การจับกุม
► อ่าน มัทธิว 26:1-5, 14-56
ในวันพุธของสัปดาห์ปัสกา พระเยซูพยากรณ์ถึงการตายของพระองค์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้นสองวัน สภาแซนเฮดริน วางแผนจับกุมพระเยซูหลังจากฝูงชนที่มางานปัสกาออกไปจากกรุง อย่างน้อยก็เป็นเวลาเก้าวันหลังจากการพยากรณ์นี้ อย่างไรก็ตามเมื่อยูดาสยื่นข้อเสนอที่จะทรยศพระอาจารย์ของเขา พวกเขาตัดสินใจจับกุมพระเยซูขณะที่พวกเขาร่วมมือกันกับหนึ่งในสาวกของพระองค์[4]
ทำไมพวกหัวหน้าปุโรหิตจึงต้องการยูดาส? พวกเขาต้องการจับกุมพระเยซูเมื่อพระองค์ออกห่างจากฝูงชน เนื่องจากความชื่อเสียงของพระองค์ ย่อมจะเกิดการปฏิวัติได้ถ้าหากพวกเขาจับพระองค์ต่อหน้าทุกคน
หลังจากร่วมมื้อปัสกากับสาวกของพระองค์แล้ว พระเยซูไปที่สวนเกทเสมนีเพื่ออธิษฐาน ในการเผชิญหน้ากับความทรมานกายบนไม้กางเขนและการคร่ำครวญฝ่ายวิญญาณที่ต้องแยกขาดจากพระบิดา พระเยซูอธิษฐานว่า “โอพระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” (มัทธิว 26:39) แม้ในการทดสอบครั้งใหญ่นี้ พระเยซูก็ยอมจำนนต่อความประสงค์ของพระบิดา
ต่อมาในเย็นวันนั้น ยูดาสมาพร้อมกับคนกลุ่มใหญ่เพื่อมาจับกุมพระเยซู[1] หลังจากยูดาสชี้ตัวพระเยซูด้วยรอยจูบ พระเยซูพูดกับพวกทหารว่า “เราเป็นผู้นั้น” เขาก็ถอยหลังและล้มลงที่ดิน” (ยอห์น 18:6) ทหารกลุ่มใหญ่นี้กลัวผู้ชายคนหนึ่งที่มีฤทธิ์อำนาจเหนือความตาย เป็นพระเยซูที่ควบคุมสถานการณ์ ไม่ใช่ศัตรูของพระองค์ ออคตาเวียส วินสโลว์ ผู้เทศนาแห่งศตวรรษที่ 19 ได้เขียนไว้ว่า “ใครที่มอบพระเยซูไว้แก่ความตาย? ไม่ใช่ยูดาสที่ทำเพื่อเงิน ไม่ใช่ปีลาตที่ทำด้วยความกลัว ไม่ใช่พวกยิวที่อิจฉา แต่คือพระบิดาที่ทำด้วยความรัก!”[2]
การพิจารณาคดี
► อ่าน มัทธิว 26:57-27:26, ลูกา 22:54-23:25, ยอห์น 18:12-19:16
การพิจารณาคดีของพระเยซูประกอบไปด้วยการพิจารณาคดีของชาวยิวและการพิจารณาคดีของโรมัน กฎหมายยิวเป็นระบบกฎหมายที่มีมนุษยธรรมมากที่สุดในสมัยโบราณ กฎหมายของชาวยิวทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาชีวิต กฎหมายโรมันเป็นที่รู้จักในเรื่องกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดและครอบคลุม นี่เป็นระบบกฎหมายที่ดีที่สุดสองระบบของโลกยุคโบราณ แต่ทั้งสองกฎหมายนี้กลับไม่ได้ป้องกันคนบาปจากการสังหารพระบุตรของพระเจ้า
ในช่วงเวลาหลายชั่วโมงหลังการจับกุม พระเยซูถูกไต่สวนหรือพิจารณาคดีทางกฎหมายหกครั้ง ซึ่งรวมถึงการพิจารณาคดีทางศาสนาของชาวยิวและการพิจารณาคดีทางแพ่งของโรมัน นักประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่าการพิจารณาคดีของชาวยิวนั้นไม่ถูกต้องตามกฎหมายของชาวยิว สภาแซนเฮดริน รีบเร่งที่จะตัดสินลงโทษพระเยซูโดยกระทำสิ่งต่อไปนี้
จัดการพิจารณาคดีตอนกลางคืน (ผิดกฎหมาย)
ไม่ได้ตั้งข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการก่อนที่จะจับกุมพระเยซู (ผิดกฎหมาย)
ไม่อนุญาตให้พระเยซูเรียกพยานมาแก้ต่าง (ผิดกฎหมาย)
รีบพิจารณาคดีเร็วกว่าที่กฎหมายยิวอนุญาต (ผิดกฎหมาย)
น่าแปลกที่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพื่อที่พวกเขาจะได้ตรึงพระเยซูที่กางเขนและนำพระศพของพระองค์ออกไปก่อนเทศกาลปัสกา พวกเขาฆ่าลูกแกะของพระเจ้าเพื่อจะกินลูกแกะปัสกาตามกำหนดเวลา!
