Lesson 15: หลักข้อเชื่อในยุคโบราณ

นักศึกษาจะสามารถอธิบายหัวข้อต่อไปนี้ได้

(1) วัตถุประสงค์และประโยชน์ของหลักข้อเชื่อในฐานะที่เป็นคำประกาศหลักความเชื่อ

(2) ตัวอย่างของหลักข้อเชื่อในพระคัมภีร์

(3) ต้นกำเนิดและเนื้อหาของหลักข้อเชื่อสามประการในประวัติศาสตร์

(4) เหตุผลที่คริสเตียนสมัยใหม่ต้องยึดถือหลักศาสนาคริสต์ในประวัติศาสตร์

(5) คำประกาศหลักความเชื่อของคริสเตียนเกี่ยวกับหลักข้อเชื่อ

นักศึกษาจะให้คุณค่าหลักความเชื่อที่เป็นรากฐานของคริสตจักรยุคแรกเป็นดั่งหลักคำสอนดั้งเดิมของคริสตศาสนา

อ่าน 2 ยอห์นพร้อมกัน พระคัมภีร์ตอนนี้บอกอะไรแก่เราเกี่ยวกับความสำคัญของหลักคำสอนดั้งเดิมของคริสตจักร?

ต้นกำเนิดของหลักข้อเชื่อ               

หลักข้อเชื่อคือข้อสรุปของหลักความเชื่อที่สำคัญของคริสเตียน คริสตจักรยุคแรกมองเห็นความจำเป็นที่จะต้องสรุปหลักคำสอนจากพระคัมภีร์

► ทำไมคริสตจักรจำเป็นต้องมีหลักข้อเชื่อ? มีแค่พระคัมภีร์ไม่เพียงพอหรือ?

มีคนที่อ้างว่าเชื่อพระคัมภีร์แต่สอนหลักคำสอนที่สอดคล้องกับพระคัมภีร์อยู่เสมอ คริสตจักรเขียนคำประกาศหลักคำสอนตามพระคัมภีร์ขึ้นมาเพื่อแยกให้เห็นความแตกต่างระหว่างคริสตศาสนากับคำสอนเท็จต่าง ๆ

หนึ่งในคำประกาศหลักคำสอนแรกคือ “พระเยซูเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า” หมายความว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า คำว่า “พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า” เป็นคำประกาศที่กล่าวว่าพระเยซูเป็นพระเมสสิยาห์ (Christos) และพระองค์เป็นพระเจ้า คนที่ปฏิเสธที่จะกล่าวว่าพระเยซูเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าหรือปฏิเสธที่จะใช้คำว่าพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าก็ไม่ใช่คริสเตียน[1]

ต่อมามีคนที่อ้างว่าเป็นคริสเตียน แต่ไม่เชื่อว่าพระเยซูเป็นมนุษย์แท้ นั่นคือเหตุผลที่จดหมายฝาก 1 ยอห์นจึงมีคำประกาศที่เป็นหลักข้อเชื่อว่า “และวิญญาณทุกดวงที่ไม่ยอมรับพระเยซู วิญญาณนั้นก็ไม่ได้มาจากพระเจ้า”[2] อัครทูตกล่าวด้วยว่าถ้าหากคนใดปฏิเสธหลักคำสอนที่สำคัญเกี่ยวกับพระคริสต์ เขาก็ทำบาปและไม่ได้มาจากพระเจ้า[3]

หลักข้อเชื่อแรกสุดที่ถูกทำให้เป็นคำประกาศมากมายใน 1 ทิโมธี 3:16

“พระองค์ทรงปรากฏเป็นมนุษย์ ทรงได้รับการพิสูจน์ว่าชอบธรรมโดยพระวิญญาณ ทรงปรากฏต่อเหล่าทูตสวรรค์ ทรงได้รับการประกาศออกไปยังบรรดาประชาชาติ ทรงได้รับการเชื่อวางใจจากคนมากมายในโลก และทรงถูกรับขึ้นไปด้วยพระสิริ”

