► มีคุณลักษณะอะไรบ้างของมนุษย์ที่สะท้อนให้เห็นถึงพระฉายของพระเจ้า?
บรรดานักศาสนศาสตร์ได้คิดกันมามากว่า การที่มนุษย์อยู่ในพระฉายของพระเจ้าหมายความว่าอะไร และส่วนใหญ่เห็นด้วยกันกับคุณลักษณะต่อไปนี้
สัญชาตญาณในการสร้างสรรค์ 
เรามีสัญชาตญาณในการสร้างสรรค์ที่มาจากพระฉายของพระเจ้าภายในเรา พระผู้สร้างของเราได้สร้างเราให้มีความสร้างสรรค์ บางครั้งสัตว์ต่างๆ ที่ได้รับการฝึกให้ทำสิ่งที่มนุษย์เรียกว่าศิลปะ แต่มันเป็นศิลปะที่แตกต่างอย่างมากจากงานศิลปะที่สร้างสรรค์ที่แสดงออกถึงแนวคิดของมนุษย์ ภาพวาดสมัยโบราณถูกค้นพบในถ้ำต่างๆ เราไม่รู้เกี่ยวกับคนที่วาดภาพเหล่านั้น แต่ไม่มีใครสงสัยเลยว่าเป็นมนุษย์ที่วาดภาพไม่ใช่สัตว์ 
การสร้างสรรค์แสดงออกผ่านทางดนตรีด้วย ดนตรีมีความสามารถอันอัศจรรย์ในการแสดงออกถึงความคิดและความรู้สึก ความสามารถในการสื่อสารแนวคิดผ่านทางดนตรีมาจากพระฉายของพระเจ้าที่อยู่ภายในเรา
ความสามารถในการคิด 
ความสามารถในการคิดเป็นอีกความสามารถหนึ่งที่เป็น “ลักษณะที่เหมือนกับพระเจ้า” สัตว์ต่างๆ มีสมอง แต่เราสามารถบอกได้ว่า การทำงานของสมองของสัตว์นั้นจะไม่เกินกว่าระดับพื้นฐานของสัญชาตญาณ มีเพียงมนุษย์เท่านั้นที่สามารถวิเคราะห์ ประเมินผล และสะท้อนคิด แล้วถ่ายทอดมาเป็นการสื่อสารที่เป็นการโน้มน้าวใจได้
เราไม่เพียงแค่คิดได้ เรายังสามารถคิดเกี่ยวกับการคิดได้ด้วย เราสามารถวิเคราะห์ผ่านกระบวนการต่างๆ ไม่เพียงแค่คิดตามสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผล เรายังสามารถคิดในสิ่งที่เป็นเหตุเป็นผลได้ด้วย 
ความสามารถในการสื่อสาร 
มนุษย์มีความสามารถในการสื่อสารซึ่งแสดงให้เห็นโดยการใช้ภาษา คือการที่แนวความคิดต่างๆ ถูกถ่ายทอดออกมาเป็นเสียงหรือสัญลักษณ์ที่ทำให้คนอื่นเข้าใจได้ สัตว์อย่างเช่นสุนัขและนกอาจ “สื่อสาร” ผ่านทางเสียง แต่ไม่มีความซับซ้อนใดในภาษาของมนุษย์ที่จะมีในพวกสัตว์ สัตว์ต่างๆ มีวิธีในการขู่สัตว์ตัวอื่น ปกป้องอาณาเขต หรือแบ่งอาหาร แต่พวกมันไม่มีการพูดคุยสื่อสารกันถึงความหมายของชีวิต
ความสามารถในการสื่อสารขึ้นอยู่กับความสามารถในการคิดและหาเหตุผล สัตว์ไม่สามารถพูดถ้อยคำ แต่แม้ว่าพวกมันจะพูดได้ พวกมันก็ไม่มีอะไรจะพูดเยอะ
ธรรมชาติทางสังคม 
มนุษย์มีธรรมชาติทางสังคม เราถูกออกแบบมาให้มีปฏิสัมพันธ์กับคนอื่น อุทิศตัวต่อคนอื่น และพึ่งพาอาศัยผู้อื่น เราเริ่มต้นชีวิตด้วยการพึ่งพาอาศัยผู้อื่นร้อยเปอร์เซ็นต์ และกว่าเด็กคนหนึ่งจะเติบโตเป็นผู้ใหญ่ต้องใช้เวลาหลายปี นั่นเป็นเพราะความสัมพันธ์เป็นสิ่งสำคัญต่อพระเจ้า[1] 
พระเจ้าได้ออกแบบชีวิตมนุษย์มาเพื่อให้มนุษย์ทำงานร่วมกันและรักษาความสัมพันธ์เพื่อตอบสนองต่อความจำเป็นในชีวิตประจำวัน แม้ว่าบางคนสามารถได้รับสิ่งต่างๆ อย่างเช่นอาหารและที่พักอาศัยโดยไม่มีใครช่วยเหลือ อย่างไรก็ตามเขาก็ยังต้องมีความจำเป็นที่สำคัญซึ่งจะได้รับโดยผ่านการสัมพันธ์กับคนอื่นเท่านั้น ธรรมชาติทางสังคมของมนุษย์สะท้อนให้เห็นถึงธรรมชาติของพระเจ้า พระเจ้าเป็นตรีเอกานุภาพ และมีความสัมพันธ์อันเป็นนิรันดร์
ความสัมพันธ์ของมนุษย์มีปัญหามากมาย เพราะปัญหาต่างๆ นี้เองที่ทำให้บางคนคิดว่าพวกเขาจำเป็นต้องแยกตัวเองอยู่แบบเอกเทศ พวกเขาต้องใช้ชีวิตโดยไม่ต้องพึ่งอาศัยใคร การใช้ชีวิตอยู่คนเดียวไม่ใช่ทางออกและไม่ใช่ชีวิตที่พระเจ้าออกแบบมาให้เรา แต่พระองค์ให้หลักการสำหรับการใช้ชีวิตด้วยการมีความสัมพันธ์ และปัญหาต่างๆ เกิดขึ้นเมื่อเราไม่เป็นไปตามที่พระเจ้าออกแบบไว้นั้น
การรับรู้ทางศีลธรรม 
