ชีวิตและพันธกิจ ของพระเยซู
ชีวิตและพันธกิจ ของพระเยซู
Audio Course Purchase

Search Course

Type at least 3 characters to search

Search through all lessons and sections in this course

Searching...

No results found

No matches for ""

Try different keywords or check your spelling

results found

Lesson 1: เตรียมตัวสำหรับพันธกิจ

1 min read

by Randall McElwain


จุดประสงค์บทเรียน

เมื่อจบบทเรียน นักศึกษาควรบรรลุวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้

(1) ยอมรับว่าพระเยซูเป็นต้นแบบสำหรับพันธกิจของเรา

(2) ยกย่องอำนาจการปกครองของพระเจ้าในการเตรียมคนเหล่านั้นที่พระองค์เรียก

(3) ยอมจำนนต่อการทรงเรียกของพระเจ้าเพื่อเข้าสู่บทบาทที่พระองค์เลือกให้

(4) ทำตามขั้นตอนของพระเยซูเพื่อมีชัยชนะเหนือการทดลอง

การเตรียมตัวสำหรับบทเรียนนี้

อ่าน มัทธิว 1-4, ลูกา 1-3, และยอห์น 1

หลักการสำหรับพันธกิจ

พระเจ้าเตรียมคนเหล่านั้นที่พระองค์เรียกให้ทำพันธกิจตามการทรงเรียกของพระองค์

บทนำ

ในบทเรียน ชีวิตและพันธกิจของพระเยซู เราจะศึกษาเกี่ยวกับพระเยซูในฐานะที่เป็นต้นแบบสำหรับพันธกิจของเราในปัจจุบันนี้ พระเยซูตรัสว่า “เพราะว่าเราวางแบบอย่างแก่พวกท่านแล้ว เพื่อให้ท่านทำเหมือนอย่างที่เราทำกับท่านด้วย” (ยอห์น 13:15) ชีวิตของพระเยซูบนโลกนี้เป็นต้นแบบสำหรับบรรดาสาวกของพระองค์

เปาโลเข้าใจหลักการนี้ดี เมื่อเขาได้ยินเรื่องความขัดแย้งระหว่างคริสเตียนที่เมืองฟิลิปปี เปาโลชี้ไปที่แบบอย่างของพระเยซูว่า “จงมีจิตใจเช่นนี้ในพวกท่านเหมือนอย่างที่มีในพระเยซูคริสต์” (ฟิลิปปี 2:5) เปาโลรู้ว่าถ้าคริสเตียนเหล่านี้ทำตามแบบอย่างของพระเยซู ความถ่อมใจของพวกเขาจะขจัดความขัดแย้งในคริสตจักรออกไปได้

ในการเดินทางไปแอฟริกา มีนักข่าวชาวยิวคนหนึ่งชื่อว่า เดวิด พลอทซ์ ติดอยู่ที่สนามบินมาลาวี ที่นั่นเขาพบกับศิษยาภิบาลชาวแอฟริกันซึ่งพาพลอทซ์ไปที่บ้านของเขา เลี้ยงอาหารเขาเป็นเวลาสองวัน และเป็นพยานกับเขาเกี่ยวกับพระเยซูผู้เป็นพระเมสสิยาห์ ต่อมา เดวิด พลอทซ์ ได้เขียนว่า “ผมไม่เชื่อในสิ่งใดที่ผู้ชายคนนี้เชื่อ แต่ผมทึ่งในการกลับใจมาเชื่อของเขา เขารู้สึกว่าพระคริสต์เคลื่อนไหวอยู่ภายในเขา ทำให้เขาพาคนแปลกหน้าไปที่บ้านของเขา เลี้ยงอาหาร และให้เสื้อผ้าแก่คนแปลกหน้านั้น” ศิษยาภิบาลชาวแอฟริกันคนนี้เข้าใจว่าเราได้รับการทรงเรียกให้ทำตามแบบอย่างของพระเยซู

หลักสูตรนี้ไม่ได้เป็นการศึกษาชีวิตของพระเยซูแบบกว้าง ๆ แต่เราจะมุ่งเน้นศึกษาแง่มุมต่าง ๆ ในชีวิตของพระเยซูเพื่อเป็นต้นแบบสำหรับพันธกิจในปัจจุบันนี้ เราจะเรียนรู้แบบแผนการทำพันธกิจของเราผ่านการเป็นแบบอย่างของพระเยซู

ในบทเรียนบทแรกนี้ เราจะดูที่การเตรียมตัวของพระเยซูสำหรับพันธกิจ ซึ่งให้ภาพตัวอย่างที่อธิบายถึงหลักการของพระเจ้าในการเตรียมแต่ละบุคคลที่พระองค์เรียกให้ทำพันธกิจตามการทรงเรียกของพระองค์

พระเจ้าเตรียมภูมิหลังทางครอบครัวให้กับผู้รับใช้ของพระองค์

► คิดถึงภูมิหลังทางครอบครัวของคุณและคิดถึงชีวิตช่วงเริ่มต้น พระเจ้าใช้ภูมิหลังของคุณเพื่อเตรียมคุณสำหรับงานพันธกิจอย่างไรบ้าง?

ลำดังวงศ์ตระกูลในพระกิตติคุณแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าผู้มีอำนาจสูงสูดได้จัดเตรียมหนทางให้กับผู้รับใช้ของพระองค์ในหลายศตวรรษก่อนที่พระเยซูจะมาประสูติ เป็นเวลายาวนานก่อนพระเยซูมาประสูติ พระเจ้าได้เตรียมหนทางสำหรับการมาของพระเยซู

ลำดับวงศ์ตระกูลนี้ตอบคำถามว่า “พระเยซูเป็นใคร?” ลำดังวงศ์ตระกูลแสดงให้เห็นความสำคัญของอับราฮัมและดาวิด อับราฮัมสำคัญในการเป็นบรรพบุรุษของพระเยซูเพราะพระเจ้าสัญญากับอับราฮัมว่า “บรรดาเผ่าพันธุ์ทั่วโลกจะได้พรเพราะเจ้า” (ปฐมกาล 12:3) พระสัญญานี้สำเร็จโดยทางพระเยซูชาวนาซาเร็ธ

ดาวิดสำคัญในลำดับพงศ์พันธุ์นี้เพราะพระเจ้าสัญญาว่าบัลลังก์ของดาวิดจะได้รับการสถาปนาชั่วนิรันดร์ (2 ซามูเอล 7:16) ในวันที่พระเยซูมาประสูติ เป็นเวลามากกว่า 500 ปีนับย้อนกลับไปจนถึงเวลาที่กษัตริย์ดาวิดครองบัลลังก์ มัทธิวและลูกาแสดงให้เห็นว่าพระเยซูทำให้พระสัญญาต่อดาวิดสำเร็จ

พระเยซูเป็นบุตรของดาวิด (มัทธิว 1:1-17)

ในพันธสัญญาใหม่ฉบับภาษากรีก สองคำแรกของพระกิตติคุณมัทธิวเป็นการเตือนให้ผู้อ่านดั้งเดิมของมัทธิวระลึกถึงพระธรรมปฐมกาล (ปฐมกาล 2:4, ปฐมกาล 5:1) เหมือนที่ปฐมกาลแสดงให้เห็นถึงอำนาจสูงสุดของพระเจ้าเหนือสิ่งทรงสร้าง มัทธิวก็แสดงให้เห็นถึงอำนาจสูงสุดของพระเจ้าเหนือประวัติศาสตร์ ลำดับวงศ์ตระกูลในมัทธิวแสดงให้เห็นว่าประวัติศาสตร์ทั้งหมดของอิสราเอลนำมาสู่การประสูติของพระเมสสิยาห์

ลำดับวงศ์ตระกูลของในมัทธิวบันทึกสามกลุ่มที่แต่ละกลุ่มมี 14 รายชื่อ นี่เป็นตัวช่วยจำซึ่งคนยิวนิยมใช้กัน การจัดกลุ่มช่วยให้นักศึกษาท่องจำรายชื่อยาวเหยียดได้ ผู้อ่านลำดับวงศ์ตระกูลในมัทธิวจะรู้ว่ารายชื่อนี้ไม่ได้ระบุถึงบรรพบุรุษทุกคนที่อยู่ระหว่างชื่อของอับราฮัมกับโยเซฟ วลีที่กล่าวซ้ำของมัทธิว “เป็นบิดาของ” เป็นการกล่าวถึงบรรพบุรุษคนใดก็ได้ ลำดับวงศ์ตระกูลของคนยิวมักจะข้ามคนในรุ่นต่าง ๆ มัทธิวเน้นเฉพาะสมาชิกที่สำคัญในลำดับวงศ์ตระกูลของพระเยซูและข้ามบางชื่ออื่น ๆ ไป

เนื่องจากมัทธิวข้ามชื่อของคนในบางรุ่น ชื่อต่าง ๆ ที่เขาระบุถึงจึงควรให้ความสนใจเป็นพิเศษ มัทธิวเลือกชื่อเหล่านี้อย่างมีเป้าหมาย ยกตัวอย่างเช่น มัทธิวเขียนชื่อของผู้หญิงสี่คน ซึ่งไม่ใช่เรื่องปกติในลำดับวงศ์ตระกูลของคนยิว ผู้หญิงที่ถูกระบุชื่อไม่ใช่ผู้หญิงที่มีคุณสมบัติอย่างที่เราควรจะคาดหวัง ราหับและรูธเป็นหญิงต่างชาติ ทามาร์ ราหับ และบัธเชบาล้วนเกี่ยวพันกับความเสื่อมเสียทางเพศ

