ดร.ฮาววาร์ด เฮ็นดริคส์[1] สอนที่พระคริสตธรรมดัลลัสมานานกว่า 60 ปี ในช่วงระยะเวลาการทำงานของเขา เขาสอนนักศึกษามากกว่า 10,000 คน หนังสือที่มีอิทธิพลมากที่สุดเล่มหนึ่งของเขาคือหนังสือเล่มเล็ก ๆ ที่สรุปปรัชญาของเขาเกี่ยวกับ “กฎในการเป็นครู” เจ็ดประการ กฎเหล่านี้ตั้งอยู่บนพื้นฐานของรูปแบบการสอนของพระเยซู เมื่อคุณประยุกต์ใช้หลักการเหล่านี้ คุณจะเป็นครูที่มีประสิทธิภาพมากขึ้น
กฎของการเป็นครู
กฎของการเป็นครูคือ ถ้าวันนี้คุณหยุดเติบโต คุณก็หยุดการสอนของวันพรุ่งนี้
ดร.เฮ็นดริคส์ ถามว่า “คุณจะดื่มน้ำจากบ่อน้ำขังมากกว่าดื่มจากลำธารน้ำไหลหรือ?” น้ำสะอาดสดชื่นจากลำธารน้ำไหลย่อมดีกว่าน้ำที่ขังนิ่งในบ่อ
ครูบางคนปล่อยเวลาผ่านไปหลายปีโดยไม่อ่านหนังสือเล่มใหม่ ๆ ในวิชาที่ตนสอนหรือไม่เคยรับแนวคิดอะไรใหม่ ๆ คำสอนของพวกเขาเป็นเหมือนน้ำขังนิ่งในบ่อ ในฐานะครู เราควรเรียนรู้อยู่เสมอเหมือนกับศิษยาภิบาลที่หมั่นเพียรศึกษาเพื่อได้รับความเข้าใจใหม่ ๆ เกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้า
นำบทเรียนมาสู่การปฏิบัติ
► ลองคิดว่ามีนักศึกษาคนหนึ่งมาถามคุณว่า “ครูครับ เมื่อไม่นานมานี้ครูเรียนรู้อะไรจากพระคัมภีร์บ้างครับ?” คำตอบของคุณมากจากสัปดาห์นี้ เดือนนี้ ปีนี้ หรือจากเมื่อนานมาแล้ว? คุณเพิ่มพูนความรู้ของคุณเกี่ยวกับพระวจนะของพระเจ้าไหม?
กฎของการศึกษา
กฎของการศึกษาคือ วิธีการเรียนรู้ของคนกำหนดวิธีการที่คุณสอน
พระเยซูสอนผู้เลี้ยงแกะโดยการเล่าเรื่องเกี่ยวกับแกะ พระองค์สอนชาวประมงโดยการพูดถึง “การหาคนดั่งหาปลา” พระองค์สอนผู้หญิงที่บ่อน้ำโดยพูดเรื่องน้ำ พระเยซูรู้ว่าครูที่มีประสิทธิภาพจะปรับเปลี่ยนให้เข้ากับผู้เรียนแต่ละคน
[2] ดร.เฮ็นดริคส์ เปรียบเทียบการสอนกับงานในการเป็นโค้ชฟุตบอล โค้ชไม่ลงเล่นในสนาม แต่โค้ชตื่นเต้นและกำกับผู้เล่นในสนาม ในทำนองเดียวกัน ครูที่ดีที่สุดไม่ได้ทำงานทุกอย่างผ่านการบรรยาย ครูที่ดีที่สุดย่อมสร้างแรงบันดาลใจให้ผู้เรียนเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพเหมาะกับแต่ละคน
