ชีวิตและพันธกิจ ของพระเยซู
ชีวิตและพันธกิจ ของพระเยซู
Audio Course Purchase

Search Course

Type at least 3 characters to search

Search through all lessons and sections in this course

Searching...

No results found

No matches for ""

Try different keywords or check your spelling

results found

Lesson 5: เทศนาเหมือนพระเยซู

1 min read

by Randall McElwain


จุดประสงค์บทเรียน

เมื่อจบบทเรียน นักศึกษาควรบรรลุวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้

(1) ตระหนักถึงคุณสมบัติต่าง ๆ ที่ทำให้พระเยซูเป็นผู้เทศนาที่มีประสิทธิภาพ

(2) เห็นคุณค่าบทบาทของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการเทศนาอย่างมีประสิทธิภาพ

(3) อุทิศตัวต่อความสัตย์ซื่อในฐานะศิษยาภิบาลที่เป็นผู้เลี้ยง

(4) เตรียมคำเทศนาตามแบบอย่างการเทศนาของพระเยซู

หลักการสำหรับพันธกิจ

การเทศนาที่มีประสิทธิภาพไม่ใช่ผลลัพธ์จากความพยายามของมนุษย์โดยลำพัง การเทศนาที่มีประสิทธิภาพเป็นการได้รับฤทธิ์อำนาจจากพระวิญญาณบริสุทธิ์

บทนำ

ฟังการตอบสนองของผู้คนต่อการเทศนาของพระเยซู

  • “เมื่อพระเยซูตรัสคำเหล่านี้เสร็จแล้ว ฝูงชนก็อัศจรรย์ใจด้วยคำสั่งสอนของพระองค์” (มัทธิว 7:28-29)

  • “เนื่องจากฝูงชนทั้งหมดประหลาดใจในคำสั่งสอนของพระองค์” (มาระโก 11:18)

  • “มหาชนต่างฟังพระองค์ด้วยความยินดี” (มาระโก 12:37)

การเทศนาของพระเยซูนั้นทรงพลัง คนนับพัน ๆ มารวมตัวกันเพื่อฟังพระองค์เทศนา แน่นอนเลยว่ารูปแบบการเทศนาของพระองค์ควรเป็นแบบอย่างสำหรับเราในวันนี้ คิดถึงเมื่อขณะอยู่บนโลกนี้ พระเยซูทำพันธกิจในฐานะมนุษย์ อย่าได้คิดว่า “แน่ล่ะที่พระเยซูเป็นผู้เทศนาที่ทรงพลัง ก็พระองค์เป็นพระเจ้านี่” แต่ให้คิดว่า “พระเยซูในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง พระองค์เทศนาด้วยวิธีการสื่อสารที่ทรงพลังและมีสิทธิอำนาจ การเทศนาของพระองค์ดึงดูดผู้ฟังให้ฟังความจริง ฉันจะเรียนรู้อะไรจากพระเยซูเพื่อทำให้ฉันเป็นผู้เทศนาข่าวประเสริฐได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น?”

► ลองคิดว่าคุณอยู่ในยุค ค.ศ. 30 และได้ยินพระเยซูเทศนา คุณคาดหวังจะได้เห็นและได้ยินอะไรบ้าง?

พระเยซูเทศนาด้วยสิทธิอำนาจ

► อ่าน 2 โครินธ์ 4:1-6

เมื่อพระเยซูเทศนาในคาเปอรนาอุม ผู้คนก็อัศจรรย์ใจด้วยคำสอนของพระองค์ เพราะถ้อยคำของพระองค์ประกอบไปด้วยสิทธิอำนาจ (ลูกา 4:32) หลังจากคำเทศนาบนภูเขา “ฝูงชนก็อัศจรรย์ใจด้วยคำสั่งสอนของพระองค์ พราะพระองค์ทรงสั่งสอนพวกเขาอย่างผู้มีสิทธิอำนาจ ไม่เหมือนบรรดาธรรมาจารย์ของเขา” (มัทธิว 7:28-29) พวกธรรมาจารย์อ้างอิงรับบีคนอื่น ๆ เพื่อสนับสนุนทฤษฎีของตัวเอง แต่พระเยซูเทศนาด้วยสิทธิอำนาจ

ในฐานะศิษยาภิบาล เราต้องเทศนาด้วยสิทธิอำนาจ สิทธิอำนาจของเราแตกต่างจากสิทธิอำนาจของพระเยซู สิทธิอำนาจของพระองค์มาจากพระองค์เอง สิทธิอำนาจของเราได้รับมอบมาในฐานะผู้แทนของพระเยซูคริสต์ สิทธิอำนาจของเราได้มาจากข่าวสารที่เราเทศนา

เราเทศนาด้วยสิทธิอำนาจในฐานะตัวแทนของพระเยซู

พระเยซูตรัสว่า “สิทธิอำนาจทั้งหมดในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว” ในข้อถัดมา พระองค์มอบหมายหน้าที่ให้กับสาวกของพระองค์ “จงออกไปและนำชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา...และนี่แน่ะ เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค” (มัทธิว 28:18-20) เรามีสิทธิอำนาจเพราะเราได้รับมอบหมายหน้าที่ในฐานะผู้แทนของพระเยซู

ในปี 1783 ผู้แทนของสหรัฐอเมริกาและผู้แทนของคิงส์จอร์จที่สามได้พบกันเพื่อลงนามในสนธิสัญญาปารีสเพื่อยุติสงครามปฏิวัติอเมริกา คิงส์จอร์จที่สามไม่ได้ไปด้วยตัวเองเพื่อลงนามในสนธิสัญญา จอร์จ วอชิงตัน ไม่ได้ลงนามในสนธิสัญญาด้วยตนเอง แต่ผู้แทนของแต่ละประเทศลงนามในสนธิสัญญาในนามของผู้มีอำนาจปกครองของพวกเขา

ในทำนองเดียวกัน เราเทศนาในฐานะผู้แทนของพระเยซูคริสต์ เปาโลเขียนไว้ว่า “เพราะว่าเราไม่ได้ประกาศตัวเอง แต่ประกาศว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า และประกาศว่าตัวเราเองเป็นทาสของท่านทั้งหลายเพราะเห็นแก่พระเยซู” (2 โครินธ์ 4:5) สิทธิอำนาจของเปาโลไม่ได้เป็นของเขาเอง เขาเป็นผู้รับใช้ แต่เขาเป็นผู้แทนของพระเยซูคริสต์ผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า

เราเทศนาด้วยสิทธิอำนาจเพราะข่าวสารที่เราได้รับมา

สิทธิอำนาจของเราตั้งอยู่บนพื้นฐานของพระคัมภีร์ที่เราเทศนา เปาโลเขียนว่า “เราไม่ใช้อุบายและไม่ได้บิดเบือนพระวจนะของพระเจ้า แต่โดยการเปิดเผยความจริง เราเสนอตัวเราต่อมโนธรรมของทุกคนเฉพาะพระพักตร์พระเจ้า” (2 โครินธ์ 4:2) เปาโลปฏิเสธที่จะทำสิ่งใดที่น่าดูหมิ่นหรือสิ่งใดที่จะทำให้ข่าวสารแห่งพระวจนะของพระเจ้าที่เขาเทศนานั้นด้อยลง

ศิษยาภิบาลบางคนได้ศึกษาเล่าเรียนจากมหาวิทยาลัยที่สอนให้พวกเขาไม่ต้องไว้วางใจในพระคัมภีร์ พวกเขาไม่เทศนาด้วยสิทธิอำนาจอีกต่อไป แต่พวกเขากลับเต็มไปด้วยความสงสัย เพราะอะไรหรือ? พวกเขาสงสัยสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์ พวกเขาพึ่งพิงสติปัญญาของมนุษย์เท่านั้น ในฐานะผู้รับใช้ของพระเจ้า สิทธิอำนาจของเราต้องตั้งอยู่บนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้า