เราไม่รู้ทุกประเด็นเกี่ยวกับหลักข้อเชื่อใน 1 ทิโมธี แต่จุดเน้นคือความเป็นพระเจ้าและความเป็นมนุษย์ของพระเยซูเมื่อพระเจ้าทรงปรากฎเป็นมนุษย์

คำประกาศที่เป็นหลักข้อเชื่อเหล่านี้มีวัตถุประสงค์ ถ้าหากคริสเตียนในยุคแรกพบกับอีกคนที่อ้างว่าเชื่อในพระเยซู คริสเตียนสามารถถามเขาได้ว่า “ท่านเชื่อว่าพระเยซูเป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าไหม?” หรือ “ท่านเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าที่มาปรากฏเป็นมนุษย์ไหม?” ถ้าหากคนนั้นตอบว่า “ไม่เชื่อ” แล้ว คริสเตียนก็รู้ได้เลยว่าคนนั้นไม่ได้รู้หรือยอมรับสิ่งที่พระคัมภีร์สอนไว้อย่างแท้จริง

ในช่วงศตวรรษแรก ๆ หลังจากวันเพ็นเทคอส คริสตจักรเห็นความจำเป็นที่จะต้องเขียนคำประกาศชัดเจนเกี่ยวกับตรีเอกานุภาพ การมาบังเกิดของพระคริสต์ และพระลักษณะเฉพาะของพระวิญญาณบริสุทธิ์  พวกเขาสถาปนาหลักคำสอนที่เป็นมาตรฐานเพื่อปกป้องจากคำสอนนอกรีต หลักข้อเชื่อจึงเป็นข้อสรุปจากความจริงที่เป็นรากฐานความเชื่อของคริสเตียนทุกคน

หลักข้อเชื่อไม่สามารถครอบคลุมทุกประเด็น แต่คนหนึ่งไม่สามารถถูกพิจารณาว่าเป็นคริสเตียนได้ถ้าหากเขาปฏิเสธข้อใดในหลักข้อเชื่อของคริสตจักรยุคแรก ข้อบัญญัติเหล่านี้เป็นตัวกำหนดความเชื่อของคริสเตียน

มีหลักข้อเชื่อสามประการของคริสตจักรในยุคแรก

[1] “สิ่งที่จำเป็นต่อความรอดนิรันดร์คือการที่เขาเชื่ออย่างถูกต้องเกี่ยวกับการมาบังเกิดของพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา เพราะความเชื่อที่ถูกต้องคือการที่เราเชื่อและยอมรับว่าพระเยซูคริสต์เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้า พระบุตรของพระเจ้า เป็นทั้งพระเจ้าและมนุษย์” - ข้อบัญญัติทางศาสนาของอธานาเชี่ยน

[2] 1 ยอห์น 4:3

[3] 2 ยอห์น 9

หลักข้อเชื่อของอัครทูตไม่ได้ถูกเขียนขึ้นโดยอัครทูต แต่ถูกเขียนขึ้นในช่วงศตวรรษที่สองเพื่อแสดงให้เห็นถึงหลักคำสอนของอัครทูต

“ข้าพเจ้าเชื่อในพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงฤทธิ์ ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก

และในพระเยซูคริสต์ พระบุตรองค์เดียวของพระองค์ ผู้เป็นองค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ผู้ซึ่งปฏิสนธิ์โดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ บังเกิดจากหญิงพรหมจรรย์คือมารีย์ ผู้ต้องทนทุกข์ภายใต้การปกครองของปอนทิอัสปีลาต ทรงถูกตรึงบนไม้กางเขน ทรงตายและถูกฝัง พระองค์ทรงลงไปในนรก และในวันที่สามทรงฟื้นขึ้นจากความตาย พระองค์ทรงถูกรับขึ้นไปบนสวรรค์ และประทับอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระเจ้าพระบิดาผู้ทรงฤทธิ์ จากนั้นพระองค์จะกลับมาเพื่อพิพากษาทั้งคนเป็นและคนตาย

