พี่เลี้ยงต้องเลือกสาวกด้วยความละเอียดรอบคอบ[1]
► อ่าน ยอห์น 1:35-51 ยอห์น 2:1-11 มัทธิว 4:18-22 ลูกา 5:1-11 และลูกา 6:12-16
เมื่อคุณอ่านข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ คุณสังเกตเห็นกระบวนการไหม? ในช่วงสัปดาห์แรกของพันธกิจในที่สาธารณะ พระเยซูเชื้อเชิญแอนดรูกับยอห์นให้ติดตามพระองค์ แอนดรูพาซีโมนเปโตรมาหาพระเยซู พระเยซูเรียกฟิลิปที่พบกับนาธานาเอล (ยอห์น 1:35-51) นี่คือก้าวแรกของการทรงเรียก พวกเขายอมรับพระเยซู แต่ยังไม่ได้เป็นผู้ติดตามอย่างถาวร นี่คือการเรียกให้ติดตามพระเยซู ต่อมาพระเยซูเรียกพวกเขาให้เป็นสาวกอย่างเต็มตัว
ยอห์น 2 เป็นก้าวที่สำคัญในกระบวนการนี้ ที่งานสมรสในหมู่บ้านคานา พระเยซูสำแดงพระสิริของพระองค์ให้กับพวกสาวก แขกคนอื่น ๆ ไม่รู้เรื่องการอัศจรรย์ หมายสำคัญไม่ไว้สำหรับพวกสาวก พระเยซูเปิดเผยพระองค์เองให้กับผู้ติดตามพระองค์เพื่อพวกเขาจะไว้วางใจในพระองค์ และพวกสาวกของพระองค์ก็เชื่อในพระองค์ (ยอห์น 2:11)
มัทธิว 4:18-22 เกิดขึ้นหลังจากพระเยซูย้ายออกจากนาซาเรธไปยังคารเปอร์นาอูมและเริ่มต้นเทศนา (มัทธิว 4:12-17) ในการเดินบนทะเลกาลิลี พระเยซูเรียกซีโมน แอนดรู ยากอบ และยอห์นให้ติดตามพระองค์ (มัทธิว 4:20) หลังจากริเริ่มการเรียกในยอห์น 1 เหล่าสาวกยังคงทำงานอาชีพประมงอยู่ ตอนนี้พระเยซูเรียกพวกเขาสู่การรับใช้ “ตั้งแต่นี้ไปท่านจะเป็นผู้จับคน” (ลูกา 5:10)
ระยะต่อมาในกระบวนการนี้ พระเยซูเลือกอัครทูตสิบสองคนจากผู้ติดตามจำนวนมาก (เรียกว่า “พวกสาวก” ในยอห์น 6) พระเยซูเลือกสิบสองคนที่จะมาเป็นเพื่อนร่วมงานที่ใกล้ชิดพระองค์มากที่สุด
พระเยซูไม่ได้เร่งรีบเมื่อเลือกอัครทูตสิบสองคน ปรากฏชัดว่ากระบวนการนี้ใช้เวลาหลายเดือน นี่เป็นการให้เวลากับพระเยซูเพื่อใช้เวลากับแต่ละคนเหล่านี้ บ่อยครั้งที่ผู้นำมักจะเร็วในการเลือกคนสานต่อโดยไม่ได้ใช้เวลาเพื่อรู้จักคนนั้นก่อน ผู้นำที่ฉลาดมอบหมายภาระหน้าที่ซึ่งเป็นโอกาสที่จะประเมินความสามารถในการเป็นผู้นำของบุคคล
พี่เลี้ยงต้องใช้เวลากับสาวกของเขา
► อย่างไหนตื่นเต้นมากกว่า ระหว่างการเข้าถึงคนมากมายกับการเป็นพี่เลี้ยงคนไม่กี่คน? อย่างไหนสำคัญมากกว่าในระยะยาว? ทำไมพระเยซูทุ่มเทอย่างมากกับชายสิบสองคน?