ไม่มีเหตุผลอะไรที่จะเทศนาพระวจนะของพระเจ้าถ้าหากคุณไม่เชื่อข่าวสารจากพระวจนะ เราเทศนาด้วยสิทธิอำนาจได้ก็ต่อเมื่อเราไว้วางใจในพระวจนะของพระเจ้าเท่านั้น

การเข้าใจว่าสิทธิอำนาจของเราได้รับมาจากพระเยซูและจากข่าวสารที่เราเทศนาจะช่วยให้เราหลีกเลี่ยงอันตรายสองอย่างสำหรับศิษยาภิบาล

(1) อันตรายอย่างแรกคือความหยิ่งผยอง ที่พูดว่า “ผมเป็นศิษยาภิบาล ผมเป็นหัวหน้า! ห้ามใครมาตั้งคำถามสงสัยผม”

ความหยิ่งผยองนี้ขับเคลื่อนผู้คนให้ไกลจากข่าวประเสริฐ เปาโลพูดว่า “เพราะว่าเราไม่ได้ประกาศตัวเอง แต่ประกาศว่าพระเยซูคริสต์ทรงเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” (2 โครินธ์ 4:5) สิทธิอำนาจของเราได้รับมาจากพระเยซูและจากพระวจนะของพระเจ้า

เราต้องมีความถ่อมใจเพื่อยอมรับผิดเมื่อเราทำผิด ศิษยาภิบาลคนหนึ่งเคยพูดว่า “ผมไม่เคยบอกกับคริสตจักรถ้าหากผมผิดพลาด พวกเขาจะสูญเสียความมั่นใจในสิทธิอำนาจของผม” ศิษยาภิบาลคนนี้ลืมไปว่าสิทธิอำนาจของเราไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของความที่เราต้องไม่ผิดพลาด แต่สิทธิอำนาจของเราตั้งอยู่บนพื้นฐานของพระวจนะของพระเจ้า เราควรชี้ให้ที่ประชุมมุ่งไปที่สิทธิอำนาจสูงสุดคือพระวจนะของพระเจ้า ถ้อยคำของผมไม่สำคัญ แต่พระวจนะของพระเจ้ามีความสำคัญสูงสุด

(2) อันตรายอย่างที่สองคือความถ่อมใจจอมปลอม ที่พูดว่า “ผมเป็นแค่ศิษยาภิบาลคนหนึ่ง ผมไม่มีสิทธิอำนาจอะไร ผู้เชี่ยวชาญให้คำปรึกษามีความรู้เรื่องจิตวิทยามากกว่าผมอีก นักวิทยาศาสตร์รู้เรื่องรากฐานดั้งเดิมของโลกนี้ นักสังคมวิทยารู้เรื่องความปรารถนาทางเพศในมนุษย์ดีกว่าผม ผมไม่สามารถบอกได้เกี่ยวกับความต้องการทางอารมณ์ การทรงสร้าง หรือเรื่องศีลธรรมต่าง ๆ เพราะผมไม่ใช่ผู้เชี่ยวชาญ”

เปาโลพูดว่า “เราเป็นผู้รับใช้ แต่เรามีสิทธิอำนาจในฐานะผู้แทนของพระเยซูคริสต์” ในฐานะผู้รับใช้คนหนึ่ง เราต้องใช้ชีวิตด้วยความถ่อมใจ แต่ในฐานะผู้แทนของพระเยซูคริสต์ เราต้องเทศนาด้วยความมั่นใจ เมื่อเราเทศนาพระวจนะของพระเจ้าอย่างแท้จริง เราก็รับใช้ด้วยสิทธิอำนาจของพระองค์ผู้เป็นกษัตริย์แห่งจักรวาล

คำเทศนาของพระเยซูนำข่าวดีมายังผู้ที่ขัดสน

พระเยซูพูดกับผู้ฟังที่ขัดสน เมื่อพระเยซูเดินทางไปทั่วกาลิลีเพื่อประกาศข่าวประเสริฐเรื่องแผ่นดินของพระเจ้า พระองค์มีความเมตตาสงสารต่อฝูงชนเพราะพวกเขาถูกรังควานและไร้ที่พึ่ง (มัทธิว 9:35-36) พวกคนยิวเป็นทาสต่อพวกโรม คนยากจนมีความหวังเพียงเล็กน้อยที่จะพ้นจากความยากจน คนโรคเรื้อนถูกขับไล่ คนเก็บภาษีถูกปฏิเสธจากสังคม พระเยซูให้ความหวังแก่คนเหล่านี้แต่ละคน

เมื่อคุณพูดถึงความขัดสนของผู้คน คุณก็จับความสนใจของพวกเขา ถ้าหากผมอยู่ในทะเลทรายและคุณพูดว่า “วันนี้ผมจะเทศนาเรื่องน้ำแห่งชีวิต” ผมจะตั้งใจฟังคุณ! ถ้าผมเป็นคนแก่และอ่อนกำลังและคุณพูดว่า “วันนี้ผมจะเทศนาเรื่องพระเจ้าผู้ประทานกำลังให้กับคุณเหมือนกำลังของนกอินทรี” ผมจะฟังคุณ!

พระเยซูระลึกเสมอว่า ข่าวประเสริฐ หมายถึง “ข่าวดี” พระองค์มาเพื่อนำข่าวดีมอบให้กับคนที่ขัดสนความหวัง การเทศนาที่มีประสิทธิภาพต้องนำความหวังมาให้กับคนที่ได้ยินเรา เราต้องถามเหมือนที่พระเยซูถามว่า “ผมกำลังเทศนาให้ใครฟัง? พวกเขามีความจำเป็นอะไรในชีวิตบ้าง?”

ลองนึกว่าคุณอยู่ในรถยนต์คันหนึ่งที่ประสบอุบัติเหตุและมีเลือดไหลมากจนอันตรายถึงตาย ที่โรงพยาบาล แพทย์คนหนึ่งเอาแผนภูมิสีสันที่เป็นสถิติเกี่ยวกับอุบัติเหตุรถยนต์มาให้คุณดู เขาอธิบายถึงการพัฒนาในประวัติศาสตร์ของเครื่องช่วยฟังทางการแพทย์ และจากนั้นเขาก็เตือนคุณเรื่องอันตรายของการขับรถโดยประมาท

ทุกสิ่งที่แพทย์คนนี้พูดเป็นความจริง แต่มันไม่ตรงกับความต้องการของคุณ คุณจำเป็นต้องมีใครสักคนมาพันบาดแผลและให้ยาแก้ปวดแก่คุณ การเทศนาต้องไม่ใช่แค่การนำเสนอข้อมูลความจริง แต่การเทศนาต้องพูดเกี่ยวกับความจำเป็นในชีวิตของผู้ฟัง

การมองเห็นข่าวร้ายในโลกที่ล้มลงของเราเป็นเรื่องง่าย ข่าวประเสริฐทำได้มากกว่านั้นคือ นำความหวังมาให้กับโลกที่แตกสลาย พระเยซูนำความหวังมาให้กับผู้ฟังของพระองค์เสมอ พระเยซูไม่เคยประนีประนอมต่อความจริง และเราก็ต้องไม่มีวันประนีประนอมต่อความจริง แต่พระเยซูรู้ว่าความจริงที่ได้รับการเทศนาอย่างเหมาะสมจะนำมาซึ่งความหวัง ผู้เทศนาสูงวัยคนหนึ่งพูดว่า “คุณต้องเกาให้ถูกที่คัน” คุณต้องพูดให้ตรงกับความต้องการในชีวิตของคนที่คุณพยายามเข้าถึงนั้น

