คริสตมาสเป็นการฉลองการประสูติของพระเยซูผ่านทางมารดาที่เป็นหญิงพรหมจารีย์ เพราะพระเยซูปฏิสนธิ์โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์[1]  ถึงแม้พระเยซูเป็นมนุษย์เนื่องจากพระองค์เกิดจากผู้หญิง พระองค์ก็เป็นพระเจ้า เป็นพระผู้สร้างโลกที่พระองค์เข้ามานี้  นี่เป็นเรื่องประหลาดแต่เป็นเรื่องจริง ในขณะที่พระเยซูเป็นทารก มารดาของพระองค์คือมารีย์ได้โอบอุ้มพระองค์ผู้สร้างเธอขึ้นมา
คำว่า บุตรของพระเจ้า ถูกใช้กับผู้เชื่อและทูตสวรรค์[2]  แต่พระเยซูเป็นพระบุตรของพระเจ้าในรูปแบบที่ไม่เหมือนใคร[3]  พระองค์เป็นมนุษย์คนเดียวที่ร่วมในพระลักษณะที่เป็นธรรมชาติของพระบิดา พระองค์เป็นพระฉายของพระบิดาอย่างสมบูรณ์คือเป็นพระเจ้าเหมือนอย่างที่พระบิดาเป็น[4] 
มีทั้งธรรมชาติของพระเจ้าและของมนุษย์รวมกันอยู่ในความเป็นบุคคลของพระเยซู นี่เรียกว่าเป็น การมาบังเกิด หมายถึงพระเจ้ามารับสภาพของมนุษย์ กลายเป็นมนุษย์คนหนึ่ง พระเยซูเป็นผู้เดียวที่สามารถเป็นพระผู้ช่วยให้รอดของเราได้เพราะพระองค์เป็นบุคคลเดียวในจักรวาลที่เป็นทั้งมนุษย์และพระเจ้า
พระเยซูเป็นมนุษย์คนหนึ่ง 
ไม่ใช่เรื่องยากที่จะยอมรับว่าพระเยซูในพันธสัญญาใหม่เป็นมนุษย์แท้ พระองค์ปฏิสนธิในครรภ์มารดา เติบโต เรียนรู้ และมีพัฒนาการในฐานะมนุษย์คนหนึ่ง[5]  พระองค์เหนื่อย นอนหลับ ถูกทดลอง และทำเกือบทุกสิ่งที่มนุษย์ทำ ยกเว้นความบาป พระองค์ตายด้วย พระองค์เป็นมนุษย์อย่างแท้จริงและอยู่ท่ามกลางเรา[6] 
► ทำไมการที่พระเยซูเป็นมนุษย์จึงสำคัญ?
เพราะพระเยซูเป็นมนุษย์...
(1) พระองค์จึงสามารถทนทุกข์และตายเป็นเครื่องบูชา 
(2) ชีวิตที่ชอบธรรมของพระองค์จึงสามารถแทนที่ชีวิตบาปของเรา อาดัมคนแรกเป็นตัวแทนของมนุษย์ทั้งหมดเมื่อเขาทำบาปและถูกแยกขาดจากพระเจ้า สิ่งนี้นำความตายมาให้กับทุกคน พระเยซูมีชีวิตที่ปราศจากบาปและเต็มไปด้วยคุณลักษณะของพระเจ้า พระองค์ประทานชีวิตนิรันดร์ให้กับทุกคนที่เข้าร่วมกับพระองค์ พระองค์ถูกเรียกว่าเป็นอาดัมคนสุดท้ายในพระคัมภีร์[7] 
(3) พระองค์สามารถเป็นปุโรหิตที่เป็นตัวแทนของเราต่อพระเจ้า  ในฐานะคนกลาง พระองค์ไม่ได้เพียงแค่สื่อสารแทนเรา พระองค์เป็นตัวแทนของเราอย่างแท้จริง พระองค์จำเป็นต้องมาเป็นมนุษย์เพื่อทำให้เกิดการคืนดีระหว่างเรากับพระเจ้า[8]  บทบาทของพระองค์ในฐานะปุโรหิตจัดเตรียมความรอดนิรันดร์[9]  ความเป็นมนุษย์ของพระเยซูเป็นส่วนที่สำคัญอย่างยิ่งในข่าวประเสริฐ[10]    
หลักฐานเพิ่มเติมจากพระคัมภีร์เรื่องพระเยซูเป็นมนุษย์ ให้ดูได้จากหัวข้อ “หลักฐานพิสูจน์ว่าพระเยซูเป็นมนุษย์ในพระคัมภีร์” ที่อยู่ตอนท้ายของบทเรียนนี้ 
พระเยซูเป็นพระเจ้า 
พระเยซูถูกกล่าวถึงว่าเป็นพระเจ้า 
พระเยซูในพระคัมภีร์ไม่ได้เป็นเพียงมนุษย์คนหนึ่ง แต่พระองค์เป็นพระเจ้าที่ไม่มีความจำกัดของจักรวาลนี้ พระเยซูกล่าวถึงพระองค์เองเช่นนี้ พระองค์ตรัสว่า “เราและพระบิดาของเราเป็นหนึ่งเดียวกัน”[11]  เมื่อพระองค์ตรัสเช่นนี้ พวกคนยิวเริ่มขว้างหินใส่พระองค์เพราะพวกเขาเข้าใจว่าพระองค์กำลังพูดว่าพระองค์เทียบเท่าพระเจ้า พระเยซูได้บอกพวกเขาไหมว่า “ไม่ พวกท่านเข้าใจเราผิด เราไม่ได้เป็นพระเจ้าจริงๆ”? เปล่าเลย พระเยซูยอมรับการตีความถ้อยคำของพระองค์ของพวกเขา พระองค์สอนว่าพระองค์เท่าเทียมกับพระเจ้าพระบิดา
