ชีวิตและพันธกิจ ของพระเยซู
ชีวิตและพันธกิจ ของพระเยซู
Audio Course Purchase

Search Course

Type at least 3 characters to search

Search through all lessons and sections in this course

Searching...

No results found

No matches for ""

Try different keywords or check your spelling

results found

Lesson 8: ไม้กางเขนและการฟื้นพระชนม์

2 min read

by Randall McElwain


จุดประสงค์บทเรียน

เมื่อจบบทเรียน นักศึกษาควรบรรลุวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้

(1) ตระหนักถึงการตอบสนองที่แตกต่างกันต่อพันธกิจของพระเยซูในช่วงสัปดาห์แห่งการทนทุกข์

(2) เข้าใจถึงคำแช่งสาปต้นมะเดื่อว่าเป็นคำอุปมาที่มีชีวิต

(3) ตระหนักถึงความอ่อนแอที่นำไปสู่ความล้มเหลวของเปโตร

(4) เห็นคุณค่าไม้กางเขนและการฟื้นพระชนม์ว่าเป็นรากฐานสำหรับชีวิตและพันธกิจคริสเตียน

หลักการสำหรับพันธกิจ

ทุกพันธกิจที่เกิดผลนั้นสำเร็จได้ด้วยฤทธิ์อำนาจแห่งไม้กางเขนและการฟื้นพระชนม์

บทนำ

จุดสำคัญของข่าวประเสริฐคือเรื่องการทนทุกข์ จำนวน 30 บทจาก 89 บทในพระกิตติคุณอุทิศให้กับสัปดาห์ที่อยู่ช่วงระหว่างการเข้าเยรูซาเล็มอย่างผู้พิชิตกับการฟื้นคืนพระชนม์ เกือบครึ่งหนึ่งของพระธรรมยอห์นที่เขียนถึงสัปดาห์นี้ นี่คือจุดสำคัญสูงสุดที่ชีวิตและพันธกิจทั้งหมดของพระเยซูชี้ไปถึง ในบทเรียนนี้ เราจะศึกษาสัปดาห์สุดท้ายของพันธกิจบนโลกนี้ของพระเยซูเพื่อเป็นบทเรียนสำหรับชีวิตและพันธกิจของเรา

► ก่อนจะต่อเนื่องบทเรียน ให้เราอภิปรายร่วมกันถึงสองคำถามต่อไปนี้

  • การตรึงกางเขนมีความหมายอะไรต่อฉันทั้งในด้านศาสนศาสตร์และในชีวิตส่วนตัว?

  • การฟื้นคืนพระชนม์มีความหมายอะไรต่อฉันทั้งในด้านศาสนศาสตร์และในชีวิตส่วนตัว?

การตอบสนองต่อพระเยซู: สัปดาห์สุดท้ายของพันธกิจของพระเยซูต่อสาธารณชน

จุดเน้นสำคัญประการหนึ่งของผู้ประกาศข่าวประเสริฐคือการตอบสนองของคนที่ได้เผชิญหน้ากับพระเยซู ยกตัวอย่างเช่น ในช่วงเริ่มต้นชีวิตของพระเยซู มัทธิวเปรียบให้เห็นความแตกต่างระหว่างการนมัสการของพวกโหราจารย์กับการตอบสนองของเฮโรดที่พยายามสังหารกษัตริย์คู่แข่งนี้ ยอห์นเปรียบให้เห็นความแตกต่างระหว่างความสงสัยของรับบีชาวยิวชื่อนิโคเดมัสกับหญิงชาวสะมาเรียผู้ขาดการศึกษาซึ่งมาที่บ่อน้ำ

► อ่าน มัทธิว 10:32-39

ไม่มีใครสามารถเป็นกลางเกี่ยวกับคำสอนของพระเยซูได้ เราต้องยอมรับข้อเรียกร้องของพระองค์หรือไม่ก็ต้องปฏิเสธพระองค์ พระเยซูอธิบายถึงพันธกิจของพระองค์ว่าเป็นเหมือนดาบที่แบ่งแยกสองกลุ่มนี้ออกจากกัน ครอบครัวที่ถูกแบ่งแยกโดยการตอบสนองของพวกเขาต่อพระเยซู แม้ครอบครัวของพระเยซูเองก็เผชิญกับการทดสอบนี้ (ยอห์น 7:5, มาระโก 3:21) ไม่มีใครเป็นกลางได้

การเปรียบให้เห็นความแตกต่างถึงการตอบสนองต่อพระเยซูเข้มข้นขึ้นในสัปดาห์สุดท้ายของการทำพันธกิจของพระองค์ต่อสาธารณชน ความแตกต่างนี้ต่อเนื่องไปถึงที่กางเขน ที่ขโมยสองคนตอบสนองต่อพระเยซูด้วยวิธีการแตกต่างกันอย่างมาก

การตอบสนองต่อการเป็นขึ้นมาของลาซารัส

► อ่าน ยอห์น 11:1-57

แม้ก่อนการเป็นขึ้นมาของลาซารัส พวกผู้นำศาสนาคัดค้านพระเยซู เมื่อพระเยซูไปที่พระวิหารช่วงเทศการมอบถวายในช่วงต้นฤดูหนาว พวกผู้นำชาวยิวกล่าวหาว่าพระองค์ดูหมิ่นพระเจ้าและพยายามจะเอาหินขว้างพระองค์ เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาเป็นเครื่องบูชาของพระองค์ พระเยซูจึงหนีพ้นและเดินทางข้ามแม่น้ำจอร์แดนไปจากศูนย์กลางของศาสนาในกรุงเยรูซาเล็ม (ยอห์น 10:22-42)

เมื่อได้ยินข่าวเรื่องการตายของลาซารัส พวกสาวกรู้ว่าการกลับไปยูเดียย่อมเป็นอันตรายสำหรับพระเยซู ผู้อ่านมักจะเยาะเย้ยเรื่องความสงสัยและการมองโลกในแง่ร้ายของโธมัส แต่เขามีความภักดีต่อพระอาจารย์ของเขา เขาสันนิษฐาน (ถูกต้อง) ว่าพระเยซูจะถูกฆ่าในยูเดีย แต่โธมัสก็จงรักภักดี เมื่อพระเยซูยืนกรานว่าจะกลับไปที่ยูเดีย โธมัสพูดกับเพื่อนสาวกว่า “ให้เราไปด้วยกันกับพระองค์เพื่อจะได้ตายกับพระองค์” (ยอห์น 11:16) โดยไม่คำนึงถึงความสงสัยของโธมัสในเวลาต่อมา เราไม่ควรลืมความจงรักภักดีของสาวกที่หวาดกลัวคนนี้ เป็นเรื่องน่าประหลาดใจไหมที่หลังจากการฟื้นคืนพระชนม์ โธมัสตายด้วยการพลีชีพเพราะนำข่าวประเสริฐไปยังประเทศอินเดีย?

ในหมู่บ้านเล็กอย่างเช่นเบธานี การเป็นขึ้นมาของลาซารักไม่อาจปิดบังไว้ได้ ไม่มีทางที่พวกผู้นำศาสนาจะปิดบังเรื่องที่น่าทึ่งนี้ไว้ได้ ยอห์นแสดงให้เห็นถึงการตอบสนองที่แตกต่างกันต่อการอัศจรรย์ครั้งนี้

การตอบสนองของฝูงชน

เมื่อข่าวเรื่องการเป็นขึ้นมาของลาซารัสแพร่กระจายออกไป สาธารณชนสำนึกได้ว่าพระเยซูจะคว่ำอาณาจักโรมและสถาปนาบัลลังก์ของดาวิดขึ้นมาใหม่ในเยรูซาเล็ม พวกเขาได้รับการทำให้สำนึกได้ว่าพระเยซูคือพระเมสสิยาห์ตามพระสัญญา “ดังนั้นเมื่อพวกยิวหลายคนที่มาหามารีย์เห็นการกระทำของพระเยซูก็วางใจในพระองค์” (ยอห์น 11:45 และ 12:11) ดังนั้นผู้คนจำนวนมากที่เชื่อพระเยซูจนพวกฟาริสีพูดว่า “เห็นไหม? เราทำอะไรไม่ได้เลย ดูซิ โลกตามเขาไปหมดแล้ว” (ยอห์น 12:19) สิ่งนี้บันดาลใจให้ฝูงชนมีความกระตือรือร้นอย่างมากเมื่อพระเยซูนั่งบนหลังลาเข้าสู่เยรูซาเล็ม

การตอบสนองของพวกผู้นำศาสนา

การเป็นขึ้นมาของลาซารัสได้ทำลายโอกาสใด ๆ ที่พวกผู้นำศาสนาจะเพิกเฉยต่อคำกล่าวของพระเยซูว่าพระองค์เป็นพระเมสสิยาห์ การที่ฝูงชนหันมาหาพระเยซู พวกผู้นำศาสนามีเพียงสองทางเลือกต่อไปนี้

1.     ยอมรับว่าพระเยซูเป็นผู้ที่พระองค์กล่าวว่าพระองค์เป็น อย่างไรก็ตาม สิ่งนี้เรียกร้องให้พวกเขายอมจำนนความทะเยอทะยานใฝ่หาอำนาจ พระเยซูกล่าวโทษพฤติกรรมความหน้าซื่อใจคดของพวกเขาแล้ว ถ้าพวกเขายอมรับว่าพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์ พวกเขาจะสูญเสียตำแหน่งในฐานะผู้นำของคนยิว

2.     จับกุมและฆ่าพระเยซู ถ้าพวกเขาปฏิเสธที่จะยอมรับพระเยซูในฐานะพระเมสสิยาห์ พวกเขาก็ต้องฆ่าพระองค์

พวกผู้นำศาสนาปกป้องการตัดสินใจของตนในการฆ่าพระเยซูว่าเป็นการตัดสินใจที่ดีที่สุดเพื่อชนชาติ เหมือนกับพวกผู้นำที่อ่อนแอตลอดทั้งประวัติศาสตร์ พวกเขาพยายามหาข้อแก้ตัวสำหรับการตัดสินใจของตนเอง “เราจะทำอย่างไรกันดี เพราะว่าชายคนนี้ทำหมายสำคัญมากมาย? ถ้าเราปล่อยให้เขาทำอย่างนี้ต่อไป ทุกคนก็จะเชื่อถือเขา แล้วพวกโรมันก็จะมาทำลายทั้งสถานที่และชาติของเรา” (ยอห์น 11:47-48) พวกเขากลัวว่าพระเยซูจะนำการปฏิวัติต่อต้านกรุงโรม พวกเขาไม่เข้าใจว่าอาณาจักรของพระองค์เป็นฝ่ายวิญญาณ

“สถานที่” อาจหมายถึงพระวิหาร และ “ชาติของเรา” หมายถึงเสรีภาพที่โรมมอบให้แก่คนยิว (ดูใน กิจการ 6:13 และกิจการ 21:28) ถึงแม้ว่ายูเดียอยู่ภายใต้การควบคุมของโรม พวกคนยิวได้รับอนุญาตให้นมัสการในพระวิหาร ถือรักษากฎบัญญัติทางศาสนา และโดยผ่านสภาแซนเฮดริน พวกเขายังคงรักษาการปกครองพลเรือนบางส่วนได้ ทั้งหมดนี้จะหายไปหากโรมต้องปราบปรามกบฏ

คายาฟาสยืนยันต่อว่า การที่ให้คนหนึ่งตายก็ดีกว่าปล่อยให้ทั้งชนชาติพินาศ (ยอห์น 11:49-50) น่าแปลกที่หลังจากฆ่าพระเยซูแล้ว ความกลัวของสภาแซนเฮดริน ก็เกิดขึ้น สี่สิบปีหลังจากพระเยซูถูกสังหาร ชาวโรมันได้ทำลายล้างการกบฏของชาวยิวโดยทำลายวิหาร ลิดรอนสิทธิของชาวยิว และทำทุกอย่างที่คายาฟาสพยายามหลีกเลี่ยง

เนื่องจากพวกเขาไม่สามารถปิดบังการอัศจรรย์นี้ไว้โดยไม่ทำลายหลักฐานทั้งหมดได้ สภาแซนเฮดริน จึงตัดสินใจฆ่าทั้งพระเยซูและลาซารัสเพื่อปกป้องชนชาติ (ยอห์น 11:53 และยอห์น 12:10) การอัศจรรย์ต่าง ๆ ไม่จำเป็นที่จะทำให้คนไม่เชื่อสำนึกผิดเสมอไป เรามักจะคิดว่า “ถ้าเพียงพระเจ้าพิสูจน์พระองค์เองโดยการอัศจรรย์ ทุกคนก็จะเชื่อ” อย่างไรก็ตาม การอัศจรรย์อาจทำให้คนใจแข็งกระด้างในความสงสัยไม่เชื่อของเขาก็ได้