เรามีธรรมชาติในการรับรู้ทางศีลธรรม คือบางสิ่งที่บอกเราว่าการกระทำใดถูกหรือผิด[2]  และบอกเราว่าเมื่อใดควรทำตามความปราถนาหรือเมื่อใดไม่ควรทำตาม อาดัมกับเอวาถูกสร้างมาให้บริสุทธิ์และสามารถทำตามน้ำพระทัยของพระเจ้าได้อย่างสมบูรณ์
เนื่องจากมนุษย์ได้ล้มลงในความบาปและการรับรู้ทางศีลธรรมได้ถูกทำลายไป ไม่ได้ถูกทำลายทั้งหมด แต่ยังคงเหลือความสามารถภายในเราเพื่อจะเข้าใจเกี่ยวกับความคิดที่ถูกและผิดได้
เพราะเรามีการรับรู้ทางศีลธรรม เราจึงรับรู้ถึงหน้าที่ที่จะทำสิ่งถูกต้อง และรู้สึกผิดถ้าหากเราทำบาป เราไม่ได้เป็นเหมือนสัตว์ที่ทำตามสัญชาตญาณโดยปราศจากความรู้สึกผิด
เจตจำนงเสรี  
เจตจำนงเสรี หรือความสามารถในการเลือกเป็นคุณลักษณะของมนุษย์ เมื่อเปรียบเทียบกับสัตว์ การเลือกของสัตว์อยู่ในระดับของการรับรู้ทางประสาทและสัญชาตญาณ สัตว์ไม่มีการตัดสินใจอย่างรอบคอบที่คำนึงถึงจริยธรรมหรือผลที่ตามมาจากการกระทำนั้น มนุษย์มีความสามารถในการเลือกที่ส่งผลให้ชีวิตมีความหมายและเปลี่ยนแปลง[3] 
► ทำไมเจตจำนงเสรีจึงเป็นส่วนสำคัญของมนุษย์?
เพราะเราเป็นคนตัดสินใจเลือก เราจึงมีความรับผิดชอบต่อพระเจ้า พระองค์จะตัดสินโทษคนบาปและประทานบำเหน็จแก่คนชอบธรรม[4] 
เนื่องจากเราเกิดมาพร้อมกับธรรมชาติบาป เราจึงไม่ได้ใช้เสรีภาพในการเลือกของเราในทางที่ถวายเกียรติแด่พระเจ้า ธรรมชาติของมนุษย์คือ “เป็นทาสของความบาป”[5]  ไม่สามารถทำสิ่งที่ถูกต้องได้ แต่โดยพระคุณของพระเจ้าที่มาถึงมนุษย์แต่ละคน ทำให้เขามีความปรารถนาและมีความสามารถในการตอบสนองต่อข่าวประเสริฐได้ ด้วยเหตุนี้มนุษย์จึงสามารถตัดสินใจเลือกที่จะกลับใจใหม่และเชื่อในข่าวประเสริฐ[6] 
ความเป็นอมตะ 
ความเป็นอมตะคือคุณสมบัติที่สำคัญของพระฉายของพระเจ้า มีช่วงเวลาที่เราไม่ได้ดำรงอยู่มาก่อน แต่ทุกคนจะดำรงอยู่ตลอดไปนับจากเวลาที่เขากำเนิดมา เราไม่ได้เป็นมนุษย์ที่มีร่างกายเท่านั้น แต่เรามีวิญญาณที่จะดำรงอยู่ชั่วนิรันดร์ และร่างกายของเราก็จะเป็นขึ้นมาใหม่ในสภาพที่อยู่ได้นิรันดร์ด้วย[7]  พระเจ้าสร้างพวกเราแต่ละคนเพื่อพระประสงค์นิรันดร์ ความเป็นอมตะทำให้การเลือกของเรามีความหมายนิรันดร์ เพราะเราจะต้องอยู่ในสวรรค์หรือไม่ก็ในนรกชั่วนิรันดร์
ความสามารถในการรัก 
ความสามารถในการรักเป็นส่วนหนึ่งของพระฉายของพระเจ้า  ในท่ามกลางพวกสัตว์ ความสัมพันธ์มีความจำกัดมากและถูกควบคุมโดยสัญชาตญาณ มีคุณลักษณะอีกอย่างหนึ่งที่สำคัญต่อคุณลักษณะนี้ ความรักจะไม่มีความหมายมากนักถ้าหากเราไม่มีความสามารถในการสื่อสาร ความสามารถในการเลือก และการอุทิศตัวต่อคนที่เรารัก และความสามารถในการตอบสนองด้วยความเข้าใจเมื่อเรารับความรักจากผู้อื่น ความรักของมนุษย์ถูกแสดงออกมาเป็นความชื่นชมยินดีในการมีความสัมพันธ์ ในการสัญญาและรักษาสัญญา ในการยอมเสียสละ ในการปรนนิบัติ และในการให้อภัย ทั้งหมดนี้เป็นการแสดงออกของความรักของพระเจ้า
ความสามารถในการนมัสการ 
คุณลักษณะที่สำคัญมากอย่างหนึ่งคือความสามารถในการนมัสการของเรา ขอให้คิดถึงเพลงาสรรเสริญนมัสการที่คุณชอบมากที่สุด เพลงที่เราร้องว่า “พระเจ้าของเราทรงยิ่งใหญ่” “พระเจ้ายิ่งใหญ่” เป็นเพลงสรรเสริญนมัสการที่ไม่ล้าสมัย ผู้เขียนสดุดีร้องว่า “โอ จิตใจของข้าพเจ้าเอ๋ย จงสาธุการองค์พระผู้เป็นเจ้า ทั้งสิ้นที่อยู่ภายในข้าพระเจ้า จงสาธุการพระนามบริสุทธิ์ของพระองค์”[8]   การแสดงออกเหล่านี้เป็นไปได้เพราะ “พระฉายของพระเจ้า” ที่อยู่ภายในเราตระหนักและตอบสนองต่อพระเจ้าที่สร้างเราจากพระฉายของพระองค์เอง
 