เมื่อพระเยซูตรัสว่า “ก่อนอับรมฮัม เราเป็น อยู่ที่นั่น”[12]  พระองค์กำลังกล่าวถึง เราเป็น  ในอพยพ 3:14 การดำรงอยู่ได้ด้วยพระองค์เองของพระเจ้าแห่งจักรวาล[13]  พวกคนยิวพยายามขว้างหินใส่พระองค์สำหรับคำกล่าวนั้นด้วย[14] 
พระเยซูกระทำกิจของพระเจ้าในขณะที่อยู่บนโลก 
พระเยซูกระทำกิจของพระเจ้าในขณะที่อยู่บนโลก พระองค์ประทานชีวิตนิรันดร์[15]  พระองค์ยกโทษความบาป[16]  ทั้งหมดนี้เป็นสิ่งที่มีเพียงพระเจ้าเท่านั้นที่ทำได้  
เมื่อพระเยซูยกโทษความบาปของคนที่เป็นง่อย พระองค์รักษาคนนั้นเพื่อพิสูจน์ว่าพระองค์มี “ฤทธิ์อำนาจบนโลกนี้เพื่อยกโทษบาปได้”[17]  การกระทำอย่างหนึ่งที่พิสูจน์ถึงสิ่งอื่นๆ ที่ทำให้เห็นชัดเจนว่าพระเยซูไม่ได้ทำการอัศจรรย์ในการรักษาโรคเหมือนกับผู้เผยพระวจนะที่ได้รับการเจิมจากพระเจ้า พระเยซูมีสิทธิและอำนาจของพระเจ้าเพื่อยกโทษและทำการรักษา
พระเยซูทำให้ลาซารัสฟื้นขึ้นจากความตายด้วยหลังจากที่ตรัสว่า “เราคือผู้ที่ทำให้คนเป็นขึ้นจากตายและให้ชีวิตแก่เขา”[18]  นี่คือการกระทำอีกอย่างของพระเจ้าที่สอดคล้องกันกับคำกล่าวอ้างของพระองค์ มีพระเจ้าผู้เดียวที่สามารถกล่าวอ้างได้ว่าเป็น “ผู้ให้ชีวิต” และจากนั้นจึงประทานชีวิตให้กับลาซารัสซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นตามคำกล่าวของพระองค์  ในเหตุการณ์นี้ พระเยซูแยกให้เห็นความแตกต่างอย่างชัดเจนระหว่างพระองค์กับพวกผู้เผยพระวจนะและพวกอัครทูตนที่ทำให้คนฟื้นขึ้นจากความตายโดยฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า ไม่มีสักคนในท่ามกลางคนเหล่านี้ที่กล่าวอ้างว่าพวกเขาใช้พลังของตัวเองในการทำการอัศจรรย์ พวกเขาเป็นเครื่องมือของพระเจ้า ในยอห์น 5:21 พระเยซูตรัสว่าพระองค์ทำให้คนฟื้นขึ้นจากความตายเหมือนที่พระบิดาทำให้คนเป็นขึ้นจากตายนั้น[19] 
เมื่อพระเยซูทำการอัศจรรย์ต่างๆ พระองค์ “สำแดงพระสิริของพระองค์”[20]  “พระเกียรติสิริของพระบุตรองค์เดียวผู้ทรงมาจากพระบิดา ที่เปี่ยมด้วยพระคุณและความจริง”[21]  การอัศจรรย์เหล่านี้เป็นการสำแดงของพระเจ้าถึงฤทธิ์อำนาจอันเต็มไปด้วยสง่าราศีของพระบุตร เป็นการพิสูจน์ว่าพระองค์เป็นพระเจ้า
พระเยซูเป็นพระผู้สร้างและผู้ผดุงรักษา 
ตามที่อัครทูตยอห์นและเปาโลได้บันทึกไว้ พระเยซูสร้างสรรพสิ่งและผดุงทุกสิ่งเข้าไว้ด้วยกัน และทุกสิ่งดำรงอยู่เพื่อพระองค์[22]  แน่นอนว่าสิ่งนี้ไม่สามารถกล่าวถึงใครได้นอกจากพระเจ้า[23] 
► ทำไมการรู้ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าจึงสำคัญสำหรับเรา?
เพราะพระเยซูเป็นพระเจ้า
	การสละชีวิตของพระองค์มีค่ามากมาย - จนให้อภัยความบาปของคนทั้งโลกนี้ได้ 
	พระองค์มีฤทธิ์อำนาจเพื่อช่วยเราให้รอด พระองค์เป็นทางนั้น เป็นความจริง และเป็นชีวิต 
	เราควรนมัสการพระองค์อย่างเดียวกันกับนมัสการพระบิดา 
 
