พวกผู้สอนชาวยิวรู้ว่า เราจดจำเรื่องเล่าได้นานกว่าข้อความเป็นประโยค ๆ ด้วยเหตุนี้คำอุปมาจึงเป็นคำสอนที่นิยมสำหรับพวกรับบีชาวยิว พระเยซูใช้คำอุปมาสื่อสารความจริงอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับอาณาจักรของพระเจ้า
ช่วงต้นพันธกิจของพระเยซู ประโยชน์ของคำอุปมาอำนวยให้พระเยซูสอนพวกสาวกโดยหลีกเลี่ยงการปะทะแบบตรง ๆ กับศัตรูของพระองค์ ต่อมาพระเยซูเผชิญหน้าแบบตรง ๆ กับพวกผู้นำศาสนาในเยรูซาเล็ม แต่ในช่วงปีแรก ๆ ของการทำพันธกิจ จุดเน้นของพระองค์คือการสอนสาวก
มีคนมากมายได้ยินคำอุปมาแต่ไม่เข้าใจ พวกเขาได้ยินแต่ไม่มีวันเข้าใจ พวกเขาดูแต่ไม่มีวันมองเห็น (มัทธิว 13:14) เพราะอะไรหรือ? เพราะพวกเขาทำใจแข็งกระด้าง อิสยาห์เผยพระวจนะไว้ว่า...
เพราะว่าชนชาตินี้กลายเป็นคนมีใจเฉื่อยชา หูก็ตึง และตาของพวกเขาก็ปิด เกรงว่าเขาจะเห็นด้วยตา จะได้ยินด้วยหู และจะได้เข้าใจด้วยจิตใจ แล้วจะหันกลับมา และเราจะรักษาพวกเขาให้หาย (มัทธิว 13:15 อ้างอิงมาจากอิสยาห์ 6:9)
พระเยซูสามารถสอนคนที่หูของเขาเปิดออกได้โดยผ่านการใช้คำอุปมา
มัทธิว 13 นำเสนอชุดคำอุปมาเกี่ยวกับความลึกลับของอาณาจักร (มัทธิว 13:11) คำอุปมาเหล่านี้เปิดเผยถึงธรรมชาติของอาณาจักรของพระเจ้าให้กับพวกผู้ติดตามพระเยซู ในขณะเดียวกันก็ปิดบังคำสอนของพระองค์ส่วนมากไว้จากพวกผู้นำที่ไม่เชื่อ
► ก่อนจะเรียนต่อไป ขอให้หยุดตรงนี้และอ่านมัทธิว 13:1-52 กับลูกา 19:11-27 เมื่อคุณศึกษาคำอุปมาแต่ละเรื่อง ขอให้สรุปใจความหลักของคำอุปมานั้นให้เป็นหนึ่งหรือสองประโยคโดยเขียนลงในตารางหน้าถัดไป สำหรับคำอุปมาแต่ละเรื่อง ขอให้ค้นหาการประยุกต์ใช้หนึ่งอย่างสำหรับพันธกิจในปัจจุบัน คำอุปมาเรื่องแรกทำให้คุณดูเป็นตัวอย่างแล้ว
สามารถพิมพ์ PDF ได้ที่นี่
คำอุปมาเรื่องอาณาจักร
คำอุปมา
ใจความหลัก
บทเรียนสำหรับพันธกิจในปัจจุบัน
ผู้หว่านพืช
การตอบสนองของผู้ฟังต่อเมล็ดพืชเป็นตัวกำหนดการเกิดผลของเมล็ดนั้น
เมื่อฉันเทศนาและสอน ฉันต้องวางใจพระเจ้าสำหรับผลลัพธ์ ฉันไม่ต้องรับผิดชอบสำหรับการเก็บเกี่ยว ฉันรับผิดชอบต่อการหว่านเมล็ดพันธุ์อย่างสัตย์ซื่อ
ข้าวละมาน
เมล็ดมัสตาร์ด
เชื้อขนม
ขุมทรัพย์
ที่ซ่อนไว้
ไข่มุกที่มีค่ามาก
อวนจับปลา
เจ้าของบ้าน
เงินสิบมินา
คำอุปมาเรื่องผู้หว่านพืช (มัทธิว 13:3-9, 18-23; ลูกา 8:5-18)
