ่มต้นแล้ว

ชีวิตในอาณาจักร: คำเทศนาบนภูเขา

คำเทศนาตอนเดียวของพระเยซูที่ยาวที่สุดที่บันทึกไว้ในพระกิตติคุณคือคำเทศนาบนภูเขา อาณาจักรของพระเจ้าเป็นใจความหลักหนึ่งเดียวของคำเทศนานี้ เรื่องนี้มองเห็นได้ในหลายทาง

  • ผู้เป็นสุขประการแรกสอนว่าอาณาจักรสวรรค์เป็นของคนยากจนด้านจิตวิญญาณ (มัทธิว 5:3) ผู้เป็นสุขประการสุดท้ายสอนว่าอาณาจักรสวรรค์เป็นของคนที่ถูกข่มเหงเพราะเหตุความชอบธรรม (มัทธิว 5:10) ทั้งสองประการเหล่านี้ก่อตัวล้อมรอบผู้เป็นสุขประการที่เหลือซึ่งแสดงให้เห็นว่าใจความหลักของผู้เป็นสุขคืออาณาจักรสวรรค์

  • พระเยซูอ้างถึงสิทธิอำนาจในการแปลความกฎบัญญัติใหม่ (มัทธิว 5:21-48) นี่คือการปฏิบัติของกษัตริย์องค์หนึ่งผู้มีสิทธิอำนาจในการแปลความและประยุกต์ใช้กฎหมายในอาณาจักรของตน

  • พระเยซูสอนพวกสาวกให้อธิษฐานว่า “ขอให้แผ่นดินของพระองค์มาตั้งอยู่ ขอให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์ ในสวรรค์เป็นอย่างไรก็ให้เป็นไปอย่างนั้นในแผ่นดินโลก” (มัทธิว 6:9-13) เราได้รับการเรียกให้อธิษฐานเพื่อความก้าวหน้าของอาณาจักรพระเจ้าบนโลกนี้ เมื่อคนของพระเจ้าใช้ชีวิตตามคำเทศนาบนภูเขา อาณาจักรของพระเจ้าจะขยายและสิทธิอำนาจของพระเจ้าจะขยายแผ่นไปยังพลเมืองใหม่ของอาณาจักร

  • เมื่อจบคำเทศนานี้ พระเยซูสอนว่าเพียงแค่การอิทธิฤทธิ์ต่าง ๆ นั้นยังไม่พอที่จะเข้าอาณาจักรแห่งสวรรค์ มีเพียงคนที่ทำตามพระประสงค์ของพระบิดาเท่านั้นที่จะเข้าในอาณาจักรของพระเจ้า (มัทธิว 7:21)

หลักการอ่านคำเทศนาบนภูเขา

เราควรจดจำหลักการสามประการเมื่อเราอ่านคำเทศนาบนภูเขา

(1) การเชื่อฟังคำสั่งในคำเทศนาบนภูเขาไม่ทำให้เรา “ได้รับ” ฐานะพลเมืองในอาณาจักรสวรรค์

เราต้องไม่คิดว่า “ใช้ชีวิตแบบนี้แล้วคุณจะเป็นคริสเตียน” แต่เราต้องอ่านคำเทศนานี้เป็นแนวทางการใช้ชีวิตในฐานะพลเมืองของอาณาจักรคือ “ใช้ชีวิตแบบนี้เพราะคุณเป็นคริสเตียน” เราได้รับความรอดโดยพระคุณเท่านั้น จากนั้นเราจึงเชื่อฟังคำสั่งของพระเจ้าเพราะเราเป็นสมาชิกในอาณาจักรของพระองค์

(2) คำเทศนาบนภูเขามีไว้เพื่อสาวก ไม่ใช่คนที่ไม่เชื่อ

นี่ไม่ใช่รัฐธรรมนูญสำหรับประเทศหนึ่งในโลก อย่าแปลกใจเมื่อเพื่อนบ้านที่ไม่เชื่อพระเจ้าปฏิเสธที่จะใช้ชีวิตตามหลักการเหล่านี้! นี่คือคำอธิบายถึงชีวิตในอาณาจักรของพระเจ้า ไม่ใช่ชีวิตในอาณาจักรของมนุษย์

(3) คำเทศนาบนภูเขามีไว้เพื่อผู้เชื่อทุกคน

คนมากมายพยายามหลีกเลี่ยงข้อเรียกร้องของคำเทศนานี้โดยการโต้แย้งว่าหลักการเหล่านี้ไม่ได้นำมาใช้กับผู้เชื่อดั้งเดิม บางคนพูดว่า “กฎนี้มีไว้เพื่ออาณาจักรพันปีในอนาคต” บางคนพูดว่า “นี่มีไว้สำหรับธรรมิกชนบางคน คริสเตียนส่วนใหญ่ไม่สามารถทำตามคำสั่งเหล่านี้ได้” บางคนพูดว่า “คำเทศนานี้แสดงให้เห็นว่าเราไม่มีทางบรรลุคำสั่งของพระเจ้าได้เลย เมื่อเราเห็นว่าเราไม่สามารถบรรลุข้อเรียกร้องของพระเจ้าได้ เราจะพึ่งพระคุณเท่านั้น”

อย่างไรก็ตาม คริสตจักรในยุคแรกอ่านคำเทศนานี้เป็นแนวทางสำหรับผู้เชื่อทุกคน จดหมายของยากอบและ 1 เปโตรกล่าวซ้ำคำสั่งมากมายในคำเทศนานี้ พระเยซูปฏิเสธที่จะลดมาตรฐานความบริสุทธิ์ของพระเจ้า แทนที่จะทำให้มาตรฐานต่ำกว่าพวกฟาริสี พระเยซูกลับให้พวกสาวกของพระองค์ยึดมั่นในมาตรฐานที่สูงกว่าคือ “ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่มากกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี พวกท่านจะไม่มีวันได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์” (มัทธิว 5:20)

ชีวิตในอาณาจักรของพระเจ้า

► อ่าน มัทธิว 5-7

ถ้าพระเยซูเริ่มต้นอาณาจักรในช่วงพันธกิจของพระองค์บนโลกนี้ ตอนนี้เราก็คงใช้ชีวิตอยู่ในอาณาจักรของพระเจ้า คำเทศนาบนภูเขาอธิบายคุณลักษณะของพลเมืองแห่งอาณาจักรสวรรค์ ต่อไปนี้คือสรุปโดยย่อของใจความหลักของคำเทศนานี้

(1) ค่านิยมของอาณาจักรของพระเจ้าแตกต่างจากค่านิยาของโลกนี้

ไม่มีผู้ปกครองคนใดในโลกที่จะพูดว่าพระพรเป็นของคนยากจน คนที่ไว้ทุกข์ คนที่ยอมสละสิทธิ์ หรือคนที่ถูกข่มเหง คำกล่าวในผู้เป็นสุขตรงกันข้ามกับค่านิยมของจักรวรรดิโรมันในสมัยพระเยซูอย่างสิ้นเชิง และตรงกันข้ามกับโลกเราในทุกวันนี้ อาณาจักรของพระเจ้าแตกต่างจากอาณาจักรของมนุษย์

