ชีวิตและพันธกิจ ของพระเยซู
ชีวิตและพันธกิจ ของพระเยซู
Audio Course Purchase

Search Course

Type at least 3 characters to search

Search through all lessons and sections in this course

Searching...

No results found

No matches for ""

Try different keywords or check your spelling

results found

Lesson 3: นำเหมือนพระเยซู

1 min read

by Randall McElwain


จุดประสงค์บทเรียน

เมื่อจบบทเรียน นักศึกษาควรบรรลุวัตถุประสงค์ดังต่อไปนี้

(1) ยอมรับคุณสมบัติต่าง ๆ ที่ทำให้พระเยซูเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่

(2) ยอมให้มิชชันที่พระเจ้ามอบหมายและการทรงเรียกเป็นตัวกำหนดลำดับความสำคัญในชีวิตประจำวันของคุณ

(3) พัฒนากระบวนการฝึกฝนผู้นำในอนาคตและสร้างทีมพันธกิจ

(4) เห็นคุณค่าบทบาทในการเป็นผู้รับใช้ของคนที่คุณนำ

หลักการสำหรับพันธกิจ

ผู้นำจะเป็นเหมือนพระเยซูก็ต่อเมื่อพวกเขารับใช้ผู้อื่น

บทนำ

การเป็นผู้นำ คือคำที่กระตุ้นความรู้สึกอย่างแรงกล้า เมื่อคนในโลกนี้คิดถึงการเป็นผู้นำ พวกเขาคิดถึงอำนาจและตำแหน่ง การเป็นผู้นำคือการเป็น “หัวหน้า” ผู้นำที่ทะเยอทะยานอยากได้ตำแหน่งสูงขึ้นและไปให้ถึงตำแหน่งสูงสุด แม้แต่ศิษยาภิบาลก็อาจมีความคิดแบบนี้ พวกเขามุ่งความสนใจไปที่การมีคริสตจักรที่ใหญ่ขึ้น ตำแหน่งสูงขึ้น และได้รับความเคารพนับถือมากขึ้น

เพื่อตอบสนองต่อความคิดในทางโลกแบบนี้ คริสเตียนบางคนตอบโต้ด้วยการต่อต้านคำว่า การเป็นผู้นำ ศิษยาภิบาลคนหนึ่งเคยพูดว่า “ผมไม่อยากเป็นผู้นำในคริสตจักร ผมแค่อยากรับใช้” แม้ว่าคำกล่าวของเขาดูถ่อมตัว แต่มันทำให้คริสตจักรของเขามองไม่เห็นถึงทิศทางหรือวัตถุประสงค์ ทุกองค์กร แม้แต่คริสตจักร ล้วนจำเป็นต้องมีผู้นำ

ศิษยาภิบาลต้องระลึกว่า รากศัพท์ของคำว่า ศิษยาภิบาล คือ “คนเลี้ยงแกะ” คนเลี้ยงแกะไม่ได้มีหน้าที่การงานที่น่าประทับใจนัก! คนเลี้ยงแกะใช้เวลาเป็นวัน ๆ อยู่กับแกะที่ตัวเหม็น งานของเขาประกอบไปด้วยหน้าที่ที่น่าเบื่อ เช่น หาอาหาร หาน้ำ ติดตามแกะที่หลงเจิ่นไป และดูแลแกะที่บาดเจ็บ

คนเลี้ยงแกะมีบทบาทที่สำคัญ คนเลี้ยงแกะมีการงานที่ต่ำต้อยมากมายให้ทำ แต่คนเลี้ยงแกะรับบทบาทในการนำฝูงแกะให้ปลอดภัยซึ่งเป็นความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ ฝูงแกะพึ่งพาคนเลี้ยงแกะที่เป็นผู้นำ

พระเยซูเป็นแบบอย่างของผู้นำในอุดมคติที่เป็นผู้นำแท้จริง พระองค์เป็นผู้เลี้ยงที่รับใช้ด้วยความถ่อมใจแต่มีวัตถุประสงค์ที่ลึกซึ้ง พระองค์เข้มแข็งแต่เต็มไปด้วยความเมตตาสงสาร พระองค์ไม่ได้แสวงหาตำแหน่ง แต่พระองค์มั่นใจงานมิชชันของพระองค์ พระเยซูให้แบบอย่างสำหรับการเป็นผู้นำที่รับใช้

► คิดถึงผู้นำที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดที่คุณรู้จักเป็นการส่วนตัว เขียนคุณสมบัติสามหรือสี่ประการที่ทำให้บุคคลนี้เป็นผู้นำที่ดี คุณสมบัติเหล่านี้พบได้ในพันธกิจของพระเยซูไหม? คุณสมบัติเหล่านี้พบได้ในพันธกิจของคุณไหม?

พระเยซูแสดงให้เห็นว่าผู้นำที่แท้จริงเกี่ยวข้องกับงานรับใช้ที่ต้องถ่อมใจ ความถ่อมใจไม่ใช่ความอ่อนแอหรือไม่เด็ดขาด พระเยซูเข้มแข็ง ในพระกิตติคุณแสดงให้เห็นถึงสิทธิอำนาจของพระเยซูครั้งแล้วครั้งเล่า[1] อย่างไรก็ตาม สิทธิอำนาจที่พระเยซูได้มานั้นไม่ได้เกิดจากการเรียกร้องให้มีคนเคารพนับถือ แต่เกิดจากการรับใช้ เมื่อพวกสาวกโต้เถียงกันเรื่องตำแหน่งในอาณาจักร พระเยซูตรัสว่า...

พระองค์จึงตรัสกับพวกเขาว่า “กษัตริย์ของคนต่างชาติย่อมเป็นเจ้านายเหนือเขาทั้งหลาย และผู้ที่มีอำนาจเหนือเขานั้นเรียกตัวเองว่าเจ้าบุญนายคุณ แต่พวกท่านจะไม่เป็นอย่างนั้น ในพวกท่านคนที่เป็นใหญ่ต้องเป็นเหมือนเด็ก และคนที่เป็นนายต้องเป็นเหมือนผู้ปรนนิบัติ ใครเป็นใหญ่กว่ากัน ผู้ที่นั่งรับประทานหรือผู้ปรนนิบัติ? ผู้ที่นั่งรับประทานไม่ใช่หรือ? แต่ว่าเราอยู่ท่ามกลางพวกท่านเหมือนกับผู้ปรนนิบัติ (ลูกา 22:25-27)

ในบทเรียนนี้ เราจะพิจารณาถึงคุณสมบัติต่าง ๆ ที่ทำให้พระเยซูเป็นผู้นำที่ยิ่งใหญ่ เราจะเรียนรู้วิธีการเป็นผู้นำที่มีประสิทธิภาพโดยการทำตามแบบอย่างของพระเยซู


[1]มัทธิว 7:28-29, มาระโก 1:22-28, ลูกา 4:32-36, ลูกา 20:1-8

ผู้นำคริสเตียนที่มีประสิทธิภาพรู้ถึงมิชชันของเขา

ผู้นำที่ยิ่งใหญ่มีมิชชันชัดเจนและพุ่งความสนใจไปที่มิชชันนั้นด้วยใจเด็ดเดี่ยว พระเยซูรู้ถึงมิชชันของพระองค์ มิชชันของพระเยซูสรุปไว้ใน มาระโก 10:45: “เพราะว่าบุตรมนุษย์ไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อจะปรนนิบัติคนอื่น และให้ชีวิตของท่านเป็นค่าไถ่คนจำนวนมาก”

ในการเทศนาครั้งแรกต่อสาธารณชน พระเยซูบอกผู้ฟังของพระองค์ว่า พระองค์มาเพื่อทำให้คำเผยพระวจนะโดยอิสยาห์สำเร็จ

พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้าสถิตกับข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน พระองค์ทรงใช้ข้าพเจ้ามาประกาศอิสรภาพแก่พวกเชลย ประกาศแก่คนตาบอดว่าจะได้เห็นอีก ปล่อยผู้ถูกบีบบังคับให้เป็นอิสระ และประกาศปีแห่งความโปรดปรานขององค์พระผู้เป็นเจ้า (ลูกา 4:18-19 อ้างอิงมาจากอิสยาห์ 61:1-3)

มิชชันของพระเยซูนำหน้าการตัดสินใจของพระองค์ในชีวิตประจำวัน เมื่อพระองค์เดินทางจากยูเดียไปยังกาลิลี มิชชันของพระองค์นำหน้าเส้นทางของพระเยซู พวกรับบีชาวยิวมักจะเดินทางไปทางทิศตะวันออกของแม่น้ำจอร์แดนเพื่อหลีกเลี่ยงมลทินของชาวสะมาเรีย อย่างไรก็ตาม เส้นทางของพระเยซูได้รับการนำโดยมิชชันของพระองค์เพื่อแบ่งปันความเมตตาของพระเจ้าให้กับหญิงชาวสะมาเรีย เพราะเหตุนี้ พระองค์จึงเดินทางผ่านสะมาเรีย (ยอห์น 4:4) ในฐานะผู้นำคริสเตียน มิชชันของคุณต้องนำหน้าการตัดสินใจของคุณในแต่ละวัน