ในทำนองเดียวกัน ผู้ชายบางคนที่ได้รับการระบุชื่อก็ทำสิ่งที่น่าดูหมิ่น ยูดาห์ปฏิบัติต่อทามาร์อย่างน่าอับอาย เชื้อสายของเยโคนิยาห์ก็ขาดคุณสมบัติที่จะครองบัลลังก์ของอิสราเอล (มัทธิว 1:12, เยเรมีย์ 22:30) ที่น่าสังเกตมากที่สุดคือ มัทธิวไม่ได้เอ่ยถึงดาวิดพร้อมกับความสำเร็จอันยิ่งใหญ่ของเขา แต่เอ่ยถึงในฐานะบิดาของซาโลมอนที่เกิดจากภรรยาของอุรียาห์

รายชื่อเหล่านี้ระบุถึงพระเยซูพร้อมกับมนุษยชาติที่เป็นคนบาป พระเจ้านำพระบุตรของพระองค์เข้ามาในโลกโดยไม่ได้ผ่านเชื้อสายที่ปราศจากตำหนิ แต่ผ่านเชื้อสายของคนธรรมดา ๆ ที่เป็นคนบาป พวกผู้นำชาวยิวเยาะเย้ยการกำเนิดที่ไม่น่านับถือของพระเยซูและปฏิเสธว่าพระองค์ไม่คู่ควร (ยอห์น 8:41, 48) มัทธิวแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าใช้บุคคลหนึ่งจากบรรพบุรุษที่เต็มไปด้วยบาปเพื่อทำให้พระประสงค์อันยิ่งใหญ่ของพระองค์สำเร็จได้

► ในวัฒนธรรมของเรา องค์ประกอบอันใดจากภูมิหลังของบุคคลหนึ่งที่สามารถนำเราให้คิดได้ว่าเขามีศักยภาพต่ำ?

พระเจ้ามักจะเรียกผู้คนที่มีภูมิหลังซึ่งไม่เป็นที่คาดหวังให้มาทำงานรับใช้พระองค์ ไม่มีใครที่ใช้การไม่ได้เนื่องจากภูมิหลังทางครอบครัวของพวกเขา องค์ประกอบต่าง ๆ จากภูมิหลังของบุคคลที่นำเราให้คิดว่าเขามีศักยภาพต่ำอาจไม่ตรงกันกับที่พระเจ้าคิดก็ได้

พระเยซูเป็นบุตรของอาดัม (ลูกา 3:23-38)

มัทธิวแกะรอยลำดับวงศ์จาก “กษัตริย์ของชาวยิว” ไปจนถึงอับราฮัม ลูกาแกะรอยลำดับวงศ์ของพระเยซูไปจนถึงอาดัม สิ่งนี้เหมาะสมกับจุดเน้นของลูกาเกี่ยวกับพระเยซูในฐานะ “บุตรมนุษย์” ลำดับวงศ์ที่ลูกาเขียนนั้นเน้นความเป็นมนุษย์ของพระเยซู ลูกาวางตำแหน่งลำดับวงศ์ไว้ก่อนเรื่องราวการทดลองพระเยซู นี่เป็นการเตือนให้ผู้อ่านระลึกว่าพระเยซูเป็นอาดัมคนที่สองผู้บรรลุเป้าหมายในสิ่งที่อาดัมคนแรกล้มเหลว

พิจารณารายละเอียด: ลำดับวงศ์ในมัทธิวและในลูกา

มัทธิว 1 และลูกา 3 เขียนลำดับวงศ์ของพระเยซูในแบบที่แตกต่างกัน มัทธิวเริ่มต้นจากอับราฮัมไปยังกษัตริย์ซาโลมอนไปจนถึงโยเซฟ ลูกาเริ่มต้นจากโยเซฟย้อนกลับไปยังนาธาน (ลูกชายอีกคนของดาวิด) ไปจนถึงอาดัม

ลำดับวงศ์ทั้งสองเหมือนกันในช่วงอับราฮัมถึงดาวิด อย่างไรก็ตามในช่วงดาวิดและโยเซฟ ทั้งสองลำดับวงศ์สืบเชื้อสายแตกต่างกัน คำอธิบายที่เป็นไปได้สำหรับความแตกต่างนี้คือ มัทธิวบันทึกถึงบรรพบุรุษของโยเซฟ และลูกาบันทึกบรรพบุรุษของมารีย์[1]

บรรพบุรุษของโยเซฟในพระธรรมมัทธิวเป็นลำดับวงศ์ตระกูลของกษัตริย์ผ่านมาทางซาโลมอน ลำดับวงศ์ตระกูลนี้เหมาะสมกับใจความสำคัญของมัทธิวในการเน้นว่าพระเยซูเป็นกษัตริย์ นี่คือเชื้อสายที่ถูกต้องตามกฎหมายของพระเยซูซึ่งต้องผ่านมาทางโยเซฟ

บรรพบุรุษของมารีย์ในลูกาเป็นลำดับวงศ์ตระกูลในทาง “กายภาพ” ซึ่งย้อนกลับไปทางบุตรของดาวิดคือนาธาน ลำดับวงศ์ตระกูลนี้เหมาะสมกับจุดเน้นของลูกาเรื่องพระเยซูในฐานะ “บุตรมนุษย์” เพื่อแสดงให้เห็นสิ่งนี้ ลูกาลำดับวงศ์ตระกูลในทางกายภาพของพระเยซูผ่านทางมารีย์ เขายังคงเริ่มต้นด้วยวลี “บุตรของโยเซฟ” เนื่องจากลำดับวงศ์ตระกูลของคนยิวใช้ชื่อของผู้ชาย แม้เมื่อมีการสืบเชื้อสายจากผู้หญิงก็ตาม

เชื้อสายของมารีย์มีส่วนเกี่ยวพันทางสายเลือดกับดาวิด เชื้อสายของโยเซฟมีส่วนเกี่ยวพันทางสิทธิในการครองบัลลังก์ผ่านทาง ซาโลมอน


[1]คำอธิบายเพิ่มเติมพบได้ที่ http://www.gotquestions.org/Jesus-genealogy.html, เข้าถึงเมื่อ 22 มีนาคม 2021

พระเจ้าเตรียมภูมิหลังครอบครัวของผู้รับใช้ของพระองค์ (ต่อเนื่อง)

พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า (ยอห์น 1:1-18)

พระกิตติคุณยอห์นเริ่มต้นด้วยลำดับวงศ์ของพระเจ้าคือ พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้า “ชีวิตของพระเยซูไม่ได้เริ่มต้น...ในวินาทีของการมาประสูติ พระองค์เข้ามาในโลกจากสถานะที่มีอยู่ก่อนเพื่อทำให้ภารกิจเจาะจงสำเร็จ”[1]

ในพันธสัญญาเดิม ประชาชนอิสราเอลเห็นการสถิตอยู่ด้วยของพระเจ้าเป็นดั่งเมฆที่อยู่เหนือพลับพลา ตอนนี้พระเจ้าอยู่ท่ามกลางเราในความเป็นบุคคลของพระเยซูคริสต์ (ยอห์น 1:14) เวลานี้พระสิริของพระเจ้าได้รับการเปิดเผยแล้วในรูปลักษณ์ของมนุษย์

พระวาทะดำรงนิรันดร์ “พระวาทะทรงอยู่กับพระเจ้า และพระวาทะทรงเป็นพระเจ้า” (ยอห์น 1:1) พระบิดาและพระบุตรดำรงอยู่ในความสัมพันธ์ที่เป็นนิรันดร์[2] ทำไมพระเยซูจึงเข้ามาในโลกของพวกเรา? เพื่อสำแดงพระบิดา ไม่มีใครเคยเห็นพระบิดา แต่พระเยซูได้เปิดเผยพระองค์ให้เรารู้จักได้ (ยอห์น 1:18) เมื่อเราเห็นพระเยซู เราก็เห็นพระบิดา (ยอห์น 14:9)

ในวันนี้ผู้คนมากมายวาดภาพพระเยซูว่าเป็นเพื่อนรักและวาดภาพพระบิดาเป็นผู้ตัดสินที่แข็งกร้าว อย่างไรก็ตามในยอห์นบทที่ 1 แสดงให้เห็นถึงคุณลักษณะของพระเยซูว่าเหมือนกับคุณลักษณะของพระบิดา เมื่อเราเห็นพระเยซู เราก็เห็นพระบิดา


[1]J. Dwight Pentecost, The Words and Works of Jesus Christ. (Grand Rapids: Zondervan, 1981), 28
[2]ยอห์น 1:3 ปฏิเสธคำกล่าวอ้างของพยานพระยะโฮวาห์ที่อบกว่าพระเยซูเป็นมนุษย์ที่ถูกสร้างขึ้น พระเยซูอยู่ที่นั่นเมื่อมีการทรงสร้าง “พระเจ้าทรงสร้างสรรพสิ่งขึ้นมาโดยพระวาทะ ในบรรดาสิ่งที่เป็นอยู่นั้น ไม่มีสักสิ่งเดียวที่เป็นอยู่นอกเหนือพระวาทะ”