ในเรื่องเศรษฐีกับลาซารัส (ไม่ใช่ลาซารัสที่พระเยซูชุบให้ฟื้นจากความตาย) เศรษฐีขอให้อับราฮัมส่งลาซารัสไปเตือนพี่น้องของเขา อับราฮัมบอกว่า “ถ้าพวกเขาไม่ฟังโมเสสและพวกผู้เผยพระวจนะ แม้จะมีใครเป็นขึ้นมาจากตาย เขาก็ยังจะไม่เชื่อ” (ลูกา 16:31) พระคัมภีร์เองเป็นคำพยานที่เพียงพอสำหรับความจริง ถ้าหากเราปฏิเสธพระคัมภีร์ หลักฐานอื่น ๆ ก็ไม่ได้ทำให้เราสำนึกได้

การตอบสนองต่อพระเยซู: มารีย์

► อ่านมัทธิว 26:6-13 และยอห์น 12:1-11

ตลอดทั้งพันธกิจของพระเยซูบนโลกนี้ พี่สาวของลาซารัสและเป็นน้องสาวของมารธาคือหนึ่งในบรรดาผู้ติดตามที่อุทิศตัวต่อพระเยซูมากที่สุด ในตอนต้นเรื่อง มารธาบ่นเพราะมารีย์นั่งฟังพระเยซูทั้ง ๆ ที่มารธาทำการรับใช้อยู่ ในเรื่องนั้น พระเยซูชื่นชมมารีย์ว่า “สิ่งที่จำเป็นนั้นมีเพียงสิ่งเดียว และมารีย์ก็เลือกเอาส่วนที่ดีนั้น ใครจะชิงเอาไปจากเธอไม่ได้” (ลูกา 10:42)

ไม่ถึงหนึ่งสัปดาห์ก่อนพระเยซูสิ้นพระชนม์ พระเยซูกับพวกสาวกไปที่บ้านของซีโมนคนโรคเรื้อน ลาซารัสและพี่ ๆ ของเขาได้รับคำเชิญไปร่วมงานด้วย ระหว่างกินอาหาร มารีย์เทน้ำมันหอมราคาแพงมากรดศีรษะและเท้าของพระเยซู น้ำมันหอมนี้ราคา 300 เดนาริอัน เท่ากับค่าแรงหนึ่งปี ในเวลานั้นไม่มีธนาคาร นี่อาจแทนถึงเงินเก็บออมของมารีย์ก็ได้

พวกสาวกโกรธที่มารีย์ทำให้เสียเงินเปล่า (มัทธิว 26:8 และมาระโก 14:5) แต่มารีย์สนใจความคิดเห็นของผู้เดียวเท่านั้นคือ พระเยซู เธอกระทำด้วยความรักซึ่งบังตาเธอจากความคิดเห็นของคนอื่น ๆ ทั้งหมด เธอไม่สนใจว่าน้ำมันหอมนี้ราคาเท่าไร และเธอไม่สนใจว่าคนอื่นจะคิดอะไร เธอกำลังนมัสการพระอาจารย์ของเธอ และอย่างอื่นก็ไม่สำคัญ  

เมื่อพวกสาวกคัดค้านการกระทำของมารีย์ พระเยซูตำหนิพวกเขาว่า “...ไปกวนใจนางทำไม? นางทำสิ่งดีสำหรับเรา” (มาระโก 14:6) การรู้ว่าไม้กางเขนรอคอยอยู่ข้างหน้าในอีกไม่กี่วัน พระเยซูยอมรับการกระทำของมารีย์ว่าเป็นดั่งสัญลักษณ์ “การที่หญิงนี้เทน้ำมันหอมบนกายเราก็เพื่อเตรียมการฝังศพของเรา” (มัทธิว 26:12) พระเยซูให้เกียรติผู้หญิงคนนี้ผู้ที่ให้สิ่งดีที่สุดโดยไม่เห็นแก่ประโยชน์ส่วนตัวเพื่อนมัสการพระองค์ด้วยความรัก

เมื่อเราอ่านเรื่องราวของมารีย์ที่ชโลมพระเยซู เราควรถามว่า “ฉันรักพระเยซูมากแค่ไหน? ฉันสนใจพระองค์มากกว่าความคิดเห็นของคนอื่นที่มองดูอยู่ไหม?” มารีย์รักพระเยซูอย่างแท้จริง

การตอบสนองต่อพระเยซู: การเข้ากรุงอย่างผู้พิชิต

► อ่าน มัทธิว 21:1-11 และยอห์น 12:12-19

ในวันอาทิตย์ พระเยซูนั่งบนหลังลาเข้าไปในเยรูซาเล็ม ถ้าเป็นวันธรรมดา เหตุการณ์นี้คงไม่มีอะไรผิดปกติ อาจารย์ชาวกาลิลีพร้อมด้วยผู้ติดตามกลุ่มเล็ก ๆ ขี่ม้าเข้าไปในกรุงเยรูซาเล็มเพื่อร่วมเทศกาลปัสกา แต่นี่ไม่ใช่เวลาปกติ การเป็นขึ้นจากความตายของลาซารัสได้เปลี่ยนการจาริกแสวงบุญในเทศกาลปัสกาให้กลายเป็นคำแถลงทางศาสนาและการเมือง

มัทธิวเน้นความหมายในทางศาสนาของการเข้ากรุงเยรูซาเล็มของพระเยซู มัทธิวแสดงให้เห็นว่าการเข้ากรุงของพระเยซูนั้นสำเร็จตามคำเผยพระวจนะของเศคาริยาห์ ถ้อยคำของฝูงชนมาจาก สดุดี 118 สดุดีแห่งปัสกาที่อธิบายถึงขบวนแห่แห่งชัยชนะเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็ม (มัทธิว 21:4-11, เศคาริยาห์ 9:9, สดุดี 118:26)

ขบวนแห่งนี้มีความหมายในทางการเมืองอย่างเต็มที่

  • ฝูงชนปูเสื้อคลุมบนถนนหนทางแทนถึงการยอมอยู่ภายใต้กษัตริย์องค์หนึ่ง (มัทธิว 21:8, 2 กษัตริย์ 9:13)
  • ในช่วงสมัยของแมคคาบี กิ่งปาล์มเป็นสัญลักษณ์ของชัยชนะเหนือกองทัพทางทหาร (ยอห์น 12:13, 1 แมคคาบี 13:51)
  • “โฮซันนา!” หมายถึง “ช่วยเราให้รอด” เสียงร้องขอการช่วยกู้
  • “บุตรดาวิด” คือราชวงศ์และตำแหน่งของพระเมสสิยาห์

ผู้คนเชื่อว่าพระเยซูเข้าสู่กรุงเยรูซาเล็มเพื่อคว่ำอาณาจักรโรมันและสถาปนาอาณาจักรของพระองค์ การรอคอยอย่างยาวนานสำหรับกษัตริย์ที่เป็นเชื้อสายของดาวิดได้สิ้นสุดลงแล้ว พระสัญญาที่ผู้เผยพระวจนะได้กล่าวไว้จะสำเร็จในไม่ช้า

เพียงไม่กี่วันต่อมา ในกลุ่มคนเดียวกันนี้จำนวนมากตะโกนว่า “ตรึงเขาเสีย!” ทำไมหรือ? เพราะพวกเขากำลังยินดีกับพระเยซูด้วยเหตุผลที่ผิด พวกเขาเชื่อว่าพระเยซูจะคว่ำโรมัน แต่พระองค์ไม่ได้ตั้งใจมานำการปฏิวัติทางการทหาร พวกเขาแสวงหาอาณาจักรทางการเมือง แต่พระองค์นำมาซึ่งอาณาจักรฝ่ายวิญญาณ ด้วยความผิดหวัง ในเวลาไม่นานฝูงชนนี้จึงหันมาต่อต้านพระเยซู

สมาชิกที่มีอำนาจทางการเมืองและชนชั้นสูงทางสังคมของสภาแซนเฮดริน ได้ตัดสินใจแล้วว่าจะฆ่าพระเยซู คนที่ไร้อำนาจไม่ช้านานจะหันมาต่อต้านพระองค์ พระเยซูรู้ว่าอะไรจะเกิดขึ้นข้างหน้า พระองค์ร่ำไห้เหนือกรุงนั้นที่ปฏิเสธพระองค์ (ลูกา 19:41-44) พระเยซูรู้ว่าขบวนแห่แห่งชัยชนะนั้นนำไปสู่กางเขน ฝูงชนกล่าวถึงสดุดี 118:26 ว่า “ขอท่านผู้เข้ามาในพระนามของพระยาห์เวห์ จงได้รับพระพร” พระเยซูรู้ถึงข้อต่อไปของสดุดีบทนี้ว่า “จงผูกมัดเครื่องบูชาด้วยเชือกไปถึงเชิงงอนของแท่นบูชา!” (สดุดี 118:27) พระเยซูเข้ากรุงเยรูซาเล็มในฐานะเครื่องบูชาที่อีกไม่นานจะถูกผูกไว้บน “แท่นบูชา” คือไม้กางเขนของโรมัน

พิจารณาอย่างละเอียด: พระเยซูแช่งสาปต้นมะเดื่อ

► อ่าน มาระโก 11:12-25

พระกิตติคุณสัมพันธ์แต่ละพระธรรมรวมเรื่องที่พระเยซูแช่งสาปต้นมะเดื่อที่ไม่ออกผลในช่วงสัปดาห์สุดท้ายของพันธกิจต่อสาธารณชน พระเยซูแช่งสาปต้นมะเดื่อตอนวันจันทร์ขณะที่เข้ามายังเยรูซาเล็มหลังจากใช้เวลาตลอดคืนที่เบธานี วันอังคาร พวกสาวกเห็นว่าต้นไม้นั้นเหี่ยวเฉาภายในเวลา 24 ชั่วโมงเท่านั้น

ถึงแม้ว่าไม่ใช่ฤดูที่มะเดื่อจะออกผล (มาระโก 11:13) ใบมะเดื่อเต็มต้นก็จะต้องมีผลมะเดื่อสีเขียวอยู่บนต้น ผลของมะเดื่อจะปรากฎในช่วงเวลาไม่นานหลังจากผลิใบ เมื่อต้นมีใบแต่ไม่มีผลอ่อน ต้นนั้นก็จะไม่ออกผลในปีนั้น

เรื่องนี้เป็นคำอุปมาที่มีชีวิตเกี่ยวกับความล้มเหลวของอิสราเอลในการเกิดผล[1] พระเจ้าเลือกอิสราเอลให้เป็นพรต่อชนชาติอื่น ๆ (ปฐมกาล 12:3) แต่อิสราเอลกลับทำให้พระนามของพระเยโฮวาห์รับความอับอาย

พระวิหารเป็นสถานที่สำหรับอธิษฐานเพื่อบรรดาประชาชาติ (อิสยาห์ 56:7) แต่พระวิหารได้กลายมาเป็นถ้ำของพวกโจรที่ซึ่งพวกหัวหน้าปุโรหิตฉ้อโกงคนจน

ต้นมะเดื่อไม่ออกผล อิสราเอลไม่ออกผล ต้นมะเดื่อถูกปฏิเสธ อิสราเอลจะถูกปฏิเสธในเวลาอีกไม่นาน

การแช่งสาปต้นมะเดื่อคือหนึ่งในชุดคำสอนเรื่องการพิพากษาช่วงวาระสุดท้ายในการทำพันธกิจของพระเยซูต่อสาธารณชน

1. คำอุปมาที่มีชีวิตเรื่องต้นมะเดื่อที่ไม่ออกผล (มาระโก 11:12-14, 20-25)

2. การชำระพระวิหาร (มาระโก 11:15-19)

3. คำอุปมาเรื่องคนเช่าสวนองุ่นที่ไม่สัตย์ซื่อ (มาระโก 12:1-12)

4. การโต้เถียงกับพวกผู้นำศาสนา (มาระโก 12:13-40)

5. พระเยซูพยากรณ์ถึงการทำลายพระวิหาร (มาระโก 13:1-37)


[1]ในพันธสัญญาเดิม ต้นมะเดื่อมักแทนถึงอิสราเอล (เช่น เยเรมีย์ 8:13, โฮเชยา 9:10, โยเอล 1:7)

การตอบสนองต่อพระเยซู: สัปดาห์สุดท้ายของพันธกิจของพระเยซูต่อสาธารณชน (ต่อเนื่อง)

การตอบสนองต่อพระเยซู: พวกผู้นำศาสนา

► อ่าน มัทธิว 21:23-22:46

หลังจากการเป็นขึ้นมาของลาซารัส พวกผู้นำศาสนาตั้งใจฆ่าพระเยซู อย่างไรก็ตาม ความมีชื่อเสียงของพระองค์ในกลุ่มสามัญชนทำให้เรื่องนี้ทำได้ยาก พวกเขาอยากหาทางทำให้พระเยซูเสียชื่อเสียงในสายตาของฝูงชน ในช่วงเวลาหลังจากที่พระเยซูเข้ากรุงอย่างผู้พิชิต พวกผู้นำศาสนาได้วางแผนเพื่อเผชิญหน้าในพระวิหารหลายต่อหลายครั้ง พวกเขาพยายามจับผิดพระเยซู แต่ก็ไม่สำเร็จครั้งแล้วครั้งเล่า ฝูงชนเฝ้าดูในขณะที่พระเยซูทำให้พวกผู้นำศาสนาต้องอับอายขายหน้าด้วยสติปัญญาและไหวพริบของพระองค์