(2) พลเมืองอาณาจักรของพระเจ้าควรสร้างผลกระทบต่อโลกของพวกเขา

พวกเอสเซนท์ (Essenes) ในสมัยพระเยซูกล่าวว่าคนชอบธรรมควรถอนตัวออกจากสังคมและตั้งอาณาจักรของพระเจ้าแยกไว้ต่างหาก พระเยซูตรัสว่า “ไม่! เจ้าต้องเป็นเกลือที่ถนอมรักษาและปรุงรสให้กับโลกของเจ้า เจ้าต้องเป็นแสงสว่างที่ถวายเกียรติแด่พระบิดาในสวรรค์ของเจ้า” แม้อาณาจักรของพระเจ้าจะเป็นฝ่ายวิญญาณเป็นหลัก แต่โลกของเราควรได้รับประโยชน์ทางการเมือง เศรษฐกิจ และสังคมจากพลเมืองของอาณาจักร

[1]เราอาจเขียนรายการตัวอย่างมากมายของคริสเตียนที่เป็นเกลือและแสงสว่างในสังคมของโลก วิลเลียม วิลเบอร์ฟอร์ซ เป็นผู้นำรัฐสภาเพื่อยกเลิกการค้าทาสในจักรวรรดิอังกฤษ การฟื้นฟูเมธอดิสต์นำการปฏิรูปสังคมมาสู่สังคมอังกฤษทุกระดับ วิลเลียม แครี่ ต่อสู้กับการฆ่าล้างเผ่าพันธุ์ทางกฎหมายและ สตี (การเผาบูชายัญตนเองของหญิงม่าย) ในอินเดีย คริสเตียนได้เผยแพร่ความรู้ ก่อตั้งโรงพยาบาลและสถานเลี้ยงเด็กกำพร้า และรับใช้คนยากจนและคนขัดสนในหลายประเทศ

(3) พลเมืองแห่งอาณาจักรของพระเจ้าทำเกินกว่าข้อกำหนดของกฎบัญญัติเพื่อสำแดงความรักของพระบิดา

พระเยซูไม่ได้มาเพื่อล้มล้างกฎบัญญัติ แต่มาเพื่อทำให้กฎบัญญัติสำเร็จสมบูรณ์ “เราไม่ได้มาล้มเลิก แต่มาทำให้สมบูรณ์ทุกประการ” (มัทธิว 5:17) การทำบางสิ่งให้สำเร็จสมบูรณ์คือการนำสิ่งนั้นมาถึงความสมบูรณ์ครบถ้วนหรือบรรลุผล พระเยซูไม่ได้มาเพื่อล้มล้างกฎบัญญัติแต่มาเพื่อเปิดเผยวิญญาณที่อยู่เบื้องหลังกฎบัญญัติ ในชุดตัวอย่างหกประการ พระเยซูแสดงให้เห็นว่าความชอบธรรมของพลเมืองอาณาจักรต้องมากกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์และฟาริสี

กฎบัญญัติ พลเมืองอาณาจักร
กฎบัญญัติห้ามฆ่าคน พลเมืองอาณาจักรพูดถึงแรงจูงใจที่แท้จริงคือ ความโกรธ
กฎบัญญัติห้ามล่วงประเวณี พลเมืองอาณาจักรไม่มองผู้หญิงด้วยใจที่มีราคะตัณหา
กฎบัญญัติเรียกร้อง
ให้มี “หนังสือหย่าร้าง”
พลเมืองอาณาจักรเสาะหาหนทางที่จะรักษาชีวิตสมรสแทนที่จะหาข้ออ้างเพื่อแยกทาง
กฎบัญญัติห้ามสาบานโดยเท็จ สำหรับพลเมืองอาณาจักรการพูดว่า “ใช่” หรือ “ไม่” ก็เพียงพอแล้ว
กฎบัญญัติจำกัดการตอบโต้
(“ตาแทนตา”)
พลเมืองอาณาจักรกระทำด้วยความรัก ไม่แก้แค้น
กฎบัญญัติกำหนดให้รักเพื่อนบ้าน พลเมืองอาณาจักรรักแม้แต่ศัตรู[2] พวกเขาสะท้อนถึงความรักและความเมตตาของพระบิดาในสวรรค์ของพวกเขา (ลูกา 6:36)

(4) พลเมืองของอาณาจักรใส่ใจกับการทำให้พระเจ้าพอใจมากกว่าทำให้ผู้อื่นพอใจ

พวกฟาริสีอยากให้ผู้คนมองเห็นความใจกว้างของพวกเขา แต่พลเมืองของอาณาจักรถวายโดยเป็นความลับ คนหน้าซื่อใจคดอยากให้คนอื่นได้ยินคำอธิษฐานสวยหรูของพวกเขา แต่พลเมืองของอาณาจักรอธิษฐานด้วยคำเรียบง่ายและด้วยความกระตือรือร้น พวกฟาริสีอยากให้คนอื่นเคารพยกย่องในการอดอาหารยาวนานของพวกเขา แต่พลเมืองของอาณาจักรอดอาหารเพื่อรับบำเหน็จรางวัลจากพระบิดาเท่านั้น

(5) พลเมืองของอาณาจักรไม่วางใจในความมั่งคั่งของตนหรือไม่กังวลเกี่ยวกับความจำเป็นในชีวิต

แต่พวกเขาวางใจในการจัดเตรียมของพระบิดาในสวรรค์

(6) พลเมืองของอาณาจักรไม่ตัดสินคนอื่น

อย่างไรก็ตามพวกเขาระวังที่จะสังเกตเห็นผลที่ไม่ดีของพวกผู้สอนเท็จ

(7) พลเมืองของอาณาจักรมั่นใจในคำอธิษฐานของพวกเขา

พลเมืองของอาณาจักรมั่นใจในคำอธิษฐานของพวกเขาเพราะพวกเขารู้ว่าพระบิดาผู้สถิตในสวรรค์ให้สิ่งดีแก่คนที่ขอต่อพระองค์! (มัทธิว 7:11)

(8) พลเมืองของอาณาจักรเข้าใจว่ามีเพียงสองวิถีเท่านั้น

มีประตูกว้างกับประตูแคบ มีต้นไม้ดีกับต้นไม้เลว มีคนสร้างบ้านฉลาดกับคนสร้างบ้านที่โง่เขลา พลเมืองของอาณาจักรรู้จักสังเกตแยกแยะ