ลำดับการพิจารณาคดี
(1) พวกยิวพิจารณาคดีต่อหน้าอันนาส (ยอห์น 18:12-14, 19-23)
อันนาสได้รับการแต่งตั้งให้เป็นมหาปุโรหิตตลอดชีวิต แม้หลังจากโรมันได้เอาคายาฟาสลูกเขยของอันนาสมาแทนที่เขาก็ตาม คนยิวส่วนใหญ่ยังคงเรียกอันนาสโดยตำแหน่งว่า “มหาปุโรหิต” การพิจารณาคดีต่อหน้าอันนาสไม่ได้เป็นแบบทางการ ไม่รวมข้อกล่าวหาหรือพยาน
(2) พวกยิวพิจารณาคดีต่อหน้าสภาแซนเฮดริน (มัทธิว 26:57-68)
การพิจารณาคดีครั้งแรกต่อหน้าสภาแซนเฮดริน ทั้งหมดอาจจัดขึ้นตอนเวลาประมาณตีสอง แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถพิจารณาคดีทางกฎหมายได้ก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น แต่ผู้นำชาวยิวก็อยากจะทำเรื่องนี้ให้เร็ว ๆ แม้การพิจารณาคดีในตอนกลางคืนแบบเป็นทางการจะผิดกฎหมาย แต่สภาแซนเฮดริน ก็จัดพิจารณาคดีขึ้นแบบไม่เป็นทางการซึ่งเป็นการลงโทษพระเยซูสำหรับการดูหมิ่นพระเจ้าและตัดสินว่าพระองค์ต้องโทษถึงตาย
(3) การพิจารณาคดีอย่างเป็นทางการต่อหน้าสภาแซนเฮดริน (ลูกา 22:66-71)
เมื่อวันนั้นมาถึง สภาแซนเฮดริน จัดการพิจารณาคดีอย่างเป็นทางการ ในการพิจารณาคดีนี้ สภาแซนเฮดริน ตัดสินอย่างเป็นทางการเพื่อลงโทษพระเยซูในข้อหาดูหมิ่นพระเจ้า
(4) การพิจารณาคดีของโรมันครั้งแรกต่อหน้าปีลาต (ลูกา 23:1-5, ยอห์น 18:28-38)
โรมไม่ได้ให้สิทธิอำนาจแก่สภาแซนเฮดริน เพื่อประหารชีวิตอาชญากร (ยอห์น 18:31) เพื่อให้ปีลาตตัดสินประหารชีวิตได้ พวกผู้นำยิวจึงเปลี่ยนข้อกล่าวหาจากดูหมิ่นศาสนาไปเป็นข้อหากบฏทางการเมือง พวกเขากล่าวหาพระเยซูว่า “เราพบว่าคนนี้กำลังทำให้ชนชาติของเราไขว้เขวและไม่ให้ส่งส่วยแก่ซีซาร์ และบอกว่าตัวเองเป็นพระคริสต์กษัตริย์องค์หนึ่ง” (ลูกา 23:2)
ในช่วงระหว่างเทศกาลปัสกา พวกคนยิสจะไม่เข้าไปในอาคารของโรมันเนื่องจากกลัววว่าจะเป็นมลทินและทำให้ไม่สามารถกินอาหารปัสกาได้ เนื่องจากพวกเขาจะไม่เข้าไปในวัง ปีลาตจึงจัดการพิจารณาคดีที่บนทางเท้านอกประตูพระราชวัง
(5) การพิจารณาคดีของโรมันต่อหน้า เฮโรด แอนติพาส (ลูกา 23:6-12)
