(1) เราต้องเชื่อฟังพระบัญชาของพระคัมภีร์ทั้งสิ้นที่มีต่อคริสเตียน 
พระเยซูตรัสในพระธรรมมัทธิว 5:19 ว่า
เพราะฉะนั้น ใครทำให้ข้อเล็กน้อยเพียงข้อหนึ่งในพระบัญญัตินี้ มีความสำคัญน้อยลง และสอนคนอื่นให้ทำอย่างนั้นด้วย คนนั้นจะได้ชื่อว่าเป็นผู้เล็กน้อยที่สุดในแผ่นดินสวรรค์ แต่ใครที่ประพฤติและสอนตามธรรมบัญญัติ คนนั้นจะได้ชื่อว่าเป็นใหญ่ในแผ่นดินสวรรค์
 
เราไม่อาจเพียงแต่เลือกประเด็นต่างๆที่เราคิดว่าสำคัญที่สุด ไม่มีพระบัญชาจากพระคัมภีร์ใดที่ไม่สำคัญเสียจนจะละเลยได้
(2) พระบัญชาต่างๆของพระเจ้ามีเพื่อประโยชน์ของเรา 
เฉลยธรรมบัญญัติ 10:12-13
และบัดนี้ คนอิสราเอล พระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านมีพระประสงค์อะไรจากท่าน? นอกจากให้ยำเกรงพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่าน ให้ดำเนินตามทางทั้งสิ้นของพระองค์ ให้รักพระองค์ ให้ปรนนิบัติพระยาห์เวห์พระเจ้าของท่านด้วยสุดจิตสุดใจของท่าน และให้รักษาพระบัญญัติของพระยาห์เวห์และกฎเกณฑ์ของพระองค์ ซึ่งข้าพเจ้ากำลังบัญชาท่านในวันนี้ เพื่อประโยชน์ของท่าน
 
พระเจ้าไม่ได้ทรงกีดขวางสิ่งที่ดีจากเราหรือไม่ได้ทรงบัญชาสิ่งที่เป็นอันตรายแก่เรา การที่เรามีข้อจำกัดต่างๆของพระองค์เป็นสิ่งที่ดี การปฏิเสธคำแนะนำต่างๆเป็นการสงสัยพระปัญญาและความรักของพระองค์ เราพิสูจน์ได้ว่าเรามีความเชื่ออย่างแท้จริงในความประเสริฐและพระปัญญาของพระเจ้าเวลาที่เราเชื่อฟังคำสั่งสอนแห่งพระวจนะแทนทำตามความคิดของมนุษย์
(3) เสรีภาพแบบคริสเตียนไม่ใช่เสรีภาพจากการเชื่อฟังพระเจ้า 
เปาโลเขียนเรื่องนี้ถึงคริสเตียนในพระธรรม 1 โครินธ์ 9:21
ต่อพวกที่อยู่นอกธรรมบัญญัติ (ของโมเสส) ข้าพเจ้าก็ (ใช้ชีวิต) เป็นเหมือนคนนอกธรรมบัญญัติ (ข้าพเจ้าไม่ได้อยู่นอกพระบัญญัติของพระเจ้า แต่อยู่ใต้พระบัญญัติแห่งพระคริสต์) เพื่อจะได้พวกที่อยู่นอกธรรมบัญญัตินั้นมา
 
เราถูกกู้จากธรรมบัญญัติซึ่งเป็นเครื่องมือแสดงความชอบธรรมทั้งจากระบบโมเสสและทั้งจากข้อกำหนดทางศีลธรรมของพระเจ้าเพราะเราได้รับความรอดโดยพระคุณไม่ใช่โดยการทำให้พระบัญชาของพระเจ้าสำเร็จ เราถูกกู้จากการลงโทษแห่งธรรมบัญญัติเนื่องจากพระเจ้าทรงยกโทษบาปที่เราได้กระทำ
อย่างไรก็ตาม เราไม่ได้เป็นอิสระจากข้อกำหนดในการเชื่อฟังพระเจ้า ดังที่พระคัมภีร์ข้างต้นแสดงให้เห็น เราอยู่ภายใต้สิทธิอำนาจของพระเจ้า พระคัมภีร์เปิดเผยถึงน้ำพระทัยของพระองค์ที่ทรงมีต่อเราครับ
เมื่อท่านทั้งหลายพ้นจากบาปแล้ว ท่านก็ได้เป็นทาสของความชอบธรรม (โรม 6:18)
 
(4) ถ้าหากเรารักพระเจ้าเราก็อยากรู้น้ำพระทัยของพระองค์ ไม่ใช่หลีกเลี่ยงน้ำพระทัยของพระองค์ 
พระธรรม 1 ยอห์น 5:2-3 กล่าวว่า
ข้อนี้ เราจึงรู้ว่าเรารักคนทั้งหลายที่เป็นลูกของพระเจ้า คือเมื่อเรารักพระเจ้า และประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ เพราะว่าความรักต่อพระเจ้าเป็นอย่างนี้ คือเมื่อเราประพฤติตามพระบัญญัติของพระองค์ และพระบัญญัติของพระองค์นั้นไม่เป็นภาระหนักเกินไป
 
