ชีวิตและพันธกิจ ของพระเยซู
ชีวิตและพันธกิจ ของพระเยซู
Audio Course Purchase

Search Course

Type at least 3 characters to search

Search through all lessons and sections in this course

Searching...

No results found

No matches for ""

Try different keywords or check your spelling

results found

Lesson 4: สอนเหมือนพระเยซู

1 min read

by Randall McElwain


จุดประสงค์บทเรียน

เมื่อจบบทเรียน นักศึกษาควรบรรลุวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้

(1) ตระหนักถึงคุณสมบัติต่าง ๆ ที่ทำให้พระเยซูเป็นครูที่ดีที่สุด

(2) เรียนรู้วิธีการในเชิงปฏิบัติเพื่อพัฒนาการเป็นครูผู้สอน

(3) วางแผนสำหรับงานมอบหมายที่จะพัฒนาความพร้อมของนักศึกษาสำหรับการเรียน

หลักการสำหรับพันธกิจ

เมื่อนักศึกษาได้รับการฝึกฝนอย่างเต็มที่ พวกเขาก็จะเป็นเหมือนครูของเขา

บทนำ

► บทเรียนนี้ไม่มีงานมอบหมายในตอนท้ายบทเรียน แต่มีงานมอบหมายย่อย ๆ ตลอดทั้งบทเรียน ภายใต้หัวข้อ “นำบทเรียนสู่การปฏิบัติ” บางงานมอบหมายจำเป็นต้องมีการเขียนหรือกิจกรรมเชิงปฏิบัติ บางงานอาจเพียงแค่คิดหรืออภิปรายร่วมกัน ขอให้ทำงานงานมอบหมายแต่ละอย่างที่พบตลอดทั้งบทเรียน

หนึ่งในคำกล่าวที่ลึกซึ้งมากที่สุดเกี่ยวกับพลังของการสอนนั้นมาจากพระเยซู “ศิษย์ย่อมไม่ใหญ่ไปกว่าครู แต่ศิษย์ทุกคนที่ได้รับการฝึกสอนอย่างสมบูรณ์แล้ว ก็จะเป็นเหมือนอย่าง” (ลูกา 6:40) พระเยซูรู้ว่าเมื่อฝึกฝนสาวกของพระองค์ พวกเขาจะสะท้อนพระลักษณะของพระองค์เอง ด้วยเหตุนี้ พระเยซูทุ่มเทพลังในการสอนอัครสาวกสิบสองคนอย่างมาก

ในบางคริสตจักร ครูระวีได้รับหน้าที่โดยที่ไม่มีประสบการณ์หรือได้รับการฝึกฝนมาก่อน จึงมีความพยายามเพียงเล็กน้อยในการสอนคนที่พึ่งกลับใจมาเชื่อหรือสอนเด็ก

ในฐานะผู้นำคริสตจักร เราควรให้การสอนมีความสำคัญต้น ๆ เหมือนกับที่พระเยซูให้ความสำคัญ ถ้าหากผู้เรียนจะเป็นเหมือนครูของเขา ภารกิจในการสอนย่อมมีความสำคัญใหญ่หลวง เราควรฝึกครูผู้สอนให้ทำตามแบบอย่างของพระเยซูผู้เป็นพระอาจารย์

► ขอให้คิดถึงสิ่งที่คุณรู้อยู่แล้วเกี่ยวกับรูปแบบการสอนของพระเยซู เขียนลักษณะสี่อย่างที่ทำให้พระองค์เป็นครูที่ดีที่สุด คิดถึงครูที่ดีที่สุดที่คุณเคยเรียนกับเขา เขียนลักษณะสามหรือสี่อย่างที่ทำให้คนนี้เป็นครูที่ดีที่สุด มีลักษณะใดของทั้งสองบุคคลนี้ที่ทับซ้อนกัน?

หัวใจของพระอาจารย์: คุณลักษณะ

เนื้อหาคำสอนของพระเยซูตั้งอยู่บนพื้นฐานของคุณลักษณะของพระอาจารย์ หัวใจของพระเยซูวางรากฐานสำหรับคำสอนของพระองค์ หัวใจของครูที่ดีที่สุดคืออะไร?

พระเยซูผู้เป็นพระอาจารย์ เข้าใจถึงความจำเป็นต่าง ๆ ที่ผู้เรียนของพระองค์มี

► อ่าน ลูกา 4:16-21

ครูที่สอนในโรงเรียนจะเตรียมแผนการสอนบทเรียนในทุกวัน แผนการสอนบทเรียนแสดงให้เห็นสิ่งที่ครูจะต้องบรรลุการสอนในแต่ละชั้นเรียน แผนการสอนบทเรียนรวมถึงสิ่งต่อไปนี้

  • จุดประสงค์: ผู้เรียนจะเรียนรู้เรื่องการบวกจำนวนเศษส่วน

  • กิจกรรม: นักเรียนจะทำโจทย์ข้อ 1-20 ในหน้า 89 ในสมุดงานของชั้นเรียน

พระเยซูมีแผนการสอนบทเรียนสำหรับพันธกิจของพระองค์ แต่แผนการสอนบทเรียนของพระองค์ไม่ได้อยู่ในสมุดงาน แต่เน้นที่ความจำเป็นต่าง ๆ ที่ผู้เรียนของพระองค์มี พระเยซูบอกผู้ฟังถึงสิ่งที่พระองค์ถูกส่งมาเพื่อทำให้สำเร็จ ได้แก่

  • ประกาศข่าวดีแก่คนยากจน

  • ประกาศเสรีภาพแก่ผู้เป็นเชลย

  • ประกาศการมองเห็นให้กับคนที่ตาบอด

  • ปลดปล่อยผู้ที่ถูกกดขี่

  • ประกาศปีแห่งความโปรดปราน (ลูกา 4:18-19)

จุดประสงค์ของพระเยซูตอบสนองความจำเป็นที่ผู้เรียนมี ผู้เรียนของพระเยซูไม่ใช่พวกสะดูสีผู้มั่งคั่งที่ควบคุมพระวิหารในเยรูซาเล็มและกุมอำนาจทางการเมืองในสภาแซนเฮดริน ผู้เรียนของพระองค์เป็นคนยิวธรรมดา ๆ ที่ถูกโรมกดขี่ข่มเหง พวกเขาบางคนตาบอดหรือเป็นง่อย พวกเขาจำนวนมากเป็นคนจนที่เป็นทุกข์เดือดร้อนเนื่องจากภาษีที่สูง

แผนการสอนบทเรียนของพระเยซูนั้นเรียบง่ายคือ เพื่อตอบสนองความจำเป็นของผู้เรียน พระองค์จะปลดปล่อยเชลยให้เป็นไท พระองค์จะทำให้คนตาบอดมองเห็น ในปฏิทินของคนยิว ปีแห่งความโปรดปรานคือเวลาแห่งการเฉลิมฉลอง หนี้จะได้รับการยกหนี้ ที่ดินจะคืนให้กับครอบครัวเดิมที่เป็นเจ้าของ ทาสได้รับอิสรภาพ พระเยซูประกาศว่าพระองค์มาเพื่อนำปีแห่งความโปรดปรานมาให้กับผู้คนที่ถูกกดขี่ข่มเหง

ตลอดเวลาการทำพันธกิจของพระเยซูบนโลกนี้ พระเยซูเอ่ยถึงความจำเป็นที่ผู้เรียนของพระองค์มี พระเยซูไม่ได้ให้สิ่งที่พวกเขาต้องการเสมอไป แต่พระองค์ให้สิ่งที่พวกเขาจำเป็นเสมอ หญิงชาวสะมาเรียต้องการน้ำ แต่เธอจำเป็นต้องได้รับการไถ่ (ยอห์น 4:7-42) เปโตรต้องการจับปลา แต่เขาจำเป็นต้องมีมิชชัน (มัทธิว 4:18-22) ในแต่ละกรณี พระเยซูตอบสนองความจำเป็นที่มีในส่วนลึกของผู้เรียน

► อ่าน มาระโก 10:17-22

ในเรื่องเศรษฐีหนุ่มนี้ที่มาหาพระเยซู ผู้เล่าเรื่องกล่าวว่า “พระเยซูทอดพระเนตรดูคนนั้น ทรงเอ็นดูเขา” คำว่า ทอดพระเนตร ในข้อนี้ไม่ใช่แค่การสังเกตเห็น แต่หมายถึงการเพ่งมองและวินิจฉัยอย่างชัดเจน พระเยซูมองเห็นหัวใจของชายหนุ่มคนนี้ คนอื่นอาจมองเห็นเขาเป็นเศรษฐีหนุ่มคนหนึ่งเท่านั้น แต่พระเยซูมองเห็นหัวใจที่หิวกระหาย