ในฐานะผู้นำ มีสิ่งที่คุณต้องทำมากเกินกว่าที่คุณจะบรรลุผลสำเร็จได้ คุณกำหนดลำดับความสำคัญของคุณอย่างไร? คุณทำทุกสิ่งทุกอย่างไม่ได้ และคุณไม่ควรทำทุกสิ่งทุกอย่าง คุณต้องประเมินโอกาสต่าง ๆ จากมิชชันของคุณ ผู้นำทุกคนควรมีรายการสองอย่างคือ “รายการที่ต้องทำ” และ “รายการที่ไม่ต้องทำ” รายการที่ต้องทำรวมถึงสิ่งต่าง ๆ ที่คุณต้องทำให้สำเร็จ รายการที่ไม่ต้องทำรวมถึงสิ่งต่าง ๆ ที่ดึงดูดความสนใจคุณจากมิชชันของคุณ บางคนอาจได้รับการเรียกให้ทำสิ่งต่าง ๆ เหล่านั้น แต่ไม่ใช่คุณ มิชชันของคุณต้องนำหน้าลำดับความสำคัญในทุก ๆ วันของคุณ

อัครทูตของเปาโลเป็นตัวอย่างของผู้นำที่รู้ถึงมิชชันของเขา เปาโลได้รับการเรียกให้ก่อตั้งคริสตจักรในเมืองสำคัญ ๆ ของจักรวรรดิโรม เขาไม่ได้อยากบนรากฐานของใครอื่น แต่นำข่าวประเสริฐไปให้กับคนที่ยังไม่เคยได้ยิน (โรม 15:20) มิชชันนี้นำหน้าว่าเปาโลจะเดินทางไปที่ไหน จะอยู่แต่ละที่นานเท่าไร แม้แต่ข่าวสารที่เขาเทศนา มิชชันของเปาโลนำหน้าทุกการตัดสินใจ

► ขอให้อภิปรายร่วมกันเกี่ยวกับคำถามเหล่านี้

  • อะไรคือมิชชันที่พระเจ้าให้ไว้กับคุณ? สรุปมิชชันของคุณเป็นคำสั้น ๆ ไม่กี่คำ

  • คุณสื่อสารมิชชันของคุณกับคนที่ร่วมรับใช้ในพันธกิจของคุณไหม?

  • มิชชันของคุณนำหน้าการตัดสินใจของคุณในทุกวันหรือไม่?

ผู้นำที่มีประสิทธิภาพฝึกฝนคนอื่นให้เป็นผู้นำ

ตั้งแต่เริ่มต้นพันธกิจของพระเยซู พระองค์เอาใจใส่ในการเลือกและฝึกฝนสาวกกลุ่มหนึ่ง ผู้ที่จะรับช่วงงานพันธกิจของพระองค์หลังจากที่พระองค์กลับไปหาพระบิดา สาวกเหล่านี้ศึกษาเรียนรู้จากพระองค์ ใช้เวลากับพระองค์ ทำงานรับใช้ร่วมกับพระองค์ และเผยแพร่เรื่องราวของพระองค์ไปทั่วโลก พระเยซูประทับตราสาวกเหล่านี้ไว้ด้วยภาพลักษณ์ของพระองค์และจากนั้นก็ใช้พวกเขาสร้างคริสตจักรของพระองค์

[1]ลูกาเขียนเรื่องความกดดันในงานพันธกิจ “ในช่วงนั้นมีฝูงชนนับเป็นพันๆ ชุมนุมเบียดเสียดกันอยู่ พระเยซูทรงเริ่มตรัสกับบรรดาสาวกของพระองค์ก่อน” (ลูกา 12:1) พระเยซูไม่สามารถถูกเบนความสนใจไปจากพันธกิจสร้างสาวกของพระองค์ได้ แม้ว่าการทำพันธกิจกับคนนับพัน ๆ อาจดูตื่นเต้นมากกว่า พระองค์รู้ว่าการจะสถาปนาอาณาจักรได้นั้น พระองค์จะต้องฝึกฝนพวกสาวกให้นำคริสตจักร โดยการฝึกฝนสาวก เราก็เตรียมผู้นำสำหรับรุ่นถัดไป

เปาโลทำตามแบบแผนอย่างเดียวกัน เขาเทศนากับฝูงชน แต่เขาจดจ่อกับการฝึกฝนผู้นำบางคนในแต่ละเมือง นี่เป็นแบบอย่างสำหรับผู้นำในปัจจุบัน เปาโลเรียกให้ศิษยาภิบาลสร้างธรรมิกชนเพื่อทำงานรับใช้ (เอเฟซัส 4:12). ศิษยาภิบาลไม่ใช่คนที่ต้องรับผิดชอบทำงานทุกอย่างในคริสตจักร ศิษยาภิบาลมีความรับผิดชอบในการฝึกฝนและสร้างสมาชิกให้ทำงานของคริสตจักร ผู้นำที่มีประสิทธิภาพฝึกฝนคนอื่นให้เป็นผู้นำ


[1]

“พระเยซูไม่เคยเขียนหนังสือสักเล่ม แต่พระองค์เขียนถ้อยคำของพระองค์ไว้ในมนุษย์ คือพวกอัครทูต”

- William Barclay

แบบอย่างของพระเยซูในการเป็นพี่เลี้ยงให้กับสาวก

พี่เลี้ยงต้องเลือกสาวกด้วยความละเอียดรอบคอบ[1]

► อ่าน ยอห์น 1:35-51 ยอห์น 2:1-11 มัทธิว 4:18-22 ลูกา 5:1-11 และลูกา 6:12-16

เมื่อคุณอ่านข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ คุณสังเกตเห็นกระบวนการไหม? ในช่วงสัปดาห์แรกของพันธกิจในที่สาธารณะ พระเยซูเชื้อเชิญแอนดรูกับยอห์นให้ติดตามพระองค์ แอนดรูพาซีโมนเปโตรมาหาพระเยซู พระเยซูเรียกฟิลิปที่พบกับนาธานาเอล (ยอห์น 1:35-51) นี่คือก้าวแรกของการทรงเรียก พวกเขายอมรับพระเยซู แต่ยังไม่ได้เป็นผู้ติดตามอย่างถาวร นี่คือการเรียกให้ติดตามพระเยซู ต่อมาพระเยซูเรียกพวกเขาให้เป็นสาวกอย่างเต็มตัว

ยอห์น 2 เป็นก้าวที่สำคัญในกระบวนการนี้ ที่งานสมรสในหมู่บ้านคานา พระเยซูสำแดงพระสิริของพระองค์ให้กับพวกสาวก แขกคนอื่น ๆ ไม่รู้เรื่องการอัศจรรย์ หมายสำคัญไม่ไว้สำหรับพวกสาวก พระเยซูเปิดเผยพระองค์เองให้กับผู้ติดตามพระองค์เพื่อพวกเขาจะไว้วางใจในพระองค์ และพวกสาวกของพระองค์ก็เชื่อในพระองค์ (ยอห์น 2:11)

มัทธิว 4:18-22 เกิดขึ้นหลังจากพระเยซูย้ายออกจากนาซาเรธไปยังคารเปอร์นาอูมและเริ่มต้นเทศนา (มัทธิว 4:12-17) ในการเดินบนทะเลกาลิลี พระเยซูเรียกซีโมน แอนดรู ยากอบ และยอห์นให้ติดตามพระองค์ (มัทธิว 4:20) หลังจากริเริ่มการเรียกในยอห์น 1 เหล่าสาวกยังคงทำงานอาชีพประมงอยู่ ตอนนี้พระเยซูเรียกพวกเขาสู่การรับใช้ “ตั้งแต่นี้ไปท่านจะเป็นผู้จับคน” (ลูกา 5:10)

ระยะต่อมาในกระบวนการนี้ พระเยซูเลือกอัครทูตสิบสองคนจากผู้ติดตามจำนวนมาก (เรียกว่า “พวกสาวก” ในยอห์น 6) พระเยซูเลือกสิบสองคนที่จะมาเป็นเพื่อนร่วมงานที่ใกล้ชิดพระองค์มากที่สุด

พระเยซูไม่ได้เร่งรีบเมื่อเลือกอัครทูตสิบสองคน ปรากฏชัดว่ากระบวนการนี้ใช้เวลาหลายเดือน นี่เป็นการให้เวลากับพระเยซูเพื่อใช้เวลากับแต่ละคนเหล่านี้ บ่อยครั้งที่ผู้นำมักจะเร็วในการเลือกคนสานต่อโดยไม่ได้ใช้เวลาเพื่อรู้จักคนนั้นก่อน ผู้นำที่ฉลาดมอบหมายภาระหน้าที่ซึ่งเป็นโอกาสที่จะประเมินความสามารถในการเป็นผู้นำของบุคคล

พี่เลี้ยงต้องใช้เวลากับสาวกของเขา

► อย่างไหนตื่นเต้นมากกว่า ระหว่างการเข้าถึงคนมากมายกับการเป็นพี่เลี้ยงคนไม่กี่คน? อย่างไหนสำคัญมากกว่าในระยะยาว? ทำไมพระเยซูทุ่มเทอย่างมากกับชายสิบสองคน?