มีคาห์เป็นนักเรียนในชั้นเรียนพระคัมภีร์ ครูคาดหวังให้นักเรียนทุกคนจดบันทึกอย่างละเอียดเพื่อเตรียมตัวสอบ มีคาห์ไม่อยากจดบันทึก แต่เมื่อครูกำลังบรรยาย เขาวาดภาพในสมุดของเขาแทน ครูกลัวว่ามีคาห์จะไม่ตั้งใจฟัง หลายครั้งเขาจึงพูดว่า “มีคาห์ ขออย่าวาดรูป แต่จดสิ่งที่ครูสอน” มีคาห์พยายามทำตามที่ครูขอ แต่เขากลับยิ่งเครียดมาก
แล้วครูก็นึกถึงกฎของการศึกษาของ ดร.เฮ็นดริคส์ เขาจึงพูดว่า “มีคาห์ ทดลองดูนะ เธอวาดรูปก็ได้ แต่ต้องอธิบายให้ครูรู้ว่าเธอจดจำสิ่งที่ครูสอนในชั้นเรียนได้” การทดลองเป็นผลสำเร็จ มีคาห์เรียนรู้โดยการผันถ้อยคำเป็นรูปภาพ ครูเรียนรู้ที่จะเปลี่ยนแปลงความคาดหวังของเขาเพราะ “วิธีการเรียนรู้ของคนกำหนดวิธีการที่คุณสอน”
นำบทเรียนมาสู่การปฏิบัติ
► คุณมีนักเรียนที่เรียนรู้แตกต่างจากคนอื่น ๆ ที่เหลือในชั้นเรียนไหม? คุณจะทำอะไรเพื่อช่วยให้นักเรียนคนนั้นสามารถเรียนรู้ได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น?
กฎของกิจกรรม
กฎของกิจกรรมคือ การมีส่วนร่วมสูงสุดนำมาซึ่งการเรียนรู้มากที่สุด
พระเยซูรู้ว่าผู้เรียนของพระองค์ต้องฝึกปฏิบัติบทเรียนที่พระองค์สอน พระองค์ส่งพวกเขาเดินทางออกไปทำพันธกิจ พระองค์ให้พวกเขาแจกจ่ายขนมปังและปลาแก่ฝูงชน พระองค์พาพวกเขาไปยังที่เปลี่ยวเพื่ออธิษฐาน พระองค์ให้โอกาสพวกเขานำบทเรียนไปประยุกต์ใช้ ผลลัพธ์คืออะไร? พวกอัครทูตมีชื่อเสียงในฐานะคนคว่ำโลก (กิจการ 17:6)
นักจิตวิทยากล่าวว่า...
เราจดจำได้น้อยกว่า 10% ของสิ่งที่เราได้ยิน
เราจดจำได้น้อยกว่า 50% ของสิ่งที่เราเห็นและได้ยิน
แต่เราจดจำได้มากถึง 90% ของสิ่งที่เราเห็น ได้ยิน และลงมือทำ
การมีส่วนร่วมโดยการปฏิบัติเพิ่มพูนการเรียนรู้อย่างมหาศาล
นำบทเรียนมาสู่การปฏิบัติ
► เมื่อคุณเตรียมตัวสำหรับบทเรียนครั้งหน้า ขอให้เตรียมกิจกรรมที่จะให้นักศึกษาได้ปฏิบัติตามหลักการที่คุณสอนด้วย
กฎของการสื่อสาร
กฎของการสื่อสารคือ การที่จะสอนได้อย่างแท้จริง เราต้องสร้างสะพานเชื่อมไปยังผู้เรียน