ปีลาตรู้ว่าพระเยซูไม่มีความผิดอะไร แต่เขาไม่ต้องการทำให้ผู้นำชาวยิวโกรธ เมื่อเขาได้ยินว่าพระเยซู “ยุยงประชาชนให้วุ่นวายและสั่งสอนไปทั่วยูเดีย ตั้งแต่กาลิลีจนถึงที่นี่” (ลูกา 23:5) ปีลาตตัดสินใจว่าจะหลีกหนีจากปัญหาที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเขา ในช่วงสัปดาห์ปัสกา เฮโรด แอนติพาส ผู้ปกครองแคว้นกาลิลีอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม[3] เนื่องจากพระเยซูมาจากแคว้นกาลิลี ปีลาตจึงหวังว่าเฮโรดจะทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษาในคดีนี้ ปีลาตจึงส่งพระเยซูไปหาเฮโรด แต่เฮโรดปฏิเสธที่จะเข้าไปแทรกแซง
(6) การพิจารณาคดีครั้งสุดท้ายของโรมันต่อหน้าปีลาต (มัทธิว 27:15-26, ลูกา 23:13-25, ยอห์น 18:39-19:16)
เมื่อพระเยซูกลับมาที่ศาลของปีลาต ปีลาตมองหาทางออกอีกทาง ปีลาตรู้ว่าพระเยซูไม่มีความผิดอะไรเลย “นี่แน่ะ เราไต่สวนต่อหน้าพวกท่านแล้ว และไม่เห็นว่าคนนี้มีความผิดในข้อที่ท่านกล่าวหาเขา” (ลูกา 23:14) ปีลาตไม่ต้องการลงโทษพระเยซู ชายผู้ไม่มีความผิดนี้
เมื่อพวกผู้นำขู่ว่าจะรายงานต่อซีซาร์สำหรับเรื่องความไม่ภักดีของปีลาต ปีลาตก็ทำตามคำเรียกร้องของพวกเขาทุกอย่าง ปีลาตเป็นผู้ปกครองบ้านเมืองที่อ่อนแอ เมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ปีลาตยอมให้พวกทหารถือรูปจักรพรรดิเข้าไปในเยรูซาเล็ม ฝูงชนชาวยิวประท้วงอยู่ด้านนอกวังของปีลาตเป็นเวลาห้าวัน เมื่อปีลาตขู่ว่าจะฆ่าผู้ประท้วง พวกคนยิวประกาศว่าจะยอมตายดีกว่าทนรับรูปของซีซาร์ไว้ในเมืองอันบริสุทธิ์ ปีลาตถูกบังคับให้ถอนกลับไป
เนื่องจากประสบการณ์นี้ ปีลาตจึงกลัวประชาชนยิว นอกจากนั้น เซจานุส นายทหารที่สูงกว่าของเขาในกรุงโรมไม่วางใจในความสามารถของปีลาตในการควบคุมคนในแคว้นยูเดีย เมื่อพวกผู้นำขู่ว่าจะร้องต่อซีซาร์หากปีลาตปล่อยพระเยซูไป ปีลาตจึงมอบพระองค์ให้พวกเขาไปตรึงที่กางเขน (ยอห์น 19:16) ปีลาตตัดสินประหารชีวิตพระเยซูไม่ใช่เพราะเขาเชื่อว่าพระองค์มีความผิด แต่เพราะความอ่อนแอของเขาเอง
ในช่วงการพิจารณาคดี เปโตรปฏิเสธพระเยซู