พระเยซูอุทิศเวลาจำนวนมากให้กับอัครทูตสิบสองคน “พระองค์จึงทรงแต่งตั้งสิบสองคน (คนที่พระองค์เรียกว่าเป็นอัครสาวก) ไว้ให้อยู่กับพระองค์ เป็นกลุ่มคนที่พระองค์ทรงเรียกว่าอัครทูต เพื่อจะทรงใช้พวกเขาออกไปประกาศ และทรงให้มีสิทธิอำนาจขับผีออกได้” (มาระโก 3:14-15) อย่างแรกพวกเขาจะใช้เวลากับพระองค์เพื่อเรียนรู้วิธีการต่าง ๆ ของพระองค์ ดังนี้แล้วพวกเขาจึงจะพร้อมถูกส่งออกไปทำงานพันธกิจได้

มาระโกบันทึกถึงการเดินทางของพระเยซูผ่านกาลิลี “พระองค์ไม่ทรงประสงค์จะให้ใครรู้ (ว่าพระองค์อยู่ที่นั่น) เพราะว่าพระองค์ทรงกำลังสอนสาวกของพระองค์” (มาระโก 9:30-31) ความห่วงใยพื้นฐานของพระเยซูไม่ใช่การพัฒนาโปรแกรมเพื่อเข้าถึงมหาชน แต่คือการพัฒนาคนเพื่อให้นำคริสตจักร

พระเยซูเทศนาให้กับคนเป็นพัน ๆ แต่ลำดับความสำคัญสูงสุดคือการฝึกฝนคนไม่กี่คนสำหรับพันธกิจในอนาคต พระเยซูรู้ว่าการฝึกฝนจะมีประสิทธิภาพมากกว่าถ้าหากจดจ่อกับกลุ่มเล็ก ๆ โรเบิร์ต โคลแมน เตือนว่า “ยิ่งพันธกิจของคุณเติบโตมากเท่าไร การใช้เวลาเพื่อสร้างสาวกส่วนตัวยิ่งยากมากขึ้น แต่ยิ่งพันธกิจของคุณเติบโตมาก การจัดเวลาเพื่อสร้างสาวกส่วนตัวยิ่งสำคัญมาก”

เมื่อคุณอ่านตลอดทั้งพระกิตติคุณ คุณจะพบว่าพระเยซูไม่ค่อยจะทำพันธกิจโดยไม่มีสาวกอย่างน้อยสามคนอยู่ใกล้ ๆ พระเยซูและสาวกของพระองค์มักจะปลีกตัวออกไปในที่สงบเพื่อการฝึกฝน เมื่อใกล้สิ้นสุดพันธกิจบนโลกนี้ของพระเยซู พระองค์ใช้เวลามากขึ้นกับพวกสาวก ในช่วงสัปดาห์สุดท้ายที่กรุงเยรูซาเล็ม พระเยซูให้สาวกอยู่กับพระองค์เกือบตลอดเวลา การฝึกฝนชายเหล่านี้เป็นภาระหน้าที่สำคัญที่สุดของพระองค์

สุภาษิตของคนยิวบอกว่า “สาวกคือคนที่กินฝุ่นของอาจารย์ของเขา” สาวกเดินใกล้ชิดอาจารย์จนกินฝุ่นที่ฟุ้งตลบขึ้นจากเท้าของอาจารย์ สาวกกินสิ่งที่อาจารย์กิน สาวกไปในที่ที่อาจารย์ไป สาวกอุทิศตัวต่อคำสอนและแบบอย่างของอาจารย์ สาวกของพระเยซูใช้เวลากับพระองค์จนกระทั่งพวกเขาซึมซับอุปนิสัยของอาจารย์ของพวกเขา ต่อมาพวกเขาเป็นที่รู้จักในฐานะ “คริสเตียน” พวกเขาเป็นเหมือนอาจารย์ของพวกเขา

ในทำนองเดียวกัน เปาโลมักมีสาวกอย่างเช่นทิโมธี ทิตัส ลูกา หรือทีคิกัสอยู่กับเขาเสมอ เปาโลฝึกฝนพวกเขาให้ทำพันธกิจโดยการใช้เวลากับพวกเขา

อีกครั้งที่สิ่งนี้ให้แบบอย่างแก่เราในวันนี้ เมื่อคุณทำพันธกิจ คุณสามารถหนุนใจให้สมาชิกทีมรุ่นหนุ่มสาวตามอย่างคุณ เพื่อพวกเขาจะเรียนรู้การรับใช้ ผู้นำคริสตจักรที่ประสบความสำเร็จคนหนึ่งกล่าวว่า “ผมไม่เคยเดินทางรับใช้โดยไม่เอาผู้รับใช้อ่อนวัยกว่าไปกับผมด้วย การฝึกฝนผู้นำคริสตจักรในอนาคตเป็นสิ่งสำคัญสำหรับผมเท่ากับงานรับใช้ที่ผมกำลังทำอยู่” ศิษยาภิบาลคนนี้เข้าใจว่าผู้นำที่มีประสิทธิภาพฝึกฝนคนอื่นให้เป็นผู้นำ

พี่เลี้ยงต้องเป็นแบบอย่างในการทำพันธกิจให้กับสาวกของเขา

หลังจากล้างเท้าให้กับสาวกแล้ว พระเยซูตรัสว่า “เพราะว่าเราวางแบบอย่างแก่พวกท่านแล้ว เพื่อให้ท่านทำเหมือนอย่างที่เราทำกับท่านด้วย” (ยอห์น 13:15) พระเยซูสอนโดยการเป็นแบบอย่าง พระองค์รู้ว่าการพูดว่า “ทำสิ่งนี้” อย่างเดียวไม่เพียงพอ เราต้องสาธิตวิธีการทำสิ่งนั้น พระเยซูไม่ได้ขอให้พวกสาวกทำสิ่งใดจนกว่าพระองค์จะสาธิตให้เห็นก่อน

พวกสาวกมองเห็นพระเยซูอธิษฐานและจากนั้นจึงขอว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอทรงสอนพวกข้าพระองค์อธิษฐาน” (ลูกา 11:1) พระเยซูไม่ได้ให้บทเรียนเรื่องการอธิษฐานเท่านั้น แต่พระองค์อธิษฐาน เมื่อพวกเขาเฝ้าดูพระองค์อธิษฐาน พวกสาวกก็หิวกระหายที่จะเข้าใจเรื่องการอธิษฐาน เมื่อผู้เรียนหิวกระหายที่จะเรียน พวกเขาก็เรียนได้ดีขึ้น!

พวกสาวกได้ยินพระเยซูใช้พระวจนะในการเทศนา พระเยซูอ้างอิงถึงพันธสัญญาเดิมบ่อยครั้ง พระองค์เป็นแบบอย่างการเทศนาตามพระคัมภีร์ พวกสาวกเรียนรู้บทเรียนนี้ไหม? แน่นอน! เมื่อเปโตรเทศนาในกิจการบทที่ 2 เขาอ้างอิงพระธรรมโยเอล สดุดี 16 และสดุดี 110 เปโตรเรียนรู้จากพระเยซูในการสร้างคำเทศนาบนพื้นฐานของพระคัมภีร์ ทุกคำเทศนาในกิจการอ้างอิงถึงพันธสัญญาเดิม

เปาโลทำตามวิธีการอย่างเดียวกันนี้ เขาเขียนซ้ำ ๆ ว่า “ท่านได้เห็นข้าพเจ้าเป็นแบบอย่างแล้ว จงทำตามแบบอย่างของข้าพเจ้า”[2] เปาโลสอนโดยการเป็นแบบอย่าง พวกสาวกอย่างทิตัสและทิโมธีได้เรียนรู้ที่จะอภิบาลคริสตจักรโดยการทำตามแบบอย่างพี่เลี้ยงของพวกเขาคือเปาโล

วันนี้เราควรเป็นแบบอย่างการทำพันธกิจให้กับคนที่เราฝึกฝน พวกเขามองเห็นความสำเร็จและความล้มเหลวของเรา ส่วนใหญ่พวกเขาจะสังเกตเห็นอุปนิสัยของเราเมื่อเรายอมรับความผิดพลาดและเรียนรู้ พวกสาวกเรียนรู้ความเป็นจริงของพันธกิจโดยการเฝ้าดูการเป็นแบบอย่างของเรา

พี่เลี้ยงต้องกระจายความรับผิดชอบให้กับสาวกของเขา

► อ่าน มัทธิว 10:5-11:1

จากจุดเริ่มต้น วัตถุประสงค์ของพระเยซูคือเตรียมพวกสาวกสำหรับงานรับใช้ พระองค์เรียกพวกเขาให้ติดตามเพื่อพระองค์จะทำให้พวกเขาเป็นผู้จับคนดั่งจับปลาได้ (มัทธิว 4:19)

ในช่วงระหว่างปีแรก ๆ ที่อยู่กับพระเยซู พวกสาวกสังเกตการณ์รับใช้ของพระองค์ พวกเขาเรียนรู้จากการเป็นแบบอย่างของพระองค์ หลังจากการสังเกตนั้น พระเยซูก็ส่งพวกสาวกออกไปรับใช้ มัทธิวบทที่ 10 แสดงให้เห็นวิธีที่พระเยซูกระจายความรับผิดชอบให้กับพวกสาวก

พระองค์ให้สิทธิอำนาจแก่พวกเขา (มัทธิว 10:1)

ก่อนส่งพวกเขาออกไป พระเยซูให้สิทธิอำนาจแก่พวกสาวกเพื่อทำงานมิชชันที่พระองค์มอบหมายให้ บางครั้งผู้นำกลัวที่จะให้สิทธิอำนาจแก่ผู้ช่วยของพวกเขา อย่างไรก็ตาม ความรับผิดชอบที่ปราศจากสิทธิอำนาจก็ทำให้คนที่คุณกำลังฝึกฝนใช้การไม่ได้ เราต้องไม่ให้ความรับผิดชอบแก่ผู้ช่วยของเราจนกว่าเราจะให้สิทธิอำนาจแก่พวกเขาอย่างเพียงพอเพื่อจะทำให้ความรับผิดชอบบรรลุผลได้