คำเทศนาของพระเยซูทำให้เกิดการสำนึกผิด

พระเยซูเริ่มต้นด้วยความจำเป็นในชีวิตของผู้ฟัง แต่จุดประสงค์นั้นลึกซึ้งกว่าแค่การพันบาดแผลเพียงชั่วคราว การเทศนาของพระเยซูทำให้เกิดการสำนึกผิดและเปลี่ยนชีวิตของพวกเขา

พระเยซูไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับผู้ฟังด้วยข่าวสารเรื่องการพิพากษาสำหรับความบาปของพวกเขา พระเยซูพูดกับผู้หญิงที่ล่วงประเวณีว่า “เราก็ไม่เอาโทษเหมือนกัน” แต่พระองค์พูดด้วยว่า “จงไปเถิดและจากนี้ไปอย่าทำบาปอีก” (ยอห์น 8:11)

ยอห์นเล่าเรื่องพันธกิจของพระเยซูเกี่ยวกับชายที่เป็นง่อยซึ่งอยู่ที่สระน้ำเบธไซดา หลังจากได้ยินคนนั้น พระเยซูพูดว่า “แน่ะ ท่านหายโรคแล้ว อย่าทำบาปอีก เพื่อจะไม่มีเหตุเลวร้ายกว่านั้นเกิดกับท่าน” (ยอห์น 5:14) พระเยซูไม่กลัวที่จะเผชิญหน้ากับความบาป

เมื่อพระเยซูเทศนา ผู้ฟังของพระองค์สำนึกผิด ไม่เหมือนกับผู้เทศนาร่วมสมัยมากมาย พระเยซูเทศนาถึงความจำเป็นที่จะต้องมีชีวิตที่ชอบธรรม ไม่มีที่ไหนที่พระเยซูพูดว่า “พระบิดาของเราไม่ได้คาดหวังให้ท่านรักษาพระบัญญัติของพระองค์” แต่พระเยซูพูดว่า “ถ้าความชอบธรรมของท่านไม่มากกว่าความชอบธรรมของพวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี พวกท่านจะไม่มีวันได้เข้าสู่แผ่นดินสวรรค์” (มัทธิว 5:20) การเทศนาของพระเยซูนำการสำนึกผิดมายังทุกคนที่ได้ยินพระองค์

คำเทศนาของพระเยซูเปลี่ยนแปลงชีวิต

[1]ในช่วงสงครามกลางเมืองอเมริกา ประธานาธิบดีอับราฮัม ลินคอล์น เข้าร่วมคริสตจักรที่ ดร. ฟีเนียส เกอร์ลีย์ เป็นศิษยาภิบาล หลังจากการประชุมนมัสการครั้งหนึ่ง เพื่อนคนหนึ่งถามว่า “คุณคิดอย่างไรกับคำเทศนานี้” ลินคอล์นกล่าวว่า “เป็นการนำเสนอที่ดีและให้แง่คิดที่สวยงาม”

เพื่อนคนนั้นพูดว่า “คุณชอบใช่ไหม?” คุณลินคอล์นกระอักกระอ่วนพูดว่า “ไม่เลย ผมเชื่อว่า ศจ.เกอร์ลีย์ ทำล้มเหลวในคืนนี้” เพื่อนคนนั้นตกใจสุดขีด “ทำไมคุณพูดแบบนั้น?” ลินคอล์นตอบว่า “เขาไม่ได้ขอให้เราทำสิ่งใดที่ยิ่งใหญ่เลย” ประธานาธิบดีลินคอล์นเชื่อว่าคำเทศนาควรเรียกให้มีการตอบสนอง เขาเชื่อว่าคำเทศนาควรเปลี่ยนชีวิตผู้คน

► อ่าน มัทธิว 18

พระเยซูเทศนาเพื่อเปลี่ยนชีวิตผู้คน การเทศนาของพระองค์เป็นในเชิงปฏิบัติ ในมัทธิวบทที่ 18 บันทึกคำเทศนาของพระเยซูเรื่อง “ความสัมพันธ์ในอาณาจักรสวรรค์” พระเยซูสอนเกี่ยวกับสิ่งต่อไปนี้

  • ความสำคัญของความถ่อมใจ (18:2-6)

  • การตอบสนองต่อการทดลอง (18:7-9)

  • การตอบสนองต่อผู้หลงหาย (18:10-14)

  • การตอบสนองต่อคนที่ทำบาปต่อท่าน (18:15-20)

  • ความจำเป็นที่จะต้องยกโทษ (18:21-35)

ประเด็นเหล่านี้เป็นไปในเชิงปฏิบัติสำหรับชีวิตประจำวัน พระเยซูพูดถึงความจำเป็นที่แท้จริงของผู้ฟัง พระองค์เทศนาเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิต

ต่อชายที่ตาบอดแต่กำเนิด พระเยซูให้การรักษา จากนั้นจึงให้ถ้อยคำที่เปลี่ยนชีวิตของชายคนนั้นชั่วนิรันดร์

พระเยซูทรงได้ยินว่าพวกยิวไล่คนนั้นออกไปแล้ว เมื่อพระองค์ทรงพบเขาจึงตรัสว่า “ท่านวางใจในบุตรมนุษย์หรือ?” ชายคนนั้นทูลตอบว่า “ท่านเจ้าข้า ใครคือบุตรมนุษย์ที่ข้าพเจ้าจะวางใจได้?” พระเยซูตรัสกับเขาว่า “ท่านเห็นผู้นั้นแล้ว คือผู้ที่กำลังพูดอยู่กับท่าน” เขาจึงทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ข้าพระองค์วางใจ” แล้วเขาก็กราบไหว้พระองค์ (ยอห์น 9:35-38)

ต่อคนที่หิวโหย พระเยซูจัดเตรียมขนมปังให้ จากนั้นจึงเทศนาความจริงที่จะเปลี่ยนชีวิตของพวกเขาไปชั่วนิรันดร์ “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต คนที่มาหาเราจะไม่หิว และคนที่วางใจในเราจะไม่กระหายอีกเลย” (ยอห์น 6:35)

การเทศนาที่เปลี่ยนชีวิตนำความจริงจากพระวจนะของพระเจ้ากับความจำเป็นที่มีในชีวิตของผู้คนให้มาบรรจบกัน การเทศนาที่มีประสิทธิภาพพูดความจริงของพระเจ้าต่อความจำเป็นในชีวิตของผู้คน

เมื่อพระเยซูเทศนา พระองค์พูดกับความนึกคิด พูดกับอารมณ์ และพูดกับเจตนา ทั้งสามด้านเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงที่แท้จริง

พระเยซูพูดกับความนึกคิด

เมื่อคุณอ่านคำเทศนาของพระเยซูในมัทธิว 18 คุณกำลังอ่านคำสอนที่ปราดเปรื่องที่สุดอย่างที่ไม่เคยมีมาก่อนเกี่ยวกับความสัมพันธ์ ลองนึกถึงสังคมที่ผู้คนปฏิบัติต่อกันด้วยความถ่อมใจ ลองนึกถึงสังคมที่ให้อภัยกันเป็นปกติ พระเยซูพูดถึงสติปัญญาต่อความนึกคิดของผู้ฟัง