[3]ดำเนินชีวิตด้วยหลักการของอาณาจักร

เราจะใช้ชีวิตด้วยหลักการต่าง ๆ ของคำเทศนาบนภูเขาได้อย่างไร? กุญแจสำคัญอยู่ในมัทธิว 5:48 พลเมืองของอาณาจักรได้รับการเรียกให้เป็นเหมือนพระบิดาในสวรรค์ของเรา คำสอนของพระเยซูมีทั้งง่ายและยาก มีเพียงพระคุณของพระเจ้าเท่านั้นที่เสริมกำลังเราให้ใช้ชีวิตตามคำสอนของพระเยซูได้ โดยกำลังของเราเอง เราไม่มีวันใช้ชีวิตให้ถึงข้อเรียกร้องของคำเทศนานี้ได้เลย มีเพียงพระวิญญาณเท่านั้นที่ทำให้ชีวิตในอาณาจักรเป็นไปได้

เราต้องเข้าใจหลักการนี้เมื่อเราเทศนาคำเทศนาบนภูเขา ถ้าหากเราเทศนาคำเทศนานี้เป็นเพียงกฎเท่านั้น เราก็จะทิ้งความผิดหวังท้อแท้ไว้กับผู้คน มีเพียงการเทศนาคำเทศนานี้ให้เป็นแบบอย่างสำหรับชีวิตในอาณาจักรเท่านั้น ที่เราจะเห็นการจัดเตรียมพระคุณของพระเจ้า ซึ่งได้มาโดยการเป็นเครื่องบูชาของพระบุตร และได้รับการเสริมกำลังโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ แล้วคำเทศนาบนภูเขาก็จะกลายเป็นข่าวประเสริฐคือ “ข่าวดี” อย่างแท้จริง

► หลังจากจบการอ่านคำเทศนาบนภูเขาและการทบทวนบทสรุปโดยย่อแล้ว ขอให้อภิปรายคำถามต่อไปนี้

  • คำสอนใดจากคำเทศนานี้ที่ยากที่สุดสำหรับคริสเตียนในสังคมที่คุณอยู่?

  • คำสอนใดจากคำเทศนานี้ยากที่สุดสำหรับคุณในฐานะผู้นำคริสเตียน?


[1]

“ผู้มีใจบริสุทธิ์ไม่เพียงมองเห็นพระเจ้าเท่านั้น แต่เป็นตัวอักษรที่ทำให้สังคมมองเห็นพระองค์ด้วย”

- Leon Hynson

[2]พันธสัญญาเดิมไม่ได้สั่งให้อิสราเอล “เกลียดศัตรู” นี่เป็นความเข้าใจผิดที่มักเกิดขึ้นเกี่ยวกับพันธสัญญาเดิม
[3]

“คำเทศนาบนภูเขาเป็นคำเตือนไม่ให้รักแบบผูกมัด รักเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว หรือเพิกเฉยต่อเสียงเรียกสู่ความชอบธรรมแท้จริ แต่คำเทศนานี้เป็นการเรียกให้แสดงถึงการให้อภัย
การมอบถวาย ความรักที่สำนึกในพระคุณและเห็นอกเห็นใจตามอย่างพระเจ้า”

- Darrell Bock

ความลี้ลับของอาณาจักร: คำอุปมาเรื่องอาณาจักร

พวกผู้สอนชาวยิวรู้ว่า เราจดจำเรื่องเล่าได้นานกว่าข้อความเป็นประโยค ๆ ด้วยเหตุนี้คำอุปมาจึงเป็นคำสอนที่นิยมสำหรับพวกรับบีชาวยิว พระเยซูใช้คำอุปมาสื่อสารความจริงอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้า

ช่วงต้นพันธกิจของพระเยซู ประโยชน์ของคำอุปมาอำนวยให้พระเยซูสอนพวกสาวกโดยหลีกเลี่ยงการปะทะแบบตรง ๆ กับศัตรูของพระองค์ ต่อมาพระเยซูเผชิญหน้าแบบตรง ๆ กับพวกผู้นำศาสนาในเยรูซาเล็ม แต่ในช่วงปีแรก ๆ ของการทำพันธกิจ จุดเน้นของพระองค์คือการสอนสาวก

มีคนมากมายได้ยินคำอุปมาแต่ไม่เข้าใจ พวกเขาได้ยินแต่ไม่มีวันเข้าใจ พวกเขาดูแต่ไม่มีวันมองเห็น (มัทธิว 13:14) เพราะอะไรหรือ? เพราะพวกเขาทำใจแข็งกระด้าง อิสยาห์เผยพระวจนะไว้ว่า...

เพราะว่าชนชาตินี้กลายเป็นคนมีใจเฉื่อยชา หูก็ตึง และตาของพวกเขาก็ปิด เกรงว่าเขาจะเห็นด้วยตา จะได้ยินด้วยหู และจะได้เข้าใจด้วยจิตใจ แล้วจะหันกลับมา และเราจะรักษาพวกเขาให้หาย (มัทธิว 13:15 อ้างอิงมาจากอิสยาห์ 6:9)

พระเยซูสามารถสอนคนที่หูของเขาเปิดออกได้โดยผ่านการใช้คำอุปมา

มัทธิว 13 นำเสนอชุดคำอุปมาเกี่ยวกับความลึกลับของอาณาจักร (มัทธิว 13:11) คำอุปมาเหล่านี้เปิดเผยถึงธรรมชาติของอาณาจักรของพระเจ้าให้กับพวกผู้ติดตามพระเยซู ในขณะเดียวกันก็ปิดบังคำสอนของพระองค์ส่วนมากไว้จากพวกผู้นำที่ไม่เชื่อ

► ก่อนจะเรียนต่อไป ขอให้หยุดตรงนี้และอ่านมัทธิว 13:1-52 กับลูกา 19:11-27 เมื่อคุณศึกษาคำอุปมาแต่ละเรื่อง ขอให้สรุปใจความหลักของคำอุปมานั้นให้เป็นหนึ่งหรือสองประโยคโดยเขียนลงในตารางหน้าถัดไป สำหรับคำอุปมาแต่ละเรื่อง ขอให้ค้นหาการประยุกต์ใช้หนึ่งอย่างสำหรับพันธกิจในปัจจุบัน คำอุปมาเรื่องแรกทำให้คุณดูเป็นตัวอย่างแล้ว

สามารถพิมพ์ PDF ได้ที่นี่

คำอุปมาเรื่องอาณาจักร
คำอุปมา ใจความหลัก บทเรียนสำหรับพันธกิจในปัจจุบัน
ผู้หว่านพืช การตอบสนองของผู้ฟังต่อเมล็ดพืชเป็นตัวกำหนดการเกิดผลของเมล็ดนั้น เมื่อฉันเทศนาและสอน ฉันต้องวางใจพระเจ้าสำหรับผลลัพธ์ ฉันไม่ต้องรับผิดชอบสำหรับการเก็บเกี่ยว ฉันรับผิดชอบต่อการหว่านเมล็ดพันธุ์อย่างสัตย์ซื่อ
ข้าวละมาน    
เมล็ดมัสตาร์ด    
เชื้อขนม    
ขุมทรัพย์
ที่ซ่อนไว้
   