ในฐานะครูและศิษยาภิบาล เราอยู่ในธุรกิจการสื่อสาร งานของเราใหญ่กว่าการให้ข้อมูล งานของเราคือการสื่อสารความจริงต่อผู้ฟัง การสื่อสารจำเป็นต้องค้นหาจุดร่วม การสื่อสารจำเป็นต้องสร้างสะพานเชื่อมไปยังผู้เรียนของเรา
พระเยซูจัดเตรียมแบบอย่างสำหรับการสร้างสะพานเชื่อมไปยังผู้เรียน มีอุปสรรคขวางกั้นระหว่างพระเยซูกับหญิงชาวสะมาเรียคือ เชื้อชาติ ศาสนา และสังคม พระเยซูเป็นชาวยิว แต่เธอเป็นชาวสะมาเรีย พระเยซูเป็นผู้ชาย แต่เธอเป็นผู้หญิง พระเยซูเป็นรับบีผู้เป็นที่เคารพนับถือ แต่เธอมีอดีตที่ผิดศีลธรรม พระเยซูจะสร้างสะพานเพื่อข้ามอุปสรรคที่ขวางกั้นเหล่านี้ได้อย่างไร? พระองค์หาจุดร่วม ทั้งพระองค์และผู้หญิงคนนี้กระหายน้ำ ความจำเป็นฝ่ายร่างกายสร้างสะพานเชื่อมไปสู่การเผชิญหน้าซึ่งทำให้ชีวิตเปลี่ยน (ยอห์น 4:1-42)
ดร.เฮ็นดริคส์ เขียนว่า การสื่อสารต้องเกี่ยวข้องกับสามระดับ
1. ความรู้ - บางสิ่งที่ฉันรู้ นี่คือระดับง่ายสุดของการสื่อสาร
2. ภาระใจ - บางสิ่งที่ฉันรู้สึก นี่คือระดับลึกขึ้นของการสื่อสาร
3. การปฏิบัติ - บางสิ่งที่ฉันทำ ระดับนี้ของการสื่อสารเปลี่ยนชีวิตผู้เรียน
โจเอลฟังผู้บริหารพระคริสตธรรมในแอฟริกานำเสนอนิมิตของเขาต่อผู้บริจาคที่เป็นเศรษฐีคนหนึ่ง เขาขอเงินจากผู้บริจาคในจำนวนที่โจเอลคิดไม่ถึง! โจเอลยิ่งต้องประหลาดใจเมื่อผู้บริจาคบริจาคให้ด้วยใจกว้างขวาง เพราะอะไรหรือ? เพราะผู้บริหารพระคริสตธรรมสื่อสารสามระดับคือ...
1. ความรู้ - เขารู้ถึงความจำเป็นของการฝึกฝนผ่านพระคริสตธรรมในแอฟริกา
2. ภาระใจ - เขาเต็มไปด้วยภาระใจในการฝึกฝนผู้นำคริสตจักรในแอฟริกา
3. การปฏิบัติ – เขาใช้ชีวิตในแอฟริกาและยอมเสียสละมากมายเพื่อฝึกฝนผู้นำคริสตจักร ผู้บริหารคนนี้สื่อสารสิ่งที่เขากำลังทำในแอฟริกา
เพื่อจะสอนได้อย่างมีประสิทธิภาพ เราต้องมีภาระใจสำหรับหัวข้อที่เราสอน ขอให้นึกถึงบทสนทนานี้ที่เกิดขึ้นในชั้นระวีหลายที่
ครู: “วันนี้เราจะศึกษาเรื่องการเลี้ยงอาหารคน 5,000 คนในยอห์นบทที่ 6”
นักเรียน: “ผมมีคำถามครับ พระคัมภีร์บอกว่าพวกเขานับแค่ผู้ชาย เพราะอะไรครับ?”