► อ่าน มาระโก 16:1-8

นึกถึงเปโตรที่มีความละอายใจหลังจากปฏิเสธพระเยซู แม้ความชื่นชมยินดีในการฟื้นคืนพระชนม์ก็ยังมีน้อยกว่าความละอายใจของเขาเมื่อเขาคิดถึงความขลาดกลัวเมื่อตอนที่ไก่ขันนั้น ในสถานการณ์นี้ ทูตสวรรค์บอกกับมารีย์ว่า “พวกท่านจงไปบอกพวกสาวกของพระองค์รวมทั้งเปโตรด้วยว่า พระองค์จะเสด็จไปที่แคว้นกาลิลีก่อนพวกท่าน พวกท่านจะเห็นพระองค์ที่นั่น ดังที่พระองค์ตรัสกับพวกท่านไว้แล้ว” พระเยซูรู้ว่าในท่ามกลางสาวกทั้งหมด คนหนึ่งที่จำเป็นต้องได้รับความมั่นใจคืนมาคือเปโตร คนอื่นมองเห็นคนขี้ขลาดตาขาวที่ปฏิเสธพระอาจารย์ของเขา แต่พระเยซูมองเห็นสาวกที่ล้มเหลวซึ่งจำเป็นต้องได้รับการรื้อฟื้นคืนกลับมาใหม่

พระเยซูรู้ว่าเราไม่สามารถสอนผู้เรียนได้ถ้าหากเราไม่เข้าใจพวกเขา ถ้าคุณต้องการชนะใจผู้เรียน คุณต้องคิดให้เหมือนผู้เรียน คุณต้องเข้าใจหัวใจของคนที่คุณสอน ในฐานะครูผู้สอน คุณต้องศึกษาหัวข้อที่จะสอน แต่ยิ่งกว่านั้นคุณต้องศึกษาเกี่ยวกับผู้เรียนของคุณด้วย คุณต้องเข้าใจว่าพวกเขาจำเป็นต้องมีสิ่งใดบ้าง

นำบทเรียนมาสู่การปฏิบัติ

► ขอให้คิดถึงคนที่คุณสอน (ทั้งแบบทางการและไม่เป็นทางการ) จดจ่อกับผู้เรียนที่มีปัญหาติดขัด เขียนสิ่งที่คุณทำได้เพื่อช่วยผู้เรียนคนนี้ในสิ่งที่เขาจำเป็นต้องได้รับความช่วยเหลือ

พระเยซูผู้เป็นพระอาจารย์นั้นมีความอดทน

พระเยซูอดทนต่อคนเหล่านั้นที่หันมาต่อต้านพระองค์

► อ่าน ยอห์น 6:41-71

เรื่องราวนี้เกิดขึ้นตรงจุดเปลี่ยนที่สำคัญในพันธกิจของพระเยซู ในช่วงระหว่างปีก่อนหน้านั้น พระเยซูมีชื่อเสียงอย่างมาก ผู้คนต่างทึ่งในการอัศจรรย์ที่พระองค์ทำและมีความสุขกับการกินขนมปังและปลามากมาย ตอนนี้พระเยซูประกาศว่า “เราเป็นอาหารแห่งชีวิต” พระองค์พูดสิ่งที่ขัดหูผู้ฟังว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ถ้าท่านไม่ได้กินเนื้อและไม่ได้ดื่มโลหิตของบุตรมนุษย์ ก็จะไม่มีชีวิตในตัวท่าน” หลังจากนี้พวกสาวกของพระองค์จำนวนมากหันกลับและไม่เดินไปกับพระองค์อีก

พระเยซูสอนคนนับพัน ๆ โดยรู้ว่าคนมากมายจะไม่ยอมรับคำสอนของพระองค์ พระองค์สอนสิบสองคนโดยรู้ว่าหนึ่งในพวกเขามาจากมาร (ยอห์น 6:70) พระองค์เป็นครูที่อดทน

พระเยซูอดทนกับคนที่ไม่เข้าใจพระองค์

► อ่าน มาระโก 8:27-33

พระเยซูอดทนกับผู้เรียนที่เรียนรู้ช้า สังเกตว่ามีหลายครั้งในพระกิตติคุณที่กล่าวถึงความสงสัยและมืดบอดของพวกสาวก แม้เมื่อเปโตรยอมรับว่า “พระองค์เป็นพระคริสต์” เขาก็ไม่ได้เข้าใจจริง ๆ ว่าหมายถึงอะไร หลังจากนั้นไม่กี่ข้อ พระเยซูตำหนิเปโตรอย่างรุนแรงถึงความคิดที่ผิดของเขา

► อ่าน ยอห์น 3:1-21

พระเยซูอดทนกับฟาริสีคนหนึ่งที่ไม่เข้าใจคำสอนของพระองค์ เมื่อนิโคเดมัสสับสน พระเยซูถามด้วยความประหลาดใจว่า “ท่านเป็นถึงอาจารย์ของคนอิสราเอล ท่านไม่เข้าใจสิ่งเหล่านี้เลยหรือ?” นิโคเดมัสควรรู้แล้วว่าเอเสเคียลทำนายถึงวันที่เมื่ออิสราเอลจะบังเกิดจากน้ำและพระวิญญาณ แต่แทนที่จะล้มเลิก พระเยซูสอนบทเรียนให้กับนิโคเดมัสด้วยความอดทน[1]

นี่คือบททดสอบที่ดีเรื่องความอดทนสำหรับครูคือ “มีกี่ครั้งที่ฉันเต็มใจสอนบทเรียนก่อนที่จะล้มเลิก?” พระเยซูสอนผู้เรียนของพระองค์ครั้งแล้วครั้งเล่าด้วยความอดทน ถ้าพระองค์พบว่าผู้เรียนเปิดรับคำสอนของพระองค์ พระเยซูก็สอนต่อไป พระเยซูผู้เป็นพระอาจารย์นั้นอดทน

นำบทเรียนมาสู่การปฏิบัติ

► คุณถูกลองใจให้ล้มเลิกกับผู้เรียนที่เรียนรู้ช้าไหม? คุณผิดหวังเมื่อพวกเขาไม่ตอบสนองต่อคำสอนของคุณไหม? คุณจะแสดงความอดทนของพระอาจารย์ต่อคนที่คุณสอนได้อย่างไร?

พระเยซูผู้เป็นพระอาจารย์เอ็นดูผู้เรียนของพระองค์

► อ่าน มาระโก 6:30-34

พระเยซูพาสาวกของพระองค์ข้ามทะเลกาลิลีเพื่อหาที่เปลี่ยวปลอดผู้คนเพื่อจะได้พักจากงานพันธกิจที่กดดันต่อเนื่องมา คนนับพัน ๆ เห็นว่าพระองค์กำลังไปที่ไหน จึงวิ่งเลาะฝั่งไปหาพระเยซู พระเยซูมาถึงฝั่งก็พบฝูงชน 5000 คนที่เป็นผู้ชายไม่รวมผู้หญิงและเด็ก เมื่อพระองค์เห็นฝูงชน “พระองค์ทรงสงสารพวกเขา เพราะว่าพวกเขาเป็นเหมือนฝูงแกะไม่มีผู้เลี้ยง พระองค์จึงทรงเริ่มสั่งสอนพวกเขาหลายประการ” (มาระโก 6:34) พระเยซูผู้เป็นพระอาจารย์สอนเพราะเอ็นดูผู้เรียนของพระองค์

ช่วงต้นของบทเรียนนี้ เราอ่านเรื่องราวของเศรษฐีหนุ่มที่จากไปด้วยความโศกเศร้าเพราะเขาไม่จ่ายราคาในการติดตามพระเยซู (มาระโก 10:17-22) “พระเยซูทอดพระเนตรดูคนนั้น ทรงเอ็นดูเขา” (มาระโก 10:21) พระอาจารย์เอ็นดูผู้เรียน แม้แต่ผู้เรียนที่เดินจากไปก็ตาม

พระเยซูมองดูด้วยความสงสารต่อฝูงชน ต่อคนแต่ละคน และแม้แต่ต่อคนที่ปฏิเสธพระองค์ นักเทศน์คนหนึ่งเทศนาเรื่อง “ยูดาส สาวกที่พระเยซูรัก” นักเทศน์คนนี้ตระหนักว่าพระเยซูแสดงความรักแม้แต่กับยูดาส ทั้งที่รู้ว่ายูดาสจะทรยศพระองค์ พระเยซูรักและเอ็นดูสาวกของพระองค์จนถึงบั้นปลายสุดท้าย

การจะรักเอ็นดูผู้เรียนที่มาเรียนก่อนเวลา ทำการบ้านส่งครบ และกระตือรือร้นในการเรียนนั้นย่อมเป็นเรื่องง่าย แต่มันเป็นเรื่องยากที่จะรักเอ็นดูยูดาสที่ทรยศเรา เศรษฐีหนุ่มที่เดินจากไป และเปโตรที่ล้มเหลวในความเข้าใจแบบซ้ำ ๆ พระเยซูผู้เป็นพระอาจารย์แสดงให้เห็นว่าเราต้องรักเอ็นดูแม้แต่ผู้เรียนที่ยากจะรัก