ไข่มุกที่มีค่ามาก    
อวนจับปลา    
เจ้าของบ้าน    
เงินสิบมินา    

คำอุปมาเรื่องผู้หว่านพืช (มัทธิว 13:3-9, 18-23; ลูกา 8:5-18)

คำอุปมาแรกในชุดคำอุปมานี้ที่เกี่ยวข้องกับอาณาจักรสอนเราว่า การตอบสนองต่อเมล็ดพืชของเราเป็นตัวกำหนดการเกิดผลของเมล็ดนั้น ในอาณาจักรสวรรค์ บางคนจะเชื่อและเกิดผล ในขณะที่บางคนจะปฏิเสธที่จะเชื่อ หรือจะเลิกราไปหลังจากที่เชื่อครั้งแรก

คำอุปมานี้อาจเรียกว่าเป็นคำอุปมาเรื่องดิน เพราะเรื่องราวเกี่ยวกับดินที่แตกต่างกัน ไม่ใช่ผู้หว่านแตกต่างกัน ในแต่ละตัวอย่าง เมล็ดพืชเหมือนกันหมด และผู้หว่านก็คนเดียวกัน ความแตกต่างคือดิน เมื่อเราประกาศถ้อยคำเรื่องอาณาจักร เราต้องไม่ตื่นตกใจเมื่อผู้ฟังบาคนยอมรับน้อยกว่าคนอื่น เราต้องไม่ท้อใจ พระเยซูสอนว่าผู้ฟังบางคนจะเป็นดินดีในขณะที่บางคนเป็นดินแข็งไม่รับพระวจนะ

บทสรุปของลูกาต่อคำอุปมาเรื่องผู้หว่านพืชแสดงให้เห็นว่านี่เป็นคำอุปมาเกี่ยวกับการรับฟังความจริง “เพราะฉะนั้น จงเอาใจจดจ่อต่อสิ่งที่พวกท่านได้ยินได้ฟัง คนที่มีอยู่แล้ว จะทรงเพิ่มเติมให้แก่คนนั้น แต่คนที่ไม่มี แม้แต่สิ่งที่เขาคิดว่ามีอยู่นั้น ก็จะทรงเอาไปจากเขา” (ลูกา 8:18) เมื่อคนตอบสนองในทางบวกต่อความจริง พวกเขาก็รับความจริงได้มากขึ้น ก่อนที่จะให้คำอุปมาอื่น ๆ ในคำเทศนานี้ พระเยซูสอนผู้ฟังให้รู้วิธีฟังได้อย่างเกิดผลเหมือนดินดี

คำอุปมาเรื่องข้าวละมาน (มัทธิว 13:24-30, 36-43)

พวกคนยิวคาดหวังว่าอาณาจักรของพระเจ้าจะนำการพิพากษามายังคนชั่วโดยพลัน พระเยซูเตรียมพวกสาวกของพระองค์สำหรับช่วงเวลาที่ทั้งผู้เชื่อและผู้ไม่เชื่อจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในโลกนี้ ในเรื่องเล่านี้ ที่นาคือโลก (มัทธิว 13:38) มีเพียงตอนสิ้นยุคเท่านั้นที่พวกทูตสวรรค์จะรวบรวมข้าวละมานและเผามันด้วยไฟ (มัทธิว 13:40) อาณาจักรของพระเจ้าจะก่อร่างในเวลาของพระเจ้า ไม่ใช่ในเวลาของมนุษย์

คำอุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ด (มัทธิว 13:31-32)

ไม่มีใครที่คอยเฝ้าดูพันธกิจของพระเยซูบนโลกนี้จะคาดการณ์ได้ว่าคริสตจักรจะแผ่ขยายไปไกลทั่วโลก พวกสาวกขาดการศึกษา ยากจน และหวาดกลัว พวกเขาขาดคุณสมบัติพิเศษ ไม่มีฐานะทางสังคม หรือไม่มีอำนาจทางการเมือง พวกเขาเป็นเหมือนเมล็ดมัสตาร์ดบางเบา แต่เหมือนกับเมล็ดมัสตาร์ดที่เติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่หรือเป็นพุ่ม อาณาจักรของพระเจ้าจะแผ่ขยายไปรอบโลก

ผู้ฟังของพระเยซูคงตกใจอย่างมากที่ได้ยินพระเยซูเปรียบอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนเมล็ดมัสตาร์ด พวกรับบีชาวยิวคาดหวังว่าอาณาจักรของพระเจ้าจะมาด้วยฤทธิ์เดชและพระสิริ พวกเขาคาดหวังว่าจะมีการพิพากษาต่อคนบาปทั้งหลาย พวกเขาคาดหวังการจราจลทางการทหารต่อสู้กับโรม พวกเขาคาดหวังการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเมื่อมีการก่อตั้งอาณาจักรใหม่ของยิวแทนที่ แต่พระเยซูกลับเตรียมพวกสาวกสำหรับการเริ่มต้นอาณาจักรที่ไม่น่าประทับใจนัก

เมื่อเราอ่านพันธสัญญาใหม่ เราอาจลืมความสำคัญของแคว้นยูเดียในศตวรรษแรก แคว้นยูเดียเป็นศูนย์กลางของพันธสัญญาใหม่ แต่ห่างไกลจากศูนย์กลางของโลกในศตวรรษแรก คิดถึงเมืองหลวงในประเทศของคุณ นี่ไม่ใช่บทบาทของแคว้นยูเดียในศตวรรษแรก บทบาทนั้นเป็นของโรม ลองนึกถึงเมืองที่มีมหาวิทยาลัยและระบบการศึกษาที่ยอดเยี่ยม นี่ไม่ใช่บทบาทของแคว้นยูเดียในศตวรรษแรก บทบาทนั้นเป็นของเอเธนส์หรืออเล็กซานเดรีย

ในความสัมพันธ์กับประเทศอื่น ๆ ในโลก ยูเดียไม่ได้มีความสำคัญอะไรทางการเมือง ไม่สำคัญทางเศรษฐกิจ ไม่สำคัญทางสังคม ลองคิดถึงภูมิภาคที่ไม่มีความสำคัญมากที่สุดในประเทศของคุณ นั่นเป็นสภาพของยูเดียในจักรวรรดิโรมัน

คำอุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ด แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของอาณาจักรของพระเจ้าจากคนกลุ่มเล็กที่อยู่ในซอกหลืบของจักรวรรดิโรมันซึ่งได้กลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่แผ่ขยายไปถึงชนทุกชาติ[1] พวกรับบีชาวยิวสอนว่าอาณาจักรของพระเจ้าจะจำกัดอยู่กับคนยิวเท่านั้น พระเยซูสอนว่าอาณาจักรของพระเจ้าจะแผ่ขยายไปจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก

คำอุปมาเรื่องเชื้อขนม (มัทธิว 13:33)