ครู: “ครูก็ไม่รู้เหมือนกัน แต่มันไม่สำคัญอะไร สนใจแค่บทเรียนก็พอ”
ในทันใด เรื่องราวพระคัมภีร์ที่น่าตื่นเต้นก็กลายเป็นเรื่องน่าเบื่อ เด็ก ๆ อยากรู้ว่าพระเยซูสามารถเลี้ยงคน 20,000 คนด้วยขนมปังไม่กี่ก้อนกับปลาไม่กี่ตัวได้อย่างไร เราทำให้เรื่องนี้น่าเบื่อได้อย่างไร? ครูคนนี้ไม่สื่อสารความรู้ เขาไม่ศึกษาเบื้องหลังเพื่อจะเข้าใจว่าทำไมคนยิวจึงเขียนว่านับแค่ผู้ชายเท่านั้น ครูคนนี้ไม่มีภาระใจสำหรับเรื่องราวอันน่าตื่นเต้นนี้ มีโอกาสเพียงเล็กน้อยที่ชีวิตของครูคนนี้จะได้รับการเปลี่ยนแปลงจากบทเรียนนี้ ซึ่งจะทำให้เขาเปลี่ยนแปลงชีวิตของผู้เรียนได้
นำบทเรียนมาสู่การปฏิบัติ
► เมื่อคุณเตรียมบทเรียน ขอให้คิดถึงระยะห่างระหว่างโลกของคุณกับโลกของนักศึกษาของคุณ ขอให้ใช้เวลาสร้างสะพานเชื่อมไปยังนักศึกษา ค้นหาวิธีที่จะเชื่อมบทเรียนให้เข้ากับความสนใจของนักศึกษา
กฎแห่งใจ
กฎแห่งใจคือ การสอนที่มีประสิทธิภาพไม่ได้เป็นเพียงการส่งต่อความรู้ในหัวสมอง แต่เป็นการสัมผัสใจ
เมื่อพระเยซูจบคำเทศนาบนภูเขา ฝูงชนต่างประหลาดใจในคำสอนของพระองค์ เพราะพระองค์สอนพวกเขาดั่งเช่นคนที่มีสิทธิอำนาจ ไม่ได้สอนอย่างพวกธรรมาจารย์ของพวกเขา (มัทธิว 7:28-29) คำสอนของพระเยซูมาจากใจของพระองค์ และสัมผัสใจของผู้ฟัง
ในพระกิตติคุณให้ภาพความเมตตาสงสารของพระเยซูครั้งแล้วครั้งเล่า ผู้คนได้รับการสัมผัสโดยความเมตตาสงสารของพระองค์ ใจของพระองค์สัมผัสไปถึงใจของพวกเขา ฮาวเวอร์ด เฮ็นดริคส์ แสดงให้เห็นถึงองค์ประกอบของการสอนที่มีประสิทธิภาพ
คุณลักษณะของครูที่สร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นกับผู้เรียน
ถ้าหากผู้เรียนไว้วางใจในคุณลักษณะของครูผู้สอน เขาก็มั่นใจในสิ่งที่กำลังได้รับการสอน ในฐานะศิษยาภิบาลและอาจารย์ เราต้องไม่ทำลายความไว้วางใจนั้น สิ่งที่ยากที่สุดคือการสร้างความไว้วางใจ ผู้นำคริสเตียนที่ฉลาดจะวิ่งออกจากสิ่งใด ๆ ที่อาจนำไปสู่การผิดศีลธรรมหรือความล้มเหลวทางจริยธรรม คุณลักษณะของคุณต้องสร้างความมั่นใจให้เกิดขึ้นกับผู้เรียนของคุณ
ความเมตตาสงสารของครูกระตุ้นแรงจูงใจของผู้เรียน
เมื่อนักศึกษารู้สึกได้ถึงความเมตตาสงสารของครูผู้สอน เขาก็มีแรงจูงใจที่จะเรียนรู้ พวกสาวกติดตามพระเยซูเมื่อพวกเขารู้ว่าพระองค์รักพวกเขา ถ้าหากคุณไม่รักนักศึกษาของคุณ พวกเขาจะมีแรงจูงใจเล็กน้อยที่จะเรียนรู้จากคุณ
ดร.เฮ็นดริคส์ กล่าวกับครูสอนเด็กเล็กว่า “ถ้าหากโจแอนมีรองเท้าคู่ใหม่ คุณต้องสังเกตเห็นรองเท้าของเธอ ไม่อย่างนั้นเธอจะไม่มีวันได้ยินบทเรียนใหม่ที่คุณสอนเลย!” เมื่อคุณแสดงความสนใจต่อผู้เรียน (เพราะคุณรักพวกเขา) พวกเขาก็พร้อมที่จะเรียนรู้บทเรียนที่คุณสอน
เนื้อหาที่ครูสอนนำความเข้าใจมาให้กับผู้เรียน
คุณพร้อมที่จะสอนเนื้อหาได้ตอนที่หลังจากนักศึกษามีแรงจูงใจที่จะเรียนเท่านั้น หลังจากคุณได้ความเชื่อมั่นจากนักศึกษาแล้ว คุณก็สามารถพูดสิ่งที่มาจากใจของคุณต่อพวกเขาได้
นำบทเรียนมาสู่การปฏิบัติ
► คุณรักนักศึกษาของคุณไหม? ที่สำคัญเช่นกันคือพวกเขารู้ว่า คุณรักพวกเขาไหม? คุณสามารถสื่อสารจากใจให้กับนักศึกษาที่พระเจ้าส่งมาให้คุณไหม?