คำอุปมาแรกในชุดคำอุปมานี้ที่เกี่ยวข้องกับอาณาจักรสอนเราว่า การตอบสนองต่อเมล็ดพืชของเราเป็นตัวกำหนดการเกิดผลของเมล็ดนั้น ในอาณาจักรสวรรค์ บางคนจะเชื่อและเกิดผล ในขณะที่บางคนจะปฏิเสธที่จะเชื่อ หรือจะเลิกราไปหลังจากที่เชื่อครั้งแรก
คำอุปมานี้อาจเรียกว่าเป็นคำอุปมาเรื่องดิน เพราะเรื่องราวเกี่ยวกับดินที่แตกต่างกัน ไม่ใช่ผู้หว่านแตกต่างกัน ในแต่ละตัวอย่าง เมล็ดพืชเหมือนกันหมด และผู้หว่านก็คนเดียวกัน ความแตกต่างคือดิน เมื่อเราประกาศถ้อยคำเรื่องอาณาจักร เราต้องไม่ตื่นตกใจเมื่อผู้ฟังบาคนยอมรับน้อยกว่าคนอื่น เราต้องไม่ท้อใจ พระเยซูสอนว่าผู้ฟังบางคนจะเป็นดินดีในขณะที่บางคนเป็นดินแข็งไม่รับพระวจนะ
บทสรุปของลูกาต่อคำอุปมาเรื่องผู้หว่านพืชแสดงให้เห็นว่านี่เป็นคำอุปมาเกี่ยวกับการรับฟังความจริง “เพราะฉะนั้น จงเอาใจจดจ่อต่อสิ่งที่พวกท่านได้ยินได้ฟัง คนที่มีอยู่แล้ว จะทรงเพิ่มเติมให้แก่คนนั้น แต่คนที่ไม่มี แม้แต่สิ่งที่เขาคิดว่ามีอยู่นั้น ก็จะทรงเอาไปจากเขา” (ลูกา 8:18) เมื่อคนตอบสนองในทางบวกต่อความจริง พวกเขาก็รับความจริงได้มากขึ้น ก่อนที่จะให้คำอุปมาอื่น ๆ ในคำเทศนานี้ พระเยซูสอนผู้ฟังให้รู้วิธีฟังได้อย่างเกิดผลเหมือนดินดี
คำอุปมาเรื่องข้าวละมาน (มัทธิว 13:24-30, 36-43)
พวกคนยิวคาดหวังว่าอาณาจักรของพระเจ้าจะนำการพิพากษามายังคนชั่วโดยพลัน พระเยซูเตรียมพวกสาวกของพระองค์สำหรับช่วงเวลาที่ทั้งผู้เชื่อและผู้ไม่เชื่อจะใช้ชีวิตอยู่ด้วยกันในโลกนี้ ในเรื่องเล่านี้ ที่นาคือโลก (มัทธิว 13:38) มีเพียงตอนสิ้นยุคเท่านั้นที่พวกทูตสวรรค์จะรวบรวมข้าวละมานและเผามันด้วยไฟ (มัทธิว 13:40) อาณาจักรของพระเจ้าจะก่อร่างในเวลาของพระเจ้า ไม่ใช่ในเวลาของมนุษย์
คำอุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ด (มัทธิว 13:31-32)
ไม่มีใครที่คอยเฝ้าดูพันธกิจของพระเยซูบนโลกนี้จะคาดการณ์ได้ว่าคริสตจักรจะแผ่ขยายไปไกลทั่วโลก พวกสาวกขาดการศึกษา ยากจน และหวาดกลัว พวกเขาขาดคุณสมบัติพิเศษ ไม่มีฐานะทางสังคม หรือไม่มีอำนาจทางการเมือง พวกเขาเป็นเหมือนเมล็ดมัสตาร์ดบางเบา แต่เหมือนกับเมล็ดมัสตาร์ดที่เติบโตเป็นต้นไม้ใหญ่หรือเป็นพุ่ม อาณาจักรของพระเจ้าจะแผ่ขยายไปรอบโลก
ผู้ฟังของพระเยซูคงตกใจอย่างมากที่ได้ยินพระเยซูเปรียบอาณาจักรของพระเจ้าเหมือนเมล็ดมัสตาร์ด พวกรับบีชาวยิวคาดหวังว่าอาณาจักรของพระเจ้าจะมาด้วยฤทธิ์เดชและพระสิริ พวกเขาคาดหวังว่าจะมีการพิพากษาต่อคนบาปทั้งหลาย พวกเขาคาดหวังการจราจลทางการทหารต่อสู้กับโรม พวกเขาคาดหวังการเปลี่ยนแปลงทางสังคมเมื่อมีการก่อตั้งอาณาจักรใหม่ของยิวแทนที่ แต่พระเยซูกลับเตรียมพวกสาวกสำหรับการเริ่มต้นอาณาจักรที่ไม่น่าประทับใจนัก