พระองค์ให้คำสั่งอย่างชัดเจนแก่พวกเขา (มัทธิว 10:5-42)

พระเยซูให้คำสั่งแก่พวกสาวกอย่างชัดเจนคือ จงประกาศเรื่องแผ่นดินสวรรค์ งานมอบหมายของพวกเขานั้นชัดเจน พวกเขารู้ชัดถึงสิ่งที่พระเยซูคาดหวังให้พวกเขาทำ

พระเยซูบอกพวกสาวกว่าพวกเขาควรรับใช้ที่ไหน คือต่อแกะหลงหายของวงศ์วานอิสราเอล ต่อมาพวกอัครทูตจะเทศนาให้กับคนต่างชาติ แต่เมื่อพวกเขากำลังเรียนรู้การรับใช้ พระเยซูบอกให้พวกเขาเริ่มต้นจากใกล้บ้านก่อน เราควรทำทุกสิ่งที่เป็นไปได้เพื่อช่วยให้ผู้เรียนของเราประสบความสำเร็จ เริ่มต้นด้วยภาระหน้าที่ที่สำเร็จได้ง่าย พระเยซูตั้งเป้าหมายที่สมเหตุสมผล

พระเยซูให้คำสั่งแก่พวกสาวกเรื่องการข่มเหง การข่มเหงจะเกิดขึ้นไม่ใช่เพราะพวกสาวกล้มเหลวในการทำพันธกิจ แต่เพราะการทรงเรียกให้เชื่อฟังพระเยซูนำการแบ่งแยกมาระหว่างคนที่ติดตามพระองค์กับคนที่ปฏิเสธพระองค์

พระองค์ส่งพวกเขาไปเป็นทีม (มาระโก 6:7)

พระเยซูแสดงให้เห็นถึงความสำคัญของทีมในการทำพันธกิจ พระองค์ส่งพวกสาวกไปเป็นทีมละสองคน ไม่กี่เดือนต่อมา พระเยซูส่งสาวกออกไป 72 คนโดยแบ่งเป็นทีมละสองคน (ลูกา 10:1) นี่กลายเป็นต้นแบบสำหรับการทำพันธกิจในคริสตจักรยุคแรก เปโตรกับยอห์นรับใช้ด้วยกัน บารนาบัสกับเซาโลเดินทางไปด้วยกัน เปาโลกับสิลาสรับใช้ด้วยกัน

พี่เลี้ยงต้องกำกับดูแลสาวกของเขา

หลังจากพวกสาวกกลับจากการทำพันธกิจ พวกเขามารายงานต่อพระเยซู (มาระโก 6:30) การติดตามผลเป็นส่วนที่สำคัญสำหรับการฝึกฝนสาวกของพระเยซู การกระจายความรับผิดชอบอย่างเดียวยังไม่เพียงพอ ผู้นำที่มีประสิทธิภาพจะประเมินการปฏิบัติงานของสาวกด้วย การกระจายโดยไม่ประเมินทำให้การปฏิบัติหน้าที่ไม่พัฒนา

► อ่าน มัทธิว 17:14-21

ฮาวเวิร์ด เฮ็นดริก สอนว่าความล้มเหลวเป็นส่วนสำคัญของกระบวนการเรียนรู้ พวกสาวกถามว่า “ทำไมพวกเราจึงขับผีออกจากเด็กชายคนนี้ไม่ได้?” พระเยซูตอบโดยการสอนพวกเขาเกี่ยวกับความเชื่อ การล้มเหลวในระยะแรกของพันธกิจก็ดีกว่าล้มเหลวตอนที่พระเยซูได้กลับไปสวรรค์แล้ว!

การกำกับดูแลพวกสาวกอย่างมีประสิทธิภาพจะต้องมีการประเมินผลด้วย เมื่อสาวกล้มเหลวในภารกิจ เขาจะไม่ถูกไล่ออกจากทีม แต่เราต้องตรวจสอบสาเหตุของความล้มเหลวและวางแผนเพื่อปรับปรุงในอนาคต

พระเยซูแสดงแบบแผนนี้ให้เห็นใน ลูกาบทที่ 9

  • ใน 9:1-6 พระเยซูส่งสาวกสิบสองคนออกไป

  • ใน 9:10 พวกเขามารายงานพระองค์เกี่ยวกับการเดินทางทำพันธกิจนั้น

  • ใน 9:37-43 พวกสาวกล้มเหลวในการขับผี

  • ใน 9:46-48 พระเยซูสอนพวกเขาเกี่ยวกับคนที่เป็นใหญ่ในอาณาจักรของพระเจ้า

  • ใน 9:49-50 พระเยซูว่ากล่าวยอห์นสำหรับการตัดสินใจที่ไม่ดีในงานพันธกิจ

  • ใน 9:52 พระเยซูส่งพวกสาวกออกไปเตรียมการสำหรับเยี่ยมเยียนหมู่บ้านหนึ่งในแคว้นสะมาเรีย

  • ใน 9:54-55 พระเยซูว่ากล่าวยากอบและยอห์นสำหรับการตัดสินใจที่ไม่ดีอีกครั้งหนึ่งในงานพันธกิจ

  • ใน 10:1 พระเยซูส่งสาวกกลุ่มใหญ่กว่าออกไปทำพันธกิจ

พระเยซูสลับระหว่างการสอน การกระจายงาน และการประเมินผล พระองค์ไม่ได้ถอดใจกับพวกสาวก แม้เมื่อพวกเขาล้มเหลว แต่พระองค์ใช้ความล้มเหลวเป็นโอกาสในการสอน

ต่อมาเปาโลทำตามแบบแผนนี้ เขาแต่งตั้งทิตัสให้นำคริสตจักรบนเกาะครีต และให้ทิโมธีเป็นศิษยาภิบาลของคริสตจักรที่เอเฟซัส จากนั้นเขาเขียนจดหมายเพื่อให้การฝึกฝนเพิ่มเติม หลังจากก่อตั้งคริสตจักรในช่วงการเดินทางทำพันธกิจครั้งแรก เปาโลกลับไปอีกครั้งที่สองเพื่อกำกับดูแลคริสตจักร (กิจการ 15:36)

แบบแผนสำหรับการฝึกฝนนี้ยังคงใช้การได้ในปัจจุบัน ผู้นำหลายคนส่งผู้รับใช้หนุ่มสาวออกไปโดยไม่ได้กำกับดูแลหรือให้มีการรายงานตัวอย่างต่อเนื่อง และพวกเขาก็ประหลาดใจที่คนเหล่านั้นล้มเหลว เราต้องไม่คิดว่า “ฉันสอนบทเรียนแล้ว พวกเขาก็จะทำได้อย่างถูกต้องเอง” แต่การกำกับดูแลเป็นกระบวนการที่ต่อเนื่อง ถ้าหากคุณต้องการฝึกฝนผู้นำ คุณต้องลงทุนเวลาในการกำกับดูแล

ฮาวเวิร์ด เฮ็นดริกส์ เขียนขั้นตอนการฝึกฝนสี่ขั้นตอนสำหรับคนที่พึ่งเริ่มต้นทำงาน

1. บอก: สอนเนื้อหาให้พวกเขา พระเยซูเทศนาเรื่องอาณาจักรของพระเจ้าให้กับพวกสาวก

2. แสดงให้เห็น: จัดเตรียมแบบอย่างการทำพันธกิจ พระเยซูแสดงให้สาวกเห็นว่าพันธกิจเป็นอย่างไร

3. ฝึกปฏิบัติ: พันธกิจภายใต้การกำกับดูแล พระเยซูส่งพวกสาวกออกไปทำพันธกิจและจากนั้นจึงประเมินผลประสบการณ์ของพวกเขา

4. ลงมือทำ: พันธกิจที่ไม่ต้องมีการกำกับดูแล หลังจากวันเพ็นเทคอส พวกสาวกทำพันธกิจได้โดยไม่ต้องให้พระเยซูคอยกำกับดูแล

► คุณทำสิ่งใดเพื่อฝึกฝนสาวกให้เป็นผู้นำบ้าง? จากขั้นตอนที่เราได้ศึกษาเรียนรู้ ขั้นตอนใดที่คุณทำได้อย่างมีประสิทธิภาพ? ขั้นตอนใดที่คุณต้องพัฒนา? ขอให้อภิปรายร่วมกันเป็นกลุ่มว่าคุณจะเพิ่มประสิทธิภาพในการเป็นพี่เลี้ยงผู้นำในอนาคตได้อย่างไร การอภิปรายนี้ควรต่อเนื่องไปจนกว่าคุณจะมีแผนพัฒนาผู้นำในการจัดตั้งพันธกิจของคุณ

สาวกของพวกเราต้องผลิตสาวกต่อ ๆ ไป

พระเยซูตรัสกับพวกสาวกว่า “ท่านไม่ได้เลือกเรา แต่เราเลือกพวกท่านและแต่งตั้งท่านให้ไปเกิดผลและเพื่อให้ผลของท่านคงอยู่...” (ยอห์น 15:16) พระเยซูฝึกฝนพวกสาวกให้ผลิตสาวกเพิ่มมากขึ้น