พระเจ้าเตรียมผู้รับใช้ของพระองค์ผ่านการมาประสูติอย่างอัศจรรย์

พระเยซูประสูติในเบธเลเฮมแคว้นยูเดีย ประมาณปีที่ 5 ก่อนคริสตกาล[1] โยเซฟได้เดินทางไปที่เบธเลเฮมตามการสำรวจสำมะโนประชากรของชาวโรมัน จุดประสงค์ของการสำรวจสำมะโนประชากรก็เพื่อธำรงรักษาการเก็บภาษีสำหรับจังหวัดต่าง ๆ ภายใต้การควบคุมของโรม

วิธีปกติของโรมคือการลงทะเบียนผู้คนในเมืองที่พวกเขาอาศัยและทำงาน อย่างไรก็ตาม เพื่อรักษาสันติภาพกับประชากรชาวยิวที่ก่อกบฏได้อย่างรวดเร็ว โรมจึงยอมให้มณฑลยูเดียปฏิบัติตามวิธีการลงทะเบียนของคนยิวในบ้านเกิดตามเผ่าของตนเอง ด้วยเหตุนี้เองโยเซฟและมารีย์จึงเดินทางเป็นระยะทาง 100 กิโลเมตรจากนาซาเรธถึงเบธเลเฮม ถึงแม้ว่ามีเพียงผู้ชายที่เป็นหัวหน้าครอบครัวเท่านั้นที่ต้องลงทะเบียน แต่โยเซฟพามารีย์ไปเบธเลเฮมด้วย เป็นไปได้ว่าโยเซฟไม่ต้องการทิ้งมารีย์ไว้กับพวกเพื่อนบ้านที่ชอบนินทาในเมืองนาซาเรธ

พระเจ้าทำงานผ่านทางเหตุการณ์ต่าง ๆ ในโลกเพื่อบรรลุวัตถุประสงค์ของพระองค์ โดยอำนาจสูงสุดของพระเจ้า พระองค์ทำให้จักรวรรดิของคนนอกศาสนา “เลือก” การสำรวจสำมะโนครัวของคนยิวเพื่อพระประสงค์ของพระองค์จะสำเร็จ “พระทัยพระราชาเหมือนธารน้ำในพระหัตถ์พระยาห์เวห์ พระเจ้าจะทรงชักนำไปทางไหนก็ตามแต่จะโปรด” (สุภาษิต 21:1) ในฐานะเป็นคนงานในอาณาจักรของพระเจ้า สิ่งนี้ควรให้ความมั่นใจแก่เราว่าพระเจ้าจะทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จแม้เมื่อปรากฎให้เห็นว่าคนชั่วกำลังควบคุมสถานการณ์อยู่ก็ตาม

การสำรวจสำมะโนประชากรเพื่อเก็บภาษีนี้เป็นหนึ่งตัวอย่างในตัวอย่างมากมายที่แสดงถึงวิธีการจัดเตรียมโลกนี้เพื่อการมาประสูติของพระเยซู พระเจ้าทำงานผ่านภูมิหลังทางวัฒนธรรมของจักรวรรดิกรีก ระบบทางกฎหมายของจักรวรรดิโรม และหลักการทางศาสนาตามความเชื่อของคนยิว เพื่อเตรียมโลกของเราสำหรับพระเมสสิยาห์ ในการศึกษาถึงภูมิหลังนี้ ขอให้ดูในบทเรียนที่ 1 ของหลักสูตร Shepherds Global Classroom เรื่อง การสำรวจพันธสัญญาใหม่[2]

การมาเยือนของคนเลี้ยงแกะ (ลูกา 2:8-20)

คนกลุ่มแรกที่ได้รับข่าวเรื่องการมาประสูติของพระเยซูคือพวกคนเลี้ยงแกะที่อยู่นอกเมืองเบธเลเฮม นี่เป็นเรื่องแปลกประหลาดเพราะคนยิวในยุคศตวรรษแรกๆ รังเกียจคนเลี้ยงแกะ คนเลี้ยงแกะมีฐานะทางสังคมที่ต่ำต้อยซึ่งคำร้องเรียนของพวกเขาจะไม่เป็นที่ยอมรับในศาลของชาวยิว โดยการเน้นที่คนเลี้ยงแกะนั้น ลูกากล่าวเป็นนัยว่า “ถ้าหากคนเลี้ยงแกะเป็นที่ต้อนรับแล้ว ก็ไม่มีใครที่ไม่ได้รับการต้อนรับสู่อาณาจักรของพระเจ้า!” ทูตสวรรค์กล่าวกับคนเลี้ยงแกะว่า “เรานำข่าวดีมายังพวกท่าน เป็นความยินดีอย่างยิ่งที่จะมาถึงคนทั้งหลาย” (ลูกา 2:10)

ข่าวประเสริฐไม่ได้จำกัดไว้สำหรับชนชาติเดียว (อิสราเอล) หรือชนชั้นเดียวในสังคม ข่าวประเสริฐมีไว้สำหรับทุกคน ใจความสำคัญนี้ปรากฏให้เห็นตลอดทั้งพระกิตติคุณลูกา ลูกาให้ความสนใจเป็นพิเศษเกี่ยวกับพันธกิจของพระเยซูต่อสตรี ต่อชาวสะมาเรีย และต่อคนเลวเช่นศักเคียส

การมาเยือนของนักปราชญ์ (มัทธิว 2:1-12)

พระกิตติคุณมัทธิวมีผู้อ่านกลุ่มแรกคือชาวยิว ในขณะที่ลูกามุ่งเน้นที่เรื่องราวของพระเยซูสำหรับทุกคน แต่มัทธิวมุ่งเน้นที่เรื่องราวของพระเยซูเกี่ยวกับอาณาจักรสวรรค์ก่อน แทนที่จะพูดถึงคนเลี้ยงแกะ มัทธิวแสดงให้เห็นถึงการมาเยือนของนักปราชญ์ การมาเยือนนี้เกิดขึ้นหลังจากครอบครัวของพระเยซูย้ายไปอยู่ในบ้านถาวร น่าจะประมาณสองสามเดือนหลังจากพระเยซูประสูติ (มัทธิว 2:11) เรื่องนี้พบได้ในคำสั่งของเฮโรดให้ฆ่าเด็กทารกผู้ชายที่อายุต่ำกว่าสองขวบทุกคน

นักปราชญ์คือคนที่ศึกษาท้องฟ้าซึ่งเฝ้าคอยดูลักษณะที่ไม่ปกติ เมื่อมีอันตรายในการเดินทาง พวกเขาเดินทางไปในที่ห่างไกลเพื่อสำรวจสัญญาณประหลาดที่พวกเขาเห็นในท้องฟ้า

นักปราชญ์มาถึงที่เยรูซาเล็มก่อน เป็นสถานที่ตามการตัดสินด้วยเหตุผลว่าจะได้พบกษัตริย์ชาวยิวองค์หนึ่ง เมื่อข่าวเรื่องคู่แข่งเข้าหูของเฮโรด เขาก็วุ่นวายใจ และทั้งเยรูซาเล็มก็พลอยวุ่นวายใจไปด้วย (มัทธิว 2:3) วลี “ทั้งชาวเยรูซาเล็ม” เป็นการพูดล่วงหน้าของการปฏิเสธพระเยซูโดยพวกผู้นำศาสนาในเยรูซาเล็มที่จะเกิดขึ้นภายหลัง

การมาเยือนของนักปราชญ์เป็นการนำเสนอครั้งแรกถึงเมสสิยาห์ต่อคนต่างชาติ เมื่อเปรียบเทียบความแตกต่างก็เห็นว่าในเยรูซาเล็มมีความวุ่นวายใจโดยหมายสำคัญนี้ แต่พวกนักปราชญ์กลับตอบสนองด้วยความเชื่อ พระเยซูมาในฐานะกษัตริย์ของชนทุกชาติ ไม่ใช่แค่ของคนยิว

มัทธิวไม่ได้รายงานว่ามีนักปราชญ์กี่คนที่เดินทางมานมัสการพระเยซู จำนวนตามประเพณีคือนักปราชญ์สามคนนั้นนับจากของขวัญสามอย่างที่บอกไว้ใน มัทธิว 2:11 ของขวัญแต่ละอย่างแทนถึงบางด้านของพันธกิจของพระเยซู

  • ทองคำเป็นของขวัญสำหรับกษัตริย์องค์หนึ่ง อย่างไรก็ตามพระเยซูไม่ได้ปกครองทางบัลลังก์ แต่โดยทางไม้กางเขน

  • กำยานเป็นของขวัญสำหรับปุโรหิต ในการถวายเครื่องบูชา กำยานถูกใช้เป็นน้ำหอม พระเยซูมาในฐานะปุโรหิตผู้ทำให้มนุษย์ทุกคนสามารถเข้าไปอยู่ต่อหน้าพระเจ้าได้

  • มดยอบใช้เพื่อชโลมศพ พระเยซูเกิดมาเพื่อตายแทนมนุษย์ทั้งปวง


[1]ปฏิทินเกรกอเรียนไม่ได้ถูกพัฒนาขึ้นมาจนกระทั่งปี 1582 ปฏิทินนี้เป็นการคาดคะเน ไม่ได้แม่นยำ เฮโรดมหาราชตายในช่วงประมาณปีที่ 4 ก่อนคริสตกาล อ้างอิงจากวันที่นี้เป็นพื้นฐานแล้ว การประสูติของพระเยซูก็จะอยู่ประมาณปี 5-6 ก่อนคริสตกาล
[2]ดูได้ที่ https://www.shepherdsglobal.org/