พระเยซูอุทิศเวลาจำนวนมากให้กับอัครทูตสิบสองคน “พระองค์จึงทรงแต่งตั้งสิบสองคน (คนที่พระองค์เรียกว่าเป็นอัครสาวก) ไว้ให้อยู่กับพระองค์ เป็นกลุ่มคนที่พระองค์ทรงเรียกว่าอัครทูต เพื่อจะทรงใช้พวกเขาออกไปประกาศ และทรงให้มีสิทธิอำนาจขับผีออกได้” (มาระโก 3:14-15) อย่างแรกพวกเขาจะใช้เวลากับพระองค์เพื่อเรียนรู้วิธีการต่าง ๆ ของพระองค์ ดังนี้แล้วพวกเขาจึงจะพร้อมถูกส่งออกไปทำงานพันธกิจได้
มาระโกบันทึกถึงการเดินทางของพระเยซูผ่านกาลิลี “พระองค์ไม่ทรงประสงค์จะให้ใครรู้ (ว่าพระองค์อยู่ที่นั่น) เพราะว่าพระองค์ทรงกำลังสอนสาวกของพระองค์” (มาระโก 9:30-31) ความห่วงใยพื้นฐานของพระเยซูไม่ใช่การพัฒนาโปรแกรมเพื่อเข้าถึงมหาชน แต่คือการพัฒนาคนเพื่อให้นำคริสตจักร
พระเยซูเทศนาให้กับคนเป็นพัน ๆ แต่ลำดับความสำคัญสูงสุดคือการฝึกฝนคนไม่กี่คนสำหรับพันธกิจในอนาคต พระเยซูรู้ว่าการฝึกฝนจะมีประสิทธิภาพมากกว่าถ้าหากจดจ่อกับกลุ่มเล็ก ๆ โรเบิร์ต โคลแมน เตือนว่า “ยิ่งพันธกิจของคุณเติบโตมากเท่าไร การใช้เวลาเพื่อสร้างสาวกส่วนตัวยิ่งยาก มากขึ้น แต่ยิ่งพันธกิจของคุณเติบโตมาก การจัดเวลาเพื่อสร้างสาวกส่วนตัวยิ่งสำคัญ มาก”
เมื่อคุณอ่านตลอดทั้งพระกิตติคุณ คุณจะพบว่าพระเยซูไม่ค่อยจะทำพันธกิจโดยไม่มีสาวกอย่างน้อยสามคนอยู่ใกล้ ๆ พระเยซูและสาวกของพระองค์มักจะปลีกตัวออกไปในที่สงบเพื่อการฝึกฝน เมื่อใกล้สิ้นสุดพันธกิจบนโลกนี้ของพระเยซู พระองค์ใช้เวลามากขึ้นกับพวกสาวก ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายที่กรุงเยรูซาเล็ม พระเยซูให้สาวกอยู่กับพระองค์เกือบตลอดเวลา การฝึกฝนชายเหล่านี้เป็นภาระหน้าที่สำคัญที่สุดของพระองค์
สุภาษิตของคนยิวบอกว่า “สาวกคือคนที่กินฝุ่นของอาจารย์ของเขา” สาวกเดินใกล้ชิดอาจารย์จนกินฝุ่นที่ฟุ้งตลบขึ้นจากเท้าของอาจารย์ สาวกกินสิ่งที่อาจารย์กิน สาวกไปในที่ที่อาจารย์ไป สาวกอุทิศตัวต่อคำสอนและแบบอย่างของอาจารย์ สาวกของพระเยซูใช้เวลากับพระองค์จนกระทั่งพวกเขาซึมซับอุปนิสัยของอาจารย์ของพวกเขา ต่อมาพวกเขาเป็นที่รู้จักในฐานะ “คริสเตียน” พวกเขาเป็นเหมือนอาจารย์ของพวกเขา
ในทำนองเดียวกัน เปาโลมักมีสาวกอย่างเช่นทิโมธี ทิตัส ลูกา หรือทีคิกัสอยู่กับเขาเสมอ เปาโลฝึกฝนพวกเขาให้ทำพันธกิจโดยการใช้เวลากับพวกเขา
อีกครั้งที่สิ่งนี้ให้แบบอย่างแก่เราในวันนี้ เมื่อคุณทำพันธกิจ คุณสามารถหนุนใจให้สมาชิกทีมรุ่นหนุ่มสาวตามอย่างคุณ เพื่อพวกเขาจะเรียนรู้การรับใช้ ผู้นำคริสตจักรที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งกล่าวว่า “ผมไม่เคยเดินทางรับใช้โดยไม่เอาผู้รับใช้อ่อนวัยกว่าไปกับผมด้วย การฝึกฝนผู้นำคริสตจักรในอนาคตเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผมเท่ากับงานรับใช้ที่ผมกำลังทำอยู่” ศิษยาภิบาลคนนี้เข้าใจว่าผู้นำที่มีประสิทธิภาพฝึกฝนคนอื่นให้เป็นผู้นำ