ถ้าหากเราไม่มองพระเยซูเป็นพระเจ้า เราจะไม่ถวายเกียรติพระองค์เหมือนกับพระเจ้า ซึ่งเป็นสิ่งที่พระเยซูบอกว่าเราต้องทำ พระองค์ตรัสว่า “ทุกคนควรถวายเกียรติพระบุตรเหมือนที่ถวายเกียรติแด่พระบิดา”[24]  เราไม่สามารถได้รับความรอดถ้าหากเราไม่ถวายเกียรติแด่พระบิดาและพระบุตรในฐานะพระเจ้า
ศาสนาคริสต์ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานคำสอนและการกระทำของพระเยซูเท่านั้น แต่อยู่บนความเป็นบุคคลที่ไม่เหมือนใครของพระเยซู พระองค์ไม่ได้เป็นเพียงผู้สอนเกี่ยวกับความรอด พระองค์เป็นพระผู้ช่วยให้รอด และมีเพียงพระองค์ที่เป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์ที่สามารถเป็นพระผู้ช่วยให้รอดได้
หลักฐานเพิ่มเติมว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า ขอให้ดูใน “ข้อพิสูจน์ในพระคัมภีร์ว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า” ซึ่งอยู่ในตอนท้ายของบทเรียนนี้ 
พระเยซูเป็นบุคคลหนึ่ง 
ถึงแม้ว่าพระเยซูมีพระลักษณะที่เป็นธรรมชาติทั้งหมดของพระเจ้าและธรรมชาติทั้งหมดของมนุษย์ พระองค์ไม่ได้มีสองบุคคลที่มาผสานกัน ลักษณะทั้งสองอย่างหล่อหลอมความเป็นบุคคลเดียวในพระองค์ กลมกลืนเป็นหนึ่งอย่างสมบูรณ์ พระเยซูเป็นบุคคลเดียวที่เป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์ และทุกการกระทำของพระเยซูต้องเป็นความเข้าใจที่มาจากความเป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์และความเป็นพระเจ้าที่สมบูรณ์ คริสตจักรถูกสอนว่าธรรมชาติทั้งสองอย่างในพระเยซูไม่สามารถแยกออกจากกันได้ แต่ก็ไม่ได้ผสมกันจนทำให้สูญเสียเอกลักษณ์ของธรรมชาติใดธรรมชาติหนึ่ง[25] 
การเปรียบเทียบธรรมชาติของพระเยซูกับธรรมชาติของพระคัมภีร์ศักดิ์สิทธิ์น่าจะช่วยให้เข้าใจมากขึ้น เหมือนกับพระเยซู พระคัมภีร์มีความเป็นพระเจ้าและมนุษย์ที่สมบูรณ์ การเป็นหนังสือที่มีลักษณะมนุษย์ที่สมบูรณ์ ทำให้พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่มีคุณสมบัติเหมือนกับหนังสืออื่นๆ ของมนุษย์ ยกเว้นความผิดพลาด การมีลักษณะของพระเจ้าที่สมบูรณ์ พระคัมภีร์เป็นหนังสือที่หนังสืออื่นไม่สามารถเป็นได้ ในทำนองเดียวกันพระเยซูแสดงให้เห็นคุณสมบัติทั้งของพระเจ้าและของมนุษย์ ข้อเท็จจริงที่ว่าพระคัมภีร์แสดงให้เห็นถึงคุณสมบัติของพระเจ้าไม่ได้ทำให้ความเป็นมนุษย์น้อยลงไป เช่นกัน ข้อเท็จจริงว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าไม่ได้ทำให้ความเป็นมนุษย์น้อยลงไป และข้อมูลความจริงที่ว่าพระเยซูเป็นมนุษย์ไม่ได้ทำให้ความเป็นพระเจ้าน้อยลงไปด้วย
ข้อผิดพลาดทั่วไปของหลักคำสอน 
ข้อผิดพลาดทั่วไปของหลักคำสอนที่ผู้คนมักจะผิดพลาดเมื่อพวกเขาพูดเกี่ยวกับพระคริสต์
	การปฏิเสธว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า 
	การปฏิเสธว่าพระเยซูเป็นมนุษย์ 
	ลดความเป็นพระเจ้าหรือความเป็นมนุษย์ของพระองค์ลงจนไม่สำคัญ 
	การปฏิเสธความเป็นหนึ่งเดียวในความเป็นบุคคลของพระคริสต์ 
 