พระเจ้าปกป้องผู้รับใช้ของพระองค์

ก่อนการมาประสูติของพระเยซู ทูตสวรรค์กล่าวกับโยเซฟในความฝันซึ่งเปิดเผยแผนการของพระเจ้า หลังจาการมาเยือนของนักปราชญ์ ทูตสวรรค์องค์หนึ่งเตือนโยเซฟให้หนีไปที่อียิปต์ ครอบครัวนั้นคงอยู่ในอียิปต์จนเฮโรดตาย (ประมาณปีที่ 4 ก่อนคริสตกาล)

เฮโรดมหาราชเป็นผู้มีอำนาจปกครองที่มีประสิทธิภาพในหลายด้าน เขาให้ความนับถือแก่ชาวยิว ถึงขนาดกินอาหารตามกฎบัญญัติของยิว เขาเริ่มปรับปรุงพระวิหารซึ่งดำเนินต่อเนื่องตลอดช่วงชีวิตของพระเยซู ระหว่างการกันดารอาหารในปีที่ 25 ก่อนคริสตกาล เขาใช้เงินของตัวเองซื้ออาหารให้กับผู้คนที่อดอยากในแคว้นยูเดีย

อย่างไรก็ตาม เฮโรดหวาดระแวงอย่างบ้าคลั่ง เขาฆ่าภรรยาชื่อว่ามาเรียม และฆ่าแม่ของภรรยาชื่อว่าอเล็กซานดร้า เมื่อเขาสงสัยว่าสองคนนี้วางแผนต่อต้านเขา เฮโรดมีลูกชายสามคนซึ่งถูกลอบสังหารเมื่อพวกเขาถึงวัยที่อาจเป็นภัยได้ การฆ่าเด็กทารกมากมายในเบธเลเฮมจึงไม่ใช่เรื่องแปลกสำหรับคนที่มีจิตหวาดระแวงเช่นเฮโรด การฆ่าทารกมากมายเพื่อปกป้องตำแหน่งของตัวเองเป็นเพียงความอึดอัดใจเล็กน้อยเท่านั้น

ความโหดร้ายของเฮโรดยังคงดำเนินต่อไปจนกระทั่งเสียชีวิต ขณะที่เฮโรดใกล้จะตาย เฮโรดสั่งให้จับกุมผู้นำพลเมืองของเยรูซาเล็มมาและฆ่าเมื่อเขาตาย เขาเชื่อว่านี่เป็นสิ่งรับประกันว่าวันตายของเขาจะเป็นวันแห่งการไว้ทุกข์ (แต่ภรรยาม่ายของเขาได้ปล่อยตัวนักโทษ ทำให้เป็นวันแห่งการเฉลิมฉลองทั่วทั้งปาเลสไตน์)

หลังจากเฮโรดตาย ดินแดนของเขาถูกแบ่งออกให้กับบุตรทั้งสามคน แอนติพาสได้รับอำนาจให้ปกครองเหนือกาลิลีและเปเรีย ส่วนฟิลิปมีอำนาจปกครองทางตะวันออกเฉียงเหนือของปาเลสไตน์ อาร์คีลอสได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้ปกครองยูเดีย อิดูเมีย และสะมาเรีย นักประวัติศาสตร์ยุคโบรารกล่าวว่าอาร์คีลอสมีจุดอ่อนของบิดาทุกประการ แต่ไม่มีคุณลักษณะที่ดีของบิดาเลย พวกยิวเกลียดชังเขาและเขาถูกปลดตำแหน่งในปี ค.ศ.6 เนื่องจากชาวยิวร้องเรียนต่อซีซาร์ หลังจากนั้นแคว้นยูเดียก็ถูกปกครองโดยผู้ปกครองชาวโรมัน เช่น ปอนทัส ปีลาต

หลังจากเฮโรดเสียชีวิต ทูตสวรรค์องค์หนึ่งปรากฏในความฝันอีกครั้งเพื่อสั่งให้โยเซฟกลับไปยังอิสราเอล อย่างไรก็ตามเนื่องจากอาร์คีลอสเป็นภัยมหันต์เฉกเช่นเฮโรดมหาราช โยเซฟจึงพาครอบครัวไปยังนาซาเรธแทนที่จะกลับไปเบธเลเฮม

► เมื่อยังเป็นเด็กหนุ่ม จอห์น เวสเลย์ ได้รับการช่วยกู้ชีวิตจากบ้านที่กำลังถูกไฟไหม้ เขาเชื่อว่าพระเจ้าปกป้องเขาเพื่อวัตถุประสงค์พิเศษ เวสเลย์กล่าวถึงตนเองว่าเป็น “ดุ้นฟืนที่ฉวยออกมาจากไฟ” (เศคาริยาห์ 3:2) ขอเชิญชวนสมาชิกในชั้นเรียนของคุณให้แบ่งปันเรื่องราวที่พระเจ้าสงวนพวกเขาไว้สำหรับทำพันธกิจ ไม่ว่าจะเป็นการปกป้องอย่างอัศจรรย์หรือโดยผ่านการจัดเตรียมของพระเจ้าก็ตาม

พิจารณาโดยละเอียด: มัทธิว 2:23

มากกว่าพระกิตติคุณเล่มอื่น มัทธิวแสดงให้เห็นว่าพันธกิจของพระเยซูนั้นทำให้คำเผยพระวจนะในพันธสัญญาเดิมสำเร็จ ในการเขียนถึงผู้อ่านที่เป็นคนยิวนั้น มัทธิวแสดงให้เห็นว่าพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์ตามพระสัญญา

  • การประสูติจากหญิงพรหมจารีย์ (มัทธิว 1:22-23) สำเร็จตาม อิสยาห์ 7:14

  • การประสูติของพระเยซูในเบธเลเฮม (มัทธิว 2:5-6) สำเร็จตาม มีคาห์ 5:2

  • การเดินทางไปอียิปต์ (มัทธิว 2:14-15) สำเร็จตาม โฮเชยา 11:1

  • การฆ่าทารกมากมายในเบธเลเฮม (มัทธิว 2:16-18) สำเร็จตาม เยเรมีย์ 31:15

  • การเสด็จเข้าเยรูซาเล็ม (มัทธิว 21:1-5) สำเร็จตาม เศคาริยาห์ 9:9

หนึ่งในตัวอย่างที่ยากของการทำให้คำเผยพระวจนะสำเร็จอยู่ใน มัทธิว 2:23 มัทธิวเขียนว่า “ไปอาศัยในเมืองหนึ่งชื่อนาซาเร็ธ เพื่อจะสำเร็จตามพระวจนะ ซึ่งตรัสผ่านทางผู้เผยพระวจนะว่าท่านจะได้ชื่อว่าชาวนาซาเร็ธ”

ความยากคือการที่ไม่มีบันทึกถึงคำเผยพระวจนะในพันธสัญญาเดิมที่ว่าพระเมสสิยาห์ถูกเรียกว่าเป็นชาวนาซาเรธ สองแนวคิดอาจแฝงอยู่ในข้อพระคัมภีร์ข้อนี้

1. ในสมัยของพระเยซู นาซาเรธเป็นหมู่บ้านที่ไม่สำคัญอะไร (ยอห์น 1:46) คนยิวคาดหวังว่าพระเมสสิยาห์ของพวกเขาจะมาจากยูเดีย ไม่ใช่จากแคว้นกาลิเลียที่ทำการค้าขาย (ยอห์น 7:41, 52) ข้อมูลความจริงที่ว่าพระเยซูมาจากย่านที่น่าดูหมิ่นอย่างเช่นนาซาเรธทำให้คำเผยพระวจนะสำเร็จ เช่นใน อิสยาห์ 49:7 และอิสยาห์ 53:3

2. อิสยาห์ 11:1 เผยพระวจนะว่าพระเมสสิยาห์จะเป็น “กิ่ง” คำภาษาฮีบรูสำหรับกิ่ง (netzer) ออกเสียงเหมือนกับคำว่า “นาซาเรธ” ผู้อ่านชาวยิวที่อ่านมัทธิวย่อมสังเกตได้ถึงการเล่นคำนี้

พระเจ้าเตรียมทางสำหรับผู้รับใช้ของพระองค์พร้อมกับผู้เบิกทาง

ยอห์นผู้ให้บัพติศมาเป็นญาติกันกับพระเยซู เรื่องราวของยอห์นเริ่มต้นจากพ่อของเขาคือ เศคาริยาห์ ในขณะที่กำลังเผาเครื่องหอมบูชาแทนชนชาติ ซึ่งเป็นหนึ่งในหน้าที่มีเกียรติสำหรับปุโรหิต (ลูกา 1:9)

เมื่อเศคาริยาห์ปฏิบัติหน้าที่อันศักดิ์สิทธิ์นี้ ทูตสวรรค์องค์หนึ่งปรากฏตัวด้านขวาของแท่นเผาเครื่องหอมบูชา ตามธรรมเนียมของชาวยิวแล้ว นี่คือจุดที่พระเจ้าประทับยืนช่วงระหว่างการถวายเครื่องบูชา ทูตสวรรค์กาเบรียลบอกกับเศคาริยาห์ว่าคำอธิษฐานของเขาเพื่อขอลูกชายนั้นได้รับคำตอบแล้ว