คนที่รักพระเจ้าจะไม่ถามเป็นอย่างแรกว่า “พระเจ้าจะทรงกล่าวโทษผมที่ทำอย่างนี้หรือเปล่า?” แต่จะถามว่า “พระเจ้าจะทรงพอพระทัยมากที่สุดกับอะไร?” (โคโลสี 1:10)
(5) พระคัมภีร์ให้พื้นฐานสำหรับการกำหนดกฎเจาะจงต่างๆสำหรับชีวิตของเรา 
พระคัมภีร์ไม่ได้ให้หลักการทั่วไปเท่านั้น เนื้อความบางเนื้อความที่ระบุไว้อยู่ในการบ้านให้พื้นฐานสำหรับรูปแบบการใช้ชีวิตอย่างระมัดระวังแบบคริสเตียน บางเนื้อความให้คำชี้แนะเจาะจงเกี่ยวกับรูปแบบการใช้ชีวิตแบบคริสเตียน
(6) กฎเกี่ยวกับรายละเอียดต่างๆของชีวิตไม่ได้เป็นความเชื่อที่สำคัญที่สุดของเรา 
พวกฟาริสีทำผิดพลาดที่เน้นมากที่สุดที่สิ่งต่างๆที่ไม่สำคัญ ในพระธรรมมัทธิว 23:23 พระเยซูตรัสแก่พวกเขา
วิบัติแก่พวกเจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าถวายทศางค์ที่เป็นสะระแหน่ ลูกผักชี และยี่หร่า แต่เรื่องที่สำคัญกว่าในธรรมบัญญัติ คือความยุติธรรม ความเมตตาและความเชื่อนั้นพวกเจ้ากลับละเลย การถวายทศางค์นั้นเจ้าก็ควรปฏิบัติ แต่ไม่ควรละเลยเรื่องที่สำคัญนั้นด้วย
 
พระคัมภีร์ข้อนี้ไม่ได้บอกว่ามีความจริงที่ไม่สำคัญ แต่กล่าวว่าบางอย่างสำคัญกว่าบางอย่าง เราควรพูดถึงสิ่งที่สำคัญมากที่สุดให้มากที่สุด
(7) รักษากฎไม่เพียงพอจะพิสูจน์ถึงการเชื่อฟังหรือความรักของเราที่มีต่อพระเจ้า 
ในการโต้เถียงเดียวกันกับพวกฟาริสี พระเยซูตรัสว่า (มัทธิว 23:25)
วิบัติแก่เจ้า พวกธรรมาจารย์และพวกฟาริสี คนหน้าซื่อใจคด เพราะพวกเจ้าขัดชำระถ้วยชามแต่ภายนอก ส่วนภายในถ้วยชามนั้นเต็มด้วยการโจรกรรมและการมัวเมากิเลส
 
คนๆ หนึ่งอาจใช้ชีวิตอย่างเข้มงวดแต่ไม่ได้รักพระเจ้าหรือแม้แต่เชื่อฟังพระองค์โดยสมบูรณ์ ในทางตรงข้ามคนๆหนึ่งอาจรักพระเจ้าอย่างหมดใจแต่ไม่เห็นเหตุผลในมาตรฐานบางข้อ ดังนั้นคนที่เข้มงวดกว่าจึงไม่จำเป็นต้องเป็นฝ่ายวิญญาณมากกว่าครับ
(8) ความมั่นใจในพยานชีวิตของคนอื่นไม่ได้ขึ้นอยู่กับรายละเอียดเล็กๆน้อยๆเกี่ยวกับรูปแบบการใช้ชีวิตของเขา 
ในพระธรรมโรม 14:10 เปาโลถามบรรดาคริสเตียนว่า
แต่ตัวท่านเล่า ทำไมจึงกล่าวโทษพี่น้องของท่าน? หรือท่านผู้เป็นอีกฝ่ายหนึ่ง ทำไมท่านจึงดูหมิ่นพี่น้องของท่าน? เพราะว่าเราทุกคนต้องยืนอยู่หน้าบัลลังก์พิพากษาของพระเจ้า
 
พระคัมภีร์ข้อนี้ปรากฏในเนื้อความที่มีการโต้เถียงเกี่ยวกับมุมมองที่บรรดาคริสเตียนมีต่อประเด็นที่ใช้การได้ต่างๆ มีความไม่เห็นด้วยอย่างจริงใจเกี่ยวกับสิ่งที่ควรทำและไม่ควรทำ
ผู้เชื่อคนหนึ่งอาจไม่เห็นด้วยกับการแปลความหมายของเราในเนื้อความพระคัมภีร์บางเนื้อความหรือเขาอาจไม่เห็นอันตรายของบางอย่างที่เราปฏิเสธ อาจเป็นได้ว่าพระเจ้าทรงกำลังทำงานในชีวิตของเขาในด้านที่ต่างออกไปหรือพระเจ้าอาจวางเขาอยู่ในบริบททางวัฒนธรรมที่ต่างออกไป นั่นไม่ได้หมายความว่าคนๆนั้นไม่ใช่คริสเตียนที่แท้จริงครับ
(9) อดกลั้นต่อความคิดเห็นที่หลากหลายไม่ได้เป็นข้ออ้างให้กับความประมาทส่วนตัว 
“ขอให้ทุกคนมีความแน่ใจในความคิดเห็นของตนเถิด” (โรม 14:5ข)
แต่คนที่มีความสงสัยอยู่นั้น ถ้าเขากินก็มีความผิด เพราะเขาไม่ได้กินตามที่ตนเชื่อ ทั้งนี้เพราะการกระทำใดๆ ที่ไม่ได้เกิดจากความเชื่อก็เป็นบาปทั้งสิ้น (โรม 14:23)
มีผลลัพธ์ซึ่งก่อให้เกิดความหายนะเวลาที่คนขัดขืนจิตสำนึกของตัวเอง ถ้าหากคนตัดสินใจทำบางอย่างที่คิดว่าผิด เขาก็มีความผิดที่ทำบาป มีพระพรเวลาที่คนดำเนินชีวิตอยู่ในความสว่างที่พระเจ้าประทานให้แก่เขา (1 ยอห์น 1:7)
                                     
                                    
                                    
                                        
                                                                                                                                    
                                                
                                                     
                                                    Previous
                                                 
                                                                                    
                                                                                                                                    
                                                
                                                    Next