พระธรรมสดุดีหลายบทเป็นคำอธิษฐาน พระธรรมสดุดีหลายบทประพันธ์ขึ้นโดยดาวิด
► คุณรู้หรือเปล่าว่าเพลงสดุดีบทหนึ่งผู้เขียนอธิษฐานขอให้พระเจ้าหักฟันคนบางคน คุณเคยสังเกตว่าสิ่งต่างๆในพระธรรมสดุดีเข้าใจยากหรือเปล่า?
พระธรรมสดุดีบอกเราถึงสิ่งสำคัญในการอธิษฐาน
การอธิษฐานเป็นการพูดคุยกับพระเจ้า การพูดคุยมีความสำคัญ เพียงแค่กำลังพูดคุยกันอยู่ก็สำคัญแล้ว การที่บางคนไม่พูดคุยกันย่อมแสดงให้เห็นว่าการพูดคุยมีความสำคัญอยู่ในตัว
ผู้นำคนหนึ่งพูดก่อนการเจรจาซึ่งจัดขึ้นเพื่อป้องกันสงคราม “เวลาที่คนหมดคำพูดก็ควานหาดาบของตัวเอง ให้เราอธิษฐานที่เราจะทำให้พวกเขาพูดคุยกันไปเรื่อยๆได้” ผู้นำคนนี้รู้ว่าเวลาที่นักเจรจาหยุดพูดคุยหมายความว่าพวกเขาล้มเลิกความพยายามที่จะหาข้อตกลง
ถ้าหากคุณหยุดพูดคุยกับพระเจ้าหรือไม่อยากพูดเกี่ยวกับบางอย่างก็อาจเป็นเพราะว่าตัวคุณคิดว่าคุณเห็นด้วยกับพระเจ้าในเรื่องเหล่านั้นไม่ได้ครับ
พระธรรมสดุดีเป็นที่นิยมสำหรับการใช้เฝ้าเดี่ยวมาโดยตลอด แต่มีบางอย่างที่เข้าใจยาก เราควรคิดอย่างไรเกี่ยวกับข้อพระคัมภีร์ที่อธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงหักแขนบางคน (สดุดี 10:15) หรือข้อพระคัมภีร์ที่อธิษฐานขอให้พระเจ้าทรงเลาะฟันบางคน (สดุดี 58:6)?
พระธรรมสดุดีแสดงตัวอย่างให้เห็นว่าเราควรพูดคุยถึงทุกอย่างในชีวิตทุกอย่างที่เรารู้สึกกับพระเจ้า มีหลายอย่างในพระธรรมสดุดีที่อาจดูน่าตกใจถ้าหากเราคิดว่าพระธรรมสดุดีเป็นการอธิษฐานตามรูปแบบถึงสิ่งต่างๆทางศาสนา แต่ถ้าหากเราจำได้ว่าเราควรพูดคุยทุกอย่างกับพระเจ้า เราก็ควรคาดหวังว่าพระธรรมสดุดีจะมีสิ่งเหล่านั้น
เราควรพูดคุยทุกอย่างกับพระเจ้าเพราะอะไร? เพราะว่าสิ่งที่คุณพูดคุยถึงนั้นแสดงให้เห็นถึงขอบเขตความสัมพันธ์ของคุณครับ
ความสัมพันธ์เป็นการแบ่งปันชีวิต เราล้วนมีความสัมพันธ์อันจำกัดกับมนุษย์ มีคนที่เราทำงานด้วย คุณอาจแบ่งปันชีวิตเพียงด้านเดียวกับพวกเขา ด้วยเหตุนี้ มีหลายอย่างที่คุณไม่ได้พูดถึง
► มีใครพบหมอหรือหมอฟันเมื่อเร็วๆนี้หรือเปล่าครับ? คุณพูดถึงความวิตกเรื่องการเงินของคุณกับเขาหรือเปล่า? คุณพูดถึงปัญหาครอบครัวของคุณหรือเปล่า? คุณพูดถึงความวิตกเรื่องการเงินหรือปัญหาครอบครัวของเขาหรือเปล่า?
คุณแบ่งปันชีวิตด้านเดียวและพูดถึงด้านนั้นกับหมอ การพูดคุยแบบเป็นส่วนตัวมากๆถึงสิ่งต่างๆที่ไม่สัมพันธ์กับสภาวะร่างกายของคุณกับหมอเป็นเรื่องไม่ปกติ นั่นเพราะว่าความสัมพันธ์ของคุณกับเขาจำกัด ความสัมพันธ์นั้นสัมพันธ์กับชีวิตเพียงด้านเดียวเท่านั้น