ในตอนแรก พวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกผู้อาวุโสท้ายทายสิทธิอำนาจของพระองค์ในการชำระพระวิหารและสอนในที่สาธารณะ พระเยซูตอบสนองโดยการดักจับพวกเขาด้วยคำถามเกี่ยวกับยอห์นผู้ให้บัพติศมา

จากนั้นพระเยซูให้คำอุปมาสามเรื่องที่เป็นการกล่าวโทษพวกผู้นำศาสนา คำอุปมาเรื่องบุตรสองคนแสดงให้เห็นว่าการเชื่อฟังพิสูจน์ความสัมพันธ์ในอาณาจักรของพระเจ้า ไม่ใช่การนับถือศาสนา คำอุปมาเรื่องคนเช่าสวนที่ชั่วร้ายอธิบายถึงผลลัพธ์ของการปฏิเสธพระเยซูในฐานะพระเมสสิยาห์ สุดท้ายคำอุปมาเรื่องงานสมรสที่ให้ความหมายว่าพวกผู้นำศาสนาที่ได้รับคำเชิญมางานเลี้ยงแต่ตอนนี้กลับถูกปฏิเสธเพราะเห็นแก่ผู้อื่นที่ดูเหมือนควรค่าน้อยกว่าซึ่งตอบรับคำเชิญ

ด้วยความตั้งใจที่จะทำให้พระเยซูเสียชื่อเสียง พวกผู้นำศาสนาถามคำถามเป็นชุดเพื่อพยายามจับผิดพระองค์ จุดประสงค์ของพวกเขาไม่ใช่การเรียนรู้ความจริง จุดประสงค์ของพวกเขาเพื่อทำลายพระเยซู พระเยซูรู้ว่าพวกเขาไม่ได้ปรารถนาความจริง ดังนั้นพระองค์จึงไม่ให้คำตอบอย่างตรงไปตรงมาต่อคำถามของพวกเขา

หลังจากล้มเหลวในการจับผิดพระเยซู พวกผู้นำก็ยอมแพ้ มัทธิวจบตอนนี้โดยแสดงให้เห็นความล้มเหลวของพวกเขา “ไม่มีใครสามารถตอบพระองค์สักคำหนึ่ง ตั้งแต่วันนั้นมาไม่มีใครกล้าซักถามพระองค์อีก” (มัทธิว 22:46) มาระโกจบโดยการบันทึกถึงความชื่นชมยินดีของสามัญชนที่เฝ้าดูการเผชิญหน้าเหล่านี้ “มหาชนต่างฟังพระองค์ด้วยความยินดี” (มาระโก 12:37)

► ในฐานะศิษยาภิบาลหรือผู้นำคริสเตียน คุณมักจะต้องเผชิญหน้ากับคำถามที่ยาก คุณจะแยกแยะระหว่างคำถามที่จริงใจกับคำถามที่ต้องการจับผิดได้อย่างไร? คุณจะตอบสนองอย่างไรต่อคำถามสองรูปแบบนี้? (ดูใน สุภาษิต 26:4-5 ตัวอย่างของความแตกต่างนี้)

การพิจารณาคดีและการตรึงกางเขน

► อ่าน 1 โครินธ์ 15:1-8

ยี่สิบปีหลังจากพระเยซูถูกรับขึ้นสู่สวรรค์ เปาโลก่อตั้งคริสตจักรในเมืองโครินธ์ คริสตจักรนี้ถูกสร้างขึ้นจากคนที่กลับใจมาเชื่อซึ่งมาจากหลากหลายพื้นภูมิ คริสตจักรจึงประกอบไปด้วยทั้งคนยิวที่รู้พระคัมภีร์ฮีบรูกับคนต่างชาติที่ไม่รู้อะไรเลยเกี่ยวกับพระเจ้าเที่ยงแท้

คริสตจักรที่โครินธ์ถูกทำลายด้วยความขัดแย้งและถูกคุกคามจากคำสอนเท็จ ในการตอบสนองต่อปัญหาเหล่านี้ เปาโลเตือนชาวโครินธ์ให้คิดถึงคำสอนที่เขาเทศนาตั้งแต่แรก คำสอนแรกของเปาโลในเมืองใหญ่ของคนนอกศาสนานั้นจดจ่อที่สี่เหตุการณ์ทางประวัติศาสตร์ต่อไปนี้

  • พระคริสต์ตายเพื่อบาปของเรา
  • พระองค์ถูกฝัง
  • พระองค์ฟื้นขึ้นจากตายในวันที่สาม
  • พระองค์ปรากฏตัวต่อสาธารณชนคือ ต่อเคฟาส ต่อสาวกสิบสองคน ต่อพี่น้อง 500 คนในคราวเดียวกัน ต่อยากอบ ต่ออัครทูตทั้งหมด และสุดท้ายต่อเปาโล

ส่วนแรกของคำสอนของเปาโลที่โครินธ์นั้นเกี่ยวกับไม้กางเขน “พระคริสต์ตายเพื่อบาปของเรา” คำสอนเรื่องไม้กางเขนเป็นศูนย์กลางของความเชื่อคริสเตียน

ในพันธสัญญาเดิม คนที่นำลูกแกะมาถวายเป็นเครื่องบูชาจะวางมือบนหัวของลูกแกะนั้นเพื่อระบุว่าเป็นการตายเป็นเครื่องบูชา โดยการวางมือบนหัวของลูกแกะ ผู้นมัสการจะพูดว่า “ลูกแกะนี้ตายแทนข้าพเจ้า ข้าพเจ้าสมควรตายเพราะความบาปของฉัน” ในทำนองเดียวกันเราสมควรตายเพราะบาปของเรา แต่พระคริสต์ตายแทนเรา เราสมควรตาย แต่พระองค์ตายเพื่อเราจะมีชีวิตอยู่ต่อไป

เหตุผลที่พระคริสต์ต้องทนทุกข์

พระองค์ถูกเฆี่ยนไหม?

นั่นก็เพื่อเราจะได้รับการรักษา โดยการรอยแผลเฆี่ยนของพระองค์

พระองค์ถูกลงโทษแม้ว่าไร้ความผิดไหม?

นั่นก็เพื่อเราจะได้พ้นผิดแม้ว่าเรามีความผิดก็ตาม

พระองค์สวมมงกุฎหนามใช่ไหม?

นั่นก็เพื่อเราจะสวมมงกุฎแห่งสง่าราศี

พระองค์ถูกเปลื้องเสื้อผ้าไหม?

นั่นก็เพื่อเราจะสวมเสื้อแห่งความชอบธรรมนิรันดร์

พระองค์ถูกเยาะเย้ยถูกประจานไหม?

นั่นก็เพื่อให้เราได้รับเกียรติและการอวยพร พระองค์ถูกนับว่าเป็นผู้กระทำผิด

และถือว่าเป็นพวกที่ละเมิดไหม?

นั่นก็เพื่อให้เราถูกนับว่าไร้ความผิด และถือว่าเป็นคนชอบธรรมพ้นจากความบาปทั้งสิ้น พระองค์ถูกประกาศว่า

ไม่สามารถช่วยตัวเองให้รอดได้ใช่ไหม?

นั่นก็เพื่อพระองค์จะสามารถ ช่วยผู้อื่นให้รอดได้จนถึงที่สุด พระองค์ตายอย่างเจ็บปวดที่สุด

และน่าอดสูที่สุดใช่ไหม?

นั่นก็เพื่อเราจะมีชีวิตอยู่เป็นนิตย์ และได้รับการยกชูกสู่สง่าราศีสูงสุด

- J.C. Ryle[1]

 

[1] J.C. Ryle, Expository Thoughts on the Gospel of Matthew: A Commentary, Updated ed. (Abbotsford, WI: Aneko Press, 2020), 331

การพิจารณาคดีและการตรึงกางเขน (ต่อเนื่อง)

การจับกุม

► อ่าน มัทธิว 26:1-5, 14-56

ในวันพุธของสัปดาห์ปัสกา พระเยซูพยากรณ์ถึงการตายของพระองค์ที่จะเกิดขึ้นหลังจากนั้นสองวัน สภาแซนเฮดริน วางแผนจับกุมพระเยซูหลังจากฝูงชนที่มางานปัสกาออกไปจากกรุง อย่างน้อยก็เป็นเวลาเก้าวันหลังจากการพยากรณ์นี้ อย่างไรก็ตามเมื่อยูดาสยื่นข้อเสนอที่จะทรยศพระอาจารย์ของเขา พวกเขาตัดสินใจจับกุมพระเยซูขณะที่พวกเขาร่วมมือกันกับหนึ่งในสาวกของพระองค์[4]

ทำไมพวกหัวหน้าปุโรหิตจึงต้องการยูดาส? พวกเขาต้องการจับกุมพระเยซูเมื่อพระองค์ออกห่างจากฝูงชน เนื่องจากความชื่อเสียงของพระองค์ ย่อมจะเกิดการปฏิวัติได้ถ้าหากพวกเขาจับพระองค์ต่อหน้าทุกคน

หลังจากร่วมมื้อปัสกากับสาวกของพระองค์แล้ว พระเยซูไปที่สวนเกทเสมนีเพื่ออธิษฐาน ในการเผชิญหน้ากับความทรมานกายบนไม้กางเขนและการคร่ำครวญฝ่ายวิญญาณที่ต้องแยกขาดจากพระบิดา พระเยซูอธิษฐานว่า “โอพระบิดาของข้าพระองค์ ถ้าเป็นได้ขอให้ถ้วยนี้เลื่อนพ้นไปจากข้าพระองค์เถิด แต่อย่างไรก็ดี อย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” (มัทธิว 26:39) แม้ในการทดสอบครั้งใหญ่นี้ พระเยซูก็ยอมจำนนต่อความประสงค์ของพระบิดา

ต่อมาในเย็นวันนั้น ยูดาสมาพร้อมกับคนกลุ่มใหญ่เพื่อมาจับกุมพระเยซู[1] หลังจากยูดาสชี้ตัวพระเยซูด้วยรอยจูบ พระเยซูพูดกับพวกทหารว่า “เราเป็นผู้นั้น” เขาก็ถอยหลังและล้มลงที่ดิน” (ยอห์น 18:6) ทหารกลุ่มใหญ่นี้กลัวผู้ชายคนหนึ่งที่มีฤทธิ์อำนาจเหนือความตาย เป็นพระเยซูที่ควบคุมสถานการณ์ ไม่ใช่ศัตรูของพระองค์ ออคตาเวียส วินสโลว์ ผู้เทศนาแห่งศตวรรษที่ 19 ได้เขียนไว้ว่า “ใครที่มอบพระเยซูไว้แก่ความตาย? ไม่ใช่ยูดาสที่ทำเพื่อเงิน ไม่ใช่ปีลาตที่ทำด้วยความกลัว ไม่ใช่พวกยิวที่อิจฉา แต่คือพระบิดาที่ทำด้วยความรัก!”[2]

การพิจารณาคดี

► อ่าน มัทธิว 26:57-27:26, ลูกา 22:54-23:25, ยอห์น 18:12-19:16

การพิจารณาคดีของพระเยซูประกอบไปด้วยการพิจารณาคดีของชาวยิวและการพิจารณาคดีของโรมัน กฎหมายยิวเป็นระบบกฎหมายที่มีมนุษยธรรมมากที่สุดในสมัยโบราณ กฎหมายของชาวยิวทำทุกวิถีทางเพื่อรักษาชีวิต กฎหมายโรมันเป็นที่รู้จักในเรื่องกฎเกณฑ์ที่เข้มงวดและครอบคลุม นี่เป็นระบบกฎหมายที่ดีที่สุดสองระบบของโลกยุคโบราณ แต่ทั้งสองกฎหมายนี้กลับไม่ได้ป้องกันคนบาปจากการสังหารพระบุตรของพระเจ้า

ในช่วงเวลาหลายชั่วโมงหลังการจับกุม พระเยซูถูกไต่สวนหรือพิจารณาคดีทางกฎหมายหกครั้ง ซึ่งรวมถึงการพิจารณาคดีทางศาสนาของชาวยิวและการพิจารณาคดีทางแพ่งของโรมัน นักประวัติศาสตร์ได้แสดงให้เห็นว่าการพิจารณาคดีของชาวยิวนั้นไม่ถูกต้องตามกฎหมายของชาวยิว สภาแซนเฮดริน รีบเร่งที่จะตัดสินลงโทษพระเยซูโดยกระทำสิ่งต่อไปนี้

  • จัดการพิจารณาคดีตอนกลางคืน (ผิดกฎหมาย)
  • ไม่ได้ตั้งข้อกล่าวหาอย่างเป็นทางการก่อนที่จะจับกุมพระเยซู (ผิดกฎหมาย)
  • ไม่อนุญาตให้พระเยซูเรียกพยานมาแก้ต่าง (ผิดกฎหมาย)
  • รีบพิจารณาคดีเร็วกว่าที่กฎหมายยิวอนุญาต (ผิดกฎหมาย)

น่าแปลกที่ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นเพื่อที่พวกเขาจะได้ตรึงพระเยซูที่กางเขนและนำพระศพของพระองค์ออกไปก่อนเทศกาลปัสกา พวกเขาฆ่าลูกแกะของพระเจ้าเพื่อจะกินลูกแกะปัสกาตามกำหนดเวลา!