เนื่องจากเอลิซาเบธเลยวัยที่จะมีบุตรได้แล้ว เศคาริยาห์สงสัยคำสัญญาของทูตสวรรค์ เพราะความไม่เชื่อนี้เอง เขาจึงไม่สามารถพูดได้จนกระทั่งยอห์นถือกำเนิด ในฐานะปุโรหิตและผู้ร่ำเรียนพระคัมภีร์ เศคาริยาห์รู้เรื่องราวในพันธสัญญาเดิมเกี่ยวกับฮันนาห์และราเชล และเขาควรเชื่อพระสัญญาว่าพระเจ้าจะทำการอัศจรรย์โดยเปิดครรภ์ของเอลิซาเบธได้

สามสิบปีต่อมา ยอห์นเริ่มต้นพันธกิจของเขา แทนที่จะรับใช้ในฐานะปุโรหิตในเยรูซาเล็ม ยอห์นรับใช้ในฐานะผู้เผยพระวจนะในถิ่นทุรกันดารของแคว้นยูเดีย ยอห์นถูกส่งมาเป็นผู้เบิกทางสำหรับพระเมสสิยาห์ เมื่อยอห์นเทศนา ประชาชนถามว่า “ยอห์นใช่พระเมสสยิห์ตามพระสัญญาไหม?” เขาตอบว่า “แต่จะมีพระองค์หนึ่งเสด็จมา ทรงยิ่งใหญ่กว่าข้าพเจ้า ซึ่งข้าพเจ้าไม่คู่ควรแม้แต่จะแก้สายฉลองพระบาทของพระองค์” (ลูกา 3:16) หน้าที่อย่างหนึ่งที่ต่ำต้อยที่สุดของทาสคือการดูแลรองเท้าของเจ้านาย แต่ยอห์นพูดว่า “ผู้ที่กำลังมาภายหลังข้าพเจ้านั้น ข้าพเจ้าไม่คู่ควรแม้แต่จะทำหน้าที่ต่ำต้อยให้กับพระองค์” ยอห์นเตรียมรูปแบบการรับใช้ด้วยความถ่อมใจ

ตลอดทั้งพระคัมภีร์ พระเจ้าใช้คนเพื่อเตรียมทางสำหรับใครบางคน ให้ดูตัวอย่างบารนาบัสกับเปาโล เมื่อเซาโลข่มเหงคริสเตียน บารนาบัสเป็นผู้นำที่ได้รับความเคารพนับถือในคริสตจักรเวลานั้น บารนาบัสเชื่อใจเปาโลเมื่อมีคริสเตียนไม่กี่คนจะเชื่อใจคนนี้ที่ข่มเหงคริสตจักร

เมื่อพวกเขาเริ่มต้นเดินทางเป็นมิชชันนารีครั้งแรก ในพระธรรมกิจการกล่าวถึงพวกเขาในฐานะทีมว่า “บารนาบัสและเซาโล” (กิจการ 13:2) ไม่ช้านานพวกเขาเป็นที่รู้จักในฐานะ “เปาโลและบารนาบัส” (กิจการ 13:43 และหลังจากนั้นเป็นต้นมา) บารนาบัสเป็นผู้นำในช่วงเริ่มต้น แต่เขาเต็มใจให้เปาโลขึ้นมาเป็นผู้นำ

บางครั้งบทบาทของคุณอาจเป็นยอห์นผู้ให้บัพติศมาหรือบารนาบัส คือผู้เตรียมทางให้กับใครบางคน ไม่ว่าที่ไหนที่พระเจ้าเลือกใช้คุณ ขอให้ทำให้ดีที่สุด ถ้าพระเจ้าจับวางคุณในบทบาทของผู้สนับสนุน อย่าปฏิเสธพันธกิจนั้น คุณสามารถไว้ใจพระเจ้าให้ใช้คุณด้วยวิธีที่เกิดผลมากที่สุดได้

เราเห็นความถ่อมใจของยอห์นผู้ให้บัพติศมาเมื่อเขาชี้ให้สาวกมองไปที่พระเยซู (ยอห์น 1:35-37) เป้าหมายของรับบีคือเอาชนะใจสาวกเพื่อให้สาวกติดตามและเคารพต่ออาจารย์ของพวกเขา แต่แทนที่จะทำแบบนั้น ยอห์นผู้ให้บัพติศมาชี้ให้พวกสาวกของเขาไปติดตามพระอาจารย์ผู้ยิ่งใหญ่ เขาเข้าใจว่าภารกิจของเขาคือชี้นำคนไปยังผู้ที่ยิ่งใหญ่กว่าเขา ยอห์นนั่งดูสาวกของเขาจากเขาไปเพื่อติดตามพระเยซู เป้าหมายของเขาคือเพื่ออาณาจักรของพระเจ้าไม่ใช่เพื่อเกียรติของตัวเอง ในฐานะผู้นำคริสเตียน เราต้องไม่มีวันลืมว่าเป้าหมายของเราคือชี้คนให้ไปหาพระเยซู ไม่ใช่เพื่อจะให้ตัวเราเองได้รับความสำเร็จ

พิจารณารายละเอียด: การกลับใจใหม่หมายถึงอะไร?

► อ่าน มัทธิว 3:1-6

ยอห์นเทศนาเรื่องการกลับใจใหม่ ในวันนี้มีบางคนพูดว่าการกลับใจใหม่หมายถึงการเปลี่ยนความคิดเท่านั้น มีคนที่บอกว่าเป็นคริสเตียนจำนวนมากที่แสดงให้เห็นสัญญาณของชีวิตที่เปลี่ยนแปลงเพียงเล็กน้อย

อย่างไรก็ตาม คำว่า “กลับใจใหม่” มีความหมายมากกว่าแค่การตัดสินใจโดยใช้ความคิด ผู้เขียนพันธสัญญาใหม่ใช้คำว่า “กลับใจใหม่” เหมือนกับผู้เผยพระวจนะชาวฮีบรู ซึ่งมีความหมายว่าเปลี่ยนแปลงชีวิตอย่างสิ้นเชิง ในพันธสัญญาใหม่ การกลับใจใหม่หมายถึงสิ่งต่อไปนี้

  • เปลี่ยนแปลงความคิดและความเชื่อ กับ

  • เปลี่ยนแปลงการกระทำและวิถีการดำเนินชีวิตของคุณ

หลายปีที่แล้วมีนักร้องยอดนิยมคนหนึ่งในอเมริกาซึ่งเป็นที่รู้จักดีว่าเขาใช้ชีวิตในความบาปเลวร้าย นักร้องคนนี้พูดว่า “ผมได้มาเป็นคริสเตียนและได้รับการเต็มล้นด้วยพระวิญญาณ ผมก็ยังใช้ชีวิตเหมือนเดิม แต่ผมเป็นคริสเตียน ถ้าผมตายผมก็จะไปสวรรค์” ชายคนนี้กล่าวถึง “การกลับใจ” โดยไม่ได้รวมถึงการเปลี่ยนแปลงใด ๆ ในวิถีชีวิตของเขา นี่ไม่ใช่การกลับใจใหม่อย่างแท้จริง

ยอห์นสอนว่าการกลับใจใหม่ย่อมเปลี่ยนรูปแบบการใช้ชีวิตของเรา ยอห์นเรียกร้องให้คนที่เข้ามารับบัพติศมามีพฤติกรรมที่สอดคล้องกับการกลับใจใหม่ (ลูกา 3:8) บัพติศมาต้องไม่กลายเป็นพิธีกรรมที่ปราศจากความหมาย “ข้าพเจ้าเชื่อ ขอให้บัพติศมาข้าพเจ้าเวลานี้” บัพติศมาต้องเป็นคำพยานถึงการกลับใจใหม่ที่แท้จริงและมีชีวิตที่ได้รับการเปลี่ยนแปลง

พระเจ้าเตรียมผู้รับใช้ของพระองค์ผ่านทางการทดสอบ

ชัยชนะของพระเยซูเหนือการทดลอง จัดเตรียมแบบอย่างให้กับเราในยามที่ต้องเผชิญกับการทดลอง “ครั้งนั้น พระวิญญาณทรงนำพระเยซูเข้าไปในถิ่นทุรกันดาร เพื่อมารจะได้มาทดลอง” (มัทธิว 4:1) การทดลองมาถึงก่อนที่พระเยซูจะเริ่มต้นทำพันธกิจอย่างเปิดเผย ก่อนที่พระองค์จะเทศนาให้กับผู้คน พระเยซูแสดงให้เห็นถึงการเชื่อฟังอย่างสมบูรณ์ของพระองค์ต่อความประสงค์ของพระบิดา

มัทธิววางเรื่องราวการทดลองไว้ต่อจากการรับบัพติศมาของพระเยซูทันที การทดลองที่หนักมากที่สุดของเรามักตามหลังชัยชนะฝ่ายวิญญาณ ทันทีหลังจากชัยชนะของเอลียาห์บนภูเขาคารเมล เราพบว่าเขาถูกทดลองให้ท้อแท้สงสัยในขณะที่วิ่งหนีเอาชีวิตรอด (1 พงศ์กษัตริย์ 18-19)

[1]ลูกาวางเรื่องราวการทดลองไว้หลังจากลำดับวงศ์ตระกูลจากพระเยซูถึงอาดัม ลูกาแสดงให้เห็นว่าในจุดที่อาดัมล้มเหลว แต่พระเยซูผู้เป็นบุตรมนุษย์มีชัยชนะ (ลูกา 3:38) พระเยซูระบุถึงพระองค์เองว่าเป็นมนุษย์และเป็นแบบอย่างให้กับคริสเตียนธรรมดา ๆ ว่าจะมีชัยชนะเหนือบาปได้อย่างไร

