อ่าน สดุดี  119:33-40  พร้อมกัน พระคัมภีร์ตอนนี้บอกอะไรแก่เราเกี่ยวกับวิธีการที่พระเจ้าเปลี่ยนแปลงผู้เชื่อ?   
เมื่อพระเจ้าเริ่มต้นสำแดงพระองค์เอง จุดประสงค์อย่างแรกคือเพื่อสำแดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงมีพระลักษณะอย่างไร ในเบื้องต้นพระเจ้าอธิบายถึงพระองค์เองว่าทรงบริสุทธิ์ คำฮีบรูสำหรับความบริสุทธิ์ (kadosh)  ปรากฎในพันธสัญญาเดิมมากกว่า 600 ครั้ง ยกตัวอย่างเช่น อิสยาห์มักจะกล่าวถึงพระเจ้าว่าเป็น “องค์บริสุทธิ์ของอิสราเอล”
ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าเป็นหัวใจของการนมัสการ
“ให้พวกเขายกย่องพระนามอันยิ่งใหญ่และน่าคร้ามกลัวของพระองค์ พระองค์บริสุทธิ์…. จงยกย่องพระยาห์เวห์พระเจ้าของเรา จงนมัสการที่แท่นรองพระบาทของพระองค์ พระองค์บริสุทธิ์” (สดุดี  99:3, 5)
ความบริสุทธิ์ของพระเจ้าเป็นคุณสมบัติพื้นฐานของมนุษย์ เพราะพระองค์บริสุทธิ์ พระองค์จึงเรียกให้ผู้นมัสการพระองค์บริสุทธิ์ พระองค์ตรัสว่า “จงบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์”[1] 
พระเจ้าแห่งอิสราเอลแตกต่างจากพระเทียมเท็จอื่น ๆ คนที่ไม่เชื่อพระเจ้า และจำเป็นต้องมีรูปแบบการนมัสการที่แตกต่างจากพระอื่น
“ผู้ใดจะขึ้นไปบนภูเขาของพระยาห์เวห์?  และผู้ใดจะยืนอยู่ในสถานนมัสการของพระองค์?  คือผู้ที่มีมือสะอาดและ ใจบริสุทธิ์  ผู้ที่มิได้มีจิตใจยกย่องสิ่งเท็จ และมิได้สาบานอย่างหลอกลวง” (สดุดี 24:3-4)
คำถามคือ “การนมัสการของใครที่พระเจ้ายอมรับ?” เห็นได้ชัดเจนว่า ไม่ใช่ทุกคนที่ได้รับการยอมรับว่าเป็นผู้นมัสการพระเจ้า
พระเจ้าไม่ได้คาดหวังความบริสุทธิ์ที่เป็นเพียงพิธีกรรมหรือการเสแสร้ง พระเจ้าต้องการความบริสุทธิ์อย่างแท้จริง มาตรฐานความบริสุทธิ์สำหรับผู้นมัสการพระเจ้าถูกกล่าวซ้ำในพันธสัญญาใหม่ว่า “แต่พระองค์ผู้ทรงเรียกท่านนั้นบริสุทธิ์ ดังนั้นท่านจงบริสุทธิ์ในทุกด้านของชีวิต เพราะมีคำเขียนไว้ว่า จงบริสุทธิ์ เพราะเราบริสุทธิ์”[2]  ชีวิตทุกด้าน  เป็นคำที่กล่าวถึงความประพฤติ การกระทำ และวิถีชีวิตทั้งหมด พระเจ้าไม่ได้ขอให้ผู้นมัสการพระองค์บริสุทธิ์ในพิธีกรรม หรือได้ชื่อว่าบริสุทธิ์ทั้ง ๆ ที่พวกเขาไม่บริสุทธิ์ พระองค์คาดหวังให้ผู้นมัสการของพระองค์มีชีวิตที่บริสุทธิ์
เราได้รับความรอดโดยพระคุณ และพระเจ้ายอมรับเราในขณะที่เราเป็นคนบาปเนื่องจากการเป็นเครื่องบูชาของพระคริสต์ พระองค์ยอมรับเราในฐานะคนบาป แต่เราไม่ได้อยู่ในสภาพคนบาปอีกต่อไป ความบาปเป็นการทำผิดต่อพระเจ้า และเราต้องการทำให้พระองค์พอพระทัย
► อะไรคือเหตุผลบางอย่างที่อธิบายว่าความบริสุทธิ์เกี่ยวข้องกันกับการนมัสการ?