ลำดับการพิจารณาคดี

(1) พวกยิวพิจารณาคดีต่อหน้าอันนาส (ยอห์น 18:12-14, 19-23)

อันนาสได้รับการแต่งตั้งให้เป็นมหาปุโรหิตตลอดชีวิต แม้หลังจากโรมันได้เอาคายาฟาสลูกเขยของอันนาสมาแทนที่เขาก็ตาม คนยิวส่วนใหญ่ยังคงเรียกอันนาสโดยตำแหน่งว่า “มหาปุโรหิต” การพิจารณาคดีต่อหน้าอันนาสไม่ได้เป็นแบบทางการ ไม่รวมข้อกล่าวหาหรือพยาน

(2) พวกยิวพิจารณาคดีต่อหน้าสภาแซนเฮดริน (มัทธิว 26:57-68)

การพิจารณาคดีครั้งแรกต่อหน้าสภาแซนเฮดริน ทั้งหมดอาจจัดขึ้นตอนเวลาประมาณตีสอง แม้ว่าพวกเขาจะไม่สามารถพิจารณาคดีทางกฎหมายได้ก่อนดวงอาทิตย์ขึ้น แต่ผู้นำชาวยิวก็อยากจะทำเรื่องนี้ให้เร็ว ๆ แม้การพิจารณาคดีในตอนกลางคืนแบบเป็นทางการจะผิดกฎหมาย แต่สภาแซนเฮดริน ก็จัดพิจารณาคดีขึ้นแบบไม่เป็นทางการซึ่งเป็นการลงโทษพระเยซูสำหรับการดูหมิ่นพระเจ้าและตัดสินว่าพระองค์ต้องโทษถึงตาย

(3) การพิจารณาคดีอย่างเป็นทางการต่อหน้าสภาแซนเฮดริน (ลูกา 22:66-71)

เมื่อวันนั้นมาถึง สภาแซนเฮดริน จัดการพิจารณาคดีอย่างเป็นทางการ ในการพิจารณาคดีนี้ สภาแซนเฮดริน ตัดสินอย่างเป็นทางการเพื่อลงโทษพระเยซูในข้อหาดูหมิ่นพระเจ้า

(4) การพิจารณาคดีของโรมันครั้งแรกต่อหน้าปีลาต (ลูกา 23:1-5, ยอห์น 18:28-38)

โรมไม่ได้ให้สิทธิอำนาจแก่สภาแซนเฮดริน เพื่อประหารชีวิตอาชญากร (ยอห์น 18:31) เพื่อให้ปีลาตตัดสินประหารชีวิตได้ พวกผู้นำยิวจึงเปลี่ยนข้อกล่าวหาจากดูหมิ่นศาสนาไปเป็นข้อหากบฏทางการเมือง พวกเขากล่าวหาพระเยซูว่า “เราพบว่าคนนี้กำลังทำให้ชนชาติของเราไขว้เขวและไม่ให้ส่งส่วยแก่ซีซาร์ และบอกว่าตัวเองเป็นพระคริสต์กษัตริย์องค์หนึ่ง” (ลูกา 23:2)

ในช่วงระหว่างเทศกาลปัสกา พวกคนยิสจะไม่เข้าไปในอาคารของโรมันเนื่องจากกลัววว่าจะเป็นมลทินและทำให้ไม่สามารถกินอาหารปัสกาได้ เนื่องจากพวกเขาจะไม่เข้าไปในวัง ปีลาตจึงจัดการพิจารณาคดีที่บนทางเท้านอกประตูพระราชวัง

(5) การพิจารณาคดีของโรมันต่อหน้า เฮโรด แอนติพาส (ลูกา 23:6-12)

ปีลาตรู้ว่าพระเยซูไม่มีความผิดอะไร แต่เขาไม่ต้องการทำให้ผู้นำชาวยิวโกรธ เมื่อเขาได้ยินว่าพระเยซู “ยุยงประชาชนให้วุ่นวายและสั่งสอนไปทั่วยูเดีย ตั้งแต่กาลิลีจนถึงที่นี่” (ลูกา 23:5) ปีลาตตัดสินใจว่าจะหลีกหนีจากปัญหาที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของเขา ในช่วงสัปดาห์ปัสกา เฮโรด แอนติพาส ผู้ปกครองแคว้นกาลิลีอยู่ในกรุงเยรูซาเล็ม[3] เนื่องจากพระเยซูมาจากแคว้นกาลิลี ปีลาตจึงหวังว่าเฮโรดจะทำหน้าที่เป็นผู้พิพากษาในคดีนี้ ปีลาตจึงส่งพระเยซูไปหาเฮโรด แต่เฮโรดปฏิเสธที่จะเข้าไปแทรกแซง

(6) การพิจารณาคดีครั้งสุดท้ายของโรมันต่อหน้าปีลาต (มัทธิว 27:15-26, ลูกา 23:13-25, ยอห์น 18:39-19:16)

เมื่อพระเยซูกลับมาที่ศาลของปีลาต ปีลาตมองหาทางออกอีกทาง ปีลาตรู้ว่าพระเยซูไม่มีความผิดอะไรเลย “นี่แน่ะ เราไต่สวนต่อหน้าพวกท่านแล้ว และไม่เห็นว่าคนนี้มีความผิดในข้อที่ท่านกล่าวหาเขา” (ลูกา 23:14) ปีลาตไม่ต้องการลงโทษพระเยซู ชายผู้ไม่มีความผิดนี้

เมื่อพวกผู้นำขู่ว่าจะรายงานต่อซีซาร์สำหรับเรื่องความไม่ภักดีของปีลาต ปีลาตก็ทำตามคำเรียกร้องของพวกเขาทุกอย่าง ปีลาตเป็นผู้ปกครองบ้านเมืองที่อ่อนแอ เมื่อมีความขัดแย้งเกิดขึ้นก่อนหน้านี้ ปีลาตยอมให้พวกทหารถือรูปจักรพรรดิเข้าไปในเยรูซาเล็ม ฝูงชนชาวยิวประท้วงอยู่ด้านนอกวังของปีลาตเป็นเวลาห้าวัน เมื่อปีลาตขู่ว่าจะฆ่าผู้ประท้วง พวกคนยิวประกาศว่าจะยอมตายดีกว่าทนรับรูปของซีซาร์ไว้ในเมืองอันบริสุทธิ์ ปีลาตถูกบังคับให้ถอนกลับไป

เนื่องจากประสบการณ์นี้ ปีลาตจึงกลัวประชาชนยิว นอกจากนั้น เซจานุส นายทหารที่สูงกว่าของเขาในกรุงโรมไม่วางใจในความสามารถของปีลาตในการควบคุมคนในแคว้นยูเดีย เมื่อพวกผู้นำขู่ว่าจะร้องต่อซีซาร์หากปีลาตปล่อยพระเยซูไป ปีลาตจึงมอบพระองค์ให้พวกเขาไปตรึงที่กางเขน (ยอห์น 19:16) ปีลาตตัดสินประหารชีวิตพระเยซูไม่ใช่เพราะเขาเชื่อว่าพระองค์มีความผิด แต่เพราะความอ่อนแอของเขาเอง

ในช่วงการพิจารณาคดี เปโตรปฏิเสธพระเยซู

ในช่วงระหว่างมื้อปัสกา พระเยซูได้เตือนเปโตรว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า ก่อนไก่ขัน ท่านจะปฏิเสธเราสามครั้ง” (ยอห์น 13:38) ตอนนี้ในช่วงการพิจารณาคดีของพระเยซู เปโตรปฏิเสธพระเยซูสามครั้ง

เมื่อเราอ่านความล้มเหลวอันน่าละอายของเปโตร เราควรระลึกว่าไม่มีเปโตรคนเดียวที่ทำให้พระเยซูผิดหวังในคืนนั้น มีเปโตรกับยอห์นไปร่วมในการพิจารณาคดีนี้ สาวกคนอื่น ๆ กลัวและหนีไปหมด

เห็นชัดเจนว่า เปโตรรักพระเยซู แล้วทำไมเขาถึงล้มเหลว? ก่อนหน้านี้เราศึกษาเรื่องการทดลองของพระเยซูเพื่อรับบทเรียนเกี่ยวกับการเผชิญหน้าการทดลอง จากความล้มเหลวของเปโตร เราเห็นคำเตือนที่ช่วยเราเมื่อเราถูกทดลอง อย่างน้อยมีอย่างน้อยสองคุณลักษณะที่ทำให้เปโตรล้มเหลว

(1) มั่นใจมากเกินไป

เมื่อพระเยซูเตือนให้ระวังการโจมตีของซาตาน เปโตรอวดว่า “ถึงแม้ข้าพระองค์จะต้องตายกับพระองค์ ข้าพระองค์ก็จะไม่ปฏิเสธพระองค์เลย” (มัทธิว 26:35) เมื่อเรามีความมั่นใจมากเกินไป เราก็ตกอยู่ในอันตรายของความล้มเหลว เราดำเนินชีวิตคริสเตียนที่มีชัยชนะได้โดยทางฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์เท่านั้น การมั่นใจมากเกินไปเป็นก้าวแรกที่ทำให้ล้มเหลวในฝ่ายวิญญาณ

(2) อธิษฐานน้อยไป

ในสวนนั้น พระเยซูเตือนพวกสาวกว่า “จงอธิษฐานเพื่อจะได้ไม่ตกอยู่ในการทดลอง” (ลูกา 22:40) แทนที่จะอธิษฐานขอกำลังเพื่อเผชิญกับการทดสอบที่จะมาถึง เปโตรกลับนอนหลับ

การอธิษฐานน้อยไปย่อมนำไปสู่ความล้มเหลวในฝ่ายวิญญาณ เป็นไปไม่ได้ที่จะรักษาชีวิตคริสเตียนที่มีชัยชนะเอาไว้โดยไม่มีชีวิตที่อธิษฐานอย่างมีชีวิตชีวา ซาตานพยายามให้คริสเตียนทำกิจกรรมมากมายจนกระทั่งไม่มีเวลาอธิษฐาน มันรู้ว่าถ้าหากเรายุ่งมากจนไม่มีเวลาอธิษฐาน ไม่ช้านานเราจะล้มลง

► มองย้อนกลับไปยังชีวิตคริสเตียนและพันธกิจของคุณ คิดถึงถานที่ที่คุณล้มลงในการทดลอง หรือที่ที่คุณเข้าใกล้การล้มลง อะไรคือปัจจัยที่นำไปสู่การล้มลงนั้น? การประสบความสำเร็จในงานพันธกิจทำให้คุณมั่นใจมากเกินไปหรือเปล่า? คุณยุ่งเป็นปกติและล้มเหลวในการใช้เวลามากพอในการอธิษฐานไหม? มีปัจจัยอื่น ๆ ที่เป็นสัญญาณเตือนสำหรับอนาคตไหม?