ข้าพเจ้าเชื่อในพระวิญญาณบริสุทธิ์ เชื่อในคริสตจักรคาธอลิค (สากล) อันบริสุทธิ์ ในการเข้าส่วนร่วมกันของบรรดาธรรมิกชน เชื่อในการยกโทษความบาป ในกายที่เป็นขึ้นมาใหม่ และในชีวิตนิรันดร์ อาเมน”

ดูเหมือนว่าหลักข้อเชื่อนี้มีเป้าหมายเพื่อเปิดโปงความผิดพลาดของพวกที่ปฏิเสธว่าพระเยซูเป็นมนุษย์แท้และบังเกิดจากหญิงพรหมจรรย์ มีบางพวกที่ปฏิเสธว่าพระเยซูได้ตายจริง ๆ หรือการที่พระองค์ฟื้นขึ้นจากความตายในฝ่ายร่างกาย

ในหลักข้อเชื่อของอัครทูตได้กล่าวถึงพระวิญญาณบริสุทธิ์เพียงเล็กน้อย นั่นไม่ได้หมายความว่าคริสตจักรมีความรู้น้อยเกี่ยวกับพระวิญญาณบริสุทธิ์ แต่เป็นเพราะคำสอนนอกรีตเกี่ยวกับพระลักษณะเฉพาะของพระองค์ไม่ได้เป็นประเด็นโต้แย้งในคริสตจักรเวลานั้น คำว่า คาธอลิค หมายถึง “สากล” ซึ่งหมายความว่ามีคริสตจักรที่แท้จริงคริสตจักรเดียว “การยกโทษบาป” หมายถึงการได้รับความรอดโดยพระคุณไม่ใช่ด้วยการกระทำหรือพิธีกรรม

หลักข้อเชื่อไนซีนได้รับการสถาปนาขึ้นในสภาของคริสตจักรปี 325 จุดประสงค์เพื่อปกป้องหลักคำสอนเรื่องความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์และเรื่องพระวิญญาณบริสุทธิ์ มีคำประกาศบางประการที่ถูกเพิ่มเข้าไปในการประชุมประชุมสภาปี  381 หลักข้อเชื่อนี้จัดการกับบางประเด็นที่ไม่เคยมีก่อนหน้านี้

“ข้าพเจ้าเชื่อในพระเจ้าองค์เดียวคือพระบิดาผู้ทรงฤทธิ์ ผู้สร้างฟ้าสวรรค์และแผ่นดินโลก และสรรพสิ่งทั้งปวงทั้งที่มองเห็นและมองไม่เห็น

และเชื่อในพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าองค์เดียว พระบุตรองค์เดียวของพระเจ้า ทรงกำเนิดจากพระบิดาตั้งแต่ก่อนโลกทั้งปวงจะถูกสร้างขึ้น ทรงเป็นพระเจ้ากำเนิดจากพระเจ้า แสงสว่างจากแสงสว่าง พระเจ้าเที่ยงแท้จากพระเจ้าเที่ยงแท้ พระองค์ทรงกำเนิดไม่ได้ถูกสร้าง ทรงมีลักษณะที่เป็นธรรมชาติอย่างเดียวกันกับพระบิดา โดยพระองค์สรรสิ่งจึงถูกสร้างขึ้น ทรงลงมาจากสวรรค์เพื่อเราที่เป็นมนุษย์และเพื่อความรอดของเรา และทรงมาบังเกิดโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ทางหญิงพรหมจรรย์คือมารีย์ และทรงเป็นมนุษย์ ทรงถูกตรึงที่กางเขนเพื่อเราภายใต้การปกครองของปอนทีอัตปีลาส พระองค์ทรงทนทุกข์และถูกฝัง ในวันที่สามทรงฟื้นขึ้นจากความตายซึ่งเป็นไปตามพระคัมภีร์กล่าวไว้ และทรงถูกรับขึ้นสู่สวรรค์ ประทับอยู่ที่เบื้องขวาพระหัตถ์ของพระบิดา และพระองค์จะเสด็จมาอีกครั้งด้วยสง่าราศี เพื่อพิพากษาทั้งคนเป็นและคนตาย อาณาจักรของพระองค์จะไม่มีสิ้นสุด  