► อ่าน มัทธิว 13:31-32

คำอุปมาของพระเยซูเรื่องเมล็ดมัสตาร์ดแสดงให้เห็นว่าอาณาจักรของพระเจ้าจะเติบโตขยายไปมากกว่าปกติ เหมือนกับเมล็ดมัสตาร์ดเล็ก ๆ บาง ๆ ที่เติบโตเป็นต้นพืชที่มีขนาดใหญ่กว่าที่คาดไว้ คริสตจักรจะเติบโตไปไกลเกินกว่าใคร ๆ จะคาดหวังได้ ในพันธสัญญาเดิม นกที่มาอาศัยอยู่บนกิ่งก้านของต้นไม้แทนถึงอาณาจักรยิ่งใหญ่ที่มีหลายชนชาติ (ดาเนียล 4:12 และเอเสเคียล 31:6) พระเยซูสัญญาว่าเมื่อพวกสาวกผลิตสาวกมากขึ้น คริสตจักรจะเติบโตไปไกลกว่าขนาดปกติและจะไปถึงชนทุกชาติ

ดร.โรเบิร์ต โคลแมน เขียนไว้ว่าการประเมินผลสูงสุดของพันธกิจของเราคือการผลิตซ้ำ “ในทีสุดเราทุกคนต้องประเมินว่าชีวิตของเรากำลังทวีคูณขึ้นอย่างไร คนเหล่านั้นที่เราได้รับมอบหมายไว้จะมองเห็นนิมิตแห่งพระมหาบัญชาไหม และพวกเขาจะส่งต่อให้กับผู้รับใช้สัตย์ซื่อทั้งหลายผู้ที่จะสอนคนอื่นต่อ ๆ ไปไหม? เวลาจะมาถึงอย่างรวดเร็วเกินไปเมื่อพันธกิจของเราจะอยู่ในมือของพวกเขา”[3]


[1]ดัดแปลงจาก Robert Coleman, The Master Plan of Evangelism. (Grand Rapids: Baker Book House, 1963)
[2]ตัวอย่างรวมทั้ง 1 โครินธ์ 11:1, ฟิลิปปี 3:17, ฟิลิปปี 4:9
[3]Robert Coleman, “The Jesus Way to Win the World: Living the Great Commission Every Day.” Evangelical Theological Society, 2003.

พิจารณารายละเอียด: คำอธิษฐานของพระเยซูผู้เป็นมหาปุโรหิต

ช่วงตอนกลางของคำอธิษฐานของพระเยซูผู้เป็นมหาปุโรหิตเน้นที่พวกสาวกของพระองค์ (ยอห์น 17:6-19) คำอธิษฐานนี้สอนบทเรียนอันทรงคุณค่าเกี่ยวกับวิธีการของพระเยซูในการเป็นพี่เลี้ยงให้กับพวกสาวก[1]

(1) ในตอนแรก เราปกป้องคนที่เราเป็นพี่เลี้ยง

พระเยซูอธิษฐานว่า “เมื่อข้าพระองค์ยังอยู่กับพวกเขา ข้าพระองค์ก็พิทักษ์รักษาเขา” มี 20 ครั้งในพระกิตติคุณที่พระเยซูบอกกับสาวกให้ระมัดระวังอันตราย พระองค์ปกป้องพวกเขาจากความผิดพลาด เมื่อเราฝึกฝนพวกสาวก เราต้องปกป้องพวกเขาจากอันรายในโลกของพวกเขา การฝึกฝนของเราต้องเป็นไปในเชิงปฏิบัติ

► อะไรคืออันตรายที่ผู้รับใช้หนุ่มสาวต้องเผชิญในวัฒนธรรมของคุณ? ในฐานพี่เลี้ยง คุณจะเตรียมพวกเขาให้รับมือกับอันตรายเหล่านี้ได้อย่างไร?

(2) เมื่อพวกเขาเป็นผู้ใหญ่ เราไว้ใจคนที่เราเป็นพี่เลี้ยง

พระเยซูอธิษฐานว่า “ข้าพระองค์ไม่ได้ขอให้พระองค์เอาพวกเขาออกไปจากโลก แต่ขอให้ปกป้องเขาไว้ให้พ้นจากมารร้าย” (ยอห์น 17:15) พระเยซูรู้ว่าพวกสาวกจะเผชิญกับการทดลองต่าง ๆ แต่พระองค์มั่นใจในตัวคนเหล่านั้นที่พระองค์ได้ฝึกฝนมา เราต้องเรียนรู้ที่จะไว้ใจผู้นำหนุ่มสาวที่เราฝึกฝน สิ่งนี้เรียกร้องให้เรายอมจำนนที่จะถือสิทธิขาดในการเป็นผู้นำและให้เราไว้ใจคนอื่นเพื่อตัดสินใจเรื่องสำคัญ ๆ

อาจิธ เฟอร์นาโด เขียนว่ามีสองวิธีที่ผู้นำมองดูผู้ติดตามของพวกเขา

  • ผู้นำอ่อนแอจดจ่อกับจุดอ่อนของผู้ติดตาม

  • ผู้นำที่มีประสิทธิภาพจดจ่อที่จุดแข็งของผู้ติดตามของพวกเขาในขณะเดียวกันก็พัฒนาจุดอ่อน ผู้นำที่มีประสิทธิภาพมองคนอื่น “ด้วยสายตาแห่งความหวัง”

(3) หลังจากที่พวกเขาได้รับการฝึกฝน เราส่งพวกสาวกออกไปรับใช้ในโลกนี้

พระเยซูอธิษฐานว่า “พระองค์ทรงใช้ข้าพระองค์มาในโลกอย่างไร ข้าพระองค์ก็ใช้พวกเขาไปในโลกอย่างนั้น” (ยอห์น 17:18) หลังจากวันเพ็นเทคอส พวกสาวกเริ่มต้นพันธกิจที่ยิ่งใหญ่อย่างที่พระเยซูได้เตรียมพวกเขามาแล้ว เราเป็นพี่เลี้ยงให้กับพวกสาวกเพื่อในที่สุดพวกเขาก็สามารถนำข่าวประเสริฐไปยังโลกที่ขัดสนได้

พระเยซูตรัสว่า “ข้าพระองค์ได้รับเกียรติในตัวพวกเขา” (ยอห์น 17:10) เมื่อเราส่งคนที่เราฝึกฝนออกไป เราต้องแน่ใจว่าพระเยซูได้รับเกียรติ เราอาจถูกทดลองให้แย่งชิงเกียรติจากพระเยซูโดยคนเหล่านั้นที่เราได้ฝึกฝน เราอาจถูกล่อใจให้รับเกียรติจากความสามารถของเราในการสร้างคนอื่นให้เป็นสาวก แทนที่จะเป็นอย่างนั้นเราต้องแน่ใจว่าเกียรติเป็นของพระเจ้าผู้เดียวเท่านั้น


[1]Adapted from Ajith Fernando, Jesus Driven Ministry (Wheaton, Illinois: Crossway Books, 2002), 172-173

การประยุกต์ใช้: คุณค่าของทีมพันธกิจ

แบบอย่างของพระเยซูแสดงให้เห็นความสำคัญของทีมพันธกิจ ทีมพันธกิจเกี่ยวข้องกับทั้งการเป็นพี่เลี้ยงให้กับผู้ร่วมงานหนุ่มสาวและการสร้างความสัมพันธ์กับเพื่อนศิษยาภิบาล เราถูกสร้างมาเพื่อให้มีความสัมพันธ์กับคนอื่น ๆ ทำไมทีมงานจึงสำคัญ?

ทีมงานทำให้เกิดความสมดุล

พระเยซูเลือกคนที่มาจากพื้นภูมิหลากหลาย เปโตรและยอห์นมีความสามารถทัดเทียมกันมาตลอด มัทธิวทำงานให้กับโรม ในขณะที่ซีโมนพรรคชาตินิยมอยากขับไล่ชาวโรมันให้ออกไปจากแคว้นยูเดีย คนเหล่านี้อยู่ฝ่ายตรงข้ามกัน ในการเลือกสาวก พระเยซูเลือกกลุ่มคนที่แตกต่างกัน

แม้ว่าเรามักจะเห็นความยากของการมีคนที่อยู่ฝ่ายตรงกันข้ามมาอยู่ในทีมเดียวกัน เราไม่ควรเพิกเฉยต่อผลดีของบุคลิกภาพที่แตกต่างกันเหล่านี้ อัครทูตอย่างเปโตรเร็วในการป่าวประกาศเรื่องใหญ่ ๆ เขาถูกทำให้สมดุลโดยอัครทูตที่ระมัดระวังอย่างโธมัสและอันดรูว์ คริสตจักรยุคแรกได้รับประโยชน์จากบุคลิกภาพที่แตกต่างกันในการเป็นผู้นำนี้

ผู้นำที่ฉลาดค้นหาสมาชิกทีมจากคนที่มีพื้นภูมิแตกต่างกัน ทีมที่เข้มแข็งนำความแข็งแกร่งที่แตกต่างกันมาสู่ผู้นำคริสตจักร สมาชิกทีมคนหนึ่งอาจมีความเข้าใจเกี่ยวกับปัญหาทางการเงินได้ดีกว่า อีกคนอาจมีจุดเด่นในการสร้างความสัมพันธ์ส่วนตัว อีกคนอาจค้นพบข้อมูลเชิงลึกด้านพระคัมภีร์ ทุกคนมารวมตัวกันเพื่อสร้างความเป็นผู้นำที่สมดุลสำหรับคริสตจักร