ช่วงระหว่างการพิจารณาคดี ยูดาสฆ่าตัวตาย

ทันทีทันใดหลังจากรายงานเรื่องการปฏิเสธของเปโตร มัทธิวก็เล่าเรื่องการฆ่าตัวตายของยูดาส เมื่อได้เห็นผลลัพธ์ของการทรยศของตน ยูดาสเปลี่ยนใจและเอาเงิน 30 เหรียญมาคืนให้กับพวกหัวหน้าปุโรหิตและพวกผู้อาวุโสพร้อมกับพูดว่า “าพเจ้าทำบาปที่ทรยศคนบริสุทธิ์ถึงตาย” (มัทธิว 27:3-4) ยูดาสทิ้งเงินนั้นที่จ่ายเป็นค่าทรยศของเขาและออกไปผูกคอตาย (มัทธิว 27:5) ยูดาสเลือกฆ่าตัวตายมากกว่าจะอยู่อย่างมีความผิดไปตลอดชีวิต

มัทธิวรายงานเรื่องการกลับใจใหม่ของเปโตรควบคู่กับการสำนึกผิดของยูดาส ทั้งเปโตรและยูดาสเสียใจกับการกระทำของตน อย่างไรก็ตาม สำหรับยูดาสนั้น มัทธิวใช้คำที่แสดงออกถึงการเปลี่ยนใจ แต่ไม่ใช่คำที่ใช้กับการกลับใจใหม่อย่างแท้จริง ความแตกต่างนี้สำคัญต่อความเข้าใจถึงการตอบสนองของผู้คนในการสำนึกบาป

เปาโลเขียนเกี่ยวกับความแตกต่างระหว่างการสำนึกผิด (เสียใจสำหรับผลของบาป) กับการกลับใจใหม่ (เสียใจสำหรับความบาปและเปลี่ยนทิศทาง) อัครทูตเขียนว่า “เพราะว่าความเสียใจตามพระประสงค์ของพระเจ้า ทำให้เกิดการกลับใจ ซึ่งจะนำไปสู่ความรอดและจะไม่ทำให้เสียใจ แต่ความเสียใจอย่างโลกนั้นย่อมนำสู่ความตาย” (2 โครินธ์ 7:10)

ความเสียใจในทางของพระเจ้านำมาซึ่งการกลับใจใหม่อย่างแท้จริง ซึ่งนำไปสู่ความรอดและชีวิต การเสียใจแบบทางโลกนำมาซึ่งการสำนึกผิด ซึ่งนำไปสู่ความรู้สึกผิดและความตาย ทั้งเปโตรและยูดาสเสียใจ แต่มีเพียงเปโตรเท่านั้นที่กลับใจใหม่อย่างแท้จริง

ยูดาสมองเห็นผลลัพธ์ของการทรยศของเขาและเลือกที่จะตายแทนที่จะต้องอับอายและรู้สึกผิด เขารู้สึกสำนึกผิดแต่ไม่ได้กลับใจใหม่ เปโตรมองเห็นผลลัพธ์จากความล้มเหลวของเขาและเลือกที่จะกลับใจใหม่อย่างแท้จริง ผลลัพธ์ของการสำนึกผิดของยูดาสคือความตาย ผลลัพธ์ของการกลับใจใหม่ของเปโตรคืองานพันธกิจที่เกิดผลไปตลอดชีวิต

► คุณเคยเห็นคนที่รู้สึกสำนึกผิดแต่ไม่กลับใจใหม่อย่างแท้จริงไหม? อะไรคือผลที่ตามมา? ในคำเทศนาของเรา เราจะนำให้คนมาถึงการกลับใจใหม่อย่างแท้จริงได้อย่างไร?

การตรึงกางเขน

► อ่าน มัทธิว 27:27-54

ยูเดียเป็นพื้นที่ที่น่ากลัวสำหรับทหารโรมัน ประชาชนที่นั่นเกลียดทหารโรมัน และพวกหัวรุนแรงก็วางแผนที่จะลอบสังหารพวกทหาร  ในช่วงเทศกาลปัสกา กองทัพต้องเฝ้าระวังสำหรับการจลาจล ไม่มีการมอบหมายงานใดที่จะแย่ไปกว่านี้อีกแล้วสำหรับทหาร เมื่อนักโทษชาวยิวถูกตัดสินประหารชีวิต พวกทหารก็แสดงความเกลียดชังต่อคนที่ถูกลงโทษนั้น

การปฏิบัติต่อพระเยซู ไม่ว่าจะเป็นการเฆี่ยนตี การเยาะเย้ย มงกุฎหนาม เป็นการแสดงให้เห็นถึงความโหดร้ายของพวกทหารที่เกลียดงานมอบหมายนี้ เกลียดผู้คนรอบข้างพวกเขา และดีใจที่ใครบางคนไม่สามารถสู้กลับได้ พระเยซูทนทุกข์ทุกสิ่งเหล่านี้โดยไม่สักคำที่พูดด้วยความโกรธต่อพวกทหารเหล่านี้

นักเขียนจำนวนมากได้ศึกษาเกี่ยวกับการตรึงกางเขนโดยพิจารณาที่คำกล่าวเจ็ดประโยคของพระเยซูบนไม้กางเขน คำสุดท้ายที่คนนั้นกล่าวย่อมเป็นสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับคนนั้น เมื่อเผชิญกับความตาย พระเยซูพูดว่าอะไร?

คำยกโทษ

ขณะที่พวกเขาเอาตะปูตอกพระองค์เพื่อตรึงกับไม้กางเขน พระเยซูอธิษฐานว่า “พระบิดาเจ้าข้า ขอทรงยกโทษพวกเขาเพราะเขาไม่รู้ว่ากำลังทำอะไร” (ลูกา 23:34) พระองค์สำแดงถึงความรักและการยกโทษจนสิ้นลมหายใจ

ต่อขโมยคนหนึ่งที่สมควรตาย พระเยซูสัญญาว่า “เราบอกความจริงกับท่านว่า วันนี้ท่านจะอยู่กับเราในเมืองบรมสุขเกษม” (ลูกา 23:43)

คำแห่งความเมตตาสงสาร

พระเยซูมอบหมายให้ยอห์นดูแลแม่ของพระองค์เมื่อพระองค์พูดว่า “หญิงเอ๋ย นี่คือบุตรของท่าน” และกล่าวกับยอห์นว่า “นี่คือมารดาของท่าน” (ยอห์น 19:26-27) ก่อนหน้านี้พระเยซูสอนว่าสายใยที่ลึกซึ้งที่สุดของครอบครัวคือสายใยฝ่ายวิญญาณ “นี่เป็นมารดาและพี่น้องของเรา เพราะว่าใครก็ตามที่ทำตามพระทัยพระบิดาของเราผู้สถิตในสวรรค์ ผู้นั้นแหละเป็นพี่น้องชายหญิงและมารดาของเรา” (มัทธิว 12:49-50)

เมื่อเวลาที่พระเยซูสิ้นพระชนม์ พี่น้องร่วมมารดาของพระองค์ยังไม่เชื่อ พวกเขายังไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งในครอบครัวฝ่ายวิญญาณของพระองค์ ดังนั้นพระเยซูจึงฝากแม่ไว้ในการดูแลของพี่น้องฝ่ายวิญญาณ คือยอห์นผู้เป็นที่รัก

คำแห่งการทรมานทางกาย

การเป็นพระบุตรของพระเจ้าไม่ได้สงวนพระเยซูไว้จากการทรมานทางกายที่บนไม้กางเขน พระองค์ทุกข์ทรมานทางกายจากการลงโทษอย่างโหดร้าย หลังจากผ่านไปหลายชั่วโมงโดยไม่ได้ดื่มน้ำท่ามกลางความร้อนจัด พระเยซูร้องว่า “เรากระหายน้ำ” (ยอห์น 19:28)

คำแห่งการคร่ำครวญฝ่ายวิญญาณ

มัทธิวและมาระโกบันทึกถ้อยคำที่บีบหัวใจมากที่สุดซึ่งพระเยซูกล่าวออกมาบนไม้กางเขน “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย?” (มัทธิว 27:46 และ มาระโก 15:34, อ้างอิง สดุดี 22:1).  

ในความเป็นมนุษย์นั้น พระเยซูรู้สึกอย่างเดียวกันกับดาวิดนั่นคือถูกทอดทิ้ง เหมือนกับที่ผู้คนเยาะเย้ยดาวิดและส่ายหน้าใส่เขา (สดุดี 22:7) พวกเขาก็เยาะเย้ยพระเยซู และส่ายหน้าใส่พระองค์ (มัทธิว 27:39) และเหมือนกับดาวิดที่มีอารมณ์ความรู้สึกว่าถูกพระเจ้าทอดทิ้ง ในเวลานี้พระเยซูก็ร้องออกมาว่า “พระเจ้าของข้าพระองค์ พระเจ้าของข้าพระองค์ ทำไมพระองค์ทรงทอดทิ้งข้าพระองค์เสีย?” (มัทธิว 27:46)

อย่างไรก็ตาม ดาวิดค้นพบว่าพระเจ้าไม่ได้ทอดทิ้งเขาจริงๆ ต่อมาในสดุดีบทนี้ ดาวิดยืนยันว่า "เพราะพระองค์มิได้ทรงดูถูกหรือสะอิดสะเอียนต่อความทุกข์ยากของผู้ทุกข์ใจ และมิได้ซ่อนพระพักตร์จากเขา เมื่อเขาทูลขอความช่วยเหลือ พระองค์ทรงฟัง” (สดุดี 22:24)

ในทำนองเดียวกัน พระเยซูพบว่าพระเจ้าไม่ได้ทอดทิ้งพระองค์ คำที่พระเยซูพูดต่อมาเป็นคำที่ร่ำร้องต่อพระบิดาของพระองค์ ซึ่งพระองค์รู้ว่าพระบิดาไม่ได้ทอดทิ้งพระองค์ พระเยซูอธิษฐานว่า “ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ขอฝากจิตวิญญาณของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” (ลูกา 23:46)

ในความเป็นมนุษย์ของพระเยซู พระองค์รู้สึกถึงความอ้างว้างเช่นเดียวกับที่เรารู้สึกเมื่อดูเหมือนว่าพระเจ้าไม่ได้ยินคำอธิษฐานของเรา แต่พระเยซูก็มีประสบการณ์ถึงความเป็นจริงที่ว่าพระบิดาในสวรรค์ของเราไม่เคยทอดทิ้งลูกของพระองค์ด้วย แม้เมื่อเราไม่รู้สึกได้ถึงการสถิตอยู่ของพระองค์ เราก็ยังสามารถร้องเรียกพระองค์ได้ โดยรู้ว่าพระองค์ฟังเรา

คำฝากมอบจิตวิญญาณ

“ข้าแต่พระบิดา ข้าพระองค์ขอฝากจิตวิญญาณของข้าพระองค์ไว้ในพระหัตถ์ของพระองค์” (ลูกา 23:46) ตลอดชีวิตของพระเยซู พระองค์ดำเนินชีวิตด้วยการยอมจำนนอย่างสัตย์ซื่อต่อพระบิดา เมื่อเผชิญหน้ากับกางเขน พระองค์อธิษฐานว่า “อย่าให้เป็นไปตามใจปรารถนาของข้าพระองค์ แต่ให้เป็นไปตามพระทัยของพระองค์” (มัทธิว 26:39) ถึงตอนนี้พระองค์กล่าวคำยอมจำนนครั้งสุดท้ายต่อความประสงค์ของพระบิดา

คำแห่งชัยชนะ

“สำเร็จแล้ว” (ยอห์น 19:30) ด้วยเสียงร้องแห่งชัยชนะนี้ พระเยซูประกาศว่างานที่พระบิดาส่งมาให้พระองค์ทำนั้นบรรลุผลสำเร็จแล้ว โทษของความบาปได้รับการจ่ายชดใช้แล้ว ซาตานพ่ายแพ้แล้ว การลบบาปโดยลูกแกะในพันธสัญญาเดิมที่เป็นการทำนายล่วงหน้าและพระสัญญาในอิสยาห์ 53 บรรลุผลสำเร็จแล้ว

ที่บนไม้กางเขน พระเจ้าทำให้พระองค์ผู้ไม่มีบาปให้บาป เพื่อเราจะได้เป็นคนชอบธรรมของพระเจ้าโดยทางพระองค์ (2 โครินธ์ 5:21) ใน อิสยาห์ 53 ผู้เผยพระวจนะกล่าวถึงผู้รับใช้ที่ทนทุกข์ผู้แบกรับบาปของเรา (อิสยาห์ 53:4-12) เปาโลแสดงให้เห็นว่าการชดใช้บาปแทนนี้สำเร็จแล้วบนไม้กางเขน

พระเยซูถูกทำให้บาปเพื่อเห็นแก่เรา เพื่อว่าในพระองค์จะกลายเป็นคนชอบธรรมของพระเจ้า (2 โครินธ์ 5:21) เราไม่ได้มีชีวิตอยู่ในพันธนาการแห่งบาปอีกต่อไป โดยทางการตายของพระคริสต์ เราได้รับการทำให้เป็นผู้ชอบธรรม เปาโลไม่ได้พูดเพียงว่าในพระองค์เราถูกเรียกให้ชอบธรรม แต่พูดว่าในพระองค์เรากลายเป็นคนชอบธรรมของพระเจ้าอย่างแท้จริง โดยการงานของพระคริสต์บนไม้กางเขน การพลิกฟื้นที่แท้จริงได้เกิดขึ้น พระคริสต์ถูกทำให้บาปเพื่อเราจะกลายเป็นคนชอบธรรม

 

[1] ยอห์น 18:3 ระบุถึงกลุ่มนี้ว่าเป็น “พวก” หรือ “หมู่” ทหาร หมู่ทหารของโรมันมีประมาณ 600 คน

[2] อ้างอิงจาก John Stott, The Message of Romans (Westmont, Illinois: InterVarsity Press, 1994), 255

[3] ในช่วงสัปดาห์ปัสกา ข้าราชการโรมันทุกคนในปาเลสไตน์จะมาที่เยรูซาเล็มเพื่อช่วยดูแลในกรณีมีการปฏิบัติเกิดขึ้น

[4]“พระเยซูไม่ได้พยายามบรรเทาความทุกข์ทรมานในสภาพมนุษย์ของพระองค์ด้วยความเป็นพระเจ้า แต่พระองค์เข้าลี้ภัยในการอธิษฐาน” - ปรับเปลี่ยนจาก T.B. Kilpatrick

โอ้ความรักของพระเจ้า พระองค์ทำเพื่อข้า!