พระเยซูพูดกับอารมณ์

มี 34 ครั้งในพระกิตติคุณที่พูดว่าผู้ฟังของพระเยซูมีความอัศจรรย์ใจ ประหลาดใจ และมหัศจรรย์ใจ พวกสาวกที่กำลังเดินทางไปเอมมาอูสพูดกันว่า “ใจเรารุ่มร้อนภายในเมื่อพระองค์ตรัสตามทาง และเมื่อทรงอธิบายพระคัมภีร์ให้เราฟังไม่ใช่หรือ?” (ลูกา 24:32) คนที่ได้ยินได้ฟังพระเยซูรู้สึกชื่นชมยินดีกับถ้อยคำที่เต็มไปด้วยพระคุณของพระองค์ รู้สึกเสียใจต่อความบาปของพวกเขา และเหนือสิ่งใดรู้สึกมีความหวังสำหรับอนาคต

พระเยซูพูดต่อเจตนารมย์

พระเยซูไม่พอใจกับการเพียงแค่มีผู้ฟัง พระองค์เรียกผู้ติดตาม พระเยซูไม่พอใจกับการเปลี่ยนแปลงภายนอกเท่านั้น พระองค์เรียกให้เกิดการพลิกฟื้นใจและเปลี่ยนชีวิต ไม่ว่าจะเป็นหญิงชาวสะมาเรียที่มีบาปในอดีตหรือเศรษฐีหนุ่มที่เอาใจใส่ทำตามกฎบัญญัติ พระเยซูเรียกให้ผู้ฟังของพระองค์ยอมจำนนเจตนารมย์ของพวกเขาต่อพระเจ้า เมื่อเราเทศนาเหมือนกับพระเยซู เราจะเรียกให้ผู้ฟังของเราเข้าสู่รูปแบบชีวิตใหม่


[1]

“พระคัมภีร์ไม่ได้มีไว้เพียงเพื่อเพิ่มความรู้ให้กับเรา แต่มีไว้เพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตเรา”

- ดัดแปลงจาก D.L. Moody

พิจารณาอย่างละเอียด: คุณกำลังเทศนาข่าวประเสริฐอยู่หรือไม่?

มีศิษยาภิบาลคนหนึ่งเทศนาจากโรมบทที่ 1 เพื่อต่อต้านบาปรักร่วมเพศ เขาเทศนาความจริง แต่มีบางสิ่งขาดหายไป...ในที่ประชุมมีชายหนุ่มคนหนึ่งที่ต่อสู้กับปัญหาการดึงดูดจากเพศเดียวกัน ชายหนุ่มคนนี้รู้ว่ารักร่วมเพศเป็นความบาปและเริ่มต้นอธิษฐานขอการหลุดพ้น เขารู้ความจริงเกี่ยวกับบาปของเขา เขาจำเป็นต้องได้ยินข่าวดี (ข่าวประเสริฐ) ว่าพระเจ้าสามารถให้ชัยชนะเหนือการทดลองแก่เขาได้

มีศิษยาภิบาลคนหนึ่งอ้างถึงคำเตือนของพระเยซูเกี่ยวกับการหย่าร้าง เขาเสียใจต่อกฎหมายที่อนุญาตให้หย่าร้างได้ง่ายดาย เขาเทศนาความจริง แต่มีบางสิ่งขาดหายไป...ในสัปดาห์นั้นมีคู่สมรสหนุ่มสาวที่มีลูกสองคนได้ไปหาทนายความด้านการหย่าร้าง เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถแก้ไขข้อขัดแย้งที่ทำให้ชีวิตสมรสแตกแยกได้ พวกเขารู้ว่าการหย่าร้างเป็นบาป พวกเขาจำเป็นต้องได้ยินข่าวดี (ข่าวประเสริฐ) ว่าพระเยซูสามารถนำการเยียวยารักษามายังชีวิตสมรสที่เจ็บปวดได้

มีศิษยาภิบาลคนหนึ่งตะโกนว่า “การทำแท้งคือการฆ่าเด็กทารกที่บริสุทธิ์ไร้เดียงสา” เขาเทศนาความจริง แต่มีบางสิ่งขาดหายไป...ในที่ประชุมของเขามีผู้หญิงวัยกลางคนที่ร่ำไห้เมื่อเธอคิดถึงวันที่เธอเดินเข้าไปในคลินิคทำแท้งตอนที่เป็นวัยรุ่นไม่ได้แต่งงาน ยี่สิบปีต่อมา เธอยังคงสงสัยว่าพระเจ้าจะยกโทษความบาปให้เธอไหม เธอรู้ว่าการทำแท้งเป็นความบาป เธอจำเป็นต้องได้ยินข่าวดี (ข่าวประเสริฐ) ว่าพระเจ้าหยิบยื่นการยกโทษให้กับอดีตของเธอ

พระเยซูไม่เคยประนีประนอมกับความจริง แต่พระองค์ไม่เคยลืมที่จะนำความหวังมาให้ พระองค์รู้ว่าข่าวประเสริฐเปลี่ยนชีวิตคนได้ ต่อชายหนุ่มที่กำลังต่อสู้กับการดึงดูดจากเพศเดียวกันนั้น พระเยซูจะพูดว่า “พระคุณของเราเพียงพอที่จะให้ชัยชนะเหนือการทดลองแก่เจ้า” ต่อคู่สมรสที่กำลังเผชิญกับความแตกแยก พระเยซูจะพูดว่า “เราสามารถรื้อฟื้นใจแห่งความรักให้คืนกลับมาแม้ว่าคู่ครองจะไม่น่ารักก็ตาม” ต่อผู้หญิงที่ทำบาปต่อทารกที่ยังไม่ถือกำเนิดของเธอ พระเยซูจะพูดว่า “เราจะยกโทษความบาปในการทำแท้งให้กับเจ้าเหมือนที่เรายกโทษบาปอื่น ๆ จงไปและอย่าทำบาปอีกเลย”

ข่าวประเสริฐรวมถึงคำพิพากษาความบาป เราต้องเทศนาการพิพากษาด้วยสิทธิอำนาจ แต่การเทศนาได้เหมือนอย่างพระเยซู เราต้องไม่ลืมฤทธิ์อำนาจของพระคุณที่เปลี่ยนแปลงชีวิต เราต้องนำข่าวดีเรื่องพระคุณของพระเจ้าไปยังโลกที่แตกสลาย

ข่าวประเสริฐประกอบไปด้วยสองชิ้นส่วนของข่าวดีเสมอ ชิ้นส่วนแรกคือ ข่าวประเสริฐบอกเราถึงสิ่งที่พระเจ้าได้ทำเพื่อเรา ซึ่งนำความหวังมายังโลกที่สิ้นหวัง

จากนั้น ข่าวประเสริฐบอกเราถึงสิ่งที่เราสามารถเป็นได้ผ่านทางฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ข่าวประเสริฐไม่เคยทิ้งให้เราอยู่ที่เดิมที่เราเคยอยู่ แต่ข่าวประเสริฐเปลี่ยนแปลงเราให้เดินไปลึกขึ้นกับพระเจ้า

คำเทศนาของพระเยซูเรียบง่ายและจดจำได้ง่าย

พระเยซูไม่เคยทำให้ผู้คนเบื่อหน่ายความจริง พระองค์รู้วิธีเทศนาแบบเรียบง่ายและตรงไปตรงมา พระองค์สื่อสารความจริงอย่างลึกซึ้ง แต่พระองค์ยังคงดึงดูดความสนใจของคนส่วนใหญ่ที่ขาดการศึกษาที่เป็นผู้ฟังของพระองค์

เป้าหมายของผู้เทศนาที่มีประสิทธิภาพไม่ใช่การทำให้ผู้ฟังประทับใจในความรู้ลึกซึ้งของเขา เป้าหมายของผู้เทศนาตือเป็นการสื่อสารพระวจนะของพระเจ้าแบบเรียบง่ายแต่ทรงพลัง และยอมให้พระวิญญาณบริสุทธิ์ทำให้ผู้ฟังสำนึกในความจริงจากพระวจนะของพระเจ้า

พระเยซูทำให้คำเทศนาของพระองค์เรียบง่ายและน่าสนใจได้อย่างไร?