คุณพูดคุยกับพระเจ้าถึงเรื่องอะไรบ้าง? มีแค่ไม่กี่เรื่องหรือเปล่าครับ? คุณปฏิบัติต่อพระเจ้าเหมือนกับพระองค์ทรงเป็นมืออาชีพ (เหมือนกับหมอ ช่างยนต์ หรือช่างประปา) ที่คุณนำแค่ปัญหาบางอย่างไปหาหรือเปล่า? คุณกำลังรักษาความสัมพันธ์ของคุณกับพระเจ้าให้อยู่ในพื้นที่เล็กๆ เฉพาะเรื่องที่เกี่ยวกับศาสนาหรือเปล่า? ทำไมไม่ได้แบ่งปันชีวิตส่วนอื่นๆกับพระเจ้าเพราะอะไร?
ถ้าหากคุณไม่มีอะไรมากให้พูดคุยกับพระเจ้า ความสัมพันธ์ของคุณกับพระองค์ก็แคบและตื้นเขิน บางคนไม่อธิษฐานต่อพระเจ้าถ้าหากเขาไม่มีปัญหาที่คิดว่าพระเจ้าแก้ได้มาทูลต่อพระองค์
คนหนุ่มสาวที่คิดว่าตัวเองตกหลุมรักคิดว่าตัวเขานั้นต้องการเวลาพูดคุยกันเยอะๆ พวกเขาพูดคุยกันหลายเรื่องและพูดคุยเกี่ยวกับกันและกันด้วยเช่นกัน ระหว่างที่พูดคุยเกี่ยวกับสารพัดเรื่องนั้นพวกเขาก็กำลังอธิบายถึงบางอย่างเกี่ยวกับตัวเองและแต่ละคนก็เรียนรู้เกี่ยวกับอีกฝ่ายมากขึ้น
บางครั้งหลายอย่างเกิดขึ้นในความสัมพันธ์และจำกัดความสัมพันธ์นั้น บางครั้งในชีวิตสมรสสามีกับภรรยาไม่ได้พูดคุยกันมาก พวกเขาตั้งใจไม่พูดคุยกันเกี่ยวกับบางเรื่อง ความสัมพันธ์ของทั้งคู่มาถึงขีดจำกัดแล้ว
แล้วความสัมพันธ์ของคุณกับพระเจ้าล่ะ? ความสัมพันธ์นั้นก็ตื้นเขินถ้าหากไม่มีอะไรให้พูดคุยมาก นั่นอาจหมายความว่าคุณมองว่าชีวิตส่วนใหญ่ของคุณไม่ได้เชื่อมต่อกับพระเจ้า
บางครั้งในความสัมพันธ์ระหว่างคนก็มีบางหัวข้อที่เป็นเรื่องต้องห้าม บางทีหัวข้อนั้นอาจเป็นเรื่องที่คุณอยากให้เขาทำหรือเลิกทำบางอย่าง แต่ตัวเขาไม่เต็มใจ หลังจากแลกเปลี่ยนความเห็นเกี่ยวกับหัวข้อนี้หลายครั้ง หัวข้อนี้ก็กลายเป็นหัวข้ออ่อนไหว ไม่มีใครหยิบยกเรื่องนี้ขึ้นมาเว้นเสียจากจะโต้เถียงกัน
บางครั้งคนไม่อยากพูดบางอย่างกับพระเจ้าเพราะว่าเขารู้น้ำพระทัยของพระเจ้าแล้วแต่ไม่ยอมรับ ถ้าหากคุณคอยแต่จะปฏิเสธไม่ทำสิ่งที่พระเจ้าประสงค์ให้คุณทำความสัมพันธ์ของคุณกับพระเจ้าจะเกิดอะไรขึ้น?
► สิ่งที่ทำให้ความสัมพันธ์เติบโตอยู่เสมอคืออะไร?
ความสัมพันธ์เติบโตเมื่อคนเรียนรู้เกี่ยวกับกันและกันมากขึ้นแล้วปรับตัว ความสัมพันธ์หยุดเติบโตเมื่อดูเหมือนว่าอีกฝ่ายไม่มีสิ่งที่คุ้มค่าให้เรียนรู้หรือเมื่อคนหยุดปรับตัว เราคุ้นเคยกับพระเจ้ามากขึ้นเรื่อยๆได้แต่พระองค์ไม่ทรงจำเป็นต้องเปลี่ยนแปลง เราต้องเต็มใจจะได้รับการเปลี่ยนแปลงจากความสัมพันธ์ของเรากับพระองค์ครับ