โอ้ ความรักของพระเจ้า พระองค์ทำเพื่อข้า!

พระเจ้าผู้อมตะมาตายเพื่อข้า!

พระบุตรผู้เป็นนิรันดร์ร่วมกับพระบิดา

ได้แบกรับความบาปทั้งปวงของข้าที่บนต้นไม้นั้น

พระเจ้าผู้อมตะมาตายเพื่อข้าแล้ว

องค์พระเจ้า ที่รักของข้า ถูกตรึงกางเขน!

ถูกตรึงเพื่อข้าและเพื่อท่าน

เพื่อนำเราคนกบฏให้กลับมาหาพระเจ้า

เชื่อเถิด เชื่อความจริงที่จารึกไว้

พระโลหิตพระเยซูซื้อพวกท่านทุกคนไว้แล้ว

โปรดอภัยสำหรับทุกสิ่งที่ไหลรินจากสีข้างของพระองค์

องค์พระเจ้า ที่รักของข้า ถูกตรึงกางเขน!

มองดูพระองค์เถิด ทุกท่านที่ผ่านไป

เจ้าชายแห่งชีวิต องค์สันติราช ผู้หลั่งเลือด!

มาเถิด คนบาปเอ๋ย มาดูพระผู้ช่วยให้รอดของท่านสิ้นชีวา

และกล่าวเถิดว่า ‘มีใครเคยทุกข์ระทมเช่นพระองค์ไหม?’

มาเถิด ร่วมกับข้า สัมผัสโลหิตของพระองค์ที่ไหลอาบ

องค์พระเจ้า ที่รักของข้า ถูกตรึงกางเขน!

- ชาร์ลส์ เวสเลย์

การพิจารณาคดีและการตรึงกางเขน (ต่อเนื่อง)

การฝังพระศพ

► อ่าน มัทธิว 27:57-61

ในคำสอนของเปาโลต่อชาวโครินธ์ เปาโลเทศนาว่าพระเยซูตายเพราะความบาปของเราและพระองค์ถูกฝัง (1 โครินธ์ 15:3-4) สำหรับเปาโลและคริสตจักรยุคแรกนั้น การฝังพระศพมีความสำคัญ

ในปัจจุบันนี้ ในช่วงสัปดาห์ทนทุกข์ ส่วนมากจะเน้นที่วันศุกร์ประเสริฐแล้วไปที่วันอาทิตย์อีสเตอร์เลย แต่สำหรับคริสตจักรจำนวนมากในประวัติศาสตร์ “วันเสาร์ศักดิ์สิทธิ์” เป็นที่ยอมรับว่าเป็นส่วนที่สำคัญของวันอีสเตอร์ อะไรคือความหมายที่สำคัญของการฝังพระศพ?[1]

ความหมายสำคัญในเชิงประวัติศาสตร์

การฝังศพแสดงให้เห็นว่าพระเยซูตายจริงๆ ตรงกันข้ามกับคำกล่าวอ้างของอิสลามที่ว่าพระเยซูอยู่ในอาการสลบซึ่งต่อมาพระองค์ฟื้นขึ้น การฝังศพแสดงให้เห็นว่าพระองค์ตายอย่างแท้จริง ชาวโรมันรู้ดีถึงวิธีการฆ่านักโทษที่ต้องโทษ ไม่มีโอกาสที่พวกเขาจะพาชายคนหนึ่งออกจากไม้กางเขนก่อนที่คนนั้นจะตาย

ยิ่งไปกว่านั้น ก้อนหินที่หนักและทหารรักษาการณ์เป็นการรับรองว่าไม่มีใครหนีออกจากหลุมฝังศพได้ ถ้าแม้ว่าทหารโรมันฝังพระเยซูโดยไม่ได้ตั้งใจก่อนที่พระองค์จะตาย แต่ก็ไม่น่าเชื่อว่าชายผู้ทนทุกข์ทรมานบนไม้กางเขนมาหลายชั่วโมงจะสามารถแหวกผ้าห่อศพ ผลักก้อนหินหนักออกไป และเอาชนะกองทหารรักษาการณ์มืออาชีพได้ การฝังศพเป็นการยืนยันความจริงทางประวัติศาสตร์ที่ว่าพระเยซูแห่งนาซาเร็ธตายแล้ว

ความหมายสำคัญในเชิงการเผยพระวจนะ

ในการเขียนถึงลูกแกะที่ถูกนำไปฆ่า อิสยาห์เผยพระวจนะว่า “และเขาจัดหลุมศพของท่านไว้กับคนอธรรม และเขาจัดท่านไว้กับเศรษฐีในความตายของท่าน” (อิสยาห์ 53:9) การฝังพระศพของพระเยซูทำให้คำเผยพระวจนะเกี่ยวกับพระเมสสิยาห์สำเร็จ

หลังจากพระเยซูตายแล้ว โยเซฟชาวอาริมาเธียไปหาปีลาตเพื่อขอรับพระศพ โยเซฟเป็นสมาชิกของสภาแซนเฮดริน แต่เขาไม่เห็นด้วยกับการลงโทษพระเยซู แม้หลังจากที่ผู้นำส่วนใหญ่ต่อต้านพระเยซูแล้ว บางคนก็ยังรอคอยอาณาจักรของพระเจ้า โยเซฟเป็นหนึ่งในสาวกลับเหล่านี้ เขาและนิโคเดมัสฝังพระศพของพระเยซูในอุโมงค์ฝังศพของโยเซฟ (มัทธิว 27:57-60, มาระโก 15:42-46, ลูกา 23:50-54, ยอห์น 19:38-42)

คิดถึงความกล้าหาญนี้ หลังจากที่พวกสาวกละทิ้งพระเยซูแล้ว โยเซฟก้าวไปข้างหน้าเพื่อแสดงตนมีส่วนเกี่ยวข้องกับอาชญากรที่ต้องโทษนั้น การแสดงจุดยืนในที่สาธารณะนี้ทำให้ตำแหน่งของโยเซฟในสภาแซนเฮดริน และสถานะของเขาในชุมชนตกอยู่ในอันตราย นอกจากนี้ โยเซฟเสี่ยงต่อความโกรธของปีลาต เจ้าหน้าที่โรมันไม่ค่อยอนุญาตให้เพื่อนหรือญาติฝังศพของผู้ที่ถูกตรึงกางเขน ศพจะถูกทิ้งไว้ต่อหน้าสาธารณชนเพื่อเป็นการเตือนอาชญากรคนอื่น ๆ คำอนุญาตของปีลาตเป็นหลักฐานอีกอย่างหนึ่งที่แสดงว่าปีลาตรู้ว่าพระเยซูไม่มีความผิดในอาชญากรรมใด ๆ

ความหมายสำคัญในเชิงศาสนศาสตร์

เปาโลเทียบเท่าการบัพติศมาของเรากับการฝังพระศพของพระเยซู

ท่านทั้งหลายไม่รู้หรือว่า เราผู้ที่ได้รับบัพติศมาเข้าในพระเยซูคริสต์ ก็ได้รับบัพติศมานั้นเข้าในการตายของพระองค์? 4 เพราะฉะนั้น เราจึงถูกฝังไว้กับพระองค์แล้ว โดยการรับบัพติศมาเข้าในการตายนั้น เพื่อว่าเมื่อพระบิดาทรงให้พระคริสต์เป็นขึ้นมาจากตายโดยพระสิริของพระองค์แล้ว เราก็จะได้ดำเนินตามชีวิตใหม่ด้วยเหมือนกัน (โรม 6:3-4)

การฝังพระศพเป็นการยืนยันต่อสาธารณชนถึงการตายของพระเยซู ในทำนองเดียวกัน บัพติศมาก็เป็นประจักษ์พยานต่อสาธารณชนถึงการที่เราเข้าส่วนในการตายของพระเยซู ในการบัพติศมาเราถูกประกาศว่าตายไปแล้วจากวิถีชีวิตเดิมของเรา

การฝังพระศพเป็นขั้นตอนสุดท้ายในการยอมรับถึงการตายของบุคคลหนึ่ง ในประเทศทางตะวันตก ผู้ร่วมไว้อาลัยจะโยนก้อนดินลงบนโลงศพที่ฝังไว้เพื่อยอมรับวาระสิ้นสุดในการกล่าวคำว่า "ลาก่อน" บนโลกนี้ เปาโลเน้นย้ำถึงวาระสิ้นสุดในการตายต่อบาปของเรา เมื่อพระคริสต์ตายแล้ว เราก็ตายต่อบาป การกลับไปสู่ความบาปหลังจากที่เราถูกฝังไว้กับพระคริสต์แล้วก็เหมือนกับการขุดศพขึ้นมา[2] เราถูกฝังไว้กับพระคริสต์ เราไม่มีชีวิตอยู่เพื่อทำบาปอีกต่อไป

 

[1] ดัดแปลงจาก James Boice, “The Burial of Jesus.” Accessed at http://www.alliancenet.org/tab/the-burial-of-jesus-christ-part-one on March 22, 2021

[2] ดัดแปลงจาก James Boice, “The Burial of Jesus.” Accessed at http://www.alliancenet.org/tab/the-burial-of-jesus-christ-part-one on March 22, 2021

การฟื้นขึ้นจากความตาย

เปาโลเทศนาที่เมืองโครินธ์เกี่ยวกับไม้กางเขน พระคริสต์ตายเพื่อบาปของเราและถูกฝังไว้ จากนั้น เปาโลเทศนาเกี่ยวกับการฟื้นขึ้นจากความตายของพระองค์ พระคริสต์ฟื้นขึ้นมาในวันที่สามและปรากฏต่อพยานหลายคน (1 โครินธ์ 15:3-8) การฟื้นขึ้นจากความตายเป็นศูนย์กลางความเชื่อของคริสเตียน

► อ่าน มัทธิว 27:62-28:15

เมื่อพวกผู้นำศาสนาขอปีลาตให้เปลี่ยนคำจารึกบนไม้กางเขน ปีลาตปฏิเสธ เขาตรึงพระเยซูโดยติดป้ายบนไม้กางเขนว่า “เยซูชาวนาซาเร็ธกษัตริย์ของพวกยิว” (ยอห์น 19:19) โดยการใช้ตำแหน่งนี้สำหรับอาชญากรต้องโทษ ปีลาตกำลังเยาะเย้ยคนยิวที่เขาโกรธเคือง

หลังจากการตรึงที่กางเขน พวกผู้นำศาสนามาหาปีลาตอีกครั้งเพื่อขอให้ทหารโรมันเฝ้ายามอุโมงค์เอาไว้

ท่านเจ้าเมืองขอรับ เราจำได้ว่าเมื่อคนล่อลวงนั้นยังมีชีวิตอยู่ เขาบอกว่า ‘ล่วงไปสามวันแล้วเราจะเป็นขึ้นมาใหม่’ เพราะฉะนั้น ขอท่านมีบัญชาสั่งเฝ้าอุโมงค์ให้แข็งแรงจนถึงวันที่สาม มิฉะนั้นพวกสาวกของเขาจะมาขโมยศพไปแล้วประกาศแก่ประชาชนว่า เขาเป็นขึ้นมาจากความตายแล้ว และการหลอกลวงครั้งนี้จะร้ายแรงยิ่งกว่าครั้งก่อนอีก (มัทธิว 27:63-64)

เมื่อได้รับอนุญาตจากปีลาต พวกเขาปิดผนึกอุโมงค์ฝังศพและตั้งยามจากพวกทหารที่ไปจับกุมพระเยซูในสวน ในทันใดนั้น...

ก็เกิดแผ่นดินไหวอย่างรุนแรง เพราะมีทูตสวรรค์องค์หนึ่งขององค์พระผู้เป็นเจ้า ลงมาจากสวรรค์และกลิ้งก้อนหินออกจากปากอุโมงค์แล้วนั่งอยู่บนหินนั้น รูปลักษณ์ของทูตนั้นเหมือนแสงฟ้าแลบ เสื้อขาวเหมือนหิมะ พวกยามที่เฝ้าอยู่ก็กลัวทูตสวรรค์องค์นั้นจนตัวสั่นและเป็นเหมือนคนตาย (มัทธิว 28:2-4)

พระเยซูฟื้นขึ้นจากความตายแล้ว!