พระเยซูเล่าเรื่อง

คนที่ฟังคำเทศนาของพระเยซูมักจะได้ยินถ้อยคำเหล่านี้ว่า “เราจะเล่าเรื่องหนึ่ง” เรื่องราวของพระองค์จับความสนใจของผู้ฟังและเปิดหูของพวกเขาให้ฟังคำสอนของพระองค์

พวกเราส่วนใหญ่จดจำเรื่องเล่าได้นานกว่าจดจำโครงสร้างสามประเด็น เรื่องเล่าที่ดีที่ยกมาเป็นคำอธิบายประกอบคำเทศนาจะช่วยเราให้จดจำประเด็นสำคัญของคำเทศนา เรื่องเล่าที่ดีเยี่ยมช่วยสรุปคำสอนที่ผู้เทศนาพยายามสื่อสาร

► อภิปรายร่วมกันถึงเรื่องเล่าสุดท้ายที่คุณเคยได้ยินในคำเทศนา เรื่องนั้นได้สื่อสารถึงคำสอนที่มีประสิทธิภาพของผู้เทศนาไหม? คุณจำจุดประสงค์ของเรื่องเล่านั้นได้ไหม? คำเทศนาจะมีประสิทธิภาพและเป็นที่จดจำอยู่ไหมหากปราศจากเรื่องเล่านั้น?

พระเยซูใช้ภาษาที่เข้าใจง่าย

ยิ่งครูผู้สอนเข้าใจแนวคิดมากเท่าไหร่ เขาก็ยิ่งอธิบายแนวคิดนั้นให้กับผู้เรียนเข้าใจได้อย่างง่ายดาย ครูที่ใช้คำยากซับซ้อนในการสอนแนวคิดหนึ่งมักจะปกปิดการขาดความรู้ของเขา ยิ่งคุณเข้าใจบางสิ่งได้ดีเท่าไหร่ คุณก็ยิ่งจะสามารถสื่อสารเรื่องนั้นได้ดีมากขึ้น

พระเยซูรู้วิธีแปลความจริงเป็นภาษาที่ผู้ฟังเข้าใจ พระองค์เทศนาให้กับชาวนาเรื่องเมล็ดพืช พระองค์เทศนาให้กับเลี้ยงแกะฟังเรื่องแกะ พระองค์เทศนาให้ชาวประมงฟังเกี่ยวกับการจับปลา มีคนมากมายที่ปฏิเสธคำสอนของพระเยซู แต่ไม่มีใครเบื่อคำเทศนาของพระองค์เลย

ไม่ว่าจะเป็นชาวประมง ชาวนา หรือแม่บ้านต่างสามารถเข้าใจคำสอนของพระเยซูได้ แต่คำสอนของพระองค์ยังกล่าวถึงประเด็นต่าง ๆ ของพวกผู้เชี่ยวชาญกฎบัญญัติ พวกผู้นำทางศาสนา และพวกข้าราชการทั้งหลายด้วย คำสอนของพระองค์พูดกับคนทุกระดับในสังคม ความเรียบง่ายไม่ได้หมายความว่าตื้นเขิน คำเทศนาของเราควรสื่อสารความจริงแห่งข่าวประเสริฐอันยิ่งใหญ่ได้อย่างชัดเจนและเรียบง่าย

พระเยซูใช้การพูดซ้ำ ๆ

มีศิษยาภิบาลหนุ่มคนหนึ่งที่กำลังผิดหวังกับสมาชิกในคริสตจักรของเขา เขาพูดว่า “พวกเขาควรรู้เรื่องนี้ ผมเทศนาเรื่องนี้เมื่อสองปีที่แล้ว” เพื่อนของเขาเตือนเขาว่าพระเยซูเทศนาเรื่องเดียวกันหลายครั้งก่อนที่พวกสาวกจะเข้าใจ

เพื่อนคนนั้นถามศิษยาภิบาลคนนี้ว่า “คุณคิดว่าคุณเทศนาได้ดีกว่าพระเยซูไหม?”

“ไม่แน่นอน!”

“คุณคิดว่าสมาชิกในคริสตจักรของคุณฉลาดกว่าพวกสาวกไหม?”

“ไม่เลย!”

“ถ้าอย่างนั้นคุณก็ต้องพูดความจริงซ้ำ ๆ เหมือนที่พระเยซูทำ”

พระเยซูเทศนาความจริงเรื่องเดียวกันซ้ำแล้วซ้ำเล่า ครั้งแล้วครั้งเล่าที่พระองค์สอนพวกสาวกเกี่ยวกับการตายและการฟื้นขึ้นจากตายของพระองค์ พระองค์เทศนาเรื่องอาณาจักรของพระเจ้าหลายครั้ง พระเยซูรู้ว่าความจริงเหล่านี้สำคัญมาก ดังนั้นพระองค์จึงเทศนาหลายครั้งตามความจำเป็นเพื่อเข้าถึงผู้ฟังของพระองค์

คำเทศนาของพระเยซูเป็นของแท้

การเทศนาของพระเยซูเป็นของแท้ ชีวิตของพระองค์ตรงกันกับคำสอนของพระองค์ พระเยซูไม่ได้เทศนาเรื่องชีวิตที่ชอบธรรมเท่านั้น แต่พระองค์ดำเนินชีวิตที่ชอบธรรมด้วย ไม่มีใครสามารถชี้ให้เห็นความขัดแย้งกันระหว่างคำสอนของพระเยซูกับชีวิตของพระองค์ พระเยซูดำเนินชีวิตในสิ่งที่พระองค์เทศนา

[1]ลองนึกถึงว่าคุณอยากเรียนขับรถยนต์ คุณเจอครูสอนสองคนที่สอนบทเรียนการขับรถ ครูสอนคนหนึ่งไม่เคยขับรถยนต์มาก่อนแต่มีคู่มือมากมายเรื่องวิธีการขับรถ ครูสอนอีกคนมีประวัติว่าเป็นคนขับรถปลอดภัยมาหลายปี คุณจะเลือกครูคนไหน?

ตอนนี้ให้ลองนึกว่าคุณอยากเรียนรู้เรื่องชีวิตคริสเตียน คุณเจอศิษยาภิบาลสองคน คนหนึ่งมีชีวิตอยู่ในความบาป แต่เขาเทศนาได้ดี ศิษยาภิบาลอีกคนใช้ชีวิตในวิถีที่แสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ที่สนิทสนมกับพระเจ้า คุณจะเลือกเรียนรู้กับคนไหน?