พระธรรมสดุดีแสดงให้เห็นว่าชีวิตทุกส่วนต้องถูกรวมเข้าอยู่ในความสัมพันธ์ของเรากับพระเจ้าเพราะว่าผู้เขียนพระธรรมสดุดีแสดงออกความรู้สึกเกี่ยวกับทุกอย่างที่เกิดขึ้นกับตนในคำอธิษฐาน
นอกเหนือไปจากความวิตกทั้งสิ้นที่คนมักอธิษฐานถึงแล้ว พระธรรมสดุดีมีความวิตกบางเรื่องที่ดูเหมือนว่าจะไม่เหมาะสมแก่การอธิษฐาน
แล้วความโกรธและความปรารถนาให้ได้รับการแก้แค้นล่ะ? คำอธิษฐานเหล่านี้กำลังเรียกร้องให้พระเจ้าแสดงให้เห็นว่าพระองค์ทรงเป็นพระเจ้าแห่งความยุติธรรม การที่คนมีความรู้สึกต่างๆทั้งหมดอย่างที่เราเห็นในพระธรรมสดุดีนั้นถูกต้องหรือเปล่า? อาจจะไม่ถูกต้อง แต่ถ้าหากคนรู้สึกอย่างนั้นจริงๆล่ะ? เขาควรทำอะไร? การไม่พูดกับพระเจ้าถึงเรื่องนี้จะเป็นวิธีที่ดีที่สุดหรือเปล่า? เขาควรให้พระเจ้าทรงมีโอกาสได้ตอบสนองต่อความรู้สึกต่างๆของเขา นั่นจะดีกว่าการทำสิ่งต่างๆอย่างหุนหันพลันแล่นมากครับ
แล้วในเวลาที่ดูเหมือนว่าพระเจ้าไม่ได้ทรงกำลังช่วยเหลือคุณอย่างที่ทรงควรช่วยเลยล่ะ? พระธรรมสดุดีบางบทถามพระเจ้า “พระองค์ทรงยืนอยู่ห่างออกไปเพราะอะไร พระองค์ทรงซ่อนพระองค์จากข้าพระองค์ในเวลาที่ข้าพระองค์ต้องการพระองค์เพราะอะไร?”[1]  พระเจ้าทรงทำอย่างนั้นจริงๆหรือ? เรารู้ว่าพระเจ้าทรงสัตย์ซื่อ แต่บางครั้งเราไม่เข้าใจว่าพระองค์ไม่ทรงทำบางอย่างที่เราคิดว่าทรงควรเพราะอะไร การคิดว่าพระเจ้าไม่ทรงสัตย์ซื่อเป็นเรื่องผิดพลาด แต่ถ้าหากคุณรู้สึกแบบนั้น วิธีที่ดีที่สุดคืออะไร? พูดคุยกับพระองค์ถึงเรื่องนี้ ให้โอกาสพระองค์ได้ทรงมีโอกาสอธิบาย พระองค์จะทรงช่วยให้คุณมองเห็นสิ่งต่างๆอย่างที่เป็น นั่นดีกว่าจะทำตัวขมขื่นเสียอีกครับ
การอธิษฐานขอความยุติธรรมเวลาที่คนทำผิดต่อคุณเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า? การขอบำเหน็จความซื่อสัตย์เวลาที่คุณคิดว่าคุณสมควรได้รับมากกว่าสิ่งที่ได้รับอยู่เป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือไม่? แม้แต่การอธิษฐานขอความช่วยเหลือในเวลาที่คุณรู้ว่าคุณสมควรตกอยู่ในสถานการณ์ที่พาตัวเองเข้าไปเป็นสิ่งที่ถูกต้องหรือเปล่า? คำอธิษฐานเหล่านี้ทั้งหมดอยู่ในพระธรรมสดุดี พระธรรมสดุดีแสดงให้เราเห็นว่าเราควรเข้าหาพระเจ้ากับทุกๆอย่าง
ถ้าหากเราอยู่ในความสัมพันธ์กับพระเจ้าที่ไม่มีขอบเขตจำกัด พระองค์ก็จะทรงร่วมแบ่งปันชีวิตทุกส่วนของเรา ทุกสิ่งที่อุทิศต่อพระองค์ นั่นหมายความว่าทุกอย่างในชีวิตของเราได้รับความหมายที่แท้จริงจากพระเจ้า สิ่งต่างๆที่เรามีอยู่มีความสำคัญอย่างที่พระองค์ทรงมองเท่านั้น เราควรเข้าใจสิ่งต่างๆที่เกิดขึ้นกับเราตามความจริงของความสัมพันธ์นั้น