และข้าพเจ้าเชื่อในพระวิญญาณบริสุทธิ์ องค์พระผู้เป็นเจ้า และผู้ประทานชีวิต ทรงมาจากพระบิดาและพระบุตร ผู้ได้รับการนมัสการและสง่าราศีร่วมกันกับพระบิดาและพระบุตร เป็นผู้ตรัสผ่านพวกผู้เผยพระวจนะ และข้าพเจ้าเชื่อในคริสตจักรคาธอลิค (สากล) หนึ่งเดียวที่สืบจากอัครทูต ข้าพเจ้ายอมรับบัพติศมาเดียวที่เป็นการยกโทษบาป และข้าพเจ้าแสวงหาการฟื้นขึ้นจากความตาย และชีวิตในโลกที่จะมาถึง อาเมน”

► มีสิ่งใดที่คุณพบเห็นในหลักข้อเชื่อแต่ไม่อยู่ในหลักข้อเชื่อของอัครทูตบ้าง?

ในที่นี้เราเห็นคำประกาศที่เพิ่มเข้ามาเกี่ยวกับความเป็นบุคคลของทั้งสามพระภาคในตรีเอกานุภาพ ความเป็นพระเจ้าอย่างสมบูรณ์ของพระคริสต์ได้รับการเน้นเพื่อป้องกันจากพวกคนที่อ้างว่าเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้า แต่ก็ยังลดความเป็นพระเจ้าของพระองค์ พระองค์ทรงเป็นนิรันดร์ (“ก่อนที่โลกทั้งปวงจะถูกสร้างขึ้น”) ไม่ได้ถูกสร้าง และทรงเท่าเทียมกันกับพระบิดา พระเยซูทรงเป็นพระเจ้าด้วยเหตุผลอย่างเดียวกันกับที่พระบิดาทรงเป็นพระเจ้า

พระวิญญาณบริสุทธิ์ต้องได้รับการนมัสการเหมือนกับพระบิดาและพระบุตรซึ่งเป็นการยืนยันว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้า

หลักข้อเชื่อของชาลซีดอนถูกเขียนขึ้นในปี 451 โดยมีจุดประสงค์เพื่อปกป้องหลักคำสอนเรื่องการมาบังเกิดของพระคริสต์ เนื้อหาในหลักข้อเชื่อนี้ค่อนข้างเข้าใจยาก สิ่งที่เป็นความห่วงใยของผู้เขียนคือการปกป้องหลักคำสอนเกี่ยวกับความเป็นพระเจ้าที่สมบูรณ์และมนุษย์ที่สมบูรณ์ของพระคริสต์ โดยไม่ลดทอนด้านใดด้านหนึ่งจนสูญเสียความหมาย

ในตอนจบ ผู้เขียนได้กล่าวว่าพวกเขาถือว่าหลักคำสอนเหล่านี้มาจากพระคัมภีร์และเป็นประเพณีในคริสตจักร พวกเขาไม่ได้สร้างแนวคิดใหม่ขึ้นมา แต่ปกป้องสิ่งที่คริสตจักรได้เชื่อเสมอมา