การเทศนาต้องเป็นของแท้ เราต้องใช้ชีวิตตามที่เราเทศนา ผู้เทศนามากมายที่ถูกพบว่าเป็นไปได้ที่จะมีคุณธรรมจอมปลอมในชั่วขณะหนึ่ง ผู้คนอาจถูกหลอกลวงโดยผู้เทศนาคนหนึ่งที่เทศนาเรื่องความซื่อสัตย์แต่ในขณะเดียวกันตัวเองกลับยักยอกเงินถวาย พวกเขาอาจถูกนำให้หลงไปโดยผู้เทศนาคนหนึ่งที่เทศนาเรื่องศีลธรรมแต่ในขณะเดียวกันก็กำลังล่วงประเวณี พวกเขาอาจถูกทำให้โง่เขลาโดยศิษยาภิบาลคนหนึ่งที่ชอบทุบตีภรรยา แต่กระนั้นความจริงจะปรากฏ ใจที่ว่างเปล่าจะส่งผลเป็นงานพันธกิจที่ว่างเปล่าปราศจากฤทธิ์เดชฝ่ายวิญญาณ พระเจ้าทำงานผ่านเราเมื่อเรายอมให้พระองค์ทำงานภายในเรา

อย่ายอมให้ความเย้ายวนใจของการเทศนามาบดบังชีวิตที่ทำบาป การเทศนาที่มีประสิทธิภาพเริ่มตนจากใจที่รู้จักพระเจ้า


[1]

“พระเยซูไม่เคยพูดว่า ‘ท่านจะรู้จักพวกเขาได้โดยขนาดของพันธกิจของพวกเขา’ แต่พระองค์พูดว่า ‘ท่านจะรู้จักพวกเขาได้โดยผลของพวกเขา’—โดยการเชื่อฟังของพวกเขาต่อพระประสงค์ของพระบิดา”

- Craig Keener

การประยุกต์ใช้: ศิษยาภิบาลในฐานะผู้เลี้ยง

► อ่าน มาระโก 6:30-34

หนึ่งในภาพที่ดีที่สุดของศิษยาภิบาลคือการเป็นผู้เลี้ยง พระเยซู “ทอดพระเนตรเห็นมหาชน และพระองค์ทรงสงสารพวกเขา เพราะว่าพวกเขาเป็นเหมือนฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง พระองค์จึงทรงเริ่มสั่งสอนพวกเขาหลายประการ” พระเยซูมองดูที่ฝูงชนและพระองค์มองเห็นแกะที่ต้องการผู้เลี้ยง

► พยายามจินตนาการว่าใครบ้างที่อยู่ท่ามกลางฝูงชน 5,000 คนใน มาระโกบทที่ 6 เขียนรายการระบุถึงคนเหล่านั้น

  • ในรายการของคุณมีคนเก็บภาษีที่โกงประชาชนด้วยไหม? พวกเขาอยู่ที่นั่น การตะโกนด่าว่าพวกข้าราชการที่ทุจริตนั้นทำได้ง่าย แต่พระเยซูมองเห็นแกะหลงหายที่ต้องได้รับการช่วยกู้กลับคืนมา

  • ในรายการของคุณมีพวกฟาริสีที่ชอบตัดสินซึ่งหวังว่าจะจับผิดพระเยซูได้ด้วยไหม? การที่พระเยซูจะทำให้คนเหล่านี้ขายหน้าต่อหน้าฝูงชนนั้นทำได้ง่าย แต่พระเยซูมองเห็นแกะดื้อรั้นที่จำเป็นต้องนำกลับมาในทางที่ถูกต้อง

  • ในรายการของคุณรวมถึงสามีที่ไม่ซื่อสัตย์ที่ใจของเขากล่าวโทษตัวเองสำหรับการล่วงประเวณีไหม? เขาอยู่ที่นั่น พระเยซูมองเห็นแกะที่ล้มลงที่จำเป็นต้องได้รับการแก้ไขและเยียวยารักษา

  • ในรายการของคุณรวมถึงเด็กวัยรุ่นที่กบฏต่อครอบครัวและหนีออกจากโรงเรียนไปเข้าร่วมกับกลุ่มนิรนามไหม? พวกเขาอยู่ที่นั่น พระเยซูมองเห็นแกะพลัดหลงที่จำเป็นต้องนำกลับมาในทางที่ถูกต้องก่อนที่พวกเขาจะหลงไปไกลกว่านี้

คุณมองเห็นใครเวลาที่คุณเทศนา? คุณมองเห็นแต่ข้อบกพร่องของสมาชิกในที่ประชุมหรือไม่ หรือคุณมองเห็นความต้องการลึก ๆ ของแกะของคุณ? คุณมองเห็นคณะกรรมการที่โกรธจัดไหม หรือคุณมองเห็นแกะที่มีความเจ็บปวดซึ่งทำร้ายคนอื่น? คุณมองเห็นคนที่หันหลังกลับ หรือคุณมองเห็นแกะที่ทนทุกข์เพราะบาป? พระเยซูมองเห็นแกะที่ขัดสน

► อ่าน ยอห์น 10:1-18

ในฐานะศิษยาภิบาล เราได้รับการทรงเรียกให้เป็นผู้เลี้ยง ผู้เลี้ยงรับใช้แกะอย่างไร? ยอห์น 10 เป็นแบบอย่างให้กับเรา

ผู้เลี้ยงนำหน้าแกะ

ถ้าหากคุณเฝ้าดูผู้เลี้ยง คุณจะไม่เห็นเขาถือไม้พลองเพื่อต้อนฝูงแกะ แต่ผู้เลี้ยงนำหน้าแกะไปในทิศทางที่ถูกต้อง พระเยซูตรัสว่า “แกะย่อมฟังเสียงของท่าน ท่านเรียกชื่อแกะของท่าน และนำออกไป เมื่อท่านต้อนแกะของท่านออกไปหมดแล้วก็เดินนำหน้า และแกะก็ตามไปเพราะรู้จักเสียงของท่าน” (ยอห์น 10:3-4)

เมื่อเราอ่านพระกิตติคุณ มีหลายครั้งที่เราอาจคาดหวังให้พระเยซูตีเปโตร ยอห์น หรือโธมัสด้วยไม้พลอง! พวกเขามีปัญหาครั้งแล้วครั้งเล่า แต่แทนที่จะตีพวกเขา พระเยซูใช้ไม้เท้าของผู้เลี้ยงเพื่อฉุดพวกสาวกที่อ่อนแอมีปัญหาให้ขึ้นมาและจับพวกเขาวางไว้บนเส้นทางที่ถูกต้อง

ในฐานะผู้เลี้ยง คุณนำแกะที่พระเจ้าวางไว้ในคริสตจักรของคุณหรือคุณขับไล่พวกเขา? คุณเป็นผู้เลี้ยงที่นำหน้าหรือเป็นผู้จัดการที่คอยสั่งให้แกะเชื่อฟัง?

ผู้เลี้ยงเอาใจใส่แกะ

มีบ้างไหมในบางครั้งที่คุณคิดว่า “ฉันจะมีงานที่ทำตั้งแต่เวลา 9 โมงเช้าถึง 5 โมงเย็นพร้อมกับวันหยุดสุดสัปดาห์ และไม่ต้องรับโทรศัพท์หลังจาก 5 โมงเย็นเป็นต้นไป?” ฟังดูแล้วมันยอดเยี่ยมมาก! แต่นั่นไม่ใช่ชีวิตของผู้เลี้ยง

ผู้เลี้ยงเอาใจใส่แกะเมื่อแกะต้องได้รับความช่วยเหลือ ไม่ใช่เฉพาะในเวลาทำงานเท่านั้น ผู้เลี้ยงไม่สามารถพูดกับลูกแกะที่บาดเจ็บได้ว่า “อยู่ที่นั่นไปก่อนนะ รอจนถึงพรุ่งนี้ตอน 9 โมงเช้าที่ผมจะเข้าทำงาน” ผู้เลี้ยงออกไปตอนกลางคืนเพื่อช่วยชีวิตลูกแกะ