นำบทเรียนมาสู่การปฏิบัติ

► คิดถึงผู้เรียนที่ยากจะรัก อาจเป็นเจ้าหน้าที่ประจำที่ต่อต้านความเป็นผู้นำของคุณ อาจเป็นสมาชิกคริสตจักรที่วิจารณ์ตัดสินคุณ ขอให้เริ่มต้นอธิษฐานว่า “พระเจ้า ลูกยากที่จะรักคน ๆ นี้ แต่ลูกรู้ว่าพระองค์รักพวกเขา ขอช่วยให้ลูกมองดูพวกเขาผ่านทางสายตาของพระองค์ ขอช่วยให้ลูกรักพวกเขาเหมือนที่พระองค์รักผู้เรียนของพระองค์”


[1]ยอห์น 3:5 ชี้ไปที่พระสัญญาในเอเสเคียล 36:25-27 เอเสเคียลเห็นวันหนึ่งที่เมื่อประชากรของพระเจ้าจะได้รับการชำระด้วยน้ำ (เป็นการชำระจากมลทินและรูปเคารพต่าง ๆ) และได้รับวิญญาณใหม่ (ให้ความปรารถนาที่จะรักษากฎบัญญัติของพระเจ้า)

มือของพระอาจารย์: วิธีการต่าง ๆ

ใน “ใจของพระอาจารย์” เราเห็นคุณลักษณะของพระเยซู ทุกสิ่งที่พระเยซูสอนตั้งอยู่บนพื้นฐานคุณลักษณะของพระองค์ ใน “มือของพระอาจารย์” เราเห็นวิธีการต่าง ๆ ที่พระเยซูใช้ ถ้าหากเราต้องการสอนเหมือนพระเยซู เราต้องทำตามวิธีการของพระองค์

พระเยซูผู้เป็นพระอาจารย์สื่อสารเป้าหมายของพระองค์

► อ่าน ลูกา 5:1-11

เมื่อพระเยซูสอนที่ริมฝั่งทะเลกาลิลี ฝูงชนเบียดเสียดพระองค์จนพระองค์ต้องปีนขึ้นไปบนเรือที่ใช้จับปลาของซีโมนเปโตร[1] หลังจากสอนเสร็จ พระเยซูหันไปหาเปโตรและพูดว่า “จงถอยออกไปที่น้ำลึก แล้วหย่อนอวนลงจับปลา” (ลูกา 5:4)

ซีโมนเป็นชาวประมงที่มีประสบการณ์ เขาใช้เวลาตลอดทั้งคืนเพื่อจับปลาแต่ไม่ได้สักตัว เขารู้ว่าการที่จะลองจับปลาในเวลานั้นเป็นเรื่องไร้ประโยชน์ แต่เขาทำตามที่พระเยซูสั่ง เปโตรประหลาดใจ เมื่อพวกชาวประมงจับได้ปลาจำนวนมหาศาล พระเยซูพูดกับซีโมนว่า “อย่ากลัวเลย ตั้งแต่นี้ไปท่านจะเป็นผู้จับคน” (ลูกา 5:10)

เช่นเดียวกับครูที่ดีทุกคน พระเยซูสื่อสารเป้าหมายของพระองค์อย่างชัดเจนกับผู้เรียนของพระองค์ ในวันเพ็นเทคอส เปโตรแสดงให้เห็นว่าเขาพร้อมที่จะทำให้เป้าหมายของพระเยซูที่ตั้งไว้สำหรับเขาให้สำเร็จ

ครูที่มีประสิทธิภาพสื่อสารเป้าหมายของพวกเขา พวกเขาจะบอกผู้เรียนว่า “นี่คือสิ่งที่คุณจะเรียนรู้ในวันนี้” เมื่อจบบทเรียนครูจะถามว่า “พวกคุณได้เรียนรู้อะไรบ้างในวันนี้?” พวกเขาจะต้องแน่ใจว่าผู้เรียนมองเห็นเป้าหมายบทเรียนบรรลุผล

นำบทเรียนมาสู่การปฏิบัติ

► ในการสอนครั้งหน้าของคุณ ขอให้เขียนเป้าหมายบทเรียนบนกระดานเพื่อให้ผู้เรียนมองเห็นได้ ขอตรวจให้แน่ใจว่าเป้าหมายนั้นชัดเจนและเข้าใจได้ง่าย แนะนำเป้าหมายในช่วงเริ่มต้นชั่วโมงเรียน เมื่อจบบทเรียนขอให้ถามผู้เรียนว่า “เราบรรลุเป้าหมายไหม?”

พระเยซูผู้เป็นพระอาจารย์จัดเตรียมโอกาสสำหรับแนวทางการปฏิบัติ

การสอนที่มีประสิทธิภาพไม่ได้เป็นเพียงแค่การบรรยาย การเรียนรู้ที่แท้จริงจำเป็นต้องมีการปฏิบัติ

► อ่าน ลูกา 10:1-24

สาวกเหล่านี้ยังไม่ได้รับการฝึกฝนอย่างเต็มที่ แต่พระเยซูให้พวกเขาปฏิบัติตามบทเรียนที่พระองค์สอน เมื่อพวกสาวกกลับมาจากการเดินทางทำพันธกิจ พวกเขามารายงานพระเยซู พระองค์มองเห็นว่าพวกเขาไม่ได้เข้าใจบทเรียน ดังนั้นพระองค์ให้คำสั่งเพิ่มเติมแก่พวกเขา พระองค์หนุนใจพวกเขาด้วยว่า “ผู้ที่ได้เห็นสิ่งที่พวกท่านเห็นก็เป็นสุข!” (ลูกา 10:23) พระเยซูให้แนวทางการปฏิบัติแก่พวกเขา

การให้โอกาสเพื่อปฏิบัติยังไม่เพียงพอ นั่นคือการปฏิบัติต้องได้รับการประเมิน จากนั้นจึงตามมาด้วยการฝึกฝนมากขึ้น มีภาษิตที่คุ้นเคยกล่าวไว้ว่า “การปฏิบัติทำให้เกิดความสมบูรณ์แบบ” คำกล่าวนี้ไม่ได้เป็นจริงทั้งหมด การปฏิบัติที่ไม่ถูกต้องจะไม่ให้ผลลัพธ์ที่ดีกว่า การที่จะพูดว่า “แนวทางในการปฏิบัติทำให้เกิดความสมบูรณ์แบบ” ก็ถูกต้องมากกว่า ครูที่มีประสิทธิภาพจะให้โอกาสผู้เรียนได้ปฏิบัติ ทบทวนการปฏิบัติร่วมกับผู้เรียน จากนั้นจึงหนุนใจและให้แนวทางแก่ผู้เรียน

เปาโลรู้ถึงคุณค่าของแนวทางในการปฏิบัติ เขาฝึกฝนทิโมธีและทิตัส จากนั้นจึงให้พวกเขาทำงานพันธกิจ ในจดหมายฝากศิษยาภิบาล เปาโลเขียนถึงทิโมธีและทิตัสเพื่อให้คำสั่งเพิ่มเติม เขาแนะนำผู้เรียนของเขาในขณะที่ผู้เรียนปฏิบัติงานพันธกิจตามหลักการที่เขาสอน

ที่โรงเรียนในแอฟริกาใต้ นักเรียนแต่ละคนท่อง 1 โครินธ์ 13 ในชั้นเรียน มีนักเรียนคนหนึ่งทำการบ้านนี้ไม่ได้หลายสัปดาห์ เขาท่องจำไม่ได้และอายมากเมื่ออยู่ต่อหน้านักเรียนคนอื่น วันหนึ่งนักเรียนคนนี้ก็ท่องทั้งบทได้ในชั้นเรียน

เมื่อเขาท่องได้สำเร็จ นักเรียนคนอื่น ๆ ยืนขึ้นและเชียร์หนุ่มน้อยคนนี้ ทำไมหรือ? บทนี้เป็นเรื่องความรัก และครูของพวกเขาสอนนักเรียนว่าความรักคือการให้กำลังใจคนอื่น เมื่อพวกเขาเชียร์เพื่อนร่วมห้อง นักเรียนเหล่านี้กำลังนำบทเรียนจาก 1 โครินธ์ 13 มาสู่การปฏิบัติ! ครูที่มีประสิทธิภาพให้กำลังใจผู้เรียนของเขาเพื่อนำหลักการที่พวกเขาเรียนรู้ไปปฏิบัติ

นำบทเรียนไปสู่การปฏิบัติ

► ให้โอกาสผู้เรียนของคุณปฏิบัติสิ่งที่พวกเขากำลังเรียนรู้ ถ้าคุณกำลังฝึกฝนศิษยาภิบาล ให้โอกาสพวกเขาเทศนา เยี่ยมคนป่วย หรือแบ่งปันข่าวประเสริฐกับคนที่ยังไม่เชื่อ หลังจากพวกเขาทำเสร็จแล้วก็ประเมินพันธกิจของพวกเขา ให้คำแนะนำเพื่อจะพัฒนา และหนุนใจพวกเขาโดยชื่มชนด้านที่พวกเขาประสบความสำเร็จ

พระเยซูผู้เป็นพระอาจารย์มีความยืดหยุ่น

คิดถึงสถานที่และสถานการณ์ต่าง ๆ มากมายที่พระเยซูใช้ในการสอน พระองค์สอน...