คำอุปมาเรื่องเชื้อขนมอธิบายถึงการเติบโตอย่างเหนือธรรมชาติของอาณาจักร พระเยซูใช้เชื้อขนมเป็นสัญลักษณ์ของการแผ่ขยายอาณาจักร แป้งสามถังสามารถทำขนมปังให้คน 100 คนกินได้ แม้จะมีจุดเริ่มต้นเล็กน้อย แต่อาณาจักรก็จะเติบโตเป็นพลังอันยิ่งใหญ่

คำอุปมาเรื่องเชื้อขนมแสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างมั่นคงของอาณาจักร เชื้อขนมปังไม่ได้น่าตื่นเต้นเร้าใจ มันไม่ได้ระเบิดเหมือนไดนาไมต์ แต่มันทำงานเงียบ ๆ ผ่านขนมปังทั้งก้อน พวกรับบีชาวยิวสอนว่าอาณาจักรของพระเจ้าจะปรากฎต่อโลกกว้างด้วยหมายสำคัญ แต่พระเยซูแสดงให้เห็นว่าอาณาจักรจะค่อย ๆ เติบโต แต่มั่นคง จนกระทั่งแผ่ขยายไปรอบโลก

คำอุปมาเรื่องขุมทรัพย์ที่ซ่อนไว้กับเรื่องไข่มุกที่มีค่ามาก (มัทธิว 13:44-46)

คำอุปมาทั้งสองเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความชื่นชมยินดีในอาณาจักร ทั้งสองเรื่อง ชายคนหนึ่งพบบางสิ่งที่มีค่ามากจนเขายอมขายทุกอย่างเพื่อมาซื้อสิ่งนี้ จุดเน้นของคำอุปมาไม่ใช่การเสียสละของชายคนนั้น แต่คือความชื่นชมยินดีของเขาที่ได้พบสิ่งมีค่ามากขนาดนั้น ด้วยความยินดีเขาจึงไปและขายทุกสิ่ง! สาวกที่แท้จริงชื่นชมยินดีที่ได้สละทุกสิ่งเพื่อติดตามพระคริสต์

คำอุปมาเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงคุณค่าสูงสุดของอาณาจักร อาณาจักรของพระเจ้าส่งผลต่อท่าทีของเราซึ่งกระทบต่อชีวิตทั้งหมด ในอีกที่หนึ่ง พระเยซูตรัสว่า “ถ้าตาของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงควักออกทิ้งเสีย การที่จะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าด้วยตาข้างเดียวยังดีกว่ามีตาสองข้างแต่ต้องถูกทิ้งลงนรก” (มาระโก 9:47) การเข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้านั้นควรค่าต่อการสละสิ่งใด ๆ ทางโลก

คำอุปมาเรื่องอวนจับปลา (มัทธิว 13:47-50)

เรือประมงในทะเลกาลิลีจะลากอวนขนาดใหญ่ที่ดักจับปลาทั้งที่กินได้และกินไม่ได้ เมื่อกลับเข้าฝั่งแล้วชาวประมงจะแยกปลาดีออกจากปลาเสีย

เหมือนกับคำอุปมาเรื่องข้าวละมาน คำอุปมานี้เตือนพวกสาวกให้คิดถึงการพิพากษาที่จะมาในยุคสุดท้าย แทนที่จะคาดหวังการพิพากษาแบบฉับพลัน พวกเขาต้องเทศนาเรื่องอาณาจักรโดยรู้ว่าพระเจ้าจะพิพากษาคนชั่วและคนชอบธรรมในเวลาของพระองค์ จะมีการพิพากษาครั้งสุดท้ายที่แยกคนดีออกจากคนชั่ว แต่เราต้องให้เป็นเวลาของพระเจ้า

คำอุปมาเรื่องเจ้าของบ้าน (มัทธิว 13:51-52)

พระเยซูเริ่มต้นชุดคำอุปมานี้โดยการสอนพวกสาวกว่า พวกเขาควรเป็นดินดีที่เกิดผล พระองค์จบคำอุปมาโดยสอนพวกเขาให้รับผิดชอบในการแบ่งปันกับผู้อื่น ธรรมาจารย์ทุกคนที่ได้รับการฝึกต้องเอาทรัพย์สมบัติแห่งความรู้ของเขามาสอนคนอื่น เราไม่ได้เรียนเพื่อประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น พวกสาวกได้รับการฝึกฝนเพื่อพวกเขาจะสามารถฝึกฝนสาวกคนอื่นต่อ ๆ ไปได้

คำอุปมาเรื่องเงินสิบมินา[2] (ลูกา 19:11-27)

► อ่าน ลูกา 19:11-27

คำอุปมานี้มาจากลูกา แต่มัทธิวรวมคำอุปมาคล้ายกันไว้ในช่วงที่พระเยซูพูดถึงวาระสิ้นยุค พระเยซูให้คำอุปมาเรื่องเงินสิบมินาเมื่อพระองค์ใกล้ถึงเยรูซาเล็ม เนื่องจากผู้คนคิดเอาเองว่าอาณาจักรของพระเจ้ากำลังจะเกิดขึ้นทันที (ลูกา 19:11)

เมื่อพระเยซูใกล้ถึงเยรูซาเล็ม ผู้คนเริ่มกระตือรือร้นมากขึ้นในการคาดหวังพระเมสสิยาห์ในทางการเมือง พระเยซูให้คำอุปมานี้เพื่อสอนพวกสาวกให้ยังคงสัตย์ซื่อแม้เมื่อพวกเขารอคอยอาณาจักร พวกเขาต้องไม่ปิดบังสิ่งที่พระอาจารย์ได้ให้ไว้แก่พวกเขา แต่พวกเขาต้องใช้ทรัพยากรของพวกเขาเพื่อความก้าวหน้าของอาณาจักร


[1]ในดาเนียล 4:12 และเอเสเคียล 31:6 นกที่เกาะอยู่บนต้นไม้แทนถึงอาณาจักรยิ่งใหญ่ที่เข้าถึงชนหลายชาติ
[2]“มินา” คือหน่วยของเงิน มีมูลค่าเท่ากับค่าแรงทำงานสามเดือน

การก่อตั้งอาณาจักรอย่างสมบูรณ์

► อ่าน มัทธิว 24-25

คำสอนของพระเยซูในช่วงแรก ส่วนใหญ่เน้นเรื่องการเริ่มต้นอาณาจักรโดยฉับพลัน เมื่อพระองค์มาถึงช่วงปลายของพันธกิจบนโลกนี้ พระเยซูพูดมากขึ้นเกี่ยวกับการก่อตั้งอาณาจักรที่สมบูรณ์ในอนาคต คำกล่าวเรื่องวาระสิ้นยุคในมัทธิว 24 และ 25 คือคำสอนของพระเยซูที่ขยายความมากที่สุดเกี่ยวกับพระสัญญาเกี่ยวกับอาณาจักรสำเร็จเป็นจริงในอนาคต