ความบริสุทธิ์เกี่ยวข้องกันกับการนมัสการเพราะเรารักพระเจ้าและต้องการทำให้พระองค์พอพระทัย  พระประสงค์ของพระเจ้าไม่ได้ทำให้เราแปลกประหลาดใจเลยถ้าหากเราเข้าใจว่าการนมัสการที่แท้จริงคืออะไร เราไม่ได้นมัสการพระองค์ด้วยความกลัว เราไม่ได้นมัสการพระองค์เพียงเพราะพระองค์ทรงอวยพรเราเท่านั้น
การนมัสการพระเจ้าคือการมองเห็นว่าพระองค์อัศจรรย์มากที่สุดในบรรดาสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่ การนมัสการคือการเห็นคุณค่าในผู้ที่พระองค์เป็น การนมัสการคือการยกย่องพระลักษณะอันเป็นธรรมชาติของพระองค์
ธรรมชาติของพระเจ้าคือความบริสุทธิ์ ถ้าหากเราเห็นคุณค่าธรรมชาติของพระองค์อยางแท้จริง เราจะเกลียดความบาปและความไม่บริสุทธิ์แม้ที่มีอยู่ในตัวเราเองก็ตาม ความบริสุทธิ์เกี่ยวข้องกับการนมัสการเพราะเรารักพระเจ้าและต้องการเป็นเหมือนพระองค์ 
เมื่อเราเผชิญหน้าพระเจ้าครั้งแรก ความบาปเป็นอุปสรรคขัดขวางการมีความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์ นั่นเป็นสาเหตุที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าไม่สามารถเริ่มต้นได้จนกระทั่งเรากลับใจใหม่ ได้รับการยกโทษ และได้รับหัวใจใหม่
ทันทีทันใดที่เราคืนดีกันกับพระเจ้า เราได้รับการเปลี่ยนแปลงใหม่ ฝ่ายวิญญาณเราได้รับการทำให้เป็นสิ่งทรงสร้างใหม่ เราได้รับการช่วยกู้ให้รอดพ้นจากอำนาจของความบาป และเรามีปรารถนาที่จะทำให้พระเจ้าพอพระทัย ความบริสุทธิ์ของคริสเตียนเริ่มต้นเมื่อบุคคลหนึ่งได้รับความรอด
พระคัมภีร์สอนเราว่าความรอดนำเราสู่ชีวิตที่บริสุทธิ์ทันที “พระคุณของพระเจ้าที่นำความรอดมาให้เรา” สอนเราว่า “เราสมควรดำเนินชีวิตอย่างมีสติสัมปชัญญะ ชอบธรรม และในทางของพระเจ้าบนโลกนี้”[3]  วัตถุประสงค์ของความรอดคือการทำให้เรามีเสรีภาพจากความบาปและทำให้เราบริสุทธิ์ ดังนั้นเราจึงสามารถใช้ชีวิตอยู่ในความสัมพันธ์กับพระเจ้าได้[4] 
เมื่อเราดำเนินชีวิตอยู่ในความสัมพันธ์กับพระเจ้า ยิ่งเราเข้าใจความจริงของพระองค์มากขึ้น เราก็จะเติบโตสู่ความบริสุทธิ์มากขึ้นเรื่อย ๆ[5]  เมื่อเราเข้าใจถึงสิ่งที่ทำให้พระองค์พอพระทัยมากขึ้น เราก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงโดยความจริงของพระองค์ และโดยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในเรา นี่คือมุมมองของการเติบโตฝ่ายวิญญาณ
บุคคลที่รักพระเจ้าย่อมจะปรารถนาที่จะบริสุทธิ์อย่างเต็มที่ เขาจะไม่เพียงปรารถนาเปลี่ยนการกระทำของเขาเท่านั้น เขาจะต้องการให้แรงจูงใจของเขาบริสุทธิ์ทั้งหมด ดาวิดอธิษฐานว่าเขาจะสามารถดำเนินชีวิตในชัยชนะเหนือความบาปอย่างสิ้นเชิง จากนั้นก็อธิษฐานว่าคำพูดของเขาและการภาวนาในใจของเขาจะเป็นที่พอพระทัยของพระเจ้า[6] 