  • ที่ริมชายทะเล (ลูกา 5)

  • ช่วงมีพายุ (ลูกา 8:22-25)

  • โดยยอมให้ผู้เรียนพบเจอปัญหา (มัทธิว 14:25-33)

  • เมื่อบทเรียนของพระองค์ถูกแทรกแซงจากผู้มาเยือน (มัทธิว 12:46-50)

  • ช่วงไปที่พระวิหาร (มัทธิว 24)

  • เมื่อมีบางคนรื้อหลังคาห้องเรียนของพระองค์ (ลูกา 5:18-26)

นึกถึงผู้เรียนที่กลับบ้านหลังจากมีการอัศจรรย์เกิดขึ้นใน ลูกา 5:18-26 พวกเขาจะไม่มีวันลืมบทเรียนนี้ที่ได้เรียนรู้เรื่องฤทธิ์อำนาจของพระเยซู ลูกาเขียนว่า “ทุกคนก็อัศจรรย์ใจและได้ถวายพระเกียรติแด่พระเจ้า ต่างเต็มไปด้วยความเกรงกลัวและพูดกันว่า ‘วันนี้เราได้เห็นสิ่งที่เหลือเชื่อ’” (ลูกา 5:26)

พระเยซูยืดหยุ่นมากพอที่จะรู้ว่าครูที่ดีที่สุดพบช่วงเวลาที่สอนได้เมื่อผู้เรียนพร้อมที่จะเรียน ลูกายกตัวอย่างหลักการนี้ “พระเยซูทรงอธิษฐานอยู่ในที่แห่งหนึ่ง เมื่อเสร็จแล้ว สาวกของพระองค์คนหนึ่งทูลว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงสอนพวกข้าพระองค์อธิษฐาน” (ลูกา 11:1) พระเยซูใช้ช่วงเวลานี้สอนเรื่องการอธิษฐาน

อาบีเกล เด็กน้อยแปดขวบเดินเข้าไปในห้องเรียนเปียโนและเริ่มร้องไห้ “แมวของหนูตายเช้านี้” อาบีเกลไม่สนใจสเกลเปียโนหรือเรียนเทคนิคการเล่นเปียโน แต่เมื่อครูของเธอเอาเนื้อเพลงแผ่นหนึ่งชื่อว่า “แมวตัวโปรดของฉัน” ใส่ไว้ในมือของเธอ อาบีเกลตัดสินใจว่า “หนูอยากเรียนเพลงนี้เพื่อระลึกถึงแมวของหนู!”

ในฐานะครู เราต้องฟังผู้เรียนของเราและตอบสนองต่อสถานการณ์ของพวกเขา เหมือนกับพระเยซูผู้เป็นพระอาจารย์ เราต้องยืดหยุ่นในการสอนของเรา เราต้องเต็มใจปรับเปลี่ยนบทเรียนให้เข้ากับความจำเป็นที่ผู้เรียนมี

นำบทเรียนมาสู่การปฏิบัติ

► คุณยืดหยุ่นในการสอนไหม? วางแผนวิธีการที่แตกต่างกันอย่างน้อยสองวิธีการเพื่อสอนบทเรียนหนึ่ง ถ้าคุณมักจะให้การบรรยาย ขอให้วางแผนการอภิปรายบทเรียนหรือทำกิจกรรมโดยไม่ต้องมีการบรรยาย ถ้าคุณมักจะใช้พาวเวอร์พอยท์หรือเทคโนโลยีอื่น ๆ ขอให้วางแผนบทเรียนที่ไม่ต้องใช้ไฟฟ้า ถ้าหากคุณสอนในชั้นเรียน ขอให้วางแผนบทเรียนนอกสถานที่และให้บทเรียนของคุณเกี่ยวข้องกับธรรมชาติ

พระเยซูผู้เป็นพระอาจารย์สื่อสารอย่างสร้างสรรค์

พระเยซูไม่เคยนั่งลงแล้วพูดว่า “วันนี้เราจะอ่านหน้า 212 ในคู่มือของเรา เปโตรอ่านย่อหน้าแรกให้พวกเราฟัง” แต่พระเยซูหาวิธีการใหม่ ๆ เพื่อสื่อสารอย่างสร้างสรรค์

► อ่านตัวอย่างแต่ละเรื่องเกี่ยวกับการสอนอย่างสร้างสรรค์ของพระเยซู

  • ลูกา 6:39-42 คิดถึงเรื่องกระทบกระเทียบเกี่ยวกับชายตาบอดที่นำทางชายตาบอด นึกถึงคนที่มีท่อนซุงทั้งท่อนในตาที่พยายามเขี่ยผงออกจากตาของอีกคน

  • ลูกา 18:18-30 เป็นไปได้ไหมที่จะอาศัยความมั่งคั่งในโลกนี้เพื่อจะเข้าอาณาจักรของพระเจ้า? นึกถึงเรื่องอูฐรอดรูเข็ม!

  • ลูกา 9:46-48 พระเยซูใช้เด็กคนหนึ่งเป็นดั่งจุดประสงค์บทเรียนที่มีชีวิตเรื่องความถ่อมใจ

  • ลูกา 15:1-7 พระเจ้าตอบสนองต่อจิตวิญญาณที่หลงหายผู้กลับมาบ้านอย่างไร? พระเยซูชี้ให้คนเลี้ยงแกะเห็นคุณค่าของแกะ

  • ลูกา 15:11-32 การสอนผู้คนสังคมที่กดขี่ซึ่งสิทธิอำนาจสูงสุดขึ้นอยู่กับคนเป็นพ่อ พระเยซูเล่าเรื่องอุปมาที่ผู้เป็นพ่อในเรื่องทำให้ผู้ที่มองเห็นทุกคนตกใจเพราะพ่อวิ่งไปทักทายลูกชายที่กบฏ

แทนที่พระเยซูจะตอบคำถามตรงไปตรงมา แต่พระองค์ตอบด้วยเรื่องราวหรือด้วยคำถามอีกอย่าง ในลูกา 10 ผู้เชี่ยวชาญกฎบัญญัติคนหนึ่งมาถามพระเยซูว่า “ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไรเพื่อจะได้รับชีวิตนิรันดร์?” พระเยซูตอบด้วยเรื่องของชาวสะเรียผู้ใจดี (ลูกา 10:25-37)

พระเยซูรู้วิธีที่จะถามคำถามที่ดีที่สุด แทนที่พระเยซูจะถามคำถามที่ตอบว่า “ใช่” หรือ “ไม่ใช่” แต่พระองค์ถามคำถามที่ผลักดันให้ผู้ฟังเปิดตามองดูสิ่งใหม่ ๆ ที่เป็นไปได้

► อ่านตัวอย่างเหล่านี้

  • ลูกา 7:36-50 ต่อฟาริสีคนหนึ่งที่ตัดสินพระองค์ พระเยซูถามว่า “ในสองคนนั้น คนไหนจะรักนายมากกว่า คนที่ได้รับการยกหนี้มาก หรือคนที่ได้รับการยกหนี้น้อยกว่า?”

  • มาระโก 8:36 ในการสอนเกี่ยวกับการสร้างสาวก พระเยซูถามว่า “เพราะเขาจะได้ประโยชน์อะไรถ้าได้สิ่งของสิ้นทั้งโลก แต่ต้องเสียชีวิตของตน?”

  • ลูกา 6:46 ต่อคนที่ไม่อยากเชื่อฟัง พระเยซูพูดว่า “ทำไมพวกท่านเรียกเราว่า ‘องค์พระผู้เป็นเจ้า’ แต่ไม่ทำตามสิ่งที่เราบอกนั้น?”