พี่เลี้ยงต้องเป็นแบบอย่างในการทำพันธกิจให้กับสาวกของเขา
หลังจากล้างเท้าให้กับสาวกแล้ว พระเยซูตรัสว่า “เพราะว่าเราวางแบบอย่างแก่พวกท่านแล้ว เพื่อให้ท่านทำเหมือนอย่างที่เราทำกับท่านด้วย” (ยอห์น 13:15) พระเยซูสอนโดยการเป็นแบบอย่าง พระองค์รู้ว่าการพูดว่า “ทำสิ่งนี้” อย่างเดียวไม่เพียงพอ เราต้องสาธิตวิธีการ ทำสิ่งนั้น พระเยซูไม่ได้ขอให้พวกสาวกทำสิ่งใดจนกว่าพระองค์จะสาธิตให้เห็นก่อน
พวกสาวกมองเห็นพระเยซูอธิษฐานและจากนั้นจึงขอว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงสอนพวกข้าพระองค์อธิษฐาน” (ลูกา 11:1) พระเยซูไม่ได้ให้บทเรียนเรื่องการอธิษฐานเท่านั้น แต่พระองค์อธิษฐาน เมื่อพวกเขาเฝ้าดูพระองค์อธิษฐาน พวกสาวกก็หิวกระหายที่จะเข้าใจเรื่องการอธิษฐาน เมื่อผู้เรียนหิวกระหายที่จะเรียน พวกเขาก็เรียนได้ดีขึ้น!
พวกสาวกได้ยินพระเยซูใช้พระวจนะในการเทศนา พระเยซูอ้างอิงถึงพันธสัญญาเดิมบ่อยครั้ง พระองค์เป็นแบบอย่างการเทศนาตามพระคัมภีร์ พวกสาวกเรียนรู้บทเรียนนี้ไหม? แน่นอน! เมื่อเปโตรเทศนาในกิจการบทที่ 2 เขาอ้างอิงพระธรรมโยเอล สดุดี 16 และสดุดี 110 เปโตรเรียนรู้จากพระเยซูในการสร้างคำเทศนาบนพื้นฐานของพระคัมภีร์ ทุกคำเทศนาในกิจการอ้างอิงถึงพันธสัญญาเดิม
เปาโลทำตามวิธีการอย่างเดียวกันนี้ เขาเขียนซ้ำ ๆ ว่า “ท่านได้เห็นข้าพเจ้าเป็นแบบอย่างแล้ว จงทำตามแบบอย่างของข้าพเจ้า”[2] เปาโลสอนโดยการเป็นแบบอย่าง พวกสาวกอย่างทิตัสและทิโมธีได้เรียนรู้ที่จะอภิบาลคริสตจักรโดยการทำตามแบบอย่างพี่เลี้ยงของพวกเขาคือเปาโล
วันนี้เราควรเป็นแบบอย่างการทำพันธกิจให้กับคนที่เราฝึกฝน พวกเขามองเห็นความสำเร็จและความล้มเหลวของเรา ส่วนใหญ่พวกเขาจะสังเกตเห็นอุปนิสัยของเราเมื่อเรายอมรับความผิดพลาดและเรียนรู้ พวกสาวกเรียนรู้ความเป็นจริงของพันธกิจโดยการเฝ้าดูการเป็นแบบอย่างของเรา
พี่เลี้ยงต้องกระจายความรับผิดชอบให้กับสาวกของเขา
► อ่าน มัทธิว 10:5-11:1
จากจุดเริ่มต้น วัตถุประสงค์ของพระเยซูคือเตรียมพวกสาวกสำหรับงานรับใช้ พระองค์เรียกพวกเขาให้ติดตามเพื่อพระองค์จะทำให้พวกเขาเป็นผู้จับคนดั่งจับปลาได้ (มัทธิว 4:19)
ในช่วงระหว่างปีแรก ๆ ที่อยู่กับพระเยซู พวกสาวกสังเกตการณ์รับใช้ของพระองค์ พวกเขาเรียนรู้จากการเป็นแบบอย่างของพระองค์ หลังจากการสังเกตนั้น พระเยซูก็ส่งพวกสาวกออกไปรับใช้ มัทธิวบทที่ 10 แสดงให้เห็นวิธีที่พระเยซูกระจายความรับผิดชอบให้กับพวกสาวก