“การที่เราติดตามพระบิดาผู้บริสุทธิ์ ด้วยความเป็นเอกฉันท์หนึ่งเดียว เราสอนให้มนุษย์กล่าวยอมรับพระบุตรองค์เดียวคือ พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าของเรา ทรงสมบูรณ์แบบในความเป็นพระเจ้าและสมบูรณ์แบบในความเป็นมนุษย์ ทรงเป็นพระเจ้าแท้และมนุษย์แท้ ทรงมีจิตใจและร่างกาย ในความเป็นพระเจ้านั้นทรงเป็นหนึ่งเดียวกันกับพระบิดา และในความเป็นมนุษย์นั้นทรงเป็นหนึ่งเดียวกันกับเรา ทรงเป็นเหมือนเราทุกอย่าง ยกเว้นทรงปราศจากบาป ในความเป็นพระเจ้านั้นทรงมาจากพระบิดาก่อนกาลเวลาทั้งหมด และในยุคสุดท้ายนี้ ในความเป็นมนุษย์นั้นพระองค์ทรงบังเกิดจากมารีย์หญิงพรหมจรรย์ มารดาของพระเจ้า ผู้เป็นหนึ่งเดียวและองค์เดียวกัน คือพระคริสต์ พระบุตร องค์พระผู้เป็นเจ้า พระบุตรองค์เดียว ผู้ที่ได้รับการยอมรับว่ามีสองธรรมชาติ ไม่แปรปรวน ไม่เปลี่ยนแปลง ไม่แตกแยก ไม่สามารถแบ่งแยก ความแตกต่างของธรรมชาติทั้งสองนี้ไม่ได้สูญเสียไปในความเป็นหนึ่งเดียวกัน ทว่าแต่ละธรรมชาติกลับค้ำชูกันไว้ และรวมกันในบุคคลเดียวและผู้เดียวที่ดำรงอยู่ ไม่ได้แยกเป็นสองบุคคล แต่เป็นพระบุตรหนึ่งเดียวและองค์เดียวกัน พระบุตรองค์เดียว พระเจ้าพระวาทะ พระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้า ตามที่ผู้เผยพระวจนะได้เผยพระวจนะถึงพระองค์ตั้งแต่เริ่มต้น และพระเยซูคริสต์องค์พระผู้เป็นเจ้าได้สอนเราเอง และโดยหลักข้อเชื่อของพระบิดาผู้บริสุทธิ์ที่ได้ตกทอดมาถึงพวกเรา”

► คุณเห็นบางสิ่งที่เน้นเป็นพิเศษในหลักข้อเชื่อนี้ไหม?

ความเป็นพระเจ้าของพระคริสต์ไม่ใช่สิ่งที่พระเยซูมีในสวรรค์เท่านั้นแต่บนโลกนี้ด้วย คริสเตียนในยุคแรกเชื่อว่าพระเยซูเป็นพระเจ้าเที่ยงแท้ที่อยู่ในสภาพของมนุษย์ พระองค์มีพระลักษณะต่าง ๆ ของพระเจ้าและมนุษย์อยู่ร่วมกันขณะที่อยู่บนโลกนี้ พวกเขาพิจารณาว่าพระลักษณะอันเป็นธรรมชาตินี้ของพระคริสต์เป็นคุณลักษณะที่เป็นเอกลักษณ์ของพระองค์ในฐานะพระผู้ช่วยให้รอด

หลายศตวรรษผ่านไปนับจากคริสตจักรได้เริ่มต้น โลกนี้ได้เปลี่ยนแปลงไปในหลายทาง มีหลักความเชื่อของศาสนามากมายเกิดขึ้น

บางคนคิดว่าไม่มีหลักคำสอนใดที่ต้องเป็นเหมือนเดิม พวกเขารู้สึกมีอิสระที่จะเชื่อสิ่งใด ๆ ที่พวกเขาต้องการเชื่อและก็ยังคงเรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียน

► จำเป็นสำหรับเราไหมที่จะต้องเชื่อหลักข้อเชื่อของคริสตจักรยุคแรก?

พระเจ้าของพระคัมภีร์ที่ได้ถูกอธิบายเอาไว้ในหลักข้อเชื่อของคริสตจักรยุคแรกไม่ได้เปลี่ยนแปลงไป คริสเตียนในคริสตจักรยุคแรกรู้ว่าพระเจ้าได้ช่วยพวกเขาให้รอดเพื่อเป็นการตอบสนองต่อความเชื่อของพวกเขาในพระองค์ คำประกาศเหล่านี้เกี่ยวกับพระลักษณะที่เป็นธรรมชาติของพระเจ้าและความหมายของความรอดเป็นรากฐานของคริสตศาสนานับจากเริ่มต้น