ทีมงานให้คำปรึกษาที่ชาญฉลาด

เมื่อพระเยซูฝึกฝนพวกสาวก พระองค์รู้ว่ากำลังวางรากฐานสำหรับคริสตจักร หลังจากวันเพ็นเทคอส ย่อมจะต้องมีการตัดสินใจในเรื่องยาก ๆ เกิดขึ้นในคริสตจักรยุคแรก พระเยซูรู้ว่าพวกสาวกจำเป็นต้องมีกันและกันเมื่อพวกเขาต้องตัดสินใจเรื่องเหล่านี้

หนึ่งในการตัดสินใจที่คริสตจักรยุคแรกเผชิญคือ “ผู้เชื่อที่เป็นคนต่างชาติจะเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรได้อย่างไร? พวกเขาจำเป็นต้องทำตามกฎบัญญัติทุกข้อของคนยิวไหม?” ถึงแม้ว่าเรื่องนี้ดูง่ายสำหรับเรา แต่มันเป็นการตัดสินใจที่ยากเรื่องหนึ่ง เรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับความชอบส่วนตัว อาหารและการเข้าสุหนัตตั้งอยู่บนพื้นฐานของพันธสัญญาเดิม การตัดสินใจนี้มีผลระยะยาว ในทุกวันนี้ คุณและผมได้รับผลกระทบจากการตัดสินใจนี้ คือถ้าหากสภาที่เยรูซาเล็มไม่ได้ตัดสินใจแบบนี้ คริสเตียนที่เป็นคนต่างชาติก็จำเป็นต้องถูกผูกมัดเข้ากับกฎบัญญัติของคนยิว

ในกิจการ 15 แสดงให้เห็นว่าคริสตจักรยุคแรกจัดการกับประเด็นที่สำคัญนี้อย่างไร หลังจากได้ยินมุมมองที่แตกต่างกันแล้ว พวกเขาก็มาถึงจุดที่ต้องตัดสินใจ ในจดหมายถึงคริสตจักรของคนต่างชาติ อัครทูตทั้งหลายใช้วลีงดงามเพื่ออธิบายถึงการตัดสินใจนั้น “เพราะว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์และเราเห็นชอบที่จะไม่วางภาระบนพวกท่านเว้นแต่สิ่งต่างๆ ที่จำเป็น” (กิจการ 15:28) พระวิญญาณนำโดยการนำให้ผู้นำคริสตจักรมารวมตัวกัน อนุญาตให้พวกเขาแบ่งปันความคิดเห็น และจากนั้นนำทั้งกลุ่มให้ตัดสินใจอย่างถูกต้อง

ผู้เขียนสุภาษิตเน้นถึงคุณค่าของมุมมองหลากหลายเมื่อมีการตัดสินใจ

  • ทางของคนโง่นั้นถูกต้องในสายตาของเขาเอง แต่คนมีปัญญาย่อมฟังคำแนะนำ (สุภาษิต 12:15)

  • แต่โดยมีที่ปรึกษามาก ก็มีความปลอดภัย (สุภาษิต 11:14)

  • เพราะโดยการชี้แนะ เจ้าจะทำสงครามได้ และโดยมีที่ปรึกษามาก ย่อมมีชัยชนะ (สุภาษิต 24:6)

นี่คือหลักการสำคัญสำหรับผู้นำคริสตจักร ถ้าหากคุณไม่เต็มใจฟังคนอื่น สุภาษิตบอกว่าคุณก็ไม่ฉลาด คนโง่คิดเสมอว่าเขาถูกต้อง แต่คนฉลาดเต็มใจยอมฟังคนอื่น

ถ้าหากจุดประสงค์ของทีมคือให้คำปรึกษาที่ชาญฉลาด เราจำเป็นต้องมีคนที่คิดแตกต่างจากเรา เราต้องแน่ใจว่าในการเลือกทีม เราไม่ได้มองหาคนที่เหมือนเราทุกอย่าง เราไม่ได้จำเป็นต้องมีคนที่เห็นด้วยกับเราอย่างรวดเร็ว

ทีมงานให้การหนุนใจ

ปัญญาจารย์อธิบายถึงผลประโยชน์ของทีม “สองคนดีกว่าคนเดียว เพราะว่าเขาทั้งสองได้รับรางวัลดีสำหรับการตรากตรำของพวกเขา เพราะว่าถ้าพวกเขาล้มลง คนหนึ่งจะได้พยุงเพื่อนของตนให้ลุกขึ้น แต่วิบัติแก่คนนั้นที่อยู่คนเดียวเมื่อเขาล้มลง และไม่มีใครพยุงเขาให้ลุกขึ้น” (ปัญญาจารย์ 4:9-10)

เมื่อคริสตจักรเผชิญกับการต่อต้าน อัครทูตทั้งหลายหนุนใจกันและกัน ลูกาใช้วลีว่า “เป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน” เพื่ออธิบายถึงการสนับสนุนซึ่งกันและกันระหว่างสมาชิกคริสตจักรยุคแรก

มิชชันนารีผู้ยิ่งใหญ่ชื่อว่า ฮัดสัน เทย์เลอร์ อธิบายภาพของหลักการนี้ เทย์เลอร์ไปที่ประเทศจีนด้วยภาระใจแรงกล้าสำหรับพันธกิจ แต่ไม่ช้านานเขาก็ท้อใจ ผู้สนับสนุนบางคนของเขาเลิกช่วยเหลือทางการเงิน มิชชันนารีที่ถูกจัดตั้งขึ้นต่างก็วิจารณ์เขา แม้แต่รัฐบาลอังกฤษก็คัดค้านงานของเขา คู่หมั้นของเขาเขียนจดหมายถึงเขาจากประเทศอังกฤษเพื่อบอกว่าเธอไม่แน่ใจเรื่องการแต่งงานกับมิชชันนารี เทย์เลอร์ท้อแท้และพร้อมที่จะกลับบ้าน

ในช่วงเวลานี้เอง มิชชันนารีชาวสก๊อตที่อาวุโสกว่าชื่อว่า วิลเลียม เบิร์น ใช้เวลาเจ็ดเดือนกับ ฮัดสัน เทย์เลอร์ ในการเดินทางประกาศข่าวประเสริฐในประเทศจีน ชายสองคนเดินทางไปด้วยกัน อธิษฐานด้วยกัน และเทศนาด้วยกัน ในช่วงการเดินทางครั้งนั้น เทย์เลอร์ได้รับนิมิตอีกครั้งสำหรับประเทศจีน จอห์น พอลล็อค เขียนไว้ว่า “วิลเลียม เบิร์น ได้ช่วยกู้ ฮัดสัน เทย์เลอร์ ให้รอดพ้นจากตัวเอง”

ต่อมา ฮัดสัน เทย์เลอร์ ได้จัดตั้งมิชชันในประเทศจีนและเป็นที่รู้จักในฐานะหนึ่งในคณะมิชชันนารีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดของยุคกลาง วิลเลียม เบิร์น แทบไม่เป็นที่รู้จัก อย่างไรก็ตาม วิลเลียม เบิร์น เหมาะสมที่จะได้รับความเชื่อถือสำหรับคนนับพัน ๆ ที่กลับใจมาเชื่อผ่านทางมิชชันในประเทศจีนนี้ เบิร์นหนุนใจ ฮัดสัน เทย์เลอร์ ในช่วงวิกฤติ ทีมงานให้การหนุนใจ

ทีมงานช่วยตรวจสอบชีวิต

เราแต่ละคนมีจุดบอด มีคุณลักษณะต่าง ๆ ที่เรามองไม่เห็นตัวเราเอง เราเอาจุดอ่อนจากพื้นภูมิครอบครัว จากชีวิตก่อนเป็นคริสเตียน และจากบุคลิกภาพส่วนตัวเข้ามาในพันธกิจด้วย สิ่งเหล่านั้นมีผลกระทบต่อพันธกิจของเรา

เราอาจมองไม่เห็นจุดอ่อนเหล่านี้ในตัวของเรา แต่ทีมคนอื่นอาจเตือนเราถึงด้านต่าง ๆ เหล่านี้ที่สามารถทำลายพันธกิจของเราได้ ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูเรียกให้คริสตจักรปลุกใจกันเพื่อทำการดี (ฮีบรู 10:24) คำกรีกดั้งเดิมของคำว่า “ปลุกใจ” มีแนวคิดของการกระทุ้งหรือกระตุ้นใครบางคน ในเวลานั้นสิ่งนี้ไม่เป็นที่ยอมรับ ไม่มีเราคนใดที่ชอบถูกกระตุ้น แต่การตรวจสอบชีวิตมีคุณค่า ผู้นำคริสเตียนทุกคนจำเป็นต้องมีอย่างน้อยหนึ่งคนที่พูดได้ว่า “ทำแบบนี้ไม่ฉลาด คุณควรพิจารณาใหม่อีกรอบ”

จากอารามในยุคกลางและการประชุมในชั้นเรียนของเวสเลย์ ไปจนถึงกลุ่มสมัยใหม่อย่างเช่น พรอมมิสคีพเปอร์ (ผู้รักษาพระสัญญา) พวกผู้นำคริสเตียนรักษาประเพณีการตรวจสอบชีวิตกันมาอย่างยาวนาน ผู้นำคริสตจักรในวันนี้รับผลประโยชน์จากการตรวจสอบชีวิตรายสัปดาห์ ซึ่งตรวจสอบชีวิตได้ทั้งแบบหนึ่งต่อหนึ่ง ในกลุ่มย่อย หรือแม้แต่โดยทางโทรศัพท์ การตรวจสอบชีวิตนี้สามารถเตือนเราถึงอันตรายฝ่ายวิญญาณก่อนที่เราจะไปไกลเกินไป

การตรวจสอบชีวิตที่ดีจำเป็นต้องมีคนที่เป็นคู่ตรวจสอบที่ซื่อสัตย์เต็มที่และมีความมั่นใจเต็มที่ระหว่างคู่ที่ตรวจสอบชีวิตกัน คุณสามารถค้นหาตัวอย่างคำถามเพื่อตรวจสอบชีวิตได้มากมาย หนึ่งรายการในนั้นประกอบไปด้วยคำถามต่อไปนี้

  • สัปดาห์นี้ คุณได้ใช้เวลากับพระเจ้าเป็นประจำทุกวันไหม?