การทดลองต่าง ๆ

การทดลองให้เปลี่ยนก้อนหินเป็นขนมปัง

ซาตานทดลองพระเยซูให้ใช้ฤทธิ์อำนาจของพระเจ้าเพื่อเปลี่ยนก้อนหินเป็นขนมปัง ซาตานทดลองพระเยซูให้ใช้ฤทธิ์อำนาจสำหรับผลประโยชน์ส่วนตัวแทนที่จะพึ่งพาพระบิดา พระเยซูยอมจำนนต่อพระบิดาด้วยการทิ้งสิทธิของพระองค์เกี่ยวกับอาหาร

อาดัมคนแรกไม่เชื่อฟังพระเจ้าเมื่อถูกทดลองให้กินอาหารที่เป็นความผิดสำหรับเขา อาดัมคนที่สองสัตย์ซื่อ

การทดลองให้กระโดดลงจากยอดหลังคาพระวิหาร

ซาตานทดลองให้พระเยซูกระโดดจากยอดหลังคาพระวิหาร (สูง 91 เมตรเหนือหุบเขาขิดโรน) สิ่งนี้จะทำให้ผู้คนประหลาดใจในขณะที่เรียกร้องให้พระบิดาทำตามสัญญาว่าจะปกป้อง

ซาตานอ้างพระสัญญาในสดุดี 91:11-12 เพื่อทดลองพระเยซูให้ทดสอบพระสัญญาของพระบิดา ด้วยการทดสอบนี้ พระเยซูจะทำให้พระบิดาเป็นคนรับใช้ของพระองค์ คือทำตามคำเรียกร้องและคาดหวังของพระเยซู

พระเยซูปฏิเสธที่จะนำพระสัญญาในสดุดี 91 มาใช้กับสถานการณ์ที่พระสัญญาไม่ได้มีไว้เพื่อให้ใช้แบบนั้น พระเยซูตอบซาตานโดยกล่าวถึงเฉลยธรรมบัญญัติ 6:16 ว่า “ห้ามทดลองพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านทั้งหลาย” ในฐานะลูกของพระเจ้า เราไม่สามารถเรียกร้องให้พระเจ้าใช้ฤทธิ์อำนาจของพระองค์เพื่อจุดประสงค์ส่วนตัวของเรา


[1]

“เราปรบมือให้กับคนที่พูดว่า ‘ฉันจะพิสูจน์ความแข็งแกร่งของฉันโดยการยืนกรานในสิทธิของฉัน’ แต่พระองค์ผู้เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์แบบแสดงให้เห็นว่าความแข็งแกร่งที่แท้จริงนั้นอยู่ในการยอมละทิ้งเจตน์จำนงของมนุษย์เพื่อทำตามเจตน์จำนงของพระเจ้า”

- ดัดแปลงจาก G. Campbell Morgan

พิจารณารายละเอียด: ความเชื่อที่แท้จริง

คริสเตียนบางคนพูดว่า “พระสัญญาทุกข้อในพระคัมภีร์เป็นของฉัน” ในขณะที่พระสัญญาทุกข้อในพระคัมภีร์เป็นความจริง เราต้องถามเสมอว่า “พระสัญญาข้อนี้นำมาใช้ในสถานการณ์นี้ได้หรือไม่?” พระเยซูรู้ว่าพระสัญญาในสดุดี 91 ไม่ได้เป็นความประสงค์ของพระเจ้าเพื่อให้ใช้กับสถานการณ์ที่พระองค์เผชิญในถิ่นทุรกันดารนั้น เราจะมั่นใจได้อย่างไรว่าเรากำลังอ้างพระสัญญาของพระเจ้าด้วยความเชื่อที่แท้จริงแทนที่จะพยายามควบคุมฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า?

(1) เราต้องรู้พระวจนะของพระเจ้า

ยิ่งเรารู้บริบทของพระสัญญาในพระคัมภีร์กับเงื่อนไขที่เพิ่มเข้ามาพร้อมพระสัญญา เราก็จะรู้มากขึ้นว่าเราสามารถนำมาใช้กับสถานการณ์ของเราได้แค่ไหน

พระสัญญาบางข้อมีไว้สำหรับบางคนอย่างเจาะจงในสถานการณ์ที่เจาะจง ในพันธสัญญาเดิม พระเจ้าสัญญาพระพรฝ่ายกายภาพถ้าหากอิสราเอลสัตย์ซื่อต่อพันธสัญญา ดินแดนของพวกเขาจะให้ผลผลิตมากมาย ยุ้งฉางของเขาจะเต็ม และพวกเขาจะมีชัยเหนือกองทัพทั้งหลาย พระสัญญาในพันธสัญญาใหม่มักจะเกี่ยวข้องกับพระพรฝ่ายวิญญาณ บางคนผิดหวังที่รู้อย่างนี้ แต่เราควรชื่นชมยินดี ความรุ่งเรืองฝ่ายวัตถุเป็นสิ่งมีค่าชั่วคราว ความรุ่งเรืองฝ่ายวิญญาณมีค่านิรันดร ความเชื่อนั้นวางใจพระเจ้าในการทำให้พระสัญญาสำเร็จด้วยวิธีการของพระองค์เอง ไม่ใช่พยายามทำให้พระเจ้าทำให้สำเร็จตามความปรารถนาของเราเอง

(2) เราต้องรู้ถึงความแตกต่างระหว่างพระสัญญาเจาะจงกับพระสัญญาทั่วไป

เมื่อเราอ่านพระสัญญาทั่วไปข้อหนึ่ง เราต้องถามว่าพระเจ้ากำลังให้พระสัญญากับสถานการณ์ที่เจาะจงของเราหรือไม่ บางข้อเป็นพระสัญญาทั่วไป ไม่ใช่เป็นสากล

สดุดี 103:3 สรรเสริญพระเจ้า “ผู้รักษาโรคทั้งสิ้น” คริสเตียนบางคนได้ยึดข้อนี้เป็นพระสัญญาที่เป็นสากลว่าพระเจ้าจะรักษาทุกโรคของคริสเตียนที่เชื่อทุกคน อย่างไรก็ตามพระคัมภีร์แสดงให้เห็นว่าไม่ใช่ทุกโรคจะได้รับการรักษาให้หาย เปาโลอธิษฐานขอการรักษาโรค แต่พระเจ้าตอบว่า “ไม่” (2 โครินธ์ 12:7) บางครั้งพระเจ้าเลือกรักษาโรคให้กับลูกของพระองค์ แต่บางครั้งพระองค์เลือกที่จะให้พระคุณแก่เขาเพื่อจะแบกรับความเจ็บปวดไว้ได้

เราควรตอบสนองเหมือนกับคนหนุ่มชาวฮีบรูสามคน เมื่อกษัตริย์เนบูคัดเนสซาร์ข่มขู่ว่าจะโยนพวกเขาลงในเตาที่ไฟลุกอยู่ พวกเขาพูดว่า “ข้าแต่พระราชา ถ้าพระเจ้าของพวกข้าพระบาท ผู้ซึ่งพวกข้าพระบาทปรนนิบัตินั้น พอพระทัยจะช่วยกู้พวกข้าพระบาทให้พ้นจากเตาที่ไฟลุกอยู่ พระองค์ก็จะทรงช่วยกู้พวกข้าพระบาทให้พ้นจากพระหัตถ์ของฝ่าพระบาท ถึงแม้ไม่เป็นเช่นนั้น ข้าแต่พระราชา ขอฝ่าพระบาททรงทราบว่า พวกข้าพระบาทจะไม่ปรนนิบัติพระของฝ่าพระบาท หรือนมัสการปฏิมากรทองคำซึ่งฝ่าพระบาทได้ทรงตั้งขึ้น” (ดาเนียล 3:17-18) พวกเขารู้ว่าพระเจ้ามีฤทธิ์อำนาจที่จะช่วยกู้พวกเขา แต่ถ้าพระเจ้าเลือกที่จะไม่ทำอย่างนั้น พวกเขาก็ยังอุทิศตัวรับใช้พระองค์อย่างสัตย์ซื่อ

พระเจ้าช่วยกู้ลูกของพระองค์จากความทุกข์ทรมานทางกายได้ แต่พระองค์ไม่ได้เลือกทำแบบนั้นเสมอไป นอกเสียจากว่าพระเจ้าจะให้ความชัดเจนว่าพระสัญญาในพระคัมภีร์ข้อนั้นเจาะจงสำหรับคุณแล้ว ก็จงวางใจให้พระเจ้าทำอย่างที่พระองค์เลือกทำ อัครทูตยอห์นให้คำสัญญานี้ว่า “และนี่เป็นความมั่นใจที่เรามีต่อพระองค์ คือถ้าเราทูลขอสิ่งใดที่เป็นพระประสงค์ของพระองค์ พระองค์ก็ทรงฟัง และถ้าเรารู้ว่าพระองค์ทรงฟังเมื่อเราทูลขอสิ่งใด เราก็รู้ว่าเราได้รับสิ่งที่ทูลขอนั้นจากพระองค์” (1 ยอห์น 5:14-15)