ไม่มีคำถามใดเหล่านี้ที่ตอบได้อย่างง่ายดาย แต่ละคำถามทำให้เราต้องคิดอย่างลึกซึ้งเกี่ยวกับคำสอนของพระเยซู

มีสองวิธีที่ผู้สอนล้มเหลวในการใช้คำถามให้ดี

1. เราถามคำถามที่ง่ายเกินไป ถ้าหากเราต้องการให้ผู้เรียนของเราคิดอย่างลึกซึ้ง เราต้องถามคำถามที่ไม่ได้ตอบว่าใช่หรือไม่ หรือไม่ใช่ตอบจากคู่มือ

2. เราไม่รอนานพอเพื่อจะได้รับคำตอบ นักวิจัยกล่าวว่าครูผู้สอนส่วนใหญ่รอน้อยกว่าหนึ่งวินาทีก่อนที่จะไปยังอีกคนเพื่อจะรับคำตอบ โดยเฉลี่ยแล้วประมาณสามวินาทีที่ผู้เรียนจะเข้าใจคำถามและเริ่มต้นสร้างคำตอบ เพื่อพัฒนาการใช้คำถามของคุณ ขอให้รอประมาณเจ็ดวินาทีก่อนจะไปยังอีกคนเพื่อจะรับคำตอบ

นำบทเรียนสู่การปฏิบัติ

► คุณสร้างสรรค์ในการสอนไหม? เตรียมบทเรียนจากกาลาเทีย 6:7-8 เตรียมคำถามเพื่อช่วยให้นักศึกษาคิดลึกซึ้งเกี่ยวกับหลักการหว่านและการเก็บเกี่ยว หลังจากคุณเตรียมคำถามแล้ว ขอให้ดูเชิงอรรถด้านล่างสำหรับคำถามเพิ่มเติมที่คุณจะถามได้[2]


[1]“ทะเลสาบเยเนซาเรธ” ในลูกา “ทะเลทิเบเรียส” ในยอห์น “ทะเลกาลิลี” ในมัทธิวและมาระโก และ “ทะเลคินเนเรธ” สำหรับโมเสส (กันดารวิถี 34:11) ทั้งหมดอ้างอิงถึงทะเลสาบใหญ่ที่สำคัญในพันธกิจของพระเยซู สาวกของพระเยซูหลายคนเป็นชาวประมงในทะเลสาบนี้และพันธกิจจำนวนมากของพระองค์เกิดขึ้นบนชายฝั่งทะเลกาลิลี
[2]คำถามเกี่ยวกับหลักการหว่านและเก็บเกี่ยวใน กาลาเทีย 6:7-8 ได้แก่
มีภาพตัวอย่างอะไรจากธรรมชาติหรือในสังคมที่ใช้อธิบายหลักการหว่านและเก็บเกี่ยวได้บ้าง?
มีใครบ้างในพระคัมภีร์ที่แสดงให้เห็นถึงหลักการนี้?
คุณรู้จักใครบ้างที่เป็นตัวอย่างของหลักการนี้?
ในชีวิตส่วนตัวของคุณ คุณกำลังหว่านเมล็ดที่คุณไม่อยากเก็บเกี่ยวผลไหม?

พิจารณาอย่างละเอียด: การตีความหมายคำอุปมา

คำอุปมาคือหนึ่งในรูปแบบคำสอนที่พระเยซูชอบใช้ มีบางคนให้คำนิยามอุปมาเรื่องหนึ่งว่าเป็น “เรื่องราวบนโลกที่ให้บทเรียนจากสวรรค์” คำอุปมาของพระเยซูใช้กฎเกณฑ์ต่าง ๆ ที่ทุกคนคุ้นเคยดี (ชาวนา ผู้เลี้ยงแกะ และแกะ) ใช้ผู้คนที่ทุกคนคุ้นเคยดี (สะมาเรีย ปุโรหิต คนเก็บภาษี และฟาริสี) และใช้สถานการณ์ที่ทุกคนคุ้นเคยดี (แกะหลงหาย เหรียญหาย และบุตรหลงหาย) เพื่อเชื่อมเข้ากับความสนใจของผู้เรียน

หลักสูตรของ The Shepherds Global Classroom วิชา หลักการตีความหมายพระคัมภีร์ รวมบทเรียนการตีความหมายคำอุปมาด้วย ต่อไปนี้เป็นบทสรุปของหลักการต่าง ๆ ที่สอนในวิชานั้น เมื่อศึกษาคำอุปมา เราควรถามคำถามต่อไปนี้

(1) คำถามอะไรหรือสถานการณ์ใดที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับคำอุปมานี้?

คำอุปมาเรื่องชาวสะมาเรียใจดีตอบคำถามของผู้เชี่ยวชาญกฎบัญญัติว่า “ใครคือเพื่อนบ้านของข้าพเจ้า?” เรื่องเล่าของพระเยซูให้คำตอบว่า “ใครก็ตามที่ขัดสนที่ข้าพเจ้าพบเจอคือเพื่อนบ้านและความรับผิดชอบของข้าพเจ้า” (ลูกา 10:36-37)

พระเยซูเล่าคำอุปมาเรื่องบุตรน้อยหลงหายให้กับพวกผู้นำศาสนาฟังซึ่งพวกเขาตัดสินมิตรภาพของพระองค์กับคนบาป “ในเวลานั้นบรรดาคนเก็บภาษีและพวกคนบาปเข้ามาใกล้เพื่อจะฟังพระองค์ พวกฟาริสีและพวกธรรมาจารย์ก็บ่นว่า ‘คนนี้ต้อนรับคนบาปและกินด้วยกันกับเขา’ พระเยซูจึงตรัสอุปมาต่อไปนี้ให้พวกเขาฟังว่า” (ลูกา 15:1-3)

  • คนเลี้ยงแกะที่แกะของเขาหลงหายไป เขาชื่นชมยินดีเมื่อพบแกะตัวนั้น!

  • ผู้หญิงที่ทำเหรียญเงินหาย เธอชื่นชมยินดีเมื่อพบเหรียญนั้น!

  • พ่อที่สูญเสียลูกชาย เขาชื่นชมยินดีเมื่อลูกกลับมา!

พระเยซูอธิบายความหมายว่า “ท่านไม่ควรตกใจเมื่อเรากินอาหารร่วมกับคนบาป ทั้งสวรรค์ชื่นชมยินดีเมื่อคนบาปคนหนึ่งกลับใจใหม่!”

ถ้าหากการตีความหมายของเราไม่ได้ตอบคำถามหรือกล่าวถึงสถานการณ์ที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับเรื่องเล่าของพระเยซู เราก็พลาดประเด็นสำคัญของอุปมาเรื่องนี้แล้ว

(2) อะไรคือประเด็นสำคัญของคำอุปมานี้?

คำอุปมามักจะมีประเด็นหลักเพียงประเด็นเดียวสำหรับแต่ละตัวละครหลักในเรื่องนั้น บทเรียนสำคัญของคำอุปมาจะเกี่ยวข้องโดยตรงกับคำถามหรือสถานการณ์ที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับคำอุปมานั้น บทเรียนอื่น ๆ มาจากตัวละคนในเรื่อง

เรื่องบุตรน้อยหลงหายมีตัวละครเด่นสามคน เราเห็นแล้วว่าบทเรียนสำคัญของเรื่องนี้คือ ความยินดีในสวรรค์เมื่อคนบาปคนหนึ่งกลับใจใหม่ บทเรียนนี้ให้คำตอบกับสถานการณ์ที่เป็นแรงบันดาลใจให้กับเรื่องเล่าของพระเยซู แต่ละตัวละครในคำอุปมานี้อาจสอนบทเรียนที่เกี่ยวข้องกับคำสอนสำคัญของเรื่องราวนี้ ผู้เป็นพ่อสอนบทเรียนเรื่องความรักอัศจรรย์ของพระบิดาในสวรรค์ บุตรที่หลงหายสอนเรื่องความเสียหายที่เกิดขึ้นจากความบาปและเป็นไปได้ที่จะกลับใจใหม่ พี่ชายเตือนว่าเราอาจพลาดสิทธิพิเศษจากความรักของพ่อแม้ในขณะที่ภายนอกแสดงให้เห็นว่าเป็นลูกที่ดีก็ตาม

(3) มีรายละเอียดอะไรทางด้านวัฒนธรรมที่สำคัญในคำอุปมานี้บ้าง?