พระองค์ให้สิทธิอำนาจแก่พวกเขา (มัทธิว 10:1)
ก่อนส่งพวกเขาออกไป พระเยซูให้สิทธิอำนาจแก่พวกสาวกเพื่อทำงานมิชชันที่พระองค์มอบหมายให้ บางครั้งผู้นำกลัวที่จะให้สิทธิอำนาจแก่ผู้ช่วยของพวกเขา อย่างไรก็ตาม ความรับผิดชอบที่ปราศจากสิทธิอำนาจก็ทำให้คนที่คุณกำลังฝึกฝนใช้การไม่ได้ เราต้องไม่ให้ความรับผิดชอบแก่ผู้ช่วยของเราจนกว่าเราจะให้สิทธิอำนาจแก่พวกเขาอย่างเพียงพอเพื่อจะทำให้ความรับผิดชอบบรรลุผลได้
พระองค์ให้คำสั่งอย่างชัดเจนแก่พวกเขา (มัทธิว 10:5-42)
พระเยซูให้คำสั่งแก่พวกสาวกอย่างชัดเจนคือ จงประกาศเรื่องแผ่นดินสวรรค์ งานมอบหมายของพวกเขานั้นชัดเจน พวกเขารู้ชัดถึงสิ่งที่พระเยซูคาดหวังให้พวกเขาทำ
พระเยซูบอกพวกสาวกว่าพวกเขาควรรับใช้ที่ไหน คือต่อแกะหลงหายของวงศ์วานอิสราเอล ต่อมาพวกอัครทูตจะเทศนาให้กับคนต่างชาติ แต่เมื่อพวกเขากำลังเรียนรู้การรับใช้ พระเยซูบอกให้พวกเขาเริ่มต้นจากใกล้บ้านก่อน เราควรทำทุกสิ่งที่เป็นไปได้เพื่อช่วยให้ผู้เรียนของเราประสบความสำเร็จ เริ่มต้นด้วยภาระหน้าที่ที่สำเร็จได้ง่าย พระเยซูตั้งเป้าหมายที่สมเหตุสมผล
พระเยซูให้คำสั่งแก่พวกสาวกเรื่องการข่มเหง การข่มเหงจะเกิดขึ้นไม่ใช่เพราะพวกสาวกล้มเหลวในการทำพันธกิจ แต่เพราะการทรงเรียกให้เชื่อฟังพระเยซูนำการแบ่งแยกมาระหว่างคนที่ติดตามพระองค์กับคนที่ปฏิเสธพระองค์
พระองค์ส่งพวกเขาไปเป็นทีม (มาระโก 6:7)
พระเยซูแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของทีมในการทำพันธกิจ พระองค์ส่งพวกสาวกไปเป็นทีมละสองคน ไม่กี่เดือนต่อมา พระเยซูส่งสาวกออกไป 72 คนโดยแบ่งเป็นทีมละสองคน (ลูกา 10:1) นี่กลายเป็นต้นแบบสำหรับการทำพันธกิจในคริสตจักรยุคแรก เปโตรกับยอห์นรับใช้ด้วยกัน บารนาบัสกับเซาโลเดินทางไปด้วยกัน เปาโลกับสิลาสรับใช้ด้วยกัน
พี่เลี้ยงต้องกำกับดูแลสาวกของเขา
หลังจากพวกสาวกกลับจากการทำพันธกิจ พวกเขามารายงานต่อพระเยซู (มาระโก 6:30) การติดตามผลเป็นส่วนที่สำคัญสำหรับการฝึกฝนสาวกของพระเยซู การกระจายความรับผิดชอบอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ ผู้นำที่มีประสิทธิภาพจะประเมินการปฏิบัติงานของสาวกด้วย การกระจายโดยไม่ประเมินทำให้การปฏิบัติหน้าที่ไม่พัฒนา
► อ่าน มัทธิว 17:14-21
ฮาวเวิร์ด เฮ็นดริก สอนว่าความล้มเหลวเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการเรียนรู้ พวกสาวกถามว่า “ทำไมพวกเราจึงขับผีออกจากเด็กชายคนนี้ไม่ได้?” พระเยซูตอบโดยการสอนพวกเขาเกี่ยวกับความเชื่อ การล้มเหลวในระยะแรกของพันธกิจก็ดีกว่าล้มเหลวตอนที่พระเยซูได้กลับไปสวรรค์แล้ว!