ผมจะไม่ทึกทักว่าพระสัญญาทุกข้อในพระคัมภีร์มีไว้สำหรับสถานการณ์ที่เจาะจงของผม ความเชื่อพูดว่า “ฉันจะขอ ‘ตามพระประสงค์ของพระองค์’” ผมต้องไม่เอาพระสัญญาทุกข้อมาเป็นคำสัญญาส่วนตัวสำหรับผม แต่ผมต้องถามว่าพระสัญญานั้นจงใจมีไว้สำหรับสถานการณ์ของผมหรือไม่

(3) เราต้องอธิษฐานในนามของพระเยซู

พระเยซูสัญญาว่า “สิ่งใดที่พวกท่านขอในนามของเรา เราจะทำสิ่งนั้น เพื่อว่าพระบิดาจะทรงได้รับเกียรติอันยิ่งใหญ่ทางพระบุตร” (ยอห์น 14:13) การอธิษฐานในนามของพระเยซูหมายความว่าคำอธิษฐานของคุณสอดคล้องกับลำดับความสำคัญ ความประสงค์ และคุณลักษณะของพระเยซู พระเยซูอธิษฐานขอสิ่งต่าง ๆ เพื่อที่จะถวายเกียรติแด่พระเจ้า เราควรทำอย่างเดียวกัน ถ้าเรามีความเชื่อที่แท้จริง เราจะแสวงหาที่จะถวายเกียรติพระเจ้าแทนที่จะทำตามความต้องการของตัวเอง

การอธิษฐานที่พระบิดาได้รับเกียรติหมายความว่าเรายอมจำนนต่อพระประสงค์สูงสุดของพระเจ้าในชีวิตของเรา พระเจ้าสัญญากับอิสราเอลว่า “เพราะเรารู้แผนงานที่เรามีไว้สำหรับพวกเจ้า เป็นแผนงานเพื่อสวัสดิภาพ ไม่ใช่เพื่อทำร้ายเจ้า เพื่อจะให้อนาคตและความหวังแก่เจ้า” (เยเรมีย์ 29:11) เราต้องระลึกว่าพระสัญญาข้อนี้มีไว้สำหรับอิสราเอลเมื่อเผชิญกับการเป็นเชลยในบาบิโลน 70 ปี แม้การเป็นทาสในบาบิโลนจะบรรลุผลดีสำหรับประชากรของพระเจ้า แต่ในความทุกข์ของพวกเขา คนอิสราเอลจะร้องเรียกหาพระเจ้าและพระองค์จะฟังพวกเขา

พระสัญญาข้อนี้จะนำมาใช้กับเราในปัจจุบันนี้ได้ไหม? ได้! พระลักษณะของพระเจ้าไม่ได้เปลี่ยนไป พระองค์นำสิ่งดีมาให้กับลูกของพระองค์ ไม่ใช่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นจะเป็นสิ่งดี แต่เราสามารถอธิษฐานในนามของพระเยซูได้ด้วยความมั่นใจ เพราะเรารู้ว่าพระเจ้ากำลังทำงานตามพระประสงค์ของพระองค์กับทุกสิ่งที่เกิดขึ้นในชีวิตของเรา

พระเจ้าเตรียมผู้รับใช้ของพระองค์ผ่านการทดสอบ (ต่อเนื่อง)

การทดลองต่าง ๆ (ต่อเนื่อง)

การยื่นข้อเสนอเพื่อให้อาณาจักรต่าง ๆ ในโลกนี้

การทดลองอย่างสุดท้ายของซาตานคือการยื่นข้อเสนอที่เป็นการประนีประนอม เป็นหนทางสู่การปกครองในอนาคตของพระเยซูโดยไม่ต้องอาศัยไม้กางเขน ถ้าพระเยซูยอมก้มกราบต่อซาตาน พระองค์ก็จะข้ามขั้นตอนผ่านความทุกข์ทรมานบนไม้กางเขนไปได้เลย พระเยซูตอบด้วยถ้อยคำใน เฉลยธรรมบัญญัติ 6:13 “ท่านจงยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ท่านจงปรนนิบัติพระองค์และสาบานโดยออกพระนามของพระองค์” (มัทธิว 4:10)

ชัยชนะของพระเยซูเหนือการทดลอง

เพื่อจะรับประโยชน์จากแบบอย่างของพระเยซูในการเผชิญการทดลอง เราต้องจดจำว่าพระเยซูเป็นมนุษย์แท้ พระองค์ถูกทดลองใจ “เหมือนเราทุกอย่าง ถึงกระนั้นพระองค์ก็ยังปราศจากบาป” (ฮีบรู 4:15)

► อ่าน 1 โครินธ์ 10:13 และฮีบรู 4:15 พระคัมภีร์สองตอนนี้สอนอะไรเกี่ยวกับการทดลอง?

ใน 1 ยอห์น 2:16 อัครทูตแสดงให้เห็นว่าการทดลองสามารถมาจากความปรารถนาของเนื้อหนัง ตัณหาของตา และความหยิ่งในชีวิตได้ พระเยซูถูกทดลองในแต่ละด้านเหล่านี้

  • ซาตานทดลองเนื้อหนังเมื่อพระเยซูหิวอาหาร

  • ซาตานทดลองดวงตาโดยการแสดงให้พระเยซูเห็นอาณาจักรต่าง ๆ ในโลกนี้

  • ซาตานดึงดูดความหยิ่งในชีวิตโดยการทดลองพระเยซูให้ทำการแสดงอันน่าทึ่งซึ่งจะทำให้ผู้คนตื่นตะลึง

ชัยชนะของพระเยซูเหนือการทดลองได้จัดเตรียมแบบอย่างให้กับเราเมื่อเผชิญการทดลอง สังเกตเครื่องมือทั้งสามอย่างที่พระเยซูใช้เพื่อเอาชนะการทดลอง

ฤทธิ์เดชของพระวิญญาณ

พระเยซูก้าวเดินไปด้วยการนำของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ทำสิ่งที่พระวิญญาณนำให้ทำ “พระเยซูทรงเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ทรงกลับจากแม่น้ำจอร์แดน และพระวิญญาณทรงนำพระองค์ไปในถิ่นทุรกันดาร” (ลูกา 4:1)

ตลอดเวลาการทำพันธกิจของพระองค์บนโลกนี้ พระเยซูกระทำกิจด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระองค์ขับผีโดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณ (มัทธิว 12:28) พระเจ้า “ทรงเจิมพระเยซูชาวนาซาเร็ธด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์และด้วยฤทธานุภาพอย่างไร และเรื่องที่ว่าพระเยซูเสด็จไปทำคุณประโยชน์และรักษาคนทั้งหลายที่ถูกมารเบียดเบียนอย่างไร เพราะว่าพระเจ้าสถิตอยู่กับพระองค์” (กิจการ 10:38)

พระเยซูทำพันธกิจของพระองค์บนโลกนี้ด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ ถ้าเราอยากเข้มแข็งเมื่อเผชิญกับการทดลอง เราต้องใช้ชีวิตด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์

ฤทธิ์เดชของการอธิษฐาน

พระเยซูถูกทดลองหลังจากอดอาหารอธิษฐาน 40 วัน การอธิษฐานเตรียมพระองค์สำหรับสงครามฝ่ายวิญญาณ ในบทเรียนต่อมา เราจะเห็นว่าการอธิษฐานเป็นศูนย์กลางชีวิตและพันธกิจของพระเยซู ถ้าพระเยซูพึ่งพาการอธิษฐาน เราจะคาดหวังชัยชนะฝ่ายวิญญาณโดยไม่อธิษฐานได้อย่างไร

ซาตานมักโจมตีเราหลังจากที่เราไม่เอาใจใส่ชีวิตแห่งการอธิษฐาน มันรู้ว่าเราจะอ่อนแอเมื่อเผชิญการทดลองถ้าหากเราไม่รักษาชีวิตแห่งการอธิษฐานที่สำคัญอย่างยิ่งยวด

ฤทธิ์เดชแห่งพระวจนะ

พระเยซูตอบสนองต่อการทดลองแต่ละอย่างด้วยถ้อยคำจากพระคัมภีร์ พระองค์รู้พระคัมภีร์เหล่านี้ได้อย่างไร? เด็ก ๆ ชาวยิวท่องโทราห์โดยเป็นส่วนหนึ่งของการศึกษาในวัยเด็ก เมื่อพระเยซูถูดทดลอง ถ้อยคำจากพระคัมภีร์ผุดขึ้นมาในใจอย่างรวดเร็ว

ในฐานะคริสเตียน เราต้องปลูกพระวจนะของพระเจ้าในใจของเรา ในช่วงระหว่างการทดสอบ ถ้อยคำจากพระคัมภีร์จะให้กำลังแก่เราเพื่อเผชิญการทดลองได้

ในการเผชิญกับการทดลอง พระเยซูใช้เครื่องมืออย่างเดียวกันกับที่เรามี เราต้องเผชิญหน้าการทดลองเหมือนที่พระเยซูเผชิญ คือด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณ ฤทธิ์เดชของการอธิษฐาน และฤทธิ์เดชของพระวจนะ ถ้าหากปราศจากอาวุธเหล่านี้ เราก็จะล้มลงในการโจมตีของซาตาน

พิจารณารายละเอียด: การมาประสูติ

คริสเตียนยุคแรกเห็นร่วมกันว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า ถึงแม้ว่าพวกนอกรีตอย่างเช่นอรีอัสจะปฏิเสธความเป็นพระเจ้าของพระเยซู แต่คริสเตียนออโธดอกซ์ก็สอนว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า