ในทำนองเดียวกัน ศิษยาภิบาลเอาใจใส่แกะของเขาเมื่อคนเหล่านั้นต้องการความช่วยเหลือ การเอาใจใส่ดูแลแกะฝ่ายวิญญาณมีมากยิ่งกว่าการเทศนา มันเกี่ยวข้องกับการเทศนา แต่รวมทั้งการให้คำปรึกษา การเยี่ยมเยียน การรับฟัง การอธิษฐาน และบางครั้งเพียงแค่นั่งอยู่กับแกะที่บาดเจ็บ

จริงอยู่ที่ศิษยาภิบาลก็ต้องดูแลตัวเองด้วย คุณไม่สามารถเป็นผู้เลี้ยงที่มีประสิทธิภาพได้หากคุณเหน็ดเหนื่อยทั้งทางร่างกาย อารมณ์ และจิตวิญญาณ พระเยซูใช้เวลาตามลำพัง และคุณก็ต้องใช้เวลาอยู่ตามลำพัง แต่มีหลายครั้งที่พระเยซูรู้ว่าพระองค์ต้องสละความสุขสบายเพื่อดูแลฝูงแกะ

การสร้างความสมดุลระหว่างการทำพันธกิจกับการพักผ่อนอาจทำได้ยาก แต่ในการเป็นศิษยาภิบาลผู้เลี้ยงที่ฉลาด คุณต้องไวต่อการทรงนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์และรับคำปรึกษาที่ชาญฉลาดจากคนรอบข้าง ฟังเสียงของพระวิญญาณเมื่อพระองค์ตรัสว่า “ถึงเวลาถอนตัวออกไปพักและรับการฟื้นฟู” ฟังเสียงภรรยาของคุณหรือเพื่อนร่วมงานที่พูดว่า “คุณจำเป็นต้องปลีกเวลาออกไป” แล้วกลับมาจากการพักฟื้นด้วยภาระใจใหม่เพื่อเอาใจใส่ดูแลฝูงแกะที่พระเจ้ามอบไว้ให้กับคุณ

ผู้เลี้ยงปกป้องฝูงแกะ

พระเยซูเปรียบเทียบให้เห็นความแตกต่างระหว่างชายคนที่รับจ้างที่วิ่งหนีไปเมื่อมีอันตรายกับผู้เลี้ยงที่ดีที่ยอมเสี่ยงชีวิตปกป้องแกะ ชายคนรับจ้างไม่เอาใจใส่ดูแลแกะ แต่ผู้เลี้ยงยอมสละชีวิตเพื่อแกะ (ยอห์น 10:13, 15)

แม้ในช่วงเวลาสุดท้าย พระเยซูก็เอาใจใส่สาวก ขณะที่รับประทานอาหารมื้อสุดท้าย พระเยซูเตรียมพวกสาวกสำหรับการทดลองที่พวกเขาจะต้องเผชิญในไม่ช้า ในสวนนั้นพระองค์ยังคงสอนเปโตร ยากอบ และยอห์นต่อไป ที่บนกางเขนพระองค์ฝากมารีย์ไว้ในการดูแลของยอห์น ผู้เลี้ยงที่ดีเอาใจใส่แกะของพระองค์ไปจนถึงจุดจบ

เปาโลมอบหมายให้ผู้ปกครองของคริสตจักรเอเฟซัสรับใช้ในฐานะผู้เลี้ยง พวกเขาต้องเอาใจใส่ฝูงแกะที่พระเยซูซื้อมาด้วยพระโลหิตของพระองค์ ในข้อถัดมา เปาโลเตือนเรื่องหมาป่าดุร้ายที่จะเข้ามาโจมตีฝูงแกะ ผู้เลี้ยงต้องรับผิดชอบในการปกป้องฝูงแกะ (กิจการ 20:28-31)

ในฐานะผู้เลี้ยงแกะ คุณปกป้องแกะที่พระเจ้าฝากไว้ในคริสตจักรของคุณไหม? คุณปกป้องพวกเขาจากหลักคำสอนผิด จากการโจมตีชีวิตสมรสและครอบครัว และจากการโจมตีฝ่ายวิญญาณอื่น ๆ หรือไม่? คุณเป็นผู้เลี้ยงหรือคนรับจ้าง?

ก่อนที่คุณจะเทศนาในวันอาทิตย์หน้า ขอให้พระเจ้าเปิดเผยให้คุณมองเห็นถึงความจำเป็นในชีวิตของแกะของคุณ ขอพระองค์เปิดเผยให้คุณมองเห็นใจที่แตกสลายของแกะของคุณ เมื่อคุณเทศนา ขอให้มองเห็นแกะที่ถูกรังควานและไร้ที่พึ่งซึ่งต้องการความรักจากผู้เลี้ยงที่เป็นคนของพระเจ้า

พิจารณาอย่างละเอียด: “วิบัติ!”

► อ่าน มัทธิว 23:1-39

พระเยซูใช้คำว่า “วิบัติแก่เจ้า” เมื่อพูดถึงเมืองต่าง ๆ ที่ปฏิเสธพระองค์ (มัทธิว 11:21) พูดกับพวกฟาริสีและธรรมาจารย์ที่นำคนให้หลงผิด (มัทธิว 23:13-29) และพูดเกี่ยวกับยูดาสผู้ทรยศพระองค์ (มาระโก 14:21) บางครั้งเมื่อเราอ่านคำว่า “วิบัติ” เหล่านี้ เราอ่านด้วยน้ำเสียงที่ดุดันโกรธเคืองซึ่งเราลืมนึกถึงความรักของพระเยซูที่มีให้แม้แต่คนที่ปฏิเสธพระองค์

มีการพิพากษาอยู่ในคำว่า วิบัติ แต่ก็มีความโศกเศร้าด้วย คำว่า “วิบัติ” รวมทั้งการพิพากษาและ “ความเศร้าและสงสาร” ต่อคนที่ถูกพิพากษานั้น คำนี้แสดงถึง “ความโศกเศร้าของพระเยซูต่อคนที่ไม่รู้ถึงสภาพที่ทุกข์ยากของพวกเขาอย่างแท้จริง”[1] คำว่า “วิบัติ” แสดงออกถึงความโศกเศร้าอย่างสุดซึ้งและเป็นคำเตือนด้วยเช่นกัน

พระเยซูสรุปคำประกาศถึงการพิพากษาของพระองค์ต่อพวกผู้นำศาสนาโดยการร่ำไห้ถึงชะตากรรมของเมืองที่พระองค์รัก “โอ เยรูซาเล็ม เยรูซาเล็ม เมืองที่ฆ่าบรรดาผู้เผยพระวจนะ และเอาหินขว้างพวกที่ถูกส่งให้มาหาเจ้าถึงตาย บ่อยครั้งที่เราปรารถนาจะรวบรวมลูกๆ ของเจ้าไว้ เหมือนแม่ไก่กกลูกอยู่ใต้ปีกของมัน แต่เจ้าไม่ยอม” พระเยซูร่ำไห้ถึงชะตากรรมของเมืองที่อีกไม่นานจะตรึงพระองค์บนไม้กางเขน (มัทธิว 23:37 และลูกา 19:41)

นี่ควรเป็นแบบอย่างให้แก่เราในการเทศนาเรื่องการพิพากษา การเทศนาของเราต้องรวมทั้งคำเตือนต่อบาปและถ้อยคำพิพากษาต่อคนเหล่านั้นที่ปฏิเสธการกลับใจใหม่ แต่คำเทศนาของเราต้องแสดงถึงความเศร้าเสียใจต่อบาป ไม่ใช่โกรธเคืองคนที่ทำบาป