ในช่วงระหว่างมื้อปัสกา พระเยซูได้เตือนเปโตรว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ก่อนไก่ขัน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง” (ยอห์น 13:38) ตอนนี้ในช่วงการพิจารณาคดีของพระเยซู เปโตรปฏิเสธพระเยซูสามครั้ง
เมื่อเราอ่านความล้มเหลวอันน่าละอายของเปโตร เราควรระลึกว่าไม่มีเปโตรคนเดียวที่ทำให้พระเยซูผิดหวังในคืนนั้น มีเปโตรกับยอห์นไปร่วมในการพิจารณาคดีนี้ สาวกคนอื่น ๆ กลัวและหนีไปหมด
เห็นชัดเจนว่า เปโตรรักพระเยซู แล้วทำไมเขาถึงล้มเหลว? ก่อนหน้านี้เราศึกษาเรื่องการทดลองของพระเยซูเพื่อรับบทเรียนเกี่ยวกับการเผชิญหน้าการทดลอง จากความล้มเหลวของเปโตร เราเห็นคำเตือนที่ช่วยเราเมื่อเราถูกทดลอง อย่างน้อยมีอย่างน้อยสองคุณลักษณะที่ทำให้เปโตรล้มเหลว
(1) มั่นใจมากเกินไป
เมื่อพระเยซูเตือนให้ระวังการโจมตีของซาตาน เปโตรอวดว่า “ถึงแม้ข้าพระองค์จะต้องตายกับพระองค์ ข้าพระองค์ก็จะไม่ปฏิเสธพระองค์เลย” (มัทธิว 26:35) เมื่อเรามีความมั่นใจมากเกินไป เราก็ตกอยู่ในอันตรายของความล้มเหลว เราดำเนินชีวิตคริสเตียนที่มีชัยชนะได้โดยทางฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น การมั่นใจมากเกินไปเป็นก้าวแรกที่ทำให้ล้มเหลวในฝ่ายวิญญาณ
(2) อธิษฐานน้อยไป
ในสวนนั้น พระเยซูเตือนพวกสาวกว่า “จงอธิษฐานเพื่อจะได้ไม่ตกอยู่ในการทดลอง” (ลูกา 22:40) แทนที่จะอธิษฐานขอกำลังเพื่อเผชิญกับการทดสอบที่จะมาถึง เปโตรกลับนอนหลับ
การอธิษฐานน้อยไปย่อมนำไปสู่ความล้มเหลวในฝ่ายวิญญาณ เป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาชีวิตคริสเตียนที่มีชัยชนะเอาไว้โดยไม่มีชีวิตที่อธิษฐานอย่างมีชีวิตชีวา ซาตานพยายามให้คริสเตียนทำกิจกรรมมากมายจนกระทั่งไม่มีเวลาอธิษฐาน มันรู้ว่าถ้าหากเรายุ่งมากจนไม่มีเวลาอธิษฐาน ไม่ช้านานเราจะล้มลง
► มองย้อนกลับไปยังชีวิตคริสเตียนและพันธกิจของคุณ คิดถึงถานที่ที่คุณล้มลงในการทดลอง หรือที่ที่คุณเข้าใกล้การล้มลง อะไรคือปัจจัยที่นำไปสู่การล้มลงนั้น? การประสบความสำเร็จในงานพันธกิจทำให้คุณมั่นใจมากเกินไปหรือเปล่า? คุณยุ่งเป็นปกติและล้มเหลวในการใช้เวลามากพอในการอธิษฐานไหม? มีปัจจัยอื่น ๆ ที่เป็นสัญญาณเตือนสำหรับอนาคตไหม?