คริสเตียนออโธดอกซ์สอนด้วยว่าพระเยซูเป็นมนุษย์แท้ หลักคำสอนนี้มักถูกปฏิเสธโดยพวกนอกรีต แม้ในทุกวันนี้ พวกอีแวนเจลิคอลมากมายก็ไม่ได้ยึดถืออย่างจริงจังเกี่ยวกับความเป็นมนุษย์แท้ของพระเยซู คริสเตียนจำนวนมากเหมารวมว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าแท้ แต่พระองค์ไม่ได้เป็นมนุษย์อย่างแท้จริง พวกเขาคิดว่าพระองค์ยืมร่างกายของมนุษย์แต่ไม่ได้เป็นมนุษย์จริง ๆ

การยกภาพบางอย่างเพื่ออธิบายในคำเทศนาบางตอนทำให้เกิดแนวคิดเทียมเท็จนี้ นักเทศน์บางคนเล่าถึงตำนานของกษัตริย์ที่ปลอมตัวเป็นชาวนาเพื่อเดินทาง อย่างไรก็ตามพระเยซูไม่ได้ปลอมมาเป็นมนุษย์ พระองค์เป็นมนุษย์เหมือนกับเรา

หลักคำสอนเรื่องความเป็นมนุษย์ของพระเยซูสำคัญสำหรับประสบการณ์คริสเตียนของเรา ถ้าพระเยซูไม่ได้เป็นมนุษย์แท้ ชีวิตของพระองค์ก็ไม่ได้เป็นแบบอย่างที่เป็นจริงสำหรับเราเลย นักศาสนศาสตร์กล่าวถึงเรื่องนี้อย่างนี้ว่า “ถ้าพระเยซูไม่ได้เป็นเหมือนเราอย่างแท้จริงแล้ว เราก็ถูกยกเว้นจากการเป็นเหมือนพระองค์”[1]

คนจำนวนมากเชื่อว่าเราต้องล้มลงต่อความบาปโดยเจตนาอยู่เรื่อย ๆ พระเยซูแสดงให้เห็นจากความเป็นมนุษย์ของพระองค์ว่า คริสเตียนธรรมดา ๆ ก็สามารถรักษาชัยชนะเหนือบาปเอาไว้ได้ผ่านทางฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์

ถ้าพระเยซูกลายเป็นส่วนหนึ่งของความเป็นมนุษย์ที่แตกสลายของพวกเรา ถ้าพระองค์รับรู้ถึงความจำเป็นของเราที่จะต้องมีฤทธิ์เดชของพระวิญญาณ และถ้าพระองค์ถูกทดลองเหมือนที่เราถูกทดลองแล้ว ชัยชนะของพระองค์เหนือการทดลองย่อมแสดงให้เราเห็นถึงวิธีเอาชนะในชีวิตประจำวันได้ โดยทางพระวิญญาณบริสุทธิ์ เรามีชีวิตที่มีชัยชนะได้

► เรื่องใดเข้าใจลึกซึ้งได้ยากสำหรับคุณ ระหว่างหลักคำสอนเรื่องความเป็นพระเจ้าของพระเยซูหรือเรื่องความเป็นมนุษย์ของพระเยซู? อภิปรายร่วมกันว่าหลักคำสอนแต่ละเรื่องเหล่านี้มีความสำคัญต่อชีวิตคริสเตียนและพันธกิจของเราอย่างไร


[1]Cherith Fee Nordling, “Open Question” Christianity Today, เมษายน 2015, 26-27

สรุป: พระเจ้าเตรียมผู้รับใช้ของพระองค์

ในบทเรียนนี้ เราได้เห็นว่าพระเจ้าเตรียมหนทางสำหรับพันธกิจของพระเยซูอย่างไร โดยผ่านทางบรรพบุรุษของพระองค์ โดยทางจักรวรรดิโรมัน โดยทางการประสูติที่อัศจรรย์ โดยพันธกิจของยอห์นผู้ให้บัพติศมา และแม้แต่โดยทางการทดลอง พระเจ้าได้เตรียมหนทางสำหรับพระเยซู

เราเห็นความจริงนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าตลอดทั้งพระคัมภีร์ ขอให้ดูตัวอย่างของเปาโล เปาโลเติบโตในกรุงโรมที่เมืองทารซัส ตั้งแต่เป็นเด็ก เขามีเพื่อนๆ ที่เป็นคนต่างชาติ เปาโลสบายใจที่จะคบคนต่างชาติ ซึ่งไม่เหมือนกับคนยิวส่วนใหญ่

บิดาของเปาโลเป็นพลเมืองโรมัน ดังนั้นเปาโลจึงมีสิทธิในการเป็นพลเมืองโรมัน มารดาของเปาโลเป็นคนยิว ดังนั้นเปาโลจึงได้รับการฝึกอบรมพระคัมภีร์พันธสัญญาเดิมตั้งแต่เป็นเด็ก เขามีจิตใจที่ปราดเปรื่องและศึกษาเทววิทยาภาษาฮีบรูกับรับบีกามาลิเอลผู้ยิ่งใหญ่ ด้วยภูมิหลังการเป็นชาวโรมัน เปาโลศึกษาภาษากรีกและคำสอนของนักปรัชญาชาวกรีก

จากภูมิหลังที่ให้ไว้นี้ จึงไม่ใช่เรื่องแปลกประหลาดที่พระเจ้าเรียกเปาโลให้เป็นมิชชันนารีไปยังคนต่างชาติ ตั้งแต่เกิดแล้ว พระเจ้าเตรียมเปาโลให้เป็นอัครทูตคนแรกที่ไปยังคนต่างชาติ คิดถึงการจัดเตรียมที่พระเจ้าเตรียมไว้สำหรับพันธกิจนี้

  • ฐานะพลเมืองโรมันของเปาโลทำให้เขาเดินทางได้อย่างมีอิสระ

  • การฝึกอบรมภาษาฮีบรูและกรีกเป็นอุปกรณ์ในการเขียนพระธรรมที่ลึกซึ้งที่สุดในพันธสัญญาใหม่

  • การศึกษาปรัชญากรีกของเปาโลทำให้เขาสามารถพูดคุยกับนักคิดชาวกรีกในสถานที่ต่าง ๆ อย่างเช่น เอเธนส์

คุณอาจตอบว่า “พระเจ้าไม่ได้ให้ฉันมีการศึกษาที่ดีเยี่ยมแบบเปาโล ฉันไม่ได้มีภูมิหลังทางครอบครัวที่ดีเลิศ” ไม่เป็นไรเลย ขอให้ดูผู้นำอีกคนในคริสตจักรช่วงศตวรรษแรก

ซีโมนเติบโตในสังคมการค้าประมง เขาไม่ได้มีการศึกษาหรือจิตใจปราดเปรื่องเหมือนเปาโล อันที่จริง เปโตรพูดว่าเปาโลได้เขียนบางสิ่งที่ยากจะเข้าใจ ( 2 เปโตร 3:15-16) แต่พระเจ้าใช้เปาโลด้วยวิถีทางอันทรงพลัง ผู้คนที่ถูกท่วมท้นด้วยถ้อยคำลึกซึ้งของเปาโลก็สามารถเข้าใจคำเทศนาเรียบง่ายของเปโตรได้

พระเจ้าเตรียมคุณสำหรับเวทีการรับใช้ของคุณ ถ้าคุณยอมมอบการฝึกอบรม ภูมิหลังของคุณ และทุกสิ่งที่พระเจ้าให้คุณไว้กับพระเจ้า พระองค์ก็จะใช้คุณทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จ พระเจ้าเตรียมคนเหล่านั้นที่พระองค์เรียกให้ทำพันธกิจตามการทรงเรียกของพระองค์

งานมอบหมายบทที่ 1

สามารถพิมพ์ PDF ได้ที่นี่

(1) ในบทเรียนนี้ เราเห็นแบบอย่างของพระเยซูในการมีชัยชนะเหนือการทดลอง ในแผนภูมิแรกด้านล่างนี้ ขอให้เขียนตัวอย่างของคนในพระคัมภีร์สามคนที่รักษาชัยชนะเหนือการทดลองไว้ได้ สังเกตสิ่งหนึ่งที่ทำให้เขามีกำลังในการเผชิญการทดลอง จากนั้นเขียนตัวอย่างของคนสามคนในพระคัมภีร์ที่พ่ายแพ้การทดลอง ในแต่ละกรณีขอให้ระบุถึงปัจจัยที่นำให้พวกเขาพ่ายแพ้

(2) ตามตัวอย่างที่คุณเขียนมานั้น ขอให้เตรียมคำเทศนาหรือการศึกษาพระคัมภีร์เรื่องการทดลอง ขอให้รวมแบบอย่างของพระเยซูรวมทั้งตัวอย่างในแผนภูมิของคุณด้วย

ชัยชนะเหนือการทดลอง พระคัมภีร์ อะไรที่ให้ชัยชนะ?
โยเซฟ (ความบริสุทธิ์ทางเพศ) ปฐมกาล 39 จดจ่อที่พระเจ้า (ปฐมกาล 39:9)
     
     
     
ความล้มเหลวในการทดลอง พระคัมภีร์ อะไรที่ทำให้พ่ายแพ้?
เปโตร (ปฏิเสธพระเยซู) ลูกา 22:54-62 มั่นใจมากเกินไป (ลูกา 22:31-34)
     
     
     
Next Lesson