มีวัยรุ่นดื้อรั้นคนหนึ่งที่กลับบ้านไปหลังจากฟังคำเทศาเรื่องนรก พ่อถามเขาว่า “ลูกพ่อ คิดยังไงบ้างกับคำเทศนาวันนี้?” เขาตอบว่า “ผมไม่ชอบ มันทำให้ผมโกรธ!” สัปดาห์ต่อมา ลูกชายได้ยินผู้เทศนาอีกคนเทศน์เรื่องนรก พ่อถามเขาอีกครั้งว่า “ลูกคิดยังไงกับคำเทศนาวันนี้?” เขาตอบว่า “ผมต้องรับใช้พระเยซู ผมไม่อยากไปยังที่ที่น่ากลัวแบบนั้น”

พ่อแปลกใจ “เมื่ออาทิตย์ที่แล้ว คำเทศนาเรื่องนรกทำให้ลูกโกรธ แต่อาทิตย์นี้คำเทศนาเรื่องนรกทำให้ลูกกลับใจใหม่ มันต่างกันตรงไหนหรือ?” เด็กหนุ่มพูดว่า “ผู้เทศนาคนนี้ร้องไห้เวลาที่เขาเตือนผมเรื่องนรก”

คุณร้องไห้เมื่อคุณเทศนาเรื่องการพิพากษาไหม? คุณร้องไห้เมื่อคุณเตรียมคำเทศนาเรื่องนรกไหม? คุณเป็นผู้เลี้ยงแกะแม้เมื่อคุณต้องเตือนเรื่องการพิพากษาไหม?


[1]Martin H. Manser, Dictionary of Bible Themes. (London: Martin Manser, 2009) ดูใน Joel B. Green and Scot McKnight, Dictionary of Jesus and the Gospels. (Westmont, Illinois: InterVarsity Press, 1992) ด้วยเช่นกัน

บทสรุป: บทบาทของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการเทศนา

ในฐานะผู้เทศนา เราต้องพึ่งฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อนำการสำนึกผิดมายังผู้ฟังของเรา ถ้าหากเราใช้เทคนิคของมนุษย์เพียงอย่างเดียวเพื่อสร้างแรงดึงดูดทางอารมณ์ เราอาจเห็นผลลัพธ์อย่างรวดเร็ว แต่ผลลัพธ์ฝ่ายวิญญาณจะขาดหายไป พระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้นที่สามารถนำการเปลี่ยนแปลงอย่างยั่งยืนมาสู่ผู้ฟังของเรา

► อ่าน 1 โครินธ์ 2:1-16

เปาโลเข้าใจว่าการเปลี่ยนแปลงฝ่ายวิญญาณเกิดขึ้นได้โดยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น หลังจากเขาออกจากเอเธนส์ซึ่งเป็นที่ที่เขาโต้แย้งกับพวกนักปรัชญาที่สภาอาเรโอปากัสแล้ว เขาก็มาที่เมืองโครินธ์ (กิจการ 17:16-18:1) ในโครินธ์ เขาตั้งใจที่จะไม่ใช้ถ้อยคำหวานหูหรือความฉลาดปราดเปรื่องใดเพื่อเทศนา นอกจากเรื่องพระเยซูคริสต์และการที่พระองค์ถูกตรึงที่กางเขน เขาเทศนา “การสำแดงของพระวิญญาณและฤทธานุภาพ” (1 โครินธ์ 2:1-5)

เปาโลรู้ว่าพระวิญญาณอธิบายความหมายของความจริงฝ่ายวิญญาณให้กับคนที่อยู่ฝ่ายวิญญาณ (1 โครินธ์ 2:13) เปาโลให้คุณค่าต่อการศึกษา เขาเป็นนักวิชาการชั้นเลิศ เขาเข้าใจเรื่องการพูดอย่างมีประสิทธิภาพต่อสาธารณชน เขาได้ศึกษาเรื่องการเป็นนักปราศรัยผู้ยิ่งใหญ่ของชาวกรีก เขารู้วิธีสร้างข้อโต้แย้งเชิงตรรกะ ชาวโรมันเป็นผลงานชิ้นเอกในเรื่องโครงสร้างทางตรรกะ แต่เหนือสิ่งใด เปาโลให้คุณค่าต่อฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ เขารู้ว่าการสำนึกผิดที่แท้จริงมาจากการงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น

เปาโลเตือนชาวโครินธ์ให้ระลึกว่า “แต่เรามีของล้ำค่านี้อยู่ในภาชนะดิน เพื่อให้เห็นว่า ฤทธิ์เดชอันเลิศนั้นเป็นของพระเจ้า ไม่ได้มาจากตัวเราเอง” (2 โครินธ์ 4:7) ภาชนะไม่ได้มีค่าราคาอะไร! พวกเราในฐานะผู้นำพันธกิจ เราเป็นหม้อดินที่แตก แต่เราได้รับสิทธิพิเศษในการบรรจุของล้ำค่าคือข่าวประเสริฐเพื่อนำไปให้กับคนที่เรารับใช้

นี่คือคำเตือนที่มีพลังต่อผู้นำพันธกิจทั้งหลาย การจะมุ่งเน้นที่ภาชนะแทนที่จะมุ่งเน้นที่ของล้ำค่าในภาชนะนั้นเกิดขึ้นได้ง่าย เราอาจให้ความสนใจกับการนำเสนอของเรามากกว่าคำสอน เราอาจให้ความสนใจกับภาชนะมากกว่าของล้ำค่า เปาโลเตือนเราว่าพระเจ้าต้องการใช้ภาชนะดินเพื่อแสดงให้เห็นถึงฤทธิ์อำนาจที่เป็นของพระเจ้า ไม่ใช่ของเราเอง เราต้องไม่เข้าไปขวางทางฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า เราต้องไม่แย่งเกียรติที่เป็นของพระองค์เท่านั้น เราต้องเทศนาด้วยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณ

งานมอบหมายบทที่ 5

สามารถพิมพ์ PDF ได้ที่นี่

(1) พระกิตติคุณมัทธิวประกอบไปด้วยคำเทศนาหลักห้าตอน ขอให้อ่านคำเทศนาแต่ละตอนและระบุถึงคุณลักษณะของคำเทศนาที่ทำให้มีประสิทธิภาพ แล้วเขียนลงในตารางด้านล่าง ไม่มีคำตอบใดถูกหรือผิด ให้ถามว่า “พระเยซูทำให้ฉันสำนึกผิด สร้างแรงบันดาลใจให้ฉัน หรือช่วยฉันให้คิดถึงและประยุกต์ใช้คำสอนของพระองค์อย่างไรบ้าง?”

(2) เมื่อคุณเตรียมคำเทศนาครั้งต่อไป ขอให้ทบทวนคุณลักษณะที่คุณพบในคำเทศนาของพระเยซู ใช้คำเทศนาของพระองค์เป็นแบบอย่างสำหรับการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ แบ่งปันคำเทศนานี้กับคนอื่นในชั้นเรียน ประเมินคำเทศด้วยคำถามนี้ “ฉันวางรูปแบบคำเทศนาของฉันตามแบบอย่างของพระเยซูไหม?”

คำเทศนา คุณลักษณะ
คำเทศนาบนภูเขา
(มัทธิว 5-7)
 
การส่งอัครทูต
(มัทธิว 10)
 
คำอุปมาเรื่องอาณาจักรของพระเจ้า
(มัทธิว 13)
 
ชีวิตในอาณาจักรของพระเจ้า
(มัทธิว 18)
 
คำพยากรณ์เรื่องการสิ้นยุค
(มัทธิว 24-25)
 
Next Lesson