แต่มีบางสิ่งที่ผู้เชื่อจำเป็นต้องมีนอกเหนือจากกระบวนการเติบโตสู่ความบริสุทธิ์ที่เกิดขึ้นหลังจากการมาเชื่อพระเจ้า ผู้เชื่อเริ่มสำนึกถึงความไม่บริสุทธิ์ในใจของพวกเขา นี่คือบางสิ่งที่ไม่สามารถรักษาให้หายได้โดยการเติบโตทีละน้อย ถึงแม้ว่าพวกเขาได้รับความรอดแล้วและดำเนินชีวิตอยู่ในการเชื่อฟังพระเจ้า บางครั้งพวกเขาก็รู้สึกถึงแนวโน้มจากภายในที่จะหันกลับไปทำบาป
การรับสืบทอดความเสื่อมทรามทำให้ธรรมชาติทางศีลธรรมของมนุษย์ถูกทำลายซึ่งทำให้มนุษย์มีความโน้มเอียงในการทำบาปนับตั้งแต่เกิด บางครั้งนักศาสนศาสตร์เรียกว่าเป็น “ความบาปดั้งเดิม” เพราะเป็นความบาปที่เป็นธรรมชาติของเราซึ่งติดตัวเรามาตั้งแต่เกิดแล้วเนื่องจากความบาปของอาดัม
ทุกคนเกิดมาพร้อมกับเจตนาที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางและโน้มเอียงไปทางบาป[7]  เจตนาของเราไม่มีอิสระในการเลือกสิ่งที่ถูกต้องเว้นแต่ว่าพระเจ้าจะให้ความปรารถนาและกำลังแก่เรา[8]  การรับสืบทอดความเสื่อมทรามกระตุ้นความบาปที่อยู่ภายในอย่างเช่น ความหยิ่ง ความอิจฉา ความเกลียด และการไม่ให้อภัย นอกจากนี้ยังกระตุ้นการกระทำบาปด้วย
► หลังจากที่คนหนึ่งได้รับความรอด เขายังคงมีการรับสืบทอดความเสื่อมทรามอยู่หรือไม่?
คนที่ได้รับความรอดไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของการรับสืบทอดความเสื่อมทรามอีกต่อไป ถ้าหากเขายังคงถูกควบคุมโดยสิ่งนี้ เขาก็จะใช้ชีวิตอยู่ในความบาปและไม่ได้รับความรอด พระคัมภีร์บอกเราว่าคนที่ถูกควบคุมโดย “ความคิดเนื้อหนัง” ก็ต้องถูกลงโทษ[9]  คนที่ไดรับความรอดไม่ได้อยู่ภายใต้การควบคุมของการรับสืบทอดความเสื่อมทราม และสามารถดำเนินชีวิตที่มีชัยชนะเหนือความบาปได้โดยฤทธิ์อำนาจของพระวิญญาณบริสุทธิ์[10] 
แต่คนที่ได้รับความรอดยังคงได้รับอิทธิพลของการรับสืบทอดความเสื่อมทรามภายในเขาจนกว่าเขาจะได้รับการชำระให้สะอาดจากสิ่งนั้น เปาโลบอกกับผู้เชื่อในเมืองโครินธ์ว่าพวกเขายังคงอยู่ “ฝ่ายเนื้อหนัง” และมีท่าทีเหมือนคนของโลกนี้ แม้ว่าพวกเขาได้รับความรอดแล้วก็ตาม[11]  เขาอธิบายด้วยว่าการที่คริสเตียนใหม่ต้องอยู่ในสภาพนั้นย่อมเป็นเรื่องปกติ เขาบอกว่าการอยู่ “ฝ่ายเนื้อหนัง” ก็เป็นเหมือน “ทารกในพระคริสต์”
ผู้เชื่อที่อยู่ในสภาพเช่นนี้จะรักพระเจ้า แต่ไม่สามารถรักพระเจ้าด้วยสุดใจ สุดจิต สุดความคิด และสุดกำลังได้ เขาไม่สามารถพูดเหมือนกับเปาโลได้ว่าเขามีใจเด็ดเดี่ยวที่จะติดตามการทรงเรียกของพระเจ้า[12]  เขารู้ว่าการใคร่ครวญบางอย่างในใจของเขานั้นไม่เป็นที่ยอมรับสำหรับพระเจ้า
พระเจ้าไม่ได้ทิ้งเราให้อยู่ในสภาพนั้น แม้ในสมัยโบราณ พระองค์ได้สัญญาต่อชนชาติอิสราเอล พระองค์ตรัสว่าพระองค์จะทำกิจแห่งพระคุณที่จะทำให้พวกเขาสามารถรักพระองค์ด้วยสุดใจได้[13] 