ช่วงระหว่างการพิจารณาคดี ยูดาสฆ่าตัวตาย
ทันทีทันใดหลังจากรายงานเรื่องการปฏิเสธของเปโตร มัทธิวก็เล่าเรื่องการฆ่าตัวตายของยูดาส เมื่อได้เห็นผลลัพธ์ของการทรยศของตน ยูดาสเปลี่ยนใจและเอาเงิน 30 เหรียญมาคืนให้กับพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกผู้อาวุโสพร้อมกับพูดว่า “าพเจ้าทำบาปที่ทรยศคนบริสุทธิ์ถึงตาย” (มัทธิว 27:3-4) ยูดาสทิ้งเงินนั้นที่จ่ายเป็นค่าทรยศของเขาและออกไปผูกคอตาย (มัทธิว 27:5) ยูดาสเลือกฆ่าตัวตายมากกว่าจะอยู่อย่างมีความผิดไปตลอดชีวิต
มัทธิวรายงานเรื่องการกลับใจใหม่ของเปโตรควบคู่กับการสำนึกผิดของยูดาส ทั้งเปโตรและยูดาสเสียใจกับการกระทำของตน อย่างไรก็ตาม สำหรับยูดาสนั้น มัทธิวใช้คำที่แสดงออกถึงการเปลี่ยนใจ แต่ไม่ใช่คำที่ใช้กับการกลับใจใหม่อย่างแท้จริง ความแตกต่างนี้สำคัญต่อความเข้าใจถึงการตอบสนองของผู้คนในการสำนึกบาป
เปาโลเขียนเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างการสำนึกผิด (เสียใจสำหรับผลของบาป) กับการกลับใจใหม่ (เสียใจสำหรับความบาปและเปลี่ยนทิศทาง) อัครทูตเขียนว่า “เพราะว่าความเสียใจตามพระประสงค์ของพระเจ้า ทำให้เกิดการกลับใจ ซึ่งจะนำไปสู่ความรอดและจะไม่ทำให้เสียใจ แต่ความเสียใจอย่างโลกนั้นย่อมนำสู่ความตาย” (2 โครินธ์ 7:10)
ความเสียใจในทางของพระเจ้านำมาซึ่งการกลับใจใหม่อย่างแท้จริง ซึ่งนำไปสู่ความรอดและชีวิต การเสียใจแบบทางโลกนำมาซึ่งการสำนึกผิด ซึ่งนำไปสู่ความรู้สึกผิดและความตาย ทั้งเปโตรและยูดาสเสียใจ แต่มีเพียงเปโตรเท่านั้นที่กลับใจใหม่อย่างแท้จริง
ยูดาสมองเห็นผลลัพธ์ของการทรยศของเขาและเลือกที่จะตายแทนที่จะต้องอับอายและรู้สึกผิด เขารู้สึกสำนึกผิดแต่ไม่ได้กลับใจใหม่ เปโตรมองเห็นผลลัพธ์จากความล้มเหลวของเขาและเลือกที่จะกลับใจใหม่อย่างแท้จริง ผลลัพธ์ของการสำนึกผิดของยูดาสคือความตาย ผลลัพธ์ของการกลับใจใหม่ของเปโตรคืองานพันธกิจที่เกิดผลไปตลอดชีวิต
► คุณเคยเห็นคนที่รู้สึกสำนึกผิดแต่ไม่กลับใจใหม่อย่างแท้จริงไหม? อะไรคือผลที่ตามมา? ในคำเทศนาของเรา เราจะนำให้คนมาถึงการกลับใจใหม่อย่างแท้จริงได้อย่างไร?
การตรึงกางเขน
► อ่าน มัทธิว 27:27-54
ยูเดียเป็นพื้นที่ที่น่ากลัวสำหรับทหารโรมัน ประชาชนที่นั่นเกลียดทหารโรมัน และพวกหัวรุนแรงก็วางแผนที่จะลอบสังหารพวกทหาร ในช่วงเทศกาลปัสกา กองทัพต้องเฝ้าระวังสำหรับการจลาจล ไม่มีการมอบหมายงานใดที่จะแย่ไปกว่านี้อีกแล้วสำหรับทหาร เมื่อนักโทษชาวยิวถูกตัดสินประหารชีวิต พวกทหารก็แสดงความเกลียดชังต่อคนที่ถูกลงโทษนั้น
การปฏิบัติต่อพระเยซู ไม่ว่าจะเป็นการเฆี่ยนตี การเยาะเย้ย มงกุฎหนาม เป็นการแสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายของพวกทหารที่เกลียดงานมอบหมายนี้ เกลียดผู้คนรอบข้างพวกเขา และดีใจที่ใครบางคนไม่สามารถสู้กลับได้ พระเยซูทนทุกข์ทุกสิ่งเหล่านี้โดยไม่สักคำที่พูดด้วยความโกรธต่อพวกทหารเหล่านี้
นักเขียนจำนวนมากได้ศึกษาเกี่ยวกับการตรึงกางเขนโดยพิจารณาที่คำกล่าวเจ็ดประโยคของพระเยซูบนไม้กางเขน คำสุดท้ายที่คนนั้นกล่าวย่อมเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคนนั้น เมื่อเผชิญกับความตาย พระเยซูพูดว่าอะไร?
