► คุณเคยเล่านิทานก่อนนอนให้ลูกๆฟังหรือเปล่า?
นี่คือนิทานก่อนนอนสำหรับคุณ
ครั้งหนึ่งมีเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆคนหนึ่งชื่อมะลิ มะลิเป็นเด็กดีมาก เธอไม่เคยเถียงพ่อแม่หรือเถียงครูเลย และเธอก็ชอบผักบร็อคโคลี่กับผักโขม เธอเป็นคนดีมากเสียจนนายกเทศมนตรีประจำเมืองให้รางวัลเหรียญทองสามเหรียญแก่เธอ เหรียญหนึ่งสำหรับความอดทน เหรียญหนึ