พิจารณาอย่างละเอียด: พระวิหารของเฮโรด

ในปี 19 ก่อนคริสตศักราช เฮโรดมหาราชเริ่มต้น เฮโรดมหาราชเริ่มบูรณะพระวิหารครั้งใหญ่พระวิหารนี้สร้างเสร็จในปี 516 ก่อนคริสต์ศักราชโดยเศรุบบาเบล ซึ่งมีขนาดเล็กกว่าและเรียบง่ายกว่าพระวิหารเดิมของโซโลมอน เฮโรดตั้งใจจะบูรณะพระวิหารให้กลับสวยงามดังเดิม เขาเริ่มโครงการก่อสร้างที่ยาวนานกว่า 80 ปี เฮโรดแต่งตั้งช่างฝีมือ 10,000 คนสำหรับการก่อสร้างและฝึกคนเลวี 1,000 คนให้ทำงานในส่วนต่าง ๆ ของพระวิหารที่ปุโรหิตเท่านั้นที่สามารถเข้าไปได้ [1]

เฮโรดหวังว่าจะได้รับการจดจำในฐานะผู้สร้างพระวิหารที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในโลก ในช่วงเวลาของการทำพันธกิจของพระเยซู งานการสร้างดำเนินต่อไปเป็นเวลา 46 ปี (ยอห์น 2:20) พระวิหารทั้งหมดจะไม่เสร็จสมบูรณ์จนกว่าจะถึงปี ค.ศ. 63 และจะถูกทำลายเพียงเจ็ดปีต่อมาหลังจากการปิดล้อมกรุงเยรูซาเล็มโดยนายพลทิตัสแห่งโรมันในปี ค.ศ. 70

พระวิหารของเฮโรดมีขนาดใหญ่กว่าพระวิหารของโซโลมอนมากกว่าสองเท่า มีพื้นที่กว้างขวางสำหรับผู้แสวงบุญชาวยิวหลายพันคนที่มากรุงเยรูซาเล็มเพื่อร่วมเทศกาล นี่เป็นหนึ่งในสิ่งมหัศจรรย์ที่ยิ่งใหญ่ของจักรวรรดิโรมัน


[1]“ภาพเปรียบเทียบพระวิหาร” สร้างสรรค์ขึ้นโดย SGC พร้อมกับภาพถ่ายโดย Ricardo Gandelman (CC BY 2.0) และแผนผังพระวิหารจาก EB Vol. IV และ Gal m ดูได้จากเว็บไซด์ https://www.flickr.com/photos/sgc-library/52345523784, public domain (CC0).

การก่อตั้งอาณาจักรอย่างสมบูรณ์ (ต่อเนื่อง)

ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของพระเยซูในกรุงเยรูซาเล็ม พวกสาวกมาชี้ให้พระองค์ดูอาคารต่าง ๆ ของพระวิหาร เนื่องจากการก่อสร้างพระวิหารยังคงดำเนินอยู่ พวกเขาอาจกำลังชี้ให้เห็นถึงลักษณะที่เปลี่ยนไปนับจากครั้งก่อนที่พวกเขาไปที่พระวิหาร

พระเยซูตอบด้วยคำเผยพระวจนะเกี่ยวกับการทำลายพระวิหาร “สิ่งทั้งหมดนี้พวกท่านเห็นแล้วไม่ใช่หรือ? เราบอกความจริงกับท่านว่า ที่นี่จะไม่เหลือก้อนหินซ้อนทับกันอยู่แม้แต่ก้อนเดียว แต่จะถูกทำลายลงหมด” (มัทธิว 24:2, 3)

คำถามของพวกสาวกแบ่งเป็นสองส่วน คำตอบของพระเยซูก็แบ่งเป็นสองส่วน เหมือนคำเผยพระวจนะในพันธสัญญาเดิมที่มีทั้งแง่มุมใกล้และไกล คำเผยพระวจนะของพระเยซูก็รวมเหตุการณ์ทั้งที่จะเกิดขึ้นในไม่ช้าและที่จะเกิดตอนสิ้นยุค

  • พวกสาวกถามว่า “เมื่อใดที่สิ่งเหล่านี้จะเกิดขึ้น?” “สิ่งเหล่านี้” (การทำลายพระวิหารที่จะไม่เหลือก้อนหินซ้อนทับกันอยู่แม้แต่ก้อนเดียว) เกิดขึ้นในปี ค.ศ.70

  • พวกสาวกถามว่า “อะไรคือหมายสำคัญของการมาของพระองค์และของวาระสิ้นยุค?” พระเยซูพูดถึงการกลับมาในอนาคต “บุตรมนุษย์เสด็จมาด้วยพระรัศมีพร้อมกับทูตสวรรค์ทั้งหมด” (มัทธิว 25:30)

พระเยซูแสดงให้เห็นว่าอาณาจักรจะประกอบไปด้วยผู้คนจากทุกชนชาติ ทั้งคนยิวและคนต่างชาติ พระองค์แสดงให้เห็นว่าการรวมเอาคนต่างชาติเข้าในอาณาจักรนั้นเป็นแผนการของพระเจ้า “ตั้งแต่แรกสร้างโลก” (มัทธิว 25:34) อาณาจักรของพระเจ้าเป็นแผนการนิรันดร์ของพระเจ้าสำหรับคนของพระองค์

คำอุปมาสองเรื่องในคำเทศนาเรื่องวาระสิ้นยุคสอนว่าเราต้องสัตย์ซื่อในขณะที่รอคอยอาณาจักร เจ้าสาวห้าคนที่โง่เขลารอคอยแต่ไม่ได้เตรียมตัวให้พร้อม ทาสคนที่มีหนึ่งตะลันต์แต่ไม่จัดการดูแลอย่างสัตย์ซื่อ ในฐานะพลเมืองอาณาจักร เราได้รับการเรียกให้สัตย์ซื่อและยืนหยัดในการรับใช้พระองค์ผู้เป็นกษัตริย์

ในการพิพากษาครั้งสุดท้าย การแยกคนดีกับคนชั่วตามพระสัญญารในมัทธิว 13 จะเกิดขึ้น บทเรียนสำคัญไม่ใช่ว่าการพิพากษานี้จะเกิดขึ้นเมื่อไหร่และเกิดขึ้นอย่างไร แต่คำสอนของพระเยซูเกี่ยวกับวิธีการที่พลเมืองของอาณาจักรต้องใช้ชีวิตวันนี้ด้วยการเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการพิพากษาครั้งสุดท้าย ในวันนั้นกษัตริย์จะพูดว่า “เราบอกความจริงกับท่านทั้งหลายว่า ซึ่งพวกท่านได้ทำกับคนใดคนหนึ่งที่เล็กน้อยที่สุดในพี่น้องของเรานี้ ก็เหมือนทำกับเราด้วย” (มัทธิว 25:40) เราต้องใช้ชีวิตในการเตรียมพร้อมเสมอสำหรับการกลับมาของพระองค์ผู้เป็นกษัตริย์ เราต้องถูกพบว่าสัตย์ซื่อเมื่อพระองค์กลับมา