กฎของการหนุนใจ
กฎของการหนุนใจคือ การสอนมีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อผู้เรียนมีแรงจูงใจอย่างเหมาะสม
เมื่อได้ยินถึงคำว่า แรงจูงใจ ครูหลายคนคิดถึงลูกอม ใบประกาศนียบัตร เกรดเฉลี่ย หรือสิ่งอื่น ๆ ที่กระตุ้นผู้เรียนให้มีแรงบันดาลใจ รางวัลเหล่านี้ไม่ผิดอะไรและอาจช่วยสร้างความสนใจให้คนของคุณได้ แต่รางวัลเหล่านี้ไม่เกี่ยวข้องกับเป้าหมายที่แท้จริง นักศึกษาที่ทำงานเพื่อให้ได้รับรางวัลก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงน้อยมากจากความจริงที่พวกเขาได้เรียนรู้ การที่ครูพูดต่อแรงจูงใจภายในของผู้เรียนก็เป็นวิธีการที่ดีกว่า
ดร.เฮ็นดริคส์ เขียนถึงแรงจูงใจภายในไว้บางประการดังนี้
ความเป็นเจ้าของ “นี่คือคริสตจักรของฉัน ฉันจะชวนคนมาคริสตจักรเพื่อทำให้คริสตจักรเติบโตขึ้น”
ความจำเป็น “ฉันจำเป็นต้องมีพระวจนะของพระเจ้าเพื่อเอาชนะการทดลอง ดังนั้นฉันจะท่องจำพระคัมภีร์”
การยอมรับ “ฉันรักครูของฉันและอยากทำให้เธอพอใจ ดังนั้นฉันจะตั้งใจศึกษาบทเรียน”
แรงจูงใจเหล่านี้อยู่ได้นานกว่าลูกอมหรือเกรดเฉลี่ย เมื่อเราใช้อุปกรณ์สร้างแรงจูงใจเหล่านี้ เราก็หนุนใจให้ผู้เรียนสามารถเรียนรู้ได้ในระยะยาว
นำบทเรียนมาสู่การปฏิบัติ
► เขียนสิ่งที่เป็นแรงจูงใจที่คุณอาจใช้กับนักศึกษาของคุณได้ คุณจะสร้างแรงจูงใจให้พวกเขาโดยใช้ประโยชน์จากการเรียนรู้ได้อย่างไร?
กฎแห่งความพร้อม
กฎแห่งความพร้อมคือ การสอนมีประสิทธิภาพมากที่สุดเมื่อนักศึกษาและครูผู้สอนได้รับการเตรียมพร้อมอย่างเพียงพอ
เรื่องนี้ฟังดูคล้าย ๆ กับบทเรียนจากชั้นระวีวันอาทิตย์ที่คริสตจักรของคุณไหม?