ดาวิดอธิษฐานสำหรับกิจแห่งพระคุณที่นอกเหนือจากการให้อภัย[14]  เขาได้ล้มลงในความบาปและตระหนักว่ามันเกิดขึ้นเพราะปัญหาที่อยู่ในใจของเขา เขาอธิษฐานต่อพระเจ้าว่า “ข้าพระองค์ถือกำเนิดมาในความบาป...แต่พระองค์ประสงค์ให้ความจริงอยู่ภายในข้าพระองค์” เขารู้ว่าความบาปอยู่ในธรรมชาติของเขา แต่ก็เชื่อว่าพระเจ้าประสงค์ให้เขาบริสุทธิ์ทั้งหมด เขาอธิษฐานขอการชำระให้สะอาดอย่างสมบูรณ์[15] 
ผู้เชื่อในพันธสัญญาใหม่ถูกเรียกสู่อีกเหตุการณ์พิเศษหลังจากมากลับใจมาเชื่อ ผู้เชื่อชาวเธสะโลนิกาเป็นแบบอย่างที่ดีเลิศของผู้เชื่อที่ยอมรับข่าวประเสริฐ หันออกจากรูปเคารพ อดทนต่อการข่มเหง มีความยินดีในพระวิญญาณบริสุทธิ์ และรอคอยการเสด็จกลับมาของพระเยซู[16]  แต่บางสิ่งบางอย่างก็ยังคงขาดหายไปในความเชื่อของพวกเขา เป็นสิ่งที่ไม่สามารถเกิดขึ้นผ่านกระบวนการที่ยาวนานหรือเวลาตาย เพราะเปาโลบอกว่ามันสามารถเกิดขึ้นในเวลาที่เขาไปเยี่ยมพวกเขา[17]  เปาโลอธิษฐานเผื่อพวกเขาให้บริสุทธิ์อย่างครบถ้วน (กาย ใจ และวิญญาณ) เพื่อพวกเขาจะปรากฎว่าบริสุทธิ์ในเวลาที่พระคริสต์เสด็จกลับมา[18] 
พวกสาวกของพระเยซูมีประสบการณ์กับกิจแห่งพระคุณแบบพิเศษในวันเพ็นเทคอส เรารู้ว่าพวกเขาได้รับความรอดแล้วก่อนหน้านั้น เพราะพระเยซูตรัสว่าพวกเขาไม่ได้เป็นของโลก แต่พวกเขาเป็นของพระองค์และของพระบิดา และชื่อของพวกเขาถูกจดบันทึกไว้ในสวรรค์แล้ว[19]  พวกเขามีพระวิญญาณบริสุทธิ์แล้ว[20]  แต่ในวันเพ็นเทคอส พระวิญญาณบริสุทธิ์เต็มล้นพวกเขาและทำบางสิ่งบางอย่างให้สำเร็จภายในพวกเขา ต่อมาเปโตรพูดว่าสิ่งสำคัญที่เกิดขึ้นคือการที่พระวิญญาณทำให้ใจของพวกเขาบริสุทธิ์[21]  พวกเขาจำเป็นต้องได้รับการชำระจิตใจอย่างเร่งด่วน แม้ว่าพวกเขาได้รับความรอดแล้วก็ตาม[22] 
เหตุการณ์พิเศษที่เกิดขึ้นกับคนหนึ่งซึ่งได้รับความรอดแล้วสามารถเรียกว่าเป็น “การชำระให้บริสุทธิ์ทั้งหมด” การชำระให้บริสุทธิ์ทั้งหมดคือการชำระล้างจากการรับสืบทอดความเสื่อมทรามซึ่งทำให้สำเร็จได้โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่อยู่ภายในผู้เชื่อทันทีหลังจากที่กลับใจมาเชื่อ
ผู้เชื่อได้รับการทำงานนี้ของพระเจ้าโดยความเชื่อ เปโตรพูดว่าใจของพวกเขา “ได้รับการทำให้บริสุทธิ์โดยความเชื่อ” อัครทูตเปาโลได้กล่าวไว้หลังจากอธิษฐานเพื่อการชำระให้บริสุทธิ์ทั้งหมดสำหรับผู้เชื่อที่เมืองเธสะโลนิกาว่า “พระองค์ผู้ทรงเรียกท่านนั้นสัตย์ซื่อ พระองค์จะกระทำสิ่งนั้นด้วย”[23] 
เราสรุปได้ว่า
	การรับสืบทอดความเสื่อมทรามยังคงมีอยู่ในผู้เชื่อหลังจากกลับใจมาเชื่อ 
	พระเจ้าเรียกเราให้บริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์ 
	พระเจ้าจัดเตรียมการชำระล้างจากการรับสืบทอดความเสื่อมทราม 
	ผู้เชื่อรับการชำระให้บริสุทธิ์ทั้งหมดได้โดยความเชื่อ 
 