คำอุปมาของพระเยซูมักจะขัดแย้งกับบรรทัดฐานวัฒนธรรมในสมัยพระองค์ นี่คือสิ่งที่ทำให้คำอุปมาน่าจดจำคือ ผู้เป็นพ่อวิ่งไปหาเพื่อทักทายลูกที่กบฏ ชาวสะมาเรียเป็นวีรบุรุษ หญิงม่ายที่ไร้อำนาจเอาชนะผู้พิพากษาที่มีอำนาจ ยิ่งเราเข้าใจวัฒนธรรมเบื้องหลังคำอุปมา เราก็จะยิ่งเข้าใจคำสอนของพระเยซู

การประยุกต์ใช้: กฎเจ็ดประการในการเป็นครู

ดร.ฮาววาร์ด เฮ็นดริคส์[1] สอนที่พระคริสตธรรมดัลลัสมานานกว่า 60 ปี ในช่วงระยะเวลาการทำงานของเขา เขาสอนนักศึกษามากกว่า 10,000 คน หนังสือที่มีอิทธิพลมากที่สุดเล่มหนึ่งของเขาคือหนังสือเล่มเล็ก ๆ ที่สรุปปรัชญาของเขาเกี่ยวกับ “กฎในการเป็นครู” เจ็ดประการ กฎเหล่านี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของรูปแบบการสอนของพระเยซู เมื่อคุณประยุกต์ใช้หลักการเหล่านี้ คุณจะเป็นครูที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น

กฎของการเป็นครู

กฎของการเป็นครูคือ ถ้าวันนี้คุณหยุดเติบโต คุณก็หยุดการสอนของวันพรุ่งนี้

ดร.เฮ็นดริคส์ ถามว่า “คุณจะดื่มน้ำจากบ่อน้ำขังมากกว่าดื่มจากลำธารน้ำไหลหรือ?” น้ำสะอาดสดชื่นจากลำธารน้ำไหลย่อมดีกว่าน้ำที่ขังนิ่งในบ่อ

ครูบางคนปล่อยเวลาผ่านไปหลายปีโดยไม่อ่านหนังสือเล่มใหม่ ๆ ในวิชาที่ตนสอนหรือไม่เคยรับแนวคิดอะไรใหม่ ๆ คำสอนของพวกเขาเป็นเหมือนน้ำขังนิ่งในบ่อ ในฐานะครู เราควรเรียนรู้อยู่เสมอเหมือนกับศิษยาภิบาลที่หมั่นเพียรศึกษาเพื่อได้รับความเข้าใจใหม่ ๆ เกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า

นำบทเรียนมาสู่การปฏิบัติ

► ลองคิดว่ามีนักศึกษาคนหนึ่งมาถามคุณว่า “ครูครับ เมื่อไม่นานมานี้ครูเรียนรู้อะไรจากพระคัมภีร์บ้างครับ?” คำตอบของคุณมากจากสัปดาห์นี้ เดือนนี้ ปีนี้ หรือจากเมื่อนานมาแล้ว? คุณเพิ่มพูนความรู้ของคุณเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าไหม?

กฎของการศึกษา

กฎของการศึกษาคือ วิธีการเรียนรู้ของคนกำหนดวิธีการที่คุณสอน

พระเยซูสอนผู้เลี้ยงแกะโดยการเล่าเรื่องเกี่ยวกับแกะ พระองค์สอนชาวประมงโดยการพูดถึง “การหาคนดั่งหาปลา” พระองค์สอนผู้หญิงที่บ่อน้ำโดยพูดเรื่องน้ำ พระเยซูรู้ว่าครูที่มีประสิทธิภาพจะปรับเปลี่ยนให้เข้ากับผู้เรียนแต่ละคน

[2]ดร.เฮ็นดริคส์ เปรียบเทียบการสอนกับงานในการเป็นโค้ชฟุตบอล โค้ชไม่ลงเล่นในสนาม แต่โค้ชตื่นเต้นและกำกับผู้เล่นในสนาม ในทำนองเดียวกัน ครูที่ดีที่สุดไม่ได้ทำงานทุกอย่างผ่านการบรรยาย ครูที่ดีที่สุดย่อมสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมาะกับแต่ละคน

มีคาห์เป็นนักเรียนในชั้นเรียนพระคัมภีร์ ครูคาดหวังให้นักเรียนทุกคนจดบันทึกอย่างละเอียดเพื่อเตรียมตัวสอบ มีคาห์ไม่อยากจดบันทึก แต่เมื่อครูกำลังบรรยาย เขาวาดภาพในสมุดของเขาแทน ครูกลัวว่ามีคาห์จะไม่ตั้งใจฟัง หลายครั้งเขาจึงพูดว่า “มีคาห์ ขออย่าวาดรูป แต่จดสิ่งที่ครูสอน” มีคาห์พยายามทำตามที่ครูขอ แต่เขากลับยิ่งเครียดมาก

แล้วครูก็นึกถึงกฎของการศึกษาของ ดร.เฮ็นดริคส์ เขาจึงพูดว่า “มีคาห์ ทดลองดูนะ เธอวาดรูปก็ได้ แต่ต้องอธิบายให้ครูรู้ว่าเธอจดจำสิ่งที่ครูสอนในชั้นเรียนได้” การทดลองเป็นผลสำเร็จ มีคาห์เรียนรู้โดยการผันถ้อยคำเป็นรูปภาพ ครูเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงความคาดหวังของเขาเพราะ “วิธีการเรียนรู้ของคนกำหนดวิธีการที่คุณสอน”

นำบทเรียนมาสู่การปฏิบัติ

► คุณมีนักเรียนที่เรียนรู้แตกต่างจากคนอื่น ๆ ที่เหลือในชั้นเรียนไหม? คุณจะทำอะไรเพื่อช่วยให้นักเรียนคนนั้นสามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น?

กฎของกิจกรรม

กฎของกิจกรรมคือ การมีส่วนร่วมสูงสุดนำมาซึ่งการเรียนรู้มากที่สุด

พระเยซูรู้ว่าผู้เรียนของพระองค์ต้องฝึกปฏิบัติบทเรียนที่พระองค์สอน พระองค์ส่งพวกเขาเดินทางออกไปทำพันธกิจ พระองค์ให้พวกเขาแจกจ่ายขนมปังและปลาแก่ฝูงชน พระองค์พาพวกเขาไปยังที่เปลี่ยวเพื่ออธิษฐาน พระองค์ให้โอกาสพวกเขานำบทเรียนไปประยุกต์ใช้ ผลลัพธ์คืออะไร? พวกอัครทูตมีชื่อเสียงในฐานะคนคว่ำโลก (กิจการ 17:6)

นักจิตวิทยากล่าวว่า...

  • เราจดจำได้น้อยกว่า 10% ของสิ่งที่เราได้ยิน

  • เราจดจำได้น้อยกว่า 50% ของสิ่งที่เราเห็นและได้ยิน

  • แต่เราจดจำได้มากถึง 90% ของสิ่งที่เราเห็น ได้ยิน และลงมือทำ

การมีส่วนร่วมโดยการปฏิบัติเพิ่มพูนการเรียนรู้อย่างมหาศาล

นำบทเรียนมาสู่การปฏิบัติ

► เมื่อคุณเตรียมตัวสำหรับบทเรียนครั้งหน้า ขอให้เตรียมกิจกรรมที่จะให้นักศึกษาได้ปฏิบัติตามหลักการที่คุณสอนด้วย

กฎของการสื่อสาร

กฎของการสื่อสารคือ การที่จะสอนได้อย่างแท้จริง เราต้องสร้างสะพานเชื่อมไปยังผู้เรียน

ในฐานะครูและศิษยาภิบาล เราอยู่ในธุรกิจการสื่อสาร งานของเราใหญ่กว่าการให้ข้อมูล งานของเราคือการสื่อสารความจริงต่อผู้ฟัง การสื่อสารจำเป็นต้องค้นหาจุดร่วม การสื่อสารจำเป็นต้องสร้างสะพานเชื่อมไปยังผู้เรียนของเรา

พระเยซูจัดเตรียมแบบอย่างสำหรับการสร้างสะพานเชื่อมไปยังผู้เรียน มีอุปสรรคขวางกั้นระหว่างพระเยซูกับหญิงชาวสะมาเรียคือ เชื้อชาติ ศาสนา และสังคม พระเยซูเป็นชาวยิว แต่เธอเป็นชาวสะมาเรีย พระเยซูเป็นผู้ชาย แต่เธอเป็นผู้หญิง พระเยซูเป็นรับบีผู้เป็นที่เคารพนับถือ แต่เธอมีอดีตที่ผิดศีลธรรม พระเยซูจะสร้างสะพานเพื่อข้ามอุปสรรคที่ขวางกั้นเหล่านี้ได้อย่างไร? พระองค์หาจุดร่วม ทั้งพระองค์และผู้หญิงคนนี้กระหายน้ำ ความจำเป็นฝ่ายร่างกายสร้างสะพานเชื่อมไปสู่การเผชิญหน้าซึ่งทำให้ชีวิตเปลี่ยน (ยอห์น 4:1-42)

ดร.เฮ็นดริคส์ เขียนว่า การสื่อสารต้องเกี่ยวข้องกับสามระดับ

1. ความรู้ - บางสิ่งที่ฉันรู้ นี่คือระดับง่ายสุดของการสื่อสาร

2. ภาระใจ - บางสิ่งที่ฉันรู้สึก นี่คือระดับลึกขึ้นของการสื่อสาร

3. การปฏิบัติ - บางสิ่งที่ฉันทำ ระดับนี้ของการสื่อสารเปลี่ยนชีวิตผู้เรียน

โจเอลฟังผู้บริหารพระคริสตธรรมในแอฟริกานำเสนอนิมิตของเขาต่อผู้บริจาคที่เป็นเศรษฐีคนหนึ่ง เขาขอเงินจากผู้บริจาคในจำนวนที่โจเอลคิดไม่ถึง! โจเอลยิ่งต้องประหลาดใจเมื่อผู้บริจาคบริจาคให้ด้วยใจกว้างขวาง เพราะอะไรหรือ? เพราะผู้บริหารพระคริสตธรรมสื่อสารสามระดับคือ...