การกำกับดูแลพวกสาวกอย่างมีประสิทธิภาพจะต้องมีการประเมินผลด้วย เมื่อสาวกล้มเหลวในภารกิจ เขาจะไม่ถูกไล่ออกจากทีม แต่เราต้องตรวจสอบสาเหตุของความล้มเหลวและวางแผนเพื่อปรับปรุงในอนาคต
พระเยซูแสดงแบบแผนนี้ให้เห็นใน ลูกาบทที่ 9
ใน 9:1-6 พระเยซูส่งสาวกสิบสองคนออกไป
ใน 9:10 พวกเขามารายงานพระองค์เกี่ยวกับการเดินทางทำพันธกิจนั้น
ใน 9:37-43 พวกสาวกล้มเหลวในการขับผี
ใน 9:46-48 พระเยซูสอนพวกเขาเกี่ยวกับคนที่เป็นใหญ่ในอาณาจักรของพระเจ้า
ใน 9:49-50 พระเยซูว่ากล่าวยอห์นสำหรับการตัดสินใจที่ไม่ดีในงานพันธกิจ
ใน 9:52 พระเยซูส่งพวกสาวกออกไปเตรียมการสำหรับเยี่ยมเยียนหมู่บ้านหนึ่งในแคว้นสะมาเรีย
ใน 9:54-55 พระเยซูว่ากล่าวยากอบและยอห์นสำหรับการตัดสินใจที่ไม่ดีอีกครั้งหนึ่งในงานพันธกิจ
ใน 10:1 พระเยซูส่งสาวกกลุ่มใหญ่กว่าออกไปทำพันธกิจ
พระเยซูสลับระหว่างการสอน การกระจายงาน และการประเมินผล พระองค์ไม่ได้ถอดใจกับพวกสาวก แม้เมื่อพวกเขาล้มเหลว แต่พระองค์ใช้ความล้มเหลวเป็นโอกาสในการสอน
ต่อมาเปาโลทำตามแบบแผนนี้ เขาแต่งตั้งทิตัสให้นำคริสตจักรบนเกาะครีต และให้ทิโมธีเป็นศิษยาภิบาลของคริสตจักรที่เอเฟซัส จากนั้นเขาเขียนจดหมายเพื่อให้การฝึกฝนเพิ่มเติม หลังจากก่อตั้งคริสตจักรในช่วงการเดินทางทำพันธกิจครั้งแรก เปาโลกลับไปอีกครั้งที่สองเพื่อกำกับดูแลคริสตจักร (กิจการ 15:36)
แบบแผนสำหรับการฝึกฝนนี้ยังคงใช้การได้ในปัจจุบัน ผู้นำหลายคนส่งผู้รับใช้หนุ่มสาวออกไปโดยไม่ได้กำกับดูแลหรือให้มีการรายงานตัวอย่างต่อเนื่อง และพวกเขาก็ประหลาดใจที่คนเหล่านั้นล้มเหลว เราต้องไม่คิดว่า “ฉันสอนบทเรียนแล้ว พวกเขาก็จะทำได้อย่างถูกต้องเอง” แต่การกำกับดูแลเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่อง ถ้าหากคุณต้องการฝึกฝนผู้นำ คุณต้องลงทุนเวลาในการกำกับดูแล
ฮาวเวิร์ด เฮ็นดริกส์ เขียนขั้นตอนการฝึกฝนสี่ขั้นตอนสำหรับคนที่พึ่งเริ่มต้นทำงาน
1. บอก : สอนเนื้อหาให้พวกเขา พระเยซูเทศนาเรื่องอาณาจักรของพระเจ้าให้กับพวกสาวก
2. แสดงให้เห็น : จัดเตรียมแบบอย่างการทำพันธกิจ พระเยซูแสดงให้สาวกเห็นว่าพันธกิจเป็นอย่างไร
3. ฝึกปฏิบัติ : พันธกิจภายใต้การกำกับดูแล พระเยซูส่งพวกสาวกออกไปทำพันธกิจและจากนั้นจึงประเมินผลประสบการณ์ของพวกเขา