► อ่าน ยอห์น 20:1-29

พระกิตติคุณบันทึกถึงการปรากฏตัวของพระเยซูหลังการฟื้นขึ้นจากความตายหลายครั้ง พระองค์ปรากฏตัวต่อผู้คนมากมายในสภาพแวดล้อมที่แตกต่างกัน

บางครั้งผู้ที่สงสัยโต้แย้งว่า “ผู้หญิงที่สุสานเห็นภาพหลอน พวกเธอเห็นสิ่งที่คาดหวังว่าจะเห็น” อย่างไรก็ตาม พยานเหล่านี้ไม่ได้คาดหวังว่าจะได้เห็นพระเยซูมีชีวิตอยู่ พวกเขารู้ว่าพระองค์ตายแล้ว! พวกเขายังไม่เข้าใจคำเผยพระวจนะเกี่ยวกับการฟื้นขึ้นจากความตายของพระองค์ (ยอห์น 20:9) แม้ว่าพยานกลุ่มแรกจะบอกว่าพวกเขาเห็นพระเยซู แต่สาวกที่เหลือก็ยังสงสัย (มาระโก 16:13) พวกเขาไม่ได้คาดหวังว่าพระเยซูจะฟื้นขึ้นจากความตาย

โดยการค่อย ๆ ปรากฏตัว พระองค์ปรากฏแก่มารีย์ชาวมักดาลา (ยอห์น 20:11-18) แก่สาวกสองคนเดินไปที่เอ็มมาอูส (ลูกา 24:13-32) แก่อัครสาวกสิบเอ็ดคน (ยอห์น 20:19-31) และแม้แต่ปรากฎแก่กลุ่ม 500 คน (1 โครินธ์ 15:6) สาวกของพระเยซูตระหนักดีว่าพระองค์ฟื้นขึ้นมาแล้วจริง ๆ คริสตจักรยุคแรกเริ่มนมัสการด้วยคำพูดเหล่านี้ “พระองค์ฟื้นขึ้นมาแล้ว พระองค์ฟื้นขึ้นมาแล้วจริง ๆ!”

การประยุกต์ใช้: พันธกิจด้วยฤทธิ์อำนาจแห่งไม้กางเขนและการฟื้นขึ้นจากความตาย

นักศาสนศาสตร์ที่มีแนวคิดเสรีนิยมหลายคนพยายามมองว่าการฟื้นขึ้นจากความตายเป็นเพียงนิทานปรัมปรา อย่างไรก็ตาม ความเชื่อของอัครทูตทั้งหลายไม่ได้ขึ้นอยู่กับเรื่องราวที่สวยงามเกี่ยวกับผลกระทบที่ยั่งยืนจากชีวิตของพระเยซู แต่ตั้งอยู่บนข้อเท็จจริงที่มั่นคงเรื่องการตายและฟื้นขึ้นจากความตายของพระองค์ พวกอัครทูตรู้ว่าพระเยซูตายและฟื้นขึ้นจากความตายแล้ว สิ่งนี้ทำให้พวกเขามีความมั่นใจที่จะเผชิญกับการข่มเหงและแม้กระทั่งความตาย การตายและการฟื้นขึ้นจากความตายของพระเยซูพูดกับพันธกิจในปัจจุบันอย่างไร?

การทำพันธกิจด้วยฤทธิ์อำนาจแห่งไม้กางเขน

► อ่าน 1 โครินธ์ 1:17-2:5

ในการเดินทางไปเป็นมิชชันนารีครั้งที่สอง เปาโลเดินทางจากเอเธนส์ไปยังเมืองโครินธ์ ที่เอเธนส์เขาได้เทศนาที่สภาอาเรโอปากัส ปรากฎว่าเปาโลเห็นผลลัพธ์ที่ค่อนข้างจำกัดจากการทำพันธกิจในเอเธนส์ (กิจการ 17:16-34) เขาไม่ได้ก่อตั้งคริสตจักรในเอเธนส์ และชาวเอเธนส์ที่มีแนวคิดทางปรัชญาก็เย้ยหยันข่าวสารของเขาเกี่ยวกับการฟื้นขึ้นจากความตาย จากเอเธนส์ เปาโลเดินทางไปทางตะวันตก 75 กิโลเมตรจนถึงเมืองโครินธ์ ซึ่งเป็นเมืองที่มีอิทธิพลมากที่สุดในแคว้นอาคายา

เปาโลมาถึงเมืองโครินธ์หลังจากมีการต่อต้านในสามเมืองติดต่อกัน ได้แก่ เธสะโลนิกา เบรีอา และเอเธนส์ บางทีนี่อาจเป็นสาเหตุที่เขาพูดว่า “ข้าพเจ้ามาหาท่านทั้งหลายด้วยความอ่อนแอ ด้วยความกลัวและความหวาดหวั่นมาก” (1 โครินธ์ 2:3) แม้ว่าผู้ฟังชาวกรีกจะมองหาคำพูดที่คมคายและไหวพริบทางปัญญา แต่เปาโลตั้งใจแน่วแน่ที่จะเทศนาเฉพาะเรื่องไม้กางเขนเท่านั้น ฤทธิ์อำนาจในข่าวสารของเขาไม่ได้มาจากคำพูดของเขา แต่มาจากไม้กางเขนนั้น เปาโลเทศนา “ไม่ใช่ด้วยการพูดอันชาญฉลาดเพื่อว่าเรื่องกางเขนของพระคริสต์จะไม่หมดฤทธิ์เดช” (1 โครินธ์ 1:17)

ในเมืองโครินธ์ เปาโลกล่าวว่า “เพราะข้าพเจ้าตั้งใจว่าจะไม่แสดงความรู้เรื่องใดๆ ในหมู่พวกท่านเลย เว้นแต่เรื่องพระเยซูคริสต์และการที่พระองค์ทรงถูกตรึงที่กางเขน” (1 โครินธ์ 2:2) เปาโลรู้ว่าข่าวสารเรื่องไม้กางเขนจะทำให้หลายคนไม่พอใจ

พวกยิวขอหมายสำคัญ และพวกกรีกเสาะหาปัญญา แต่เราประกาศเรื่องพระคริสต์ทรงถูกตรึงที่กางเขนนั้น อันเป็นสิ่งที่พวกยิวสะดุด และพวกต่างชาติถือว่าเป็นเรื่องโง่ (1 โครินธ์ 1:22-23)

ข้อความนี้เป็นหินสะดุดหรือเรื่องอัปยศสำหรับชาวยิว พวกเขามองหาหมายสำคัญที่พิสูจน์ว่าเป็นพระเมสสิยาห์อย่างแท้จริง ในความคิดของพวกเขา การคิดว่าคนที่ถูกตรึงกางเขนอาจเป็นพระเมสสิยาห์ผู้ถูกเลือกสรรนั้นไร้สาระ ธรรมบัญญัติกล่าวว่า “ผู้ที่ต้องถูกแขวนไว้บนต้นไม้ก็ถูกสาปแช่งโดยพระเจ้า” (เฉลยธรรมบัญญัติ 21:23) การอ้างว่าพระเยซูที่ถูกตรึงกางเขนคือพระเมสสิยาห์เป็นเรื่องอัปยศยิ่งนักสำหรับผู้ฟังชาวยิว

ข่าวสารเรื่องไม้กางเขนเป็นความโง่เขลาสำหรับคนต่างชาติ ชาวกรีกเคารพการตายอย่างมีเกียรติของผู้พลีชีพ หากพระเยซูถูกฆ่าในการสู้รบกับชาวโรมัน นักคิดชาวกรีกคงจะยกย่องพระองค์ในความกล้าหาญ แต่การตรึงกางเขนทำให้ผู้เป็นเหยื่อเสื่อมเสียเกียรติยศ นี่ไม่ใช่การตายอย่างมีเกียรติ เหยื่อของการตรึงกางเขนมักถูกปฏิเสธไม่ให้มีการฝังศพอย่างเหมาะสม เนื้อของเขาจะถูกนกจิกกินหรือหนูมาแทะ และกระดูกก็ถูกทิ้งลงในหลุมทั่วไป การอ้างว่าชาวชนบทคนยิวที่ถูกตรึงกางเขนคือ “องค์พระผู้เป็นเจ้า” นั้นไร้สาระสำหรับผู้ฟังชาวต่างชาติ

ไม้กางเขนเป็นเรื่องน่าอัปยศสำหรับชาวยิวและเป็นเรื่องโง่เขลาสำหรับคนต่างชาติ แต่เปาโลเทศนาเรื่องกางเขนโดยไม่ลังเล ตัวอย่างของเปาโลเป็นแบบอย่างสำหรับเรา ทุกวันนี้เช่นเดียวกับในศตวรรษแรก ไม้กางเขนจะทำให้บางคนขุ่นเคืองและสำหรับบางคนเป็นเรื่องโง่เขลา แต่นี่เป็นข่าวสารที่เราต้องเทศนาประกาศ

ความมั่นใจของเราในฐานะผู้รับใช้และผู้นำคริสตจักรไม่ได้มาจากความสามารถของเราเอง ความมั่นใจของเราขึ้นอยู่กับข่าวสารเรื่องไม้กางเขน เปาโลมีการศึกษาที่ดีเยี่ยม มีความคิดเฉียบแหลม และสามารถโต้เถียงกับผู้ที่มีสติปัญญาสูงสุดในสมัยของเขา แต่ความมั่นใจสูงสุดของเขาอยู่ที่ไม้กางเขน เมื่อเราชนะผู้คนด้วยการโต้เถียงเพียงอย่างเดียว ความเชื่อวางใจของพวกเขาอาจอยู่ในสติปัญญาของมนุษย์ แต่เมื่อเราชี้พวกเขาไปที่ไม้กางเขน ความเชื่อของพวกเขาอยู่ในฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า (1 โครินธ์ 2:5)

การทำพันธกิจด้วยฤทธิ์อำนาจแห่งการฟื้นขึ้นจากความตาย

► อ่าน กิจการ 2:22-36

กิจการแสดงให้เห็นว่าการฟื้นขึ้นจากความตายเป็นหัวข้อหลักในการเทศนาของคริสเตียนยุคแรก ในวันเพ็นเทคอสต์ เปโตรชี้ให้เห็นถึงการฟื้นขึ้นจากความตายซึ่งเป็นหลักฐานว่าพระเยซูเป็นผู้ที่ทำให้พระสัญญาโดยทางผู้เผยพระวจนะสำเร็จ

ในการปกป้องตัวเองต่อหน้าอากริปปา เปาโลกล่าวว่า “บัดนี้ข้าพระบาทต้องมายืนให้ฝ่าพระบาทพิพากษาก็เพราะเรื่องความหวังในพระสัญญาซึ่งพระเจ้าตรัสกับบรรพบุรุษของพวกข้าพระบาทนั้น พวกข้าพระบาทสิบสองเผ่าปรนนิบัติด้วยความจริงจังทั้งกลางวันกลางคืน เพราะมีความหวังว่าจะได้รับตามพระสัญญานั้น” พระสัญญานี้คืออะไร? คือการฟื้นขึ้นจากความตาย “ทำไมท่านทั้งหลายจึงคิดว่าการที่พระเจ้าทรงทำให้คนตายเป็นขึ้นมานั้น เป็นเรื่องเชื่อไม่ได้?” (กิจการ 26:6-8)

► อ่าน 1 โครินธ์ 15:12-34

ใน 1 โครินธ์ เปาโลแสดงให้เห็นว่าการทำพันธกิจของเขาไม่เพียงมีพื้นฐานมาจากฤทธิ์อำนาจแห่งไม้กางเขนเท่านั้น แต่ด้วยฤทธิ์อำนาจของการฟื้นขึ้นจากความตายด้วย เปาโลยืนยันว่าถ้าไม่มีการฟื้นขึ้นจากความตายแล้ว การทำพันธกิจของเขาก็ไร้ความหมาย “ถ้าพระคริสต์ไม่ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นมา การประกาศของเรานั้นก็ไร้ประโยชน์ และความเชื่อของท่านทั้งหลายก็ไร้ประโยชน์ด้วย” (1 โครินธ์ 15:14) หากปราศจากการฟื้นขึ้นจากความตาย พระเยซูก็เป็นเพียงพระเมสสิยาห์ที่ล้มเหลวอีกองค์หนึ่ง ถ้าไม่มีการฟื้นขึ้นจากความตายแล้ว พระเยซูอาจเป็นพยานที่พลีชีพอย่างน่าเศร้า แต่ไม่ใช่พระเมสสิยาห์ตามพระสัญญา

การฟื้นขึ้นจากความตายเป็นพื้นฐานความเชื่อของคริสเตียน “และถ้าพระคริสต์ไม่ได้ทรงถูกทำให้เป็นขึ้นมา ความเชื่อของพวกท่านก็ไร้ประโยชน์ ท่านก็ยังคงอยู่ในบาปของตน” (1 โครินธ์ 15:17) พระคริสต์จัดเตรียมการชดใช้บาปของเราที่บนไม้กางเขน แต่การฟื้นขึ้นจากความตายเป็นการพิสูจน์ว่าพระคริสต์มีอำนาจเหนือความตายและความบาป ถ้าไม่มีการฟื้นขึ้นจากความตาย เปาโลกล่าวว่า ความเชื่อของคุณก็ไร้ประโยชน์ และคุณยังคงเป็นทาสของความบาปอยู่