เมื่อเราอ่านพันธสัญญาใหม่ เราอาจลืมความสำคัญของแคว้นยูเดียในศตวรรษแรก แคว้นยูเดียเป็นศูนย์กลางของพันธสัญญาใหม่ แต่ห่างไกลจากศูนย์กลางของโลกในศตวรรษแรก คิดถึงเมืองหลวงในประเทศของคุณ นี่ไม่ใช่บทบาทของแคว้นยูเดียในศตวรรษแรก บทบาทนั้นเป็นของโรม ลองนึกถึงเมืองที่มีมหาวิทยาลัยและระบบการศึกษาที่ยอดเยี่ยม นี่ไม่ใช่บทบาทของแคว้นยูเดียในศตวรรษแรก บทบาทนั้นเป็นของเอเธนส์หรืออเล็กซานเดรีย
ในความสัมพันธ์กับประเทศอื่น ๆ ในโลก ยูเดียไม่ได้มีความสำคัญอะไรทางการเมือง ไม่สำคัญทางเศรษฐกิจ ไม่สำคัญทางสังคม ลองคิดถึงภูมิภาคที่ไม่มีความสำคัญมากที่สุดในประเทศของคุณ นั่นเป็นสภาพของยูเดียในจักรวรรดิโรมัน
คำอุปมาเรื่องเมล็ดมัสตาร์ด แสดงให้เห็นถึงการเติบโตของอาณาจักรของพระเจ้าจากคนกลุ่มเล็กที่อยู่ในซอกหลืบของจักรวรรดิโรมันซึ่งได้กลายเป็นต้นไม้ใหญ่ที่แผ่ขยายไปถึงชนทุกชาติ[1] พวกรับบีชาวยิวสอนว่าอาณาจักรของพระเจ้าจะจำกัดอยู่กับคนยิวเท่านั้น พระเยซูสอนว่าอาณาจักรของพระเจ้าจะแผ่ขยายไปจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก
คำอุปมาเรื่องเชื้อขนม (มัทธิว 13:33)
คำอุปมาเรื่องเชื้อขนมอธิบายถึงการเติบโตอย่างเหนือธรรมชาติของอาณาจักร พระเยซูใช้เชื้อขนมเป็นสัญลักษณ์ของการแผ่ขยายอาณาจักร แป้งสามถังสามารถทำขนมปังให้คน 100 คนกินได้ แม้จะมีจุดเริ่มต้นเล็กน้อย แต่อาณาจักรก็จะเติบโตเป็นพลังอันยิ่งใหญ่
คำอุปมาเรื่องเชื้อขนมแสดงให้เห็นถึงการเติบโตอย่างมั่นคงของอาณาจักร เชื้อขนมปังไม่ได้น่าตื่นเต้นเร้าใจ มันไม่ได้ระเบิดเหมือนไดนาไมต์ แต่มันทำงานเงียบ ๆ ผ่านขนมปังทั้งก้อน พวกรับบีชาวยิวสอนว่าอาณาจักรของพระเจ้าจะปรากฎต่อโลกกว้างด้วยหมายสำคัญ แต่พระเยซูแสดงให้เห็นว่าอาณาจักรจะค่อย ๆ เติบโต แต่มั่นคง จนกระทั่งแผ่ขยายไปรอบโลก
คำอุปมาเรื่องขุมทรัพย์ที่ซ่อนไว้กับเรื่องไข่มุกที่มีค่ามาก (มัทธิว 13:44-46)
คำอุปมาทั้งสองเรื่องนี้เกี่ยวข้องกับความชื่นชมยินดีในอาณาจักร ทั้งสองเรื่อง ชายคนหนึ่งพบบางสิ่งที่มีค่ามากจนเขายอมขายทุกอย่างเพื่อมาซื้อสิ่งนี้ จุดเน้นของคำอุปมาไม่ใช่การเสียสละของชายคนนั้น แต่คือความชื่นชมยินดีของเขาที่ได้พบสิ่งมีค่ามากขนาดนั้น ด้วยความยินดีเขาจึงไปและขายทุกสิ่ง! สาวกที่แท้จริงชื่นชมยินดีที่ได้สละทุกสิ่งเพื่อติดตามพระคริสต์