1. ความรู้ - เขารู้ถึงความจำเป็นของการฝึกฝนผ่านพระคริสตธรรมในแอฟริกา

2. ภาระใจ - เขาเต็มไปด้วยภาระใจในการฝึกฝนผู้นำคริสตจักรในแอฟริกา

3. การปฏิบัติ – เขาใช้ชีวิตในแอฟริกาและยอมเสียสละมากมายเพื่อฝึกฝนผู้นำคริสตจักร ผู้บริหารคนนี้สื่อสารสิ่งที่เขากำลังทำในแอฟริกา

เพื่อจะสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราต้องมีภาระใจสำหรับหัวข้อที่เราสอน ขอให้นึกถึงบทสนทนานี้ที่เกิดขึ้นในชั้นระวีหลายที่

ครู: “วันนี้เราจะศึกษาเรื่องการเลี้ยงอาหารคน 5,000 คนในยอห์นบทที่ 6”

นักเรียน: “ผมมีคำถามครับ พระคัมภีร์บอกว่าพวกเขานับแค่ผู้ชาย เพราะอะไรครับ?”

ครู: “ครูก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันไม่สำคัญอะไร สนใจแค่บทเรียนก็พอ”

ในทันใด เรื่องราวพระคัมภีร์ที่น่าตื่นเต้นก็กลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ เด็ก ๆ อยากรู้ว่าพระเยซูสามารถเลี้ยงคน 20,000 คนด้วยขนมปังไม่กี่ก้อนกับปลาไม่กี่ตัวได้อย่างไร เราทำให้เรื่องนี้น่าเบื่อได้อย่างไร? ครูคนนี้ไม่สื่อสารความรู้ เขาไม่ศึกษาเบื้องหลังเพื่อจะเข้าใจว่าทำไมคนยิวจึงเขียนว่านับแค่ผู้ชายเท่านั้น ครูคนนี้ไม่มีภาระใจสำหรับเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นนี้ มีโอกาสเพียงเล็กน้อยที่ชีวิตของครูคนนี้จะได้รับการเปลี่ยนแปลงจากบทเรียนนี้ ซึ่งจะทำให้เขาเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้เรียนได้

นำบทเรียนมาสู่การปฏิบัติ

► เมื่อคุณเตรียมบทเรียน ขอให้คิดถึงระยะห่างระหว่างโลกของคุณกับโลกของนักศึกษาของคุณ ขอให้ใช้เวลาสร้างสะพานเชื่อมไปยังนักศึกษา ค้นหาวิธีที่จะเชื่อมบทเรียนให้เข้ากับความสนใจของนักศึกษา

กฎแห่งใจ

กฎแห่งใจคือ การสอนที่มีประสิทธิภาพไม่ได้เป็นเพียงการส่งต่อความรู้ในหัวสมอง แต่เป็นการสัมผัสใจ

เมื่อพระเยซูจบคำเทศนาบนภูเขา ฝูงชนต่างประหลาดใจในคำสอนของพระองค์ เพราะพระองค์สอนพวกเขาดั่งเช่นคนที่มีสิทธิอำนาจ ไม่ได้สอนอย่างพวกธรรมาจารย์ของพวกเขา (มัทธิว 7:28-29) คำสอนของพระเยซูมาจากใจของพระองค์ และสัมผัสใจของผู้ฟัง

ในพระกิตติคุณให้ภาพความเมตตาสงสารของพระเยซูครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้คนได้รับการสัมผัสโดยความเมตตาสงสารของพระองค์ ใจของพระองค์สัมผัสไปถึงใจของพวกเขา ฮาวเวอร์ด เฮ็นดริคส์ แสดงให้เห็นถึงองค์ประกอบของการสอนที่มีประสิทธิภาพ

คุณลักษณะของครูที่สร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน

ถ้าหากผู้เรียนไว้วางใจในคุณลักษณะของครูผู้สอน เขาก็มั่นใจในสิ่งที่กำลังได้รับการสอน ในฐานะศิษยาภิบาลและอาจารย์ เราต้องไม่ทำลายความไว้วางใจนั้น สิ่งที่ยากที่สุดคือการสร้างความไว้วางใจ ผู้นำคริสเตียนที่ฉลาดจะวิ่งออกจากสิ่งใด ๆ ที่อาจนำไปสู่การผิดศีลธรรมหรือความล้มเหลวทางจริยธรรม คุณลักษณะของคุณต้องสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนของคุณ

ความเมตตาสงสารของครูกระตุ้นแรงจูงใจของผู้เรียน

เมื่อนักศึกษารู้สึกได้ถึงความเมตตาสงสารของครูผู้สอน เขาก็มีแรงจูงใจที่จะเรียนรู้ พวกสาวกติดตามพระเยซูเมื่อพวกเขารู้ว่าพระองค์รักพวกเขา ถ้าหากคุณไม่รักนักศึกษาของคุณ พวกเขาจะมีแรงจูงใจเล็กน้อยที่จะเรียนรู้จากคุณ

ดร.เฮ็นดริคส์ กล่าวกับครูสอนเด็กเล็กว่า “ถ้าหากโจแอนมีรองเท้าคู่ใหม่ คุณต้องสังเกตเห็นรองเท้าของเธอ ไม่อย่างนั้นเธอจะไม่มีวันได้ยินบทเรียนใหม่ที่คุณสอนเลย!” เมื่อคุณแสดงความสนใจต่อผู้เรียน (เพราะคุณรักพวกเขา) พวกเขาก็พร้อมที่จะเรียนรู้บทเรียนที่คุณสอน

เนื้อหาที่ครูสอนนำความเข้าใจมาให้กับผู้เรียน

คุณพร้อมที่จะสอนเนื้อหาได้ตอนที่หลังจากนักศึกษามีแรงจูงใจที่จะเรียนเท่านั้น หลังจากคุณได้ความเชื่อมั่นจากนักศึกษาแล้ว คุณก็สามารถพูดสิ่งที่มาจากใจของคุณต่อพวกเขาได้

นำบทเรียนมาสู่การปฏิบัติ

► คุณรักนักศึกษาของคุณไหม? ที่สำคัญเช่นกันคือพวกเขารู้ว่าคุณรักพวกเขาไหม? คุณสามารถสื่อสารจากใจให้กับนักศึกษาที่พระเจ้าส่งมาให้คุณไหม?

กฎของการหนุนใจ

กฎของการหนุนใจคือ การสอนมีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อผู้เรียนมีแรงจูงใจอย่างเหมาะสม

เมื่อได้ยินถึงคำว่า แรงจูงใจ ครูหลายคนคิดถึงลูกอม ใบประกาศนียบัตร เกรดเฉลี่ย หรือสิ่งอื่น ๆ ที่กระตุ้นผู้เรียนให้มีแรงบันดาลใจ รางวัลเหล่านี้ไม่ผิดอะไรและอาจช่วยสร้างความสนใจให้คนของคุณได้ แต่รางวัลเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายที่แท้จริง นักศึกษาที่ทำงานเพื่อให้ได้รับรางวัลก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงน้อยมากจากความจริงที่พวกเขาได้เรียนรู้ การที่ครูพูดต่อแรงจูงใจภายในของผู้เรียนก็เป็นวิธีการที่ดีกว่า

ดร.เฮ็นดริคส์ เขียนถึงแรงจูงใจภายในไว้บางประการดังนี้

  • ความเป็นเจ้าของ “นี่คือคริสตจักรของฉัน ฉันจะชวนคนมาคริสตจักรเพื่อทำให้คริสตจักรเติบโตขึ้น”

  • ความจำเป็น “ฉันจำเป็นต้องมีพระวจนะของพระเจ้าเพื่อเอาชนะการทดลอง ดังนั้นฉันจะท่องจำพระคัมภีร์”

  • การยอมรับ “ฉันรักครูของฉันและอยากทำให้เธอพอใจ ดังนั้นฉันจะตั้งใจศึกษาบทเรียน”

แรงจูงใจเหล่านี้อยู่ได้นานกว่าลูกอมหรือเกรดเฉลี่ย เมื่อเราใช้อุปกรณ์สร้างแรงจูงใจเหล่านี้ เราก็หนุนใจให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ในระยะยาว

นำบทเรียนมาสู่การปฏิบัติ

► เขียนสิ่งที่เป็นแรงจูงใจที่คุณอาจใช้กับนักศึกษาของคุณได้ คุณจะสร้างแรงจูงใจให้พวกเขาโดยใช้ประโยชน์จากการเรียนรู้ได้อย่างไร?