การฟื้นขึ้นจากความตายเป็นพื้นฐานความหวังของคริสเตียน “เพราะว่าในเมื่อความตายเกิดขึ้นโดยมนุษย์คนหนึ่ง การเป็นขึ้นจากความตายก็เกิดขึ้นโดยมนุษย์คนหนึ่งเช่นกัน เพราะว่าเช่นเดียวกับที่ทุกคนต้องตายโดยเกี่ยวเนื่องกับอาดัม ทุกคนก็จะได้รับชีวิตโดยเกี่ยวเนื่องกับพระคริสต์” (1 โครินธ์ 15:21-22) เปาโลยืนยันกับชาวโครินธ์ว่าพวกเขามีความหวังในการฟื้นขึ้นจากความตายเพราะพระคริสต์ได้ฟื้นขึ้นจากความตายแล้ว

ในศตวรรษที่สอง ลูเซียน นักประพันธ์ชาวกรีกเย้ยหยันคริสเตียนเกี่ยวกับความเชื่อเรื่องการฟื้นขึ้นจากความตาย เขากล่าวว่า “คนอนาถยากจนถูกชักจูงว่าพวกเขาจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป ด้วยเหตุนี้พวกเขาจึงเหยียดหยามความตายและเต็มใจสละชีวิตเพื่อความเชื่อของตน” ลูเซียนเยาะเย้ยคริสเตียน แต่คำพูดของเขาเป็นความจริง ดังที่ลูเซียนกล่าวไว้ คริสเตียนในศตวรรษที่สองเชื่อว่าพวกเขาจะมีชีวิตอยู่ตลอดไป เพราะความเชื่อนั้น พวกเขาจึงยอมตายเพื่อความเชื่อ

นี่ต้องเป็นจริงสำหรับเราในวันนี้ ถ้าหากเราเชื่ออย่างแท้จริงว่าพระคริสต์ฟื้นขึ้นจากความตาย นั่นควรทำให้เรามั่นใจในการเผชิญกับการข่มเหงและแม้กระทั่งถึงชีวิต การฟื้นขึ้นจากความตายเป็นพื้นฐานความหวังของคริสเตียน

การฟื้นขึ้นจากความตายเป็นพื้นฐานชีวิตคริสเตียนของเรา เปาโลนำหลักคำสอนเรื่องการฟื้นขึ้นจากความตายมาประยุกต์ใช้ได้อย่างน่าทึ่ง “ถ้าคนตายไม่ถูกทำให้เป็นขึ้นมา ‘ก็ให้เรากินและดื่มเถิด เพราะว่าพรุ่งนี้เราก็จะตาย’ …จงมีสติขึ้นมาใหม่และอย่าทำบาปอีกเลย” (1 โครินธ์ 15:32, 34) ตามที่เปาโลกล่าวไว้ การฟื้นขึ้นจากความตายให้เหตุผลสำคัญแก่เราในการดำเนินชีวิตตามทางของพระเจ้า หากไม่มีการฟื้นขึ้นจากความตาย เราคงมีชีวิตเหมือนชาวเอพิคูเรียนที่กล่าวว่า “จงกินและดื่มเพราะอีกไม่นานเราจะตาย” ไม่มีเหตุผลที่จะมีชีวิตอยู่ไปชั่วนิรันดร์หากไม่มีการฟื้นขึ้นจากความตาย แต่เปาโลกล่าวต่อไปว่า เนื่องจากมีการฟื้นขึ้นจากความตาย จงมีสติและใช้ชีวิตที่ปราศจากบาป ชัยชนะเหนือความบาปของเราได้รับแรงบันดาลใจจากความมั่นใจในการฟื้นขึ้นจากความตาย

เรื่องราวการฟื้นขึ้นจากความตายควรทำให้เราสำนึกถึงการขาดความเชื่อเมื่อเผชิญกับความท้าทายในการทำพันธกิจ กี่ครั้งแล้วที่เราคาดหวังว่าคำอธิษฐานจะไม่ได้รับคำตอบ? เพราะอะไรหรือ? เพราะเราลืมฤทธิ์อำนาจแห่งการฟื้นขึ้นจากความตาย! กี่ครั้งแล้วที่เราเผชิญกับการทดลองด้วยความมั่นใจเพียงเล็กน้อยในชัยชนะ? เพราะอะไรหรือ? เพราะเราลืมคำสัญญาของเปาโลที่ว่า “ถ้าพระวิญญาณของพระองค์ ผู้ทรงให้พระเยซูเป็นขึ้นมาจากตายสถิตอยู่ในท่านทั้งหลาย พระองค์ผู้ทรงให้พระเยซูคริสต์เป็นขึ้นมาจากตายแล้วนั้น จะทรงทำให้กายซึ่งต้องตายของพวกท่านเป็นขึ้นมาใหม่ โดยพระวิญญาณของพระองค์ซึ่งสถิตอยู่ในท่าน” (โรม 8: 11)

ถ้าพระคริสต์อยู่ในเรา เราก็ไม่ใช้ชีวิตตามเนื้อหนังอีกต่อไป เราไม่เป็นนักโทษของความบาปอีกต่อไป นี่คือชีวิตที่ดำเนินด้วยฤทธิ์อำนาจแห่งการฟื้นขึ้นจากความตาย ฤทธิ์อำนาจที่ทำให้พระเยซูฟื้นขึ้นมาจากอุโมงค์ฝังศพให้ชัยชนะเหนือบาปแก่เราทุก ๆ วัน นี่คือความหมายของดำเนินชีวิตและทำพันธกิจด้วยฤทธิ์อำนาจแห่งการฟื้นขึ้นจากความตาย 

บทสรุป: เครื่องหมายของชีวิตและพันธกิจที่เป็นเหมือนพระคริสต์

ชีวิตของคุณดูแล้วเหมือนพระคริสต์ไหม?

ลูกาเขียนว่า “ที่เมืองอันทิโอกนี่เองที่พวกสาวกได้ชื่อว่าคริสเตียนเป็นครั้งแรก” (กิจการ 11:26) เมื่อผู้คนมองดูผู้เชื่อในอันทิโอก พวกเขาเริ่มต้นพูดกันว่า “คนเหล่านั้นปฏิบัติเหมือนพระคริสต์ เราควรเรียกพวกเขาว่า ‘คริสเตียน’” เมื่อคุณอ่านพระคัมภีร์ข้อนี้ขอให้ถามตัวเองว่า “เพื่อนบ้านของฉันจะคิดถึงชื่อ ‘คริสเตียน’ เพราะเห็นพฤติกรรม คำพูด และทัศนคติของฉันไหม? ฉันดูเหมือนพระคริสต์ไหม?” ผู้เชื่อที่อันทิโอกดำเนินชีวิตในทางที่สะท้อนให้เห็นคุณลักษณะของพระเยซูคริสต์ พวกเขาเป็นคริสเตียน

หลังจากเป็นศิษยาภิบาลหลายปี ตอนนี้ ดร.เอช บี ลอนดอน รับใช้ในฐานะพี่เลี้ยงของศิษยาภิบาลหนุ่ม ๆ เขาเตือนเกี่ยวกับอันตรายที่ศิษยาภิบาลเผชิญว่า “คน ๆ หนึ่งสามารถอยู่ใกล้สิ่งบริสุทธิ์โดยปราศจากความบริสุทธิ์ เป็นไปได้ที่จะเทศนาเรื่องการให้อภัยแต่กลับไม่ให้อภัย ผู้รับใช้สามารถพยายามทำพันธกิจมากมายจนละเลยที่จะดูแลสุขภาพจิตวิญญาณของพวกเขา”52F[1] เป็นไปได้ที่จะเทศนาให้คนอื่นฟังแต่ตัวเองกลับเป็นคนที่ใช้การไม่ได้ (1 โครินธ์ 9:27)

ดร.ลอนดอน แนะนำเคล็ดลับในเชิงปฏิบัติบางประการเพื่อช่วยศิษยาภิบาลทั้งหลายให้หลีกเลี่ยงความล้มเหลวฝ่ายวิญญาณในขณะที่กำลังนำคนอื่นอยู่ ด้านต่าง ๆ เหล่านี้ช่วยให้เรารักษาชีวิตที่เป็นเหมือนพระคริสต์ได้ เขาเขียนไว้ว่า...

  • ใช้ชีวิตตามที่คุณเทศนา อย่าเทศนาให้คนอื่นฟังในสิ่งที่คุณไม่ได้นำมาใช้กับตัวเองก่อน
  • เอาใจใส่จิตวิญญาณของคุณ แพทย์บางคนสุขภาพไม่ดี พวกเขาเอาใจใส่ดูแลคนอื่น แต่ละเลยที่จะดูแลสุขภาพตัวเอง ศิษยาภิบาลบางคนมีสุขภาพฝ่ายวิญญาณไม่ดี ในฐานะศิษยาภิบาล ขอให้ใช้เวลาเอาใจใส่สวัสดิภาพฝ่ายวิญญาณของคุณด้วย
  • ถ่อมใจลง จำไว้ว่าศิษยาภิบาลคือผู้เลี้ยง ไม่ใช่ประธานบริษัท จงเป็นคนรับใช้
  • เติบโตผ่านความผิดหวัง คุณจะผิดหวังในงานพันธกิจ บางคนที่คุณเป็นพี่เลี้ยงจะหลงไป เพื่อนสนิทของคุณจะหันมาต่อต้านคุณ สมาชิกคริสตจักรจะปฏิเสธคุณ อย่ายอมให้ความผิดหวังทำให้คุณสูญเสียความหวัง ยูดาสทรยศพระเยซู เดมาสทิ้งเปาโล จงเติบโตไปเรื่อย ๆ และเลี้ยงดูฝูงแกะโดยผ่านน้ำตามากมาย

พันธกิจของคุณดูเหมือนพระคริสต์ไหม?

ในบทเรียนเหล่านี้เรื่องชีวิตและพันธกิจของพระเยซู เราได้เห็นคุณลักษณะมากมายของพันธกิจของพระเยซู คุณลักษณะเหล่านี้ปรากฎในพันธกิจของคุณไหม?

มีคำถามบางประการเพื่อประเมินพันธกิจของคุณ

  • คนบาปได้รับความรอดไหม? เมื่อพระเยซูเทศนา ผู้คนได้รับชีวิตใหม่ คุณกำลังนำคนให้บังเกิดใหม่หรือไม่?
  • ผู้เชื่อกำลังเต็มล้นด้วยพระวิญญาณไหม? พระเยซูสัญญาว่าจะส่งพระวิญญาณมาให้กับลูกของพระองค์ พระสัญญานี้กำลังสำเร็จในท่ามกลางคนที่คุณรับใช้อยู่ไหม?
  • ซาตานกำลังพ่ายแพ้หรือไม่? ป้อมปราการของซาตานกำลังถูกทำลายลงไหม? พันธกิจของพระเยซูมีเครื่องหมายคือสิทธิอำนาจฝ่ายวิญญาณ
  • คนที่บอบช้ำกำลังค้นพบการรักษา? ครอบครัวที่แตกสลายกำลังพบการคืนดีหรือไม่? ชีวิตที่บอบช้ำกำลังได้รับการทำให้สมบูรณ์ไหม? ความสัมพันธ์ที่แตกสลายกำลังได้รับการรื้อฟื้นคืนมาไหม? พระเยซูรักษาคนที่ทุกข์กาย ทุกข์ทางอารมณ์ และมีบาดแผลฝ่ายวิญญาณ
  • ผู้คนมองเห็นพระคุณและความจริงไหม? ฉันกำลังดึงผู้คนให้มาใกล้พระเยซูหรือทำให้พวกเขาออกห่างพระเยซู? พระเยซูเทศนาความจริงด้วยความเชื่อมั่นและด้วยพระคุณ

► เมื่อคุณอภิปรายคำถามเหล่านี้ ให้มองหาด้านที่พันธกิจของคุณสามารถเติบโตเป็นเหมือนพระคริสต์ ขอให้ระลึกว่าผู้รับใช้ทุกคนมีด้านที่จะเติบโตได้อีก ดังนั้นใช้รายการคำถามนี้เพื่อเป็นสิ่งท้าทายให้เติบโตแทนที่จะเป็นเครื่องมือในการตำหนิกล่าวโทษตัวเอง

 

[1] H. B. London, They Call Me Pastor. (Grand Rapids: Baker Books, 2000), 145

งานมอบหมายบทที่ 8

(1) เตรียมคำเทศนาหรือบทเรียนจากพระคัมภีร์หนึ่งตอนเรื่อง “คำกล่าวเจ็ดประโยคบนไม้กางเขน” เน้นสิ่งที่ถ้อยของพระเยซูเหล่านี้พูดกับคริสเตียนในปัจจุบัน

(2) เตรียมคำเทศนาหรือบทเรียนจากพระคัมภีร์หนึ่งตอนเกี่ยวกับความหมายของการฟื้นขึ้นจากความตายสำหรับชีวิตประจำวันของคริสเตียน ใช้ทั้งเรื่องการฟื้นขึ้นจากความตายในพระกิตติคุณและจากคำของเปาโลใน 1 โครินธ์ 15:15-17 ในการเตรียมของคุณ

Next Lesson