  • สัปดาห์นี้ คุณได้ประนีประนอมเรื่องความซื่อสัตย์อะไรบ้างไหม?

  • สัปดาห์นี้ ความคิดของคุณบริสุทธิ์ไหม?

  • สัปดาห์นี้ คุณได้ทำบาปทางเพศบ้างไหม?

  • สัปดาห์นี้ คุณทำสิ่งใดที่มีความหมายต่อภรรยาของคุณบ้าง (หรือสามี)?

  • สัปดาห์นี้ คุณได้แบ่งปันความเชื่อกับคนที่ยังไม่เชื่อบ้างไหม?

  • คุณตอบแต่ละคำถามเหล่านี้ตามความจริงไหม?

การตรวจสอบชีวิตของทีมเป็นสิ่งสำคัญในช่วงที่มีการทดลอง ในการเขียนจดหมายถึงศิษยาภิบาลหนุ่ม เปาโลให้คำปรึกษาถึงวิธีการสร้างพันธกิจอย่างยั่งยืน เปาโลเตือนทิโมธีให้ “เพราะฉะนั้นท่านจงหลีกหนีจากตัณหาของคนหนุ่ม และจงมุ่งมั่นในความชอบธรรม ความเชื่อ ความรัก และสันติสุขร่วมกับพวกที่ออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยใจบริสุทธิ์” (2 ทิโมธี 2:22) เปาโลเข้าใจว่าชีวิตฝ่ายวิญญาณของทิโมธีจะได้รับผลดีจากการร่วมกันกับผู้ติดตามพระเจ้าคนอื่น ๆ ที่ออกพระนามขององค์พระผู้เป็นเจ้าด้วยใจบริสุทธิ์

► ถ้าคุณเป็นส่วนหนึ่งของทีมพันธกิจ ขอให้แบ่งปันถึงผลดีที่คุณได้รับจากทีมของคุณ อะไรคือความท้าทายของการเป็นส่วนหนึ่งในทีมพันธกิจ?

การทำงานร่วมกันกับทีม

พระเยซูสร้างทีมที่เป็นหนึ่งเดียวกันจากผู้คนที่มีบุคลิกลักษณะแตกต่างกัน พระเยซูยอมรับความแตกต่างของพวกเขาและสร้างทีมเดียวกันที่สามารถนำคริสตจักรในยุคแรกได้ คริสตจักรจำเป็นต้องมีผู้นำที่กล้าหาญอย่างเปโตร และจำเป็นต้องมีคนที่จิตวิญญาณเงียบสงบแบบฟิลิป หนึ่งในความท้าทายยิ่งใหญ่สำหรับผู้นำคือการสร้างกลุ่มผู้เชื่อทั้งหลายให้เป็นทีมเดียวกัน

อาจิธ เฟอร์นาโด ผู้นำคริสตจักรจากประเทศศรีลังกา เขาเข้าใจดีถึงความท้าทายในการสร้างทีม เขาเขียนไว้ว่า...

บางทีโศกนาฏกรรมที่เกิดขึ้นกับคริสตจักรอีแวนเจลิคอลก็คือ การที่ความรู้สึกพยายามจะเอาชนะศาสนศาสตร์ที่กำหนดวิธีการตัดสินใจและการปฏิบัติของเรา คริสเตียนในพระคัมภีร์กล่าวว่า “ไม่ว่าฉันจะรู้สึกอย่างไรเกี่ยวกับคนนี้ ฉันจะยอมรับเขาเพราะพระเจ้าต้องการให้ทำแบบนั้น และฉันจะขอพระเจ้าประทานพระคุณแก่ฉันเพื่อจะทำงานเป็นหนึ่งเดียวกับเขาได้” ศาสนศาสตร์ของเราบอกว่าความพยายามที่จะทำงานร่วมกับบุคคลนี้จะสำเร็จ แม้ว่าความรู้สึกของเราอาจบอกอีกอย่าง ศาสนศาสตร์ของเราขับเคลื่อนให้เราพยายามอย่างมากในความสัมพันธ์นี้ เราอธิษฐานเผื่อคนนั้นและอธิษฐานเผื่อความสัมพันธ์ของเรากับเขา เราพบเขาเป็นประจำ เราแสวงหาที่จะสำแดงความรักคริสเตียนแก่เขาและทำทุกสิ่งที่เราทำได้เพื่อสวัสดิภาพของเขา เราฝันถึงสิ่งที่บุคคลนี้จะบรรลุผลได้ผ่านทางทีม[1]

1 โครินธ์ 12:12-25 สอนว่าในพระกายของพระคริสต์ เราไม่มีสิทธิปฏิเสธคนอย่างง่ายดายเพราะเราไม่ชอบเขา ถ้าคุณสร้างคริสตจักร คุณจะมีสมาชิกที่คุณไม่ชอบเขามากนัก ในฐานะผู้นำคริสเตียน คุณต้องพูดว่า “ไม่ว่าฉันจะรู้สึกอย่างไร ฉันจะยอมรับคนนี้เพราะพระเจ้านำเขามาให้ฉันดูแล ฉันจะขอพระเจ้าประทานพระคุณเพื่อฉันจะทำงานร่วมกันกับเขาได้ และฉันจะขอให้พระเจ้าอวยพรเขาและทำให้เขาเจริญก้าวหน้าในการรับใช้”


[1]Ajith Fernando, Jesus Driven Ministry (Wheaton, Illinois: Crossway Books, 2002), 133

ผู้นำคริสเตียนที่มีประสิทธิภาพคือผู้รับใช้

เคยมีบางคนถามผู้ที่จะเป็นศิษยาภิบาลในอนาคตว่า “ทำไมคุณถึงอยากเป็นศิษยาภิบาล?” ชายหนุ่มตอบว่า “ที่สนามบิน ผมเห็นมีคนแบกกระเป๋าให้กับศิษยาภิบาลของเขา ผมอยากมีคนแบกกระเป๋าให้ผมบ้าง!”

มุมมองของพระเยซูแตกต่างอย่างมาก! ชายหนุ่มคนนี้ต้องการให้คนมารับใช้เขา พระเยซูต้องการรับใช้คนอื่น “เพราะว่าบุตรมนุษย์ไม่ได้มาเพื่อรับการปรนนิบัติ แต่มาเพื่อจะปรนนิบัติคนอื่น และให้ชีวิตของท่านเป็นค่าไถ่คนจำนวนมาก” (มาระโก 10:45) พระเยซูแสดงให้เราเห็นว่าผู้นำแท้จริงเกี่ยวข้องกับการรับใช้ พระเยซูถ่อมตัวลงโดยเป็นผู้รับใช้ (ฟิลิปปี 2:7)

► อ่าน ยอห์น 13:1-20

มีหลายที่ในพระกิตติคุณที่เราสามารถศึกษาแบบอย่างการเป็นผู้นำแบบผู้รับใช้ของพระเยซู แต่หนึ่งในตัวอย่างที่ทรงพลังมากที่สุดคือเรื่องพระเยซูล้างเท้าสาวก ในเรื่องราวนี้พระเยซูแสดงให้เห็นความหมายของการเป็นผู้รับใช้

มีบางคริสตจักรที่จัดพิธีล้างเท้าเพื่อจำลองการกระทำของพระเยซูในเหตุการณ์อาหารมื้อสุดท้าย นี่อาจเป็นการรับใช้ที่สวยงาม แต่มันจะมีพลังมากขึ้นหากตระหนักว่าพระเยซูไม่ได้ประกอบพิธีพิเศษ แต่พระองค์ทำสิ่งนี้เพราะเป็นงานที่ต้องทำให้สำเร็จ

เนื่องจากถนนในเยรูซาเล็มเต็มไปด้วยฝุ่น คนรับใช้จะต้องล้างเท้าให้กับแขกที่มารับประทานอาหารเย็นอย่างเป็นทางการ นี่เป็นหน้าที่ที่ต้องถ่อมใจทำซึ่งมอบหมายให้กับคนรับใช้ต่ำต้อยที่สุด เมื่อพระเยซูร่วมฉลองปัสกากับเหล่าสาวก ไม่มีคนรับใช้อยู่ในห้องนั้น ไม่มีสาวกคนไหนอาสาทำหน้าที่นี้ พวกเขาหวังแต่ตำแหน่งสูงส่งในอาณาจักรของพระเยซู พระเยซูคุกเข่าลงเริ่มต้นทำงานของคนรับใช้ที่ต่ำต้อยที่สุด