ผู้เชื่อทุกคนควรขอให้พระเจ้าสำแดงให้เห็นว่าเขายังจำเป็นต้องได้รับการชำระใจนี้อยู่หรือไม่ และจากนั้นอธิษฐานด้วยความเชื่อต่อพระเจ้าเพื่อรับการชำระให้บริสุทธิ์อย่างสมบูรณ์ ศิษยาภิบาลทุกคนควรเทศนาและให้คำปรึกษาผู้คนเพื่อให้เข้ามาในพระคุณนี้
บันทึกสำหรับผู้สอน :  สมาชิกในชั้นเรียนสามารถเลือกเนื้อหาต่อไปนี้มาอธิบายได้ (“ของประทานในการพูดภาษาแปลก ๆ”)  
 
[1]  เลวีนิติ 11:44-45, 19:2, 20:26, 21:8
[2]  1 เปโตร 1:15-16
[3]  ทิตัส 2:11-12
[4]  วัตถุประสงค์ของความรอดคือการที่เราสามารถรับใช้พระเจ้าในความบริสุทธิ์ทุกวัน (ลูกา 1:74-75) ในฐานะผู้เชื่อ เราตายต่อบาปและไม่สามารถอยู่ในบาปได้ (โรม 6:2, 11-16)
[5]  1 ยอห์น 1:7
[6]  สดุดี 19:12-14 ดูในสดุดี 119:7, 34, 36, 69, 80, และ 112 ด้วย
[7]  ฟิลิปปี 3:19
[8]  โรม 6:16-17
[9]  โรม 8:6-8, 13
[10]  โรม 8:1, 9, 13
[11]  อ่าน 1 โครินธ์ 3:1-3
[12]  ฟิลิปปี 3:13-15
[13]  อ่าน เฉลยธรรมบัญญัติ 30:6
[14]  “และคำสัญญาอันไม่จำกัดที่ปกครองตลอดยุคของข่าวประเสริฐทั้งหมดคือ ‘เราจะใส่กฎบัญญัติของเราในจิตของพวกเขา และจารึกมันไว้ในใจของพวกเขา’ เปลี่ยนคำสั่งทั้งหมดให้กลายเป็นคำสัญญา ซึ่งรวมถึงข้อนี้ด้วย ‘ให้จิตใจเช่นนี้อยู่ในท่านทั้งหลายเหมือนที่มีอยู่ในพระเยซูคริสต์ด้วย’ คำสั่งนี้เท่าเทียมกันกับคำสัญญา และให้เหตุผลแก่เราเพื่อคาดหวังว่าพระองค์จะทำงานภายในเราตามสิ่งที่พระองค์ประสงค์จากเรา” - จอห์น เวสเล่ย์ ถอดความจากคำเทศนาเรื่อง “ความสมบูรณ์พร้อม”
[15]  อ่าน สดุดี 51:5-10
[16]  1 เธสะโลนิกา 1:6-10
[17]  อ่าน 1 เธสะโลนิกา 3:10
[18]  อ่าน 1 เธสะโลนิกา 5:23
[19]  ยอห์น 17:14, 9-10; ลูกา 10:20
[20]  อ่าน ยอห์น 14:17
[21]  กิจการ 15:8-9
[22]  อ่าน มาระโก 9:33-34; มาระโก 10:35-41; ลูกา 9:54-55.
[23]  1 เธสะโลนิกา 5:24
                                     
                                    
                                    
                                        
                                                                                                                                    
                                                
                                                     
                                                    Previous
                                                 
                                                                                    
                                                                                                                                    
                                                
                                                    Next