แต่นี่ไม่ได้หมายความว่าคนหนึ่งจะไม่ได้รับความรอดถ้าหากเขาไม่ได้ทำถูกต้องตามหลักคำสอนทุกอย่าง ไม่ใช่ทุกหลักคำสอนจะจำเป็นสำหรับข่าวประเสริฐ คนไม่สามารถปฏิเสธสิ่งที่เขารู้ว่าเป็นความจริง แต่เขาอาจผิดพลาดในบางเรื่องได้

หลักข้อเชื่อในยุคโบราณในบทเรียนนี้พูดถึงหลักคำสอนที่สำคัญ ๆ เท่านั้น ถ้าหากคริสตจักรมีมุมมองเกี่ยวกับพระเจ้าแตกต่างจากหลักที่สำคัญต่าง ๆ เหล่านี้ พวกเขาย่อมต้องมีความรอดที่มีความหมายแตกต่างออกไป ซึ่งกลายเป็นข่าวประเสริฐอีกอย่างหนึ่ง ถ้าหากพวกเขาเป็นเช่นนั้นก็ไม่ควรเรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียนเพราะพวกเขากำลังสร้างศาสนาใหม่ขึ้นมา

แน่นอนว่าทุกคนมีอิสระที่จะคิดในสิ่งที่เขาต้องการ แต่ถ้าหากเขาไม่มีหลักความเชื่อของคริสเตียนแล้ว เขาก็ไม่ใช่คริสเตียน เขาเป็นอย่างอื่น[1]

ในช่วงศตวรรษแรก ๆ ไม่มีคณะสังกัดเหมือนทุกวันนี้ มีเพียงคริสตจักรเดียว ดังนั้นหลักข้อเชื่อจึงเป็นคำประกาศของคริสตจักรทั้งหมด แต่ในทุกวันนี้ คริสตจักรมากมายที่เคารพสิทธิอำนาจของพระคัมภีร์ก็จะยึดถือหลักความเชื่อที่เป็นหลักข้อเชื่อเหล่านี้ แม้ว่า พวกเขาไม่เห็นด้วยในแนวคิดอื่น ๆ ก็ตาม

คริสตจักรในยุคแรกรู้ว่าความสัมพันธ์กับพระเจ้าเป็นสิ่งสำคัญที่สุด พวกเขารู้ว่าพวกเขาได้รับความรอดโดยผ่านการมีความสัมพันธ์กับพระเจ้า ด้วยเหตุนี้การที่พวกเขารู้จักพระลักษณะของพระเจ้าจึงเป็นเรื่องสำคัญมากสำหรับพวกเขา

พระธรรมยูดาเตือนเราว่าเราต้องปกป้องความเชื่อดั้งเดิมที่มอบไว้ให้กับคริสตจักร[2] ขอพระเจ้าเจิมความจริงของพระองค์ในขณะที่เรารับใช้อย่างสัตย์ซื่อในการเทศนาข่าวประเสริฐ การสร้างผู้เชื่อให้เป็นสาวก และการฝึกอบรมคนที่พระองค์เรียกให้เข้าสู่พันธกิจ

[1] แต่หลักคำสอนใดที่ใหม่ต้องผิดพลาด เพราะศาสนาเดิมเป็นความจริงเดียวที่เที่ยงแท้ และไม่มีหลักคำสอนใดจะถูกต้องได้นอกจากจะเหมือนกันกับ “หลักคำสอนที่มีมาตั้งแต่เริ่มต้น” - จอห์น เวสเล่ย์ ในคำเทศนาเรื่อง “ความบาปในผู้เชื่อทั้งหลาย”

[2] ยูดา 3

กลุ่มของคริสตจักรที่รวมเข้าเป็นองค์กรหนึ่ง ๆ เรียกว่าเป็นสังกัด มีเป็นพัน ๆ สังกัดที่อ้างตัวเองว่าเป็นคริสเตียน มีคริสตจักรอิสระนับพัน ๆ ที่ไม่ได้อยู่ใต้สังกัดใด ๆ