คำอุปมาเหล่านี้แสดงให้เห็นถึงคุณค่าสูงสุดของอาณาจักร อาณาจักรของพระเจ้าส่งผลต่อท่าทีของเราซึ่งกระทบต่อชีวิตทั้งหมด ในอีกที่หนึ่ง พระเยซูตรัสว่า “ถ้าตาของท่านทำให้ท่านหลงผิด จงควักออกทิ้งเสีย การที่จะเข้าในแผ่นดินของพระเจ้าด้วยตาข้างเดียวยังดีกว่ามีตาสองข้างแต่ต้องถูกทิ้งลงนรก” (มาระโก 9:47) การเข้าไปในอาณาจักรของพระเจ้านั้นควรค่าต่อการสละสิ่งใด ๆ ทางโลก
คำอุปมาเรื่องอวนจับปลา (มัทธิว 13:47-50)
เรือประมงในทะเลกาลิลีจะลากอวนขนาดใหญ่ที่ดักจับปลาทั้งที่กินได้และกินไม่ได้ เมื่อกลับเข้าฝั่งแล้วชาวประมงจะแยกปลาดีออกจากปลาเสีย
เหมือนกับคำอุปมาเรื่องข้าวละมาน คำอุปมานี้เตือนพวกสาวกให้คิดถึงการพิพากษาที่จะมาในยุคสุดท้าย แทนที่จะคาดหวังการพิพากษาแบบฉับพลัน พวกเขาต้องเทศนาเรื่องอาณาจักรโดยรู้ว่าพระเจ้าจะพิพากษาคนชั่วและคนชอบธรรมในเวลาของพระองค์ จะมีการพิพากษาครั้งสุดท้ายที่แยกคนดีออกจากคนชั่ว แต่เราต้องให้เป็นเวลาของพระเจ้า
คำอุปมาเรื่องเจ้าของบ้าน (มัทธิว 13:51-52)
พระเยซูเริ่มต้นชุดคำอุปมานี้โดยการสอนพวกสาวกว่า พวกเขาควรเป็นดินดีที่เกิดผล พระองค์จบคำอุปมาโดยสอนพวกเขาให้รับผิดชอบในการแบ่งปันกับผู้อื่น ธรรมาจารย์ทุกคนที่ได้รับการฝึกต้องเอาทรัพย์สมบัติแห่งความรู้ของเขามาสอนคนอื่น เราไม่ได้เรียนเพื่อประโยชน์ของตัวเองเท่านั้น พวกสาวกได้รับการฝึกฝนเพื่อพวกเขาจะสามารถฝึกฝนสาวกคนอื่นต่อ ๆ ไปได้
คำอุปมาเรื่องเงินสิบมินา[2] (ลูกา 19:11-27)
► อ่าน ลูกา 19:11-27
คำอุปมานี้มาจากลูกา แต่มัทธิวรวมคำอุปมาคล้ายกันไว้ในช่วงที่พระเยซูพูดถึงวาระสิ้นยุค พระเยซูให้คำอุปมาเรื่องเงินสิบมินาเมื่อพระองค์ใกล้ถึงเยรูซาเล็ม เนื่องจากผู้คนคิดเอาเองว่าอาณาจักรของพระเจ้ากำลังจะเกิดขึ้นทันที (ลูกา 19:11)
เมื่อพระเยซูใกล้ถึงเยรูซาเล็ม ผู้คนเริ่มกระตือรือร้นมากขึ้นในการคาดหวังพระเมสสิยาห์ในทางการเมือง พระเยซูให้คำอุปมานี้เพื่อสอนพวกสาวกให้ยังคงสัตย์ซื่อแม้เมื่อพวกเขารอคอยอาณาจักร พวกเขาต้องไม่ปิดบังสิ่งที่พระอาจารย์ได้ให้ไว้แก่พวกเขา แต่พวกเขาต้องใช้ทรัพยากรของพวกเขาเพื่อความก้าวหน้าของอาณาจักร
[1] ในดาเนียล 4:12 และเอเสเคียล 31:6 นกที่เกาะอยู่บนต้นไม้แทนถึงอาณาจักรยิ่งใหญ่ที่เข้าถึงชนหลายชาติ
[2] “มินา” คือหน่วยของเงิน มีมูลค่าเท่ากับค่าแรงทำงานสามเดือน
Previous
Next