การประยุกต์ใช้: ต้นทุนของการเป็นสาวก

► อ่าน ลูกา 9:21-27

การเป็นพลเมืองในอาณาจักรของพระเจ้าเป็นได้โดยพระคุณเท่านั้น เราไม่ได้เป็นพลเมืองของอาณาจักรโดยการทำดี อย่างไรก็ตาม นี่ไม่ได้หมายความว่าไม่มีต้นทุนสำหรับชีวิตการเป็นสาวก ในลูกา 9 พระเยซูสอนพวกผู้ติดตามพระองค์เกี่ยวกับต้นทุนของการเป็นสาวก

ดัลลัส วิลลาร์ด เขียนไว้ว่า “พระคุณไม่ได้ต่อต้านความพยายาม พระคุณต่อต้านการทำเพื่อให้ได้รับ”[1] ความพยายามที่เรามีในฐานะสาวกไม่ได้ต่อต้านพระคุณ อันที่จริงวิธีเดียวที่เราจะมีกำลังในการติดตามการเป็นสาวกได้นั้นก็เพราะพระคุณของพระเจ้า

โปรดสังเกตแบบแผนการสอนของพระเยซู: รับไม้กางเขนแล้วจึงรับพระสิริ

  • พระเยซูเผยพระวจนะถึงการตายและการฟื้นขึ้นจากตายของพระองค์ (ลูกา 9:21-22) นี่คือราคาที่พระเยซูจ่ายเพื่อจัดเตรียมการเป็นพลเมืองของอาณาจักรให้กับเรา

  • พระเยซูบอกพวกผู้ติดตามของพระองค์ถึงสิ่งที่เป็นต้นทุนในการเป็นสาวก (ลูกา 9:23-25) “ถ้าใครต้องการจะมาติดตามเรา ให้คนนั้นปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตนแบกทุกวันและตามเรามา” พระเยซูทนทุกข์บนไม้กางเชนเพื่อก่อตั้งอาณาจักร เราต้องรับกางเขนถ้าหากเราต้องการมีชีวิตอยู่ในอาณาจักร

  • พระเยซูพูดเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า (ลูกา 9:26-27) “ถ้าใครมีความอายเพราะเราและถ้อยคำของเรา บุตรมนุษย์ก็จะมีความอายเพราะคนนั้นเมื่อท่านมาด้วยพระรัศมีของท่าน และของพระบิดา และรัศมีของเหล่าทูตสวรรค์บริสุทธิ์”

เราไม่สามารถมีส่วนในสง่าราศีของอาณาจักรโดยไม่มีส่วนในกางเขน พระเยซู “ทรงถ่อมพระองค์ลง ทรงยอมเชื่อฟังจนถึงความมรณา กระทั่งมรณาบนกางเขน เพราะฉะนั้นพระเจ้าจึงทรงยกพระองค์ขึ้นสูงสุด...” (ฟิลิปปี 2:8-9)

ในฐานะลูกของพระเจ้า เราทำตามแบบแผนอย่างเดียวกัน “และหลังจากพวกท่านทนทุกข์ชั่วเวลาหนึ่งแล้ว พระเจ้าแห่งพระคุณทั้งสิ้น ผู้ได้ทรงเรียกให้พวกท่านเข้าในศักดิ์ศรีนิรันดร์ของพระองค์ในพระเยซูคริสต์ พระองค์เองก็จะทรงฟื้นฟู จะทรงค้ำจุนให้มั่นคง จะทรงเสริมเรี่ยวแรง และจะทรงให้พวกท่านตั้งมั่นอยู่” (1 เปโตร 5:10) นี่คือการหล่อหลอมชีวิตในอาณาจักร พระคริสต์ทนทุกข์บนไม้กางเขนก่อนที่จะได้รับการยกชูกขึ้นสู่พระสิริ ผู้ติดตามพระองค์ต้องรับกางเขนก่อนที่จะชื่นชมกับศักดิ์ศรีนิรันดร์

พระเยซูมองหาสาวกที่อุทิศตัว พระองค์ไม่ได้เรียกร้องให้สาวกของพระองค์มีความคิดฉลาดหลักแหลม พระองค์ได้เรียกร้องให้พวกเขามีใจภักดี อะไรคือต้นทุนของการเป็นสาวก? “ถ้าใครต้องการจะติดตามเรา ให้คนนั้นปฏิเสธตนเอง รับกางเขนของตนแบกและตามเรามา” (มัทธิว 16:24)

1. สาวกต้องปฏิเสธตัวเอง การพูดว่า “ไม่” กับตัวเองเป็นสิ่งที่ทำได้ยาก

2. สาวกต้องรับกางเขนของพระองค์ ผู้ติดตามพระเยซูเข้าใจว่ากางเขนหมายถึงการตาย กางเขนแทนถึงการทนทุกข์และอับอาย แต่คริสเตียนในยุคแรกรู้ว่าการเป็นสาวกจำเป็นต้องรับกางเขน ขณะที่อิกเนเชียสเดินทางไปยังกรุงโรมเพื่อตายในฐานะผู้พลีชีพ เขากล่าวว่า “ข้าพเจ้ากำลังเริ่มต้นเป็นสาวกคนหนึ่ง” การเป็นสาวกต้องรับกางเขน

3. การเป็นสาวกต้องหมั่นเพียรในการติดตามพระเยซูทั้งในด้านอุปนิสัยและการประพฤติ คำกริยาคำว่า ติดตาม เป็นปัจจุบันกาล

การเป็นสาวกคุ้มค่าต่อต้นทุนที่ต้องจ่ายไหม? พระเยซูให้เหตุผลสามประการในการเป็นสาวก น่าแปลกที่เหตุผลเหล่านั้นทำให้คนจำนวนมากหลีกเลี่ยงการเป็นสาวก ทำไมเราต้องจ่ายราคาของการเป็นสาวก?