ทุกอย่างเข้าที่และมีความหมายที่เหมาะสมเมื่อถูกนำมายังพระเจ้าเพื่อจะปรับเปลี่ยน ถ้าหากคุณไม่อธิษฐานทุกเรื่อง ในไม่ช้าหลายๆอย่างก็จะไม่เข้าท่าสมเหตุสมผล จะเกิดความรู้สึกต่างๆ เหมือนไม่เข้าที่เข้าทาง ตัดสินใจไปในทางที่ผิด ท่าทีต่างๆไม่สอดคล้องกัน คุณจะเริ่มอ่อนข้อให้กับความท้อใจและความขมขื่น
คนที่หดหู่ วิตกกังวล คับข้องใจ ขมขื่นต่อคนอื่นหรือกระทั่งคนที่มั่งคั่งหรือคนที่จดจ่อผิดที่จะไม่พูดคุยกับพระเจ้าทุกเรื่องอย่างที่ควร คนที่วิตกกังวลมากจะไม่อธิษฐานมาก คนที่อธิษฐานมากจะไม่วิตกกังวลมากกีตาร์ต้องได้รับการตั้งเสียงเป็นครั้งคราวโดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่ถูกพกไปไหนมาไหน ถูกกระแทก หล่นลงบนพื้น ถูกเหยียบ หรือโดนเตะ เราเป็นเหมือนกับกีตาร์ เราจำเป็นต้องได้รับการตั้งเสียงอย่างสม่ำเสมอซึ่งพระเจ้าประทานให้เวลาที่เรานำเสนอตัวของเราเองต่อพระองค์
พระยาห์เวห์ทรงอยู่ใกล้ผู้ที่ใจแตกสลาย (สดุดี 34:18) เราต้องถ่อมใจและยอมจำนนนำเสนอทั้งหมดต่อพระเจ้าและยินยอมให้พระองค์ทรงตอบในหนทางของพระองค์ เราแปลความหมายสิ่งต่างๆได้ถูกต้องเมื่อเรานำเสนอสิ่งเหล่านั้นต่อพระเจ้าเพื่อรับการตอบสนองของพระองค์
► คุณพูดคุยถึงอะไรบ้างกับพระองค์? คุณจำเป็นต้องพูดคุยถึงเรื่องอะไรบ้างกับพระองค์?
 
[1] ถอดความจากพระธรรมสดุดี 13:1.
 
                                     
                                    
                                    
                                        
                                                                                                                                    
                                                
                                                     
                                                    Previous
                                                 
                                                                                    
                                                                                                                                    
                                                
                                                    Next