ครู: “วันนี้เราจะเรียนพระธรรมเอเฟซัสบทที่ 5 ให้ทุกคนเปิดพระคัมภีร์”
ผู้เรียนคิด: ทำไมเราต้องเรียนพระธรรมเอเฟซัสบทที่ 5 ด้วย?”
ครูใช้เวลาเป็นชั่วโมงสอนพระธรรมเอเฟซัสบทที่ 5 เธอเป็นครูที่ดี เมื่อจบชั่วโมง ผู้เรียนได้รับแรงบันดาลใจจากคำสอนของเปาโล บทเรียนจบ ผู้เรียนก็กลับบ้าน สัปดาห์ต่อมา เราจะได้ยินแบบนี้ว่า...
ครู: “วันนี้เราจะเรียนพระธรรมเอเฟซัสบทที่ 6 ให้ทุกคนเปิดพระคัมภีร์”
ผู้เรียนคิด: “ทำไมเราต้องเรียนพระธรรมเอเฟซัสบทที่ 6 ด้วย?”
จะดีกว่าแค่ไหนถ้าหากผู้เรียนได้ศึกษาพระธรรมเอเฟซัสบทที่ 6 ล่วงหน้าก่อนมาเข้าชั้นเรียน! บทเรียนจะบรรลุผลได้มากขึ้นไหมหากผู้เรียนมาถึงชั้นเรียนพร้อมกับคำถามมากมาย? แน่นอน! คุณจะทำให้สิ่งนี้บรรลุผลได้อย่างไร? ศาตราจารย์เฮ็นดริคส์แนะนำให้มอบหมายงานแก่ผู้เรียนสำหรับแต่ละบทเรียน ยกตัวอย่างเช่น...
ให้งานมอบหมายที่ทำให้นักศึกษาคิดเกี่ยวกับบทเรียนที่จะต้องศึกษาในสัปดาห์ต่อมา “ก่อนจะถึงวันอาทิตย์หน้า ขอให้ทุกคนอ่าน กิจการบทที่ 19 มาล่วงหน้าโดยเรียนรู้ว่าเปาโลเริ่มต้นคริสตจักรในเอเฟซัสอย่างไร”
ให้งานมอบหมายที่จัดเตรียมความรู้ที่เป็นเบื้องหลังของบทเรียน “ก่อนจะถึงวันอาทิตย์หน้า ขอให้อ่านพจนานุกรมพระคัมภีร์เกี่ยวกับวิหารอาร์เทมิสในเอเฟซัส เพราะจะช่วยอธิบายถึงจุดเน้นของเปาโลเกี่ยวกับสงครามฝ่ายวิญญาณในเอเฟซัส 6:10-20”
ให้งานมอบหมายที่พัฒนาความสามารถในการศึกษาส่วนตัวให้กับนักศึกษา “อ่านเอเฟซัสบทที่ 6 ทุก ๆ วันในสัปดาห์นี้ เมื่อคุณอ่าน ขอให้เขียนคำถามที่มีเกี่ยวกับบทนี้ อาทิตย์หน้าเราจะพูดคุยกันถึงคำถามที่คุณมี”
นำบทเรียนมาสู่การปฏิบัติ
► เมื่อถึงชั้นเรียนครั้งหน้า ให้งานมอบหมายแก่นักศึกษาเพื่อเตรียมพวกเขาให้ทำตามบทเรียน ขอตรวจให้แน่ใจว่างานมอบหมายนั้นเตรียมความเข้าใจของพวกเขาเกี่ยวกับบทเรียนที่พวกเขาจะศึกษา
[1] เนื้อหาในตอนนี้ดัดแปลงมาจาก Howard Hendricks,
Teaching to Change Lives (Colorado Springs: Multnomah Books, 1987)
[2]
“การทดสอบขั้นสูงสุดของการสอนไม่ใช่สิ่งที่คุณทำได้หรือทำได้ดีเพียงใด
แต่เป็นสิ่งที่ผู้เรียนทำได้ดีเพียงใด”
- Dr. Howard Hendricks
Previous
Next