1. ความปลอดภัย คนที่พยายามรักษาชีวิตของตนโดยการหลีกหนีกางเขนจะต้องพินาศ (ลูกา 9:24)

2. ความมั่งคั่งแท้จริง คนที่ปฏิเสธในการร่วมกันกับพระคริสต์จะสูญเสียทุกสิ่ง (ลูกา 9:25)

3. บำเหน็จรางวัล มีเพียงคนที่ติดตามพระคริสต์เท่านั้นที่จะได้รับการต้อนรับเข้าในอาณาจักร (ลูกา 9:26-27)

► อ่าน ลูกา 14:25-33

ต่อมาพระเยซูขยายความคำสอนของพระองค์เรื่องการเป็นสาวก คำสั่งสอนของพระองค์แบ่งเป็นสามตอนต่อไปนี้

1. ต้นทุนของการเป็นสาวก (ลูกา 14:26-27)

2. ความโง่เขลาของการเป็นสาวกโดยไม่คิดคำนวณต้นทุนก่อน (ลูกา 14:28-32)

3. เตือนให้คิดถึงต้นทุนของการเป็นสาวก (ลูกา 14:33)

ถ้าคุณไปซื้อรถยนต์คันหนึ่ง พนักงานขายจะพยายามยังไม่บอกราคาล่าสุด เขาจะพูดว่า “มาดูก่อนครับ รถคันนี้สวยมาก!” “มาสัมผัสพลังของรถคันนี้!” หลังจากคุณตกหลุมรักรถยนต์คันนี้แล้ว เขาจึงจะบอกราคาให้คุณรู้

พระเยซูไม่เคยเสนอเส้นทางง่าย ๆ เพื่อเข้าสู่อาณาจักรแก่ผู้ติดตามของพระองค์ พระองค์เริ่มต้นด้วยการติดป้ายราคาก่อนเลย

ถ้าใครมาหาเราและไม่ชังบิดามารดา บุตรภรรยา และพี่น้องชายหญิง แม้แต่ชีวิตของตนเอง คนนั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้ และใครก็ตามที่ไม่ได้แบกกางเขนของตนตามเรามา คนนั้นจะเป็นสาวกของเราไม่ได้ (ลูกา 14:26-27)

ในพระคัมภีร์ตอนนี้ การเกลียดบางสิ่งคือการรักสิ่งนั้นน้อยกว่าสิ่งอื่น พระเยซูกำลังพูดว่า “เจ้าไม่สามารถเป็นสาวกของเราได้จนกว่าเจ้าจะรักเรามากกว่าพ่อ แม่ ลูก พี่น้องชายหญิง หรือแม้แต่ตัวเจ้าเอง!”

การเป็นสาวกต้องจ่ายต้นทุนแค่ไหน? ทุกสิ่งทุกอย่าง! การเป็นสาวกของพระคริสต์ไม่ใช่แค่เพียงการมีส่วนร่วมในความชื่นชมยินดีกับพระสัญญาถึงพระเมสสิยาห์ แต่จำเป็นต้องมีส่วนร่วมในกางเขนด้วย

► พระกิตติคุณยอห์นให้เงื่อนไขเพิ่มเติมสามประการสำหรับการเป็นสาวก อ่านยอห์น 8:31, ยอห์น 13:35, และยอห์น 15:8 คุณกำลังสร้างสาวกในพันธกิจของคุณบนพื้นฐานเงื่อนไขสำหรับการเป็นสาวกในลูกาและยอห์นนี้ไหม?


[1]Dallas Willard, The Great Omission: Reclaiming Jesus’s Essential Teachings on Discipleship. (New York: HarperOne, 2006)

บทสรุป: อาณาจักรของพระเจ้าคืออะไร?

จนกว่าพระคริสต์กลับมา เราจะไม่เข้าใจรายละเอียดทั้งหมดของคำสอนของพระองค์เรื่องอาณาจักร อย่างไรก็ตามพระกิตติคุณแสดงให้เห็นคุณลักษณะมากมายของอาณาจักรของพระเจ้า

  • อาณาจักรของพระเจ้าเป็นอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ “เพราะว่าแผ่นดินของพระเจ้านั้นไม่ใช่การกินและการดื่ม แต่เป็นความชอบธรรม สันติสุข และความชื่นชมยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์” (โรม 14:17) การบังเกิดใหม่ปลดปล่อยเราให้พ้นจากอำนาจของซาตานและทำให้เราเป็นส่วนหนึ่งในอาณาจักรของพระเจ้า

  • อาณาจักรของพระเจ้าจะประกอบไปด้วยการปกครองทางฝ่ายกายภาพและทางการเมืองเมื่อถึงวาระสิ้นยุค

  • อาณาจักรของพระเจ้าเป็นสากลคือ ไม่ได้จำกัดแค่ชนชาติยิวเท่านั้น

  • อาณาจักรของพระเจ้าคือฤทธิ์เดชของพระเจ้าที่ทำงานในโลก อาณาจักรนี้ไม่ใช่การปกครองทางกายภาพ ในอุปมาเรื่องเงินสิบมินา อาณาจักรคือสิทธิอำนาจในการปกครอง ไม่ใช่สถานที่ทางภูมิศาสตร์ (ลูกา 19:11-12)

  • อาณาจักรของพระเจ้านั้นเหนือธรรมชาติ มนุษย์หว่านเมล็ด เขาทำให้มันเติบโตไม่ได้ อาณาจักรของพระเจ้าเติบโตผ่านทางฤทธิ์เดชของพระเจ้า

  • อาณาจักรของพระเจ้าไม่ใช่แค่ความหวังในอนาคตที่คลุมเครือ แต่คือความเป็นจริงในปัจจุบันที่เรียกร้องให้ตอบสนองทันที

  • อาณาจักรของพระเจ้าเริ่มต้นแล้วผ่านทางพันธกิจของพระเยซู ฤทธิ์เดชของพระองค์เหนือพวกมารแสดงให้เห็นถึงชัยชนะของอาณาจักรพระเจ้าเหนืออาณาจักรซาตาน

  • อาณาจักรของพระเจ้าก้าวหน้าอย่างต่อเนื่องโดยผ่านการงานของคริสตจักร คำเทศนาบนภูเขาแสดงให้เห็นว่าผู้เชื่อได้รับการเรียกให้ดำเนินชีวิตในยุคปัจจุบันอย่างไร

  • อาณาจักรของพระเจ้าจะก่อตั้งอย่างสมบูรณ์ในการกลับมาของพระคริสต์ด้วยสง่าราศี อำนาจของซาตานจะถูกทำลายและพระเจ้าจะปกครองชั่วนิรันดร์

► คู่มือด้านหลังสุดของวิชานี้มีคำเทศนาหัวข้อ “พระกิตติคุณแห่งอาณาจักร” อ่านเรื่องนี้ก่อนจะศึกษาต่อบทที่ 7

งานมอบหมายบทที่ 6

เตรียมชุดคำเทศนาสามตอนบนพื้นฐานคำเทศนาของพระเยซูบนภูเขา ใจความสำคัญของคำเทศนาของคุณควรเป็นเรื่อง “ชีวิตในอาณาจักรของพระเจ้า” แสดงให้เห็นว่าเราต้องดำเนินชีวิตอย่างไรในวันนี้ในฐานะพลเมืองของอาณาจักรของพระเจ้า ขอให้แน่ใจว่าคุณเทศนาคำเทศนาที่เป็นข่าวดี แสดงให้เห็นว่าพระคุณของพระเจ้าเสริมกำลังเราให้ดำเนินชีวิตในฐานะพลเมืองในอาณาจักรของพระเจ้าอย่างไร

Next Lesson