4. ลงมือทำ : พันธกิจที่ไม่ต้องมีการกำกับดูแล หลังจากวันเพ็นเทคอส พวกสาวกทำพันธกิจได้โดยไม่ต้องให้พระเยซูคอยกำกับดูแล
► คุณทำสิ่งใดเพื่อฝึกฝนสาวกให้เป็นผู้นำบ้าง? จากขั้นตอนที่เราได้ศึกษาเรียนรู้ ขั้นตอนใดที่คุณทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ? ขั้นตอนใดที่คุณต้องพัฒนา? ขอให้อภิปรายร่วมกันเป็นกลุ่มว่าคุณจะเพิ่มประสิทธิภาพในการเป็นพี่เลี้ยงผู้นำในอนาคตได้อย่างไร การอภิปรายนี้ควรต่อเนื่องไปจนกว่าคุณจะมีแผนพัฒนาผู้นำในการจัดตั้งพันธกิจของคุณ
สาวกของพวกเราต้องผลิตสาวกต่อ ๆ ไป
พระเยซูตรัสกับพวกสาวกว่า “ท่านไม่ได้เลือกเรา แต่เราเลือกพวกท่านและแต่งตั้งท่านให้ไปเกิดผลและเพื่อให้ผลของท่านคงอยู่...” (ยอห์น 15:16) พระเยซูฝึกฝนพวกสาวกให้ผลิตสาวกเพิ่มมากขึ้น
► อ่าน มัทธิว 13:31-32
คำอุปมาของพระเยซูเรื่องเมล็ดมัสตาร์ดแสดงให้เห็นว่าอาณาจักรของพระเจ้าจะเติบโตขยายไปมากกว่าปกติ เหมือนกับเมล็ดมัสตาร์ดเล็ก ๆ บาง ๆ ที่เติบโตเป็นต้นพืชที่มีขนาดใหญ่กว่าที่คาดไว้ คริสตจักรจะเติบโตไปไกลเกินกว่าใคร ๆ จะคาดหวังได้ ในพันธสัญญาเดิม นกที่มาอาศัยอยู่บนกิ่งก้านของต้นไม้แทนถึงอาณาจักรยิ่งใหญ่ที่มีหลายชนชาติ (ดาเนียล 4:12 และเอเสเคียล 31:6) พระเยซูสัญญาว่าเมื่อพวกสาวกผลิตสาวกมากขึ้น คริสตจักรจะเติบโตไปไกลกว่าขนาดปกติและจะไปถึงชนทุกชาติ
ดร.โรเบิร์ต โคลแมน เขียนไว้ว่าการประเมินผลสูงสุดของพันธกิจของเราคือการผลิตซ้ำ “ในทีสุดเราทุกคนต้องประเมินว่าชีวิตของเรากำลังทวีคูณขึ้นอย่างไร คนเหล่านั้นที่เราได้รับมอบหมายไว้จะมองเห็นนิมิตแห่งพระมหาบัญชาไหม และพวกเขาจะส่งต่อให้กับผู้รับใช้สัตย์ซื่อทั้งหลายผู้ที่จะสอนคนอื่นต่อ ๆ ไปไหม? เวลาจะมาถึงอย่างรวดเร็วเกินไปเมื่อพันธกิจของเราจะอยู่ในมือของพวกเขา”[3]
[1] ดัดแปลงจาก Robert Coleman,
The Master Plan of Evangelism. (Grand Rapids: Baker Book House, 1963)
[2] ตัวอย่างรวมทั้ง 1 โครินธ์ 11:1, ฟิลิปปี 3:17, ฟิลิปปี 4:9
[3] Robert Coleman, “The Jesus Way to Win the World: Living the Great Commission Every Day.” Evangelical Theological Society, 2003.
Previous
Next