บางครั้งสังกัดเริ่มต้นด้วยการประกาศ ถ้ามีคนเปลี่ยนมานับถือศาสนา และไม่มีสังกัดที่ดูแลพวกเขา ก็จะมีสังกัดใหม่เกิดขึ้น สังกัดหนึ่งอาจเริ่มต้นจากการทำงานขององค์กรที่ทำมิชชั่นในประเทศหนึ่ง

บางครั้งสังกัดเกิดขึ้นจากกลุ่มคนที่เชื่อว่าหลักคำสอนที่สำคัญถูกปฏิเสธหรือถูกเพิกเฉยโดยคริสตจักรที่พวกเขาอยู่ พวกเขาจึงเริ่มต้นสังกัดใหม่ด้วยความตั้งใจว่าจะยึดมั่นในหลักคำสอนที่ถูกต้อง เวลาผ่านไป พวกเขายังคงพัฒนาหลักคำสอนของตนเอง เพราะพวกเขาเข้าใจพระคัมภีร์แตกต่างไปจากกลุ่มคริสเตียนอื่น ๆ หลักคำสอนของพวกเขาจึงแตกต่างจากสังกัดอื่น ๆ

สังกัดต่าง ๆ ได้พัฒนาประเพณีต่าง ๆ ในการนมัสการอย่างถูกต้องและรายละเอียดต่าง ๆ ในการดำเนินชีวิตคริสเตียนด้วย สังกัดต่าง ๆ มีความแตกต่างกันทางด้านประเพณีของพวกเขา

สังกัดคริสเตียนส่วนใหญ่ไม่กล่าวอ้างว่าเป็นคริสตจักรที่แท้จริงเพียงคริสตจักรเดียว ถ้าหากองค์กรใดที่อ้างว่าเป็นคริสตจักรทั้งหมดของพระเจ้าบนโลกนี้ ก็จะไม่น่าไว้ใจ

ผู้ไม่เชื่อคัดค้านคริสต์ศาสนาเพราะความแตกแยกและหลากหลาย ผู้ไม่เชื่อคิดว่านิกายต่าง ๆ ของศาสนาคริสต์นั้นแตกแยกขัดแย้งกันเอง คนจำนวนมากบนโลกนี้คิดว่าคริสเตียนไม่ได้มีความเป็นเอกภาพ

สังกัดหนึ่งหรือคริสตจักรท้องถิ่นที่เป็นคริสเตียนแท้จริงย่อมเชื่อหลักคำสอนตามหลักข้อเชื่อของคริสตจักรยุคแรก นี่คือเอกภาพของหลักคำสอนที่ดำรงอยู่ท่ามกลางกลุ่มคริสเตียนทั้งหมด  มีความหลากหลายอย่างมากเกี่ยวกับประเด็นและประเพณีเล็กน้อยในหลักคำสอน แต่เราไม่ควรกล่าวว่าคริสตจักรนั้นไม่เป็นคริสเตียนเนื่องจากความแตกต่างเหล่านั้น

ในฐานะคริสเตียนที่มีความสัมพันธ์กับพระเจ้า เขาย่อมพัฒนาความเข้าใจเกี่ยวกับความจริงของพระคัมภีร์ เขาจะไม่ได้ข้อสรุปตามที่คนอื่นมีเสมอไป เมื่อเขานำความจริงมาประยุกต์ใช้ในชีวิตประจำวัน เขาจะพัฒนากฎเกณฑ์สำหรับตัวเองซึ่งแตกต่างจากคริสเตียนคนอื่น

เมื่อคนหนึ่งคิดเกี่ยวกับความเชื่อของเขา เขาไม่สมควรปฏิเสธหลักคำสอนที่สำคัญของคริสต์ศาสนาในยุคแรกได้อย่างง่ายดาย นอกเสียจากว่าเขาตัดสินใจว่าเขาจะไม่เป็นคริสเตียนอีกต่อไป

คริสเตียนคนหนึ่งควรสามารถเชื่อหลักคำสอนที่ถูกสถาปนาในคริสตจักรของเขา ถ้าหากเขาเชื่อว่าหลักคำสอนในคริสตจักรของเขาผิด เขาก็ไม่สามารถอุทิศตัวเป็นสมาชิกของคริสตจักรนั้นได้