ข้อผิดพลาดใดๆ เหล่านี้เป็นการปฏิเสธการมาบังเกิด การมาบังเกิดเป็นสิ่งที่จำเป็นต่อความรอดของเรา ดังนั้นถ้าหากคนใดปฏิเสธการมาบังเกิด เขาจะจบลงด้วยข่าวประเสริฐเทียมเท็จและทางสู่ความรอดที่จอมปลอม
บันทึกสำหรับผู้สอน : สมาชิกในชั้นเรียนสามารถได้รับเลือกให้อธิบายข้อมูลของช่วงต่อจากนี้ 
 
[1]  อ่าน ลูกา 1:34-35
[2]  ยอห์น 1:12; โยบ 1:6
[3]  ยอห์น 3:16
[4]  อ่าน ฮีบรู 1:2-3
[5]  อ่าน ลูกา 2:52
[6]  อ่าน ยอห์น 1:14
[7]  1 โครินธ์ 15:22, 45-49; โรม 5:17-19
[8]  อ่าน ฮีบรู 2:17
[9]  ฮีบรู 10:5-7
[10]  อ่าน 1 ยอห์น 5:1
[11]  ยอห์น 10:30
[12]  ยอห์น 8:58
[13]  อพยพ 3:14
[14]  ยอห์น 8:59
[15]  อ่าน ยอห์น 10:28
[16]  มาระโก 2:10
[17]  มาระโก 2:10-12
[18]  ยอห์น 11:25
[19]  “ผมเชื่อ...ในพระเยซูคริสต์พระองค์เดียว พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า พระบุตรของพระบิดาก่อนทั้งโลกถูกสร้าง พระเจ้าสูงสุดความสว่างสูงสุด พระเจ้ายิ่งใหญ่สูงสุด พระบุตรไม่ได้ถูกสร้าง เป็นหนึ่งเดียวกับพระบิดา โดยพระองค์ทุกสิ่งจึงถูกสร้างขึ้น” - ไนซีน ครีด
[20]  ยอห์น 2:11
[21]  ยอห์น 1:14
[22]  อ่าน ยอห์น 1:3; โคโลสี 1:17
[23]  “เมื่อพระบิดาใช้คำว่า เราเป็น  พระคริสต์ก็ใช้ด้วยเช่นกัน เพราะนั่นเป็นสภาพที่คงอยู่ตลอดไป ไม่ได้เปลี่ยนแปลงโดยกาลเวลา” - จอห์น ชรีสออสตอม
[24]  ยอห์น 5:23
[25]  เดอะ ชาลซีโดเนี่ยน ครีด (ค.ศ. 451) กล่าวว่าธรรมชาติทั้งสองอย่างของพระคริสต์ไม่เปลี่ยนแปลง แบ่งแยกไม่ได้ และไม่สับสน
                                     
                                    
                                    
                                        
                                                                                                                                    
                                                
                                                     
                                                    Previous
                                                 
                                                                                    
                                                                                                                                    
                                                
                                                    Next