กฎแห่งความพร้อม

กฎแห่งความพร้อมคือ การสอนมีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อนักศึกษาและครูผู้สอนได้รับการเตรียมพร้อมอย่างเพียงพอ

เรื่องนี้ฟังดูคล้าย ๆ กับบทเรียนจากชั้นระวีวันอาทิตย์ที่คริสตจักรของคุณไหม?

ครู: “วันนี้เราจะเรียนพระธรรมเอเฟซัสบทที่ 5 ให้ทุกคนเปิดพระคัมภีร์”

ผู้เรียนคิด: ทำไมเราต้องเรียนพระธรรมเอเฟซัสบทที่ 5 ด้วย?”

ครูใช้เวลาเป็นชั่วโมงสอนพระธรรมเอเฟซัสบทที่ 5 เธอเป็นครูที่ดี เมื่อจบชั่วโมง ผู้เรียนได้รับแรงบันดาลใจจากคำสอนของเปาโล บทเรียนจบ ผู้เรียนก็กลับบ้าน สัปดาห์ต่อมา เราจะได้ยินแบบนี้ว่า...

ครู: “วันนี้เราจะเรียนพระธรรมเอเฟซัสบทที่ 6 ให้ทุกคนเปิดพระคัมภีร์”

ผู้เรียนคิด: “ทำไมเราต้องเรียนพระธรรมเอเฟซัสบทที่ 6 ด้วย?”

จะดีกว่าแค่ไหนถ้าหากผู้เรียนได้ศึกษาพระธรรมเอเฟซัสบทที่ 6 ล่วงหน้าก่อนมาเข้าชั้นเรียน! บทเรียนจะบรรลุผลได้มากขึ้นไหมหากผู้เรียนมาถึงชั้นเรียนพร้อมกับคำถามมากมาย? แน่นอน! คุณจะทำให้สิ่งนี้บรรลุผลได้อย่างไร? ศาตราจารย์เฮ็นดริคส์แนะนำให้มอบหมายงานแก่ผู้เรียนสำหรับแต่ละบทเรียน ยกตัวอย่างเช่น...

  • ให้งานมอบหมายที่ทำให้นักศึกษาคิดเกี่ยวกับบทเรียนที่จะต้องศึกษาในสัปดาห์ต่อมา “ก่อนจะถึงวันอาทิตย์หน้า ขอให้ทุกคนอ่าน กิจการบทที่ 19 มาล่วงหน้าโดยเรียนรู้ว่าเปาโลเริ่มต้นคริสตจักรในเอเฟซัสอย่างไร”

  • ให้งานมอบหมายที่จัดเตรียมความรู้ที่เป็นเบื้องหลังของบทเรียน “ก่อนจะถึงวันอาทิตย์หน้า ขอให้อ่านพจนานุกรมพระคัมภีร์เกี่ยวกับวิหารอาร์เทมิสในเอเฟซัส เพราะจะช่วยอธิบายถึงจุดเน้นของเปาโลเกี่ยวกับสงครามฝ่ายวิญญาณในเอเฟซัส 6:10-20”

  • ให้งานมอบหมายที่พัฒนาความสามารถในการศึกษาส่วนตัวให้กับนักศึกษา “อ่านเอเฟซัสบทที่ 6 ทุก ๆ วันในสัปดาห์นี้ เมื่อคุณอ่าน ขอให้เขียนคำถามที่มีเกี่ยวกับบทนี้ อาทิตย์หน้าเราจะพูดคุยกันถึงคำถามที่คุณมี”

นำบทเรียนมาสู่การปฏิบัติ

► เมื่อถึงชั้นเรียนครั้งหน้า ให้งานมอบหมายแก่นักศึกษาเพื่อเตรียมพวกเขาให้ทำตามบทเรียน ขอตรวจให้แน่ใจว่างานมอบหมายนั้นเตรียมความเข้าใจของพวกเขาเกี่ยวกับบทเรียนที่พวกเขาจะศึกษา


[1]เนื้อหาในตอนนี้ดัดแปลงมาจาก Howard Hendricks, Teaching to Change Lives (Colorado Springs: Multnomah Books, 1987)
[2]

“การทดสอบขั้นสูงสุดของการสอนไม่ใช่สิ่งที่คุณทำได้หรือทำได้ดีเพียงใด
แต่เป็นสิ่งที่ผู้เรียนทำได้ดีเพียงใด”

- Dr. Howard Hendricks

บทสรุป: ความสำคัญของคุณลักษณะของครูผู้สอน

พระเยซูรู้ว่า “แต่ศิษย์ทุกคนที่ได้รับการฝึกสอนอย่างสมบูรณ์แล้ว ก็จะเป็นเหมือนอย่างครู” (ลูกา 6:40) พวกสาวกของพระองค์แสดงให้เห็นถึงหลักการนี้ เนื่องจากยอห์นได้รับการฝึกฝนจากแบบอย่างแห่งรักที่สมบูรณ์ ด้วยเหตุนี้ยอห์น “บุตรแห่งฟ้าร้อง” จึงกลายมาเป็นยอห์น “อัครทูตแห่งความรัก” เพราะโธมัสได้รับการฝึกฝนจากแบบอย่างแห่งความเชื่อ ด้วยเหตุนี้จาก “โธมัสผู้สงสัย” จึงกลายเป็นโธมัส “อัครทูตในอินเดีย” เมื่อพวกสาวกได้รับการฝึกฝนอย่างเต็มที่ พวกเขาก็เป็นเหมือนครูของพวกเขา

ก้าวแรกสำหรับครูคือการเป็นในสิ่งที่คุณอยากให้ผู้เรียนของคุณเป็น พระเยซูไม่สามารถเปลี่ยนเปโตรที่ไม่มั่นคงให้เป็น “ศิลา” ได้เว้นแต่พระเยซูเป็นต้นแบบของความมั่นคงนั้น เราต้องเป็นในสิ่งที่เราอยากให้ผู้เรียนของเราเป็น

เปาโลเข้าใจหลักการนี้ เขาบอกกับชาวโครินธ์ว่า “ท่านทั้งหลายจงทำตามแบบอย่างของข้าพเจ้า เหมือนกับที่ข้าพเจ้าทำตามแบบอย่างของพระคริสต์” (1 โครินธ์ 11:1) ช่างเป็นคำกล่าวที่กล้าหาญมาก! เปาโลกล่าวเป็นนัยว่า “ถ้าหากคุณอยากมีชีวิตที่ถูกต้อง ให้ลอกเลียนแบบข้าพเจ้า” เนื่องจากเปาโลทำตามพระคริสต์ การที่ชาวโครินธ์จะทำตามเปาโลจึงปลอดภัย

ถ้านักศึกษาของผมจะเป็นเหมือนผม ผมต้องถามตัวเองว่า “ผมมีคุณลักษณะอะไรที่ทำให้ผมต้องอับอายขายหน้าเมื่อนักศึกษาลอกเลียนแบบอย่างของผมไหม?” ถ้าหากผมตอบสนองต่อนักศึกษาด้วยความโกรธและไม่อดทน ผมไม่ต้องแปลกใจเลยหากนักศึกษาของผม “ที่ได้รับการฝึกฝนอย่างเต็มที่แล้ว” กลับแสดงความโกรธและไม่อดทนต่อคนอื่น

คุณลักษณะชีวิตเป็นศูนย์กลางความเป็นครู คุณไม่สามารถพัฒนาคุณลักษณะชีวิตอย่างมีคุณภาพให้กับนักศึกษาของคุณได้หากคุณไม่ได้เป็นแบบอย่างด้วยชีวิตของคุณเองก่อน การที่ครูแสดงให้เห็นถึงคุณลักษณะในทางของพระเจ้าก็สำคัญกว่าการแสดงถึงระดับการศึกษาที่ดีเยี่ยมของเขา เราต้องเป็นในสิ่งที่เราอยากให้นักศึกษาของเราเป็น

นำบทเรียนมาสู่การปฏิบัติ

► เมื่อเราจบบทเรียนเรื่องการสอนเหมือนพระเยซูนี้ ให้คุณขอพระเจ้าเปิดเผยว่าคุณมีคุณลักษณะใดที่คุณไม่อยากให้นักศึกษาของคุณลอกเลียนแบบ ขอพระคุณจากพระเจ้าที่จะเปลี่ยนแปลงในสิ่งที่จำเป็นต้องเปลี่ยนเพื่อเมื่อนักศึกษาของคุณได้รับการฝึกฝนอย่างเต็มที่แล้ว คุณจะมองเห็นคุณลักษณะของพระเจ้าสะท้อนจากชีวิตของพวกเขา

งานมอบหมายบทที่ 4

สามารถพิมพ์ PDF ได้ที่นี่

งานมอบหมายสำหรับบทเรียนนี้ได้ทำสำเร็จแล้วตลอดทั้งบทเรียน ถ้าหากคุณทำกิจกรรมตามที่กำหนดไว้ในช่วงระหว่างบทเรียน ก็ไม่มีงานมอบหมายเพิ่มเติมสำหรับบทที่ 4

Next Lesson