คริสเตียนคนหนึ่งจะได้รับการนำโดยคำสอนของคริสตจักรของเขา แต่เขาจะมีความเชื่อมั่นที่แตกต่างจากสมาชิกคนอื่นในคริสตจักรของเขา ความเชื่อมั่นส่วนบุคคลไม่ได้ถูกกล่าวถึงโดยตรงในพระคัมภีร์ แต่เป็นสิ่งที่ใครบางคนพยายามประยุกต์ใช้ความจริงจากพระคัมภีร์กับบางเรื่อง

คริสเตียนทุกคนควรประยุกต์ใช้ความจริงจากพระคัมภีร์อย่างสัตย์ซื่อในทุกสถานการณ์ แต่เขาไม่ควรด่วนตัดสินคนอื่นโดยข้อสรุปของเขาเอง เป็นสิ่งถูกต้องที่เราจะคาดหวังว่าคริสเตียนทุกคนต้องยึดมั่นในหลักคำสอนที่เป็นหลักข้อเชื่อของคริสตจักรยุคแรก แต่เป็นสิ่งที่ไม่ถูกต้องสำหรับคริสเตียนคนหนึ่งจะคาดหวังให้คนอื่นเห็นด้วยกับหลักความเชื่อส่วนตัวของเขาทุกอย่าง

ชั้นเรียนควรอ่าน “คำประกาศหลักความเชื่อ” พร้อมกันอย่างน้อยสองรอบ

พระคัมภีร์บอกเราให้ยึดมั่นและปกป้องหลักคำสอนดั้งเดิมของคริสต์ศาสนา คริสเตียนในยุคแรกประกาศหลักความเชื่อที่สำคัญต่อข่าวประเสริฐและความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้า คำประกาศเหล่านั้นยังคงกำหนดความเป็นคริสต์ศาสนาที่สำคัญมาก

(1) ศึกษาพระคัมภีร์ตอนต่างๆ: นักศึกษาแต่ละคนจะถูกมอบหมายให้ศึกษาพระคัมภีร์หนึ่งตอนจากรายการด้านล่างนี้ โดยให้นักศึกษาอ่านพระคัมภีร์ตอนนั้นและเขียนหนึ่งย่อหน้าเพื่ออธิบายว่าพระคัมภีร์ตอนนั้นพูดถึงหัวข้อที่เราเรียนกันในบทนี้อย่างไรบ้าง ขอให้ทำการบ้านนี้ก่อนถึงชั่วโมงเรียนครั้งถัดไป

• ทิตัส 1:7-14
• ยูดา 3-13
• 1 ทิโมธี 4:1-7
• 1 ทิโมธี 3:16
• 1 ยอห์น 4:1-3, 14-15, และ 5:12

(2) ทดสอบ: ชั่วโมงเรียนถัดไปจะเริ่มต้นด้วยการทดสอบสำหรับบทที่ 15 ขอให้เตรียมตัวด้วยการศึกษาคำถามสำหรับการทดสอบอย่างละเอียด

(3) การบ้านสำหรับการสอน: ทำตามรายการที่กำหนดและรายงานเกี่ยวกับการสอนชั้นเรียนภายนอก

(1) หลักข้อเชื่อคืออะไร?

(2) อะไรคือคำประกาศสองประการเกี่ยวกับพระเยซูซึ่งจำเป็นต่อคริสเตียนในยุคแรก?

(3) คำกล่าวอ้างถึงหลักข้อเชื่อแรกในพระคัมภีร์ที่ทำให้เป็นคำประกาศมากมายคืออะไร?

(4) อะไรคือจุดประสงค์ของหลักข้อเชื่อของอัครทูต?

(5) อะไรคือจุดประสงค์ของหลักข้อเชื่อไนซีน?

(6) อะไรคือจุดประสงค์ของหลักข้อเชื่อชาลซีดอน?