[1]  มนุษย์ถูกสร้างขึ้นตามพระฉายาของพระเจ้า คือให้บริสุทธิ์เหมือนกับพระผู้สร้างที่บริสุทธิ์ พระเจ้าเป็นความรัก ดังนั้นมนุษย์จึงมีชีวิตอยู่ในความรัก ในพระเจ้า และพระเจ้าอยู่ในเขา  มนุษย์ใสสะอาดเหมือนที่พระเจ้าใสสะอาด ไม่มีแม้จุดหนึ่งของความบาป เขาไม่รู้จักความชั่วร้ายเลย ปราศจากบาปทั้งภายในและภายนอก เขา “รักองค์พระเจ้า พระเจ้าของเขาด้วยสุดใจ สุดความคิด สุดจิต และสุดกำลัง” - จอห์น เวสเล่ย์ คำเทศนาเรื่อง “เป็นผู้ชอบธรรมโดยความเชื่อ”
[2]  อ่าน โรม 1:20, 2:15
[3]  อ่าน โยชูวา 24:15
[4]  วิวรณ์ 20:12-13
[5]  อ่าน โรม 6:16-17; เอเฟซัส 2:1-3
[6]  อ่าน มาระโก 1:15
[7]  อ่าน 1 โครินธ์ 15:16-22, 52-54
[8]  สดุดี 103:1
                                     
                                    
                                    
                                        
                                                                                                                                    
                                                
                                                     
                                                    Previous
                                                 
                                                                                    
                                                                                                                                    
                                                
                                                    Next