คำยกโทษ
ขณะที่พวกเขาเอาตะปูตอกพระองค์เพื่อตรึงกับไม้กางเขน พระเยซูอธิษฐานว่า “พระบิดาเจ้าข้า ขอทรงยกโทษพวกเขาเพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร” (ลูกา 23:34) พระองค์สำแดงถึงความรักและการยกโทษจนสิ้นลมหายใจ
ต่อขโมยคนหนึ่งที่สมควรตาย พระเยซูสัญญาว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า วันนี้ท่านจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม” (ลูกา 23:43)
คำแห่งความเมตตาสงสาร
พระเยซูมอบหมายให้ยอห์นดูแลแม่ของพระองค์เมื่อพระองค์พูดว่า “หญิงเอ๋ย นี่คือบุตรของท่าน” และกล่าวกับยอห์นว่า “นี่คือมารดาของท่าน” (ยอห์น 19:26-27) ก่อนหน้านี้พระเยซูสอนว่าสายใยที่ลึกซึ้งที่สุดของครอบครัวคือสายใยฝ่ายวิญญาณ “นี่เป็นมารดาและพี่น้องของเรา เพราะว่าใครก็ตามที่ทำตามพระทัยพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ผู้นั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา” (มัทธิว 12:49-50)
เมื่อเวลาที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ พี่น้องร่วมมารดาของพระองค์ยังไม่เชื่อ พวกเขายังไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวฝ่ายวิญญาณของพระองค์ ดังนั้นพระเยซูจึงฝากแม่ไว้ในการดูแลของพี่น้องฝ่ายวิญญาณ คือยอห์นผู้เป็นที่รัก
คำแห่งการทรมานทางกาย
การเป็นพระบุตรของพระเจ้าไม่ได้สงวนพระเยซูไว้จากการทรมานทางกายที่บนไม้กางเขน พระองค์ทุกข์ทรมานทางกายจากการลงโทษอย่างโหดร้าย หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมงโดยไม่ได้ดื่มน้ำท่ามกลางความร้อนจัด พระเยซูร้องว่า “เรากระหายน้ำ” (ยอห์น 19:28)
คำแห่งการคร่ำครวญฝ่ายวิญญาณ
มัทธิวและมาระโกบันทึกถ้อยคำที่บีบหัวใจมากที่สุดซึ่งพระเยซูกล่าวออกมาบนไม้กางเขน “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย?” (มัทธิว 27:46 และ มาระโก 15:34, อ้างอิง สดุดี 22:1).
ในความเป็นมนุษย์นั้น พระเยซูรู้สึกอย่างเดียวกันกับดาวิดนั่นคือถูกทอดทิ้ง เหมือนกับที่ผู้คนเยาะเย้ยดาวิดและส่ายหน้าใส่เขา (สดุดี 22:7) พวกเขาก็เยาะเย้ยพระเยซู และส่ายหน้าใส่พระองค์ (มัทธิว 27:39) และเหมือนกับดาวิดที่มีอารมณ์ความรู้สึกว่าถูกพระเจ้าทอดทิ้ง ในเวลานี้พระเยซูก็ร้องออกมาว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย?” (มัทธิว 27:46)
อย่างไรก็ตาม ดาวิดค้นพบว่าพระเจ้าไม่ได้ทอดทิ้งเขาจริงๆ ต่อมาในสดุดีบทนี้ ดาวิดยืนยันว่า "เพราะพระองค์มิได้ทรงดูถูกหรือสะอิดสะเอียนต่อความทุกข์ยากของผู้ทุกข์ใจ และมิได้ซ่อนพระพักตร์จากเขา เมื่อเขาทูลขอความช่วยเหลือ พระองค์ทรงฟัง” (สดุดี 22:24)
ในทำนองเดียวกัน พระเยซูพบว่าพระเจ้าไม่ได้ทอดทิ้งพระองค์ คำที่พระเยซูพูดต่อมาเป็นคำที่ร่ำร้องต่อพระบิดาของพระองค์ ซึ่งพระองค์รู้ว่าพระบิดาไม่ได้ทอดทิ้งพระองค์ พระเยซูอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ขอฝากจิตวิญญาณของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” (ลูกา 23:46)