เรื่องราวตอนนี้แสดงถึงความเข้าใจของพระเยซูเกี่ยวกับการเป็นผู้นำ คนอื่นแสวงหาตำแหน่งและอำนาจของผู้นำ เป้าหมายคือเพื่อไปยังจุดสูงสุดขององค์กร พระเยซูอยู่จุดสูงสุดอยู่แล้ว พระองค์เป็นพระอาจารย์ของพวกสาวก แต่พระองค์เต็มใจทำในตำแหน่งที่ต่ำต้อยที่สุด

นี่คือความหมายของการเป็นผู้นำเหมือนพระคริสต์ ผู้นำที่เหมือนพระคริสต์ทำงานที่คนอื่นไม่อยากทำ ผู้นำเหมือนพระคริสต์สร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอื่น ๆ ผ่านทางแบบอย่างของงานรับใช้ที่ถ่อมใจ ไม่ใช่ผ่านความสามารถในการตะโกนสั่ง

[1]มีบางคนเคยพูดว่า “บททดสอบของการมีจิตวิญญาณของผู้รับใช้คือ ‘ฉันทำอย่างไรเมื่อฉันได้รับการปฏิบัติเหมือนเป็นคนรับใช้?’” ผู้นำที่ทำตามแบบอย่างของพระเยซูไม่รู้สึกขุ่นเคืองที่ถูกปฏิบัติเหมือนเป็นคนรับใช้ อย่าลืมว่าพระเยซูล้างเท้ายูดาห์พร้อมกับสาวกคนอื่น ๆ คุณนึกภาพการถ่อมใจลงล้างเท้าให้กับคนที่ตั้งใจทรยศคุณได้ไหมว่าเป็นอย่างไร?

เมื่อพระเยซูล้างเท้าพวกสาวกเสร็จแล้ว พระองค์บอกพวกคนแสวงหาตำแหน่งเหล่านี้ว่า “เพราะว่าเราวางแบบอย่างแก่พวกท่านแล้ว เพื่อให้ท่านทำเหมือนอย่างที่เราทำกับท่านด้วย” (ยอห์น 13:15) สามสิบปีต่อมา ซีโมนเปโตรอาจระลึกถึงความถ่อมใจของพระเยซูเมื่อเขาเขียนว่า “ท่านทุกคนจงสวมความถ่อมตัวในการปฏิบัติต่อกันและกัน” (1 เปโตร 5:5) อย่างเช่นที่พระเยซูเอาผ้าขนหนูพันตัวของพระองค์เองเพื่อรับใช้พวกสาวก เราต้องเอาความถ่อมใจพันตัวเราเองเพื่อรับใช้ผู้อื่น

ในฐานะผู้นำคริสเตียน เราอาจถูกทดลองให้แสวงหาตำแหน่งมากกว่าหาโอกาสในการรับใช้ พระเยซูแสดงให้เห็นว่าการเป็นผู้นำคริสเตียนคือการเป็นคนรับใช้


[1]

“โต๊ะพิธีสวยหรูได้มาแทนที่ผ้าขนหนูกับอ่างล้างเท้าที่เป็นสัญลักษณ์ของการเป็นผู้นำท่ามกลางคนของพระเจ้า...ถึงเวลานำผ้าขนหนูกลับคืนมาได้แล้ว”

- C. Gene Wilkes

บทสรุป: ความสำคัญของการเป็นพี่เลี้ยงให้กับคนงานคริสเตียนคนอื่น ๆ

เมื่อถึงบั้นปลายของชีวิต ผลกระทบจากการเป็นพี่เลี้ยงให้กับคนงานคริสเตียนคนอื่น ๆ ของคุณอาจเป็นมรดกยิ่งใหญ่ที่สุดจากพันธกิจของคุณก็ได้ ถ้าคุณเป็นพี่เลี้ยงให้กับคนงานคริสเตียน 12 คนในช่วงการทำพันธกิจของคุณ ผลกระทบที่คุณสร้างไว้จะทวีคูณโดยคน 12 คนนั้นบวกกับคนที่พวกเขาเป็นพี่เลี้ยง

น่าเศร้าที่ถึงแม้ว่าผู้นำคริสเตียนส่วนใหญ่รู้ถึงความสำคัญของการเป็นพี่เลี้ยง แต่ก็มีเพียงไม่กี่คนที่ลงทุนเวลาเพื่อเป็นพี่เลี้ยงให้กับคนอื่น ๆ ทำไมเราจึงละเลยด้านนี้ในงานพันธกิจ?

เหตุผลหนึ่งคือต้นทุนสำหรับการเป็นพี่เลี้ยง การเป็นพี่เลี้ยงใช้เวลาอย่างมีคุณค่า เรามักเชื่อว่าเวลาที่ใช้ในการเป็นพี่เลี้ยงจะดีกว่าถ้าหากใช้กับกลุ่มใหญ่

อีกเหตุผลคือความผิดหวังที่มาพร้อมกับการเป็นพี่เลี้ยง ฟังดูดีที่จะพูดว่า “ฉันเป็นคนฝึกฝนผู้นำรุ่นถัดไป” แต่ความเป็นจริงกลับมีความตื่นเต้นน้อยมาก

หลายครั้งที่พระเยซูต้องรู้สึกผิดหวังกับความก้าวหน้าอย่างช้า ๆ ของพวกสาวก หลังจากใช้เวลาสามปีกับพระเยซู ฟิลิปถามว่า “องค์พระผู้เป็นเจ้า ขอสำแดงพระบิดาให้พวกข้าพระองค์เห็น ก็พอใจข้าพระองค์แล้ว” (ยอห์น 14:8) ไม่กี่สัปดาห์หลังจากพระเยซูเลี้ยงอาหารคน 5000 คน พวกสาวกเจอกับฝูงชน 4000 คน พวกเขากลับถามว่า “ในถิ่นทุรกันดารแบบนี้จะหาอาหารให้พวกเขากินอิ่มได้ที่ไหน?” (มาระโก 8:4)

อัครทูตเปาโลมีประสบการณ์ไม่น้อยเช่นกันกับความผิดหวังอย่างเดียวกัน ยอห์นมาระโกเลิกล้มกลางคันระหว่างเดินทางทำพันธกิจ (กิจการ 13:13) หลังจากฝึกฝนเดมาสหลายเดือน เปาโลเขียนจดหมายจากคุกด้วยความโดดเดี่ยวว่า “เพราะว่าเดมาสหลงรักโลกนี้ และทิ้งข้าพเจ้าไปยังเมืองเธสะโลนิกาแล้ว” (2 ทิโมธี 4:10)

การเป็นพี่เลี้ยงมีต้นทุนสูงและทำให้ผิดหวังได้ แต่นี่คือส่วนหนึ่งที่สำคัญในงานของผู้นำ ผู้นำคริสเตียนที่เป็นผู้ใหญ่แล้วทุกคนควรเป็นพี่เลี้ยงให้กับผู้นำในอนาคต ในเวลาเดียวกัน ผู้นำคริสเตียนทุกคนจำเป็นต้องมีพี่เลี้ยงเพื่อช่วยสนับสนุนพวกเขาในเวลาที่เจอปัญหา

ฮาวเวอร์ด เฮ็นดริคส์ พูดว่ามนุษย์ทุกคนจำเป็นต้องมีสามคนในชีวิตของเขาคือ...

1. ทุกคนจำเป็นต้องมีเปาโล คือพี่เลี้ยงผู้ท้าทายคุณให้เติบโตต่อไป

2. ทุกคนจำเป็นต้องมีบารนาบัส คือเพื่อนที่รักคุณจนสามารถตรงไปตรงมาเกี่ยวกับจุดอ่อนของคุณ

3. ทุกคนจำเป็นต้องมีทิโมธี คือคนหนุ่มสาวที่คุณสร้างเป็นสาวกและเป็นพี่เลี้ยงให้เขาในการรับใช้

► จบบทเรียนนี้โดยการถามว่า...

  • “ใครคือเปาโลของฉัน?”

  • “ใครคือบารนาบัสของฉัน?”

  • “ใครคือทิโมธีของฉัน?”

งานมอบหมายบทที่ 3

สามารถพิมพ์ PDF ได้ที่นี่

(1) ในตารางด้านล่าง เขียนสี่ช่วงเวลาที่พวกสาวกสังเกตพันธกิจของพระเยซู เขียนบันทึกว่าพวกสาวกได้เรียนรู้อะไรจากการสังเกตพระเยซู

(2) เขียนชื่อหนึ่งหรือสองคนที่คุณสามารถเป็นพี่เลี้ยงให้ทำงานรับใช้ในอนาคตได้ เขียนคำตอบหนึ่งย่อหน้าสั้น ๆ สำหรับคำถามสองข้อต่อไปนี้

  • คุณสมบัติอะไรที่ฉันอยากเห็นในบุคคลที่ฉันเป็นพี่เลี้ยง?

  • ฉันอยากเห็นพระเจ้าทำสิ่งใดสำเร็จในบุคคลที่ฉันเป็นพี่เลี้ยงนี้? (บอกอย่างเจาะจง)

เริ่มต้นก้าวในการเป็นพี่เลี้ยงคนที่คุณเอ่ยชื่อนี้ ขอพระเจ้าเปิดเผยให้คุณเห็นวิธีที่จะเตรียมพวกเขาสำหรับโอกาสในการรับใช้

เหตุการณ์ พระคัมภีร์ บทเรียนสำหรับสาวก
พระเยซูรักษาเด็กชายที่มีผีเข้า มัทธิว 17:14-21 พลังแห่งความเชื่อ
     
     
     
     
Next Lesson