ในความเป็นมนุษย์ของพระเยซู พระองค์รู้สึกถึงความอ้างว้างเช่นเดียวกับที่เรารู้สึกเมื่อดูเหมือนว่าพระเจ้าไม่ได้ยินคำอธิษฐานของเรา แต่พระเยซูก็มีประสบการณ์ถึงความเป็นจริงที่ว่าพระบิดาในสวรรค์ของเราไม่เคยทอดทิ้งลูกของพระองค์ด้วย แม้เมื่อเราไม่รู้สึกได้ถึงการสถิตอยู่ของพระองค์ เราก็ยังสามารถร้องเรียกพระองค์ได้ โดยรู้ว่าพระองค์ฟังเรา
คำฝากมอบจิตวิญญาณ
“ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ขอฝากจิตวิญญาณของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” (ลูกา 23:46) ตลอดชีวิตของพระเยซู พระองค์ดำเนินชีวิตด้วยการยอมจำนนอย่างสัตย์ซื่อต่อพระบิดา เมื่อเผชิญหน้ากับกางเขน พระองค์อธิษฐานว่า “อย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” (มัทธิว 26:39) ถึงตอนนี้พระองค์กล่าวคำยอมจำนนครั้งสุดท้ายต่อความประสงค์ของพระบิดา
คำแห่งชัยชนะ
“สำเร็จแล้ว” (ยอห์น 19:30) ด้วยเสียงร้องแห่งชัยชนะนี้ พระเยซูประกาศว่างานที่พระบิดาส่งมาให้พระองค์ทำนั้นบรรลุผลสำเร็จแล้ว โทษของความบาปได้รับการจ่ายชดใช้แล้ว ซาตานพ่ายแพ้แล้ว การลบบาปโดยลูกแกะในพันธสัญญาเดิมที่เป็นการทำนายล่วงหน้าและพระสัญญาในอิสยาห์ 53 บรรลุผลสำเร็จแล้ว
ที่บนไม้กางเขน พระเจ้าทำให้พระองค์ผู้ไม่มีบาปให้บาป เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมของพระเจ้าโดยทางพระองค์ (2 โครินธ์ 5:21) ใน อิสยาห์ 53 ผู้เผยพระวจนะกล่าวถึงผู้รับใช้ที่ทนทุกข์ผู้แบกรับบาปของเรา (อิสยาห์ 53:4-12) เปาโลแสดงให้เห็นว่าการชดใช้บาปแทนนี้สำเร็จแล้วบนไม้กางเขน
พระเยซูถูกทำให้บาปเพื่อเห็นแก่เรา เพื่อว่าในพระองค์จะกลายเป็นคนชอบธรรมของพระเจ้า (2 โครินธ์ 5:21) เราไม่ได้มีชีวิตอยู่ในพันธนาการแห่งบาปอีกต่อไป โดยทางการตายของพระคริสต์ เราได้รับการทำให้เป็นผู้ชอบธรรม เปาโลไม่ได้พูดเพียงว่าในพระองค์เราถูกเรียกให้ชอบธรรม แต่พูดว่าในพระองค์เรากลายเป็นคนชอบธรรมของพระเจ้าอย่างแท้จริง โดยการงานของพระคริสต์บนไม้กางเขน การพลิกฟื้นที่แท้จริงได้เกิดขึ้น พระคริสต์ถูกทำให้บาปเพื่อเราจะกลายเป็นคนชอบธรรม
[1] ยอห์น 18:3 ระบุถึงกลุ่มนี้ว่าเป็น “พวก” หรือ “หมู่” ทหาร หมู่ทหารของโรมันมีประมาณ 600 คน
[2] อ้างอิงจาก John Stott, The Message of Romans (Westmont, Illinois: InterVarsity Press, 1994), 255
[3] ในช่วงสัปดาห์ปัสกา ข้าราชการโรมันทุกคนในปาเลสไตน์จะมาที่เยรูซาเล็มเพื่อช่วยดูแลในกรณีมีการปฏิบัติเกิดขึ้น
[4] “พระเยซูไม่ได้พยายามบรรเทาความทุกข์ทรมานในสภาพมนุษย์ของพระองค์ด้วยความเป็นพระเจ้า แต่พระองค์เข้าลี้ภัยในการอธิษฐาน” - ปรับเปลี่ยนจาก T.B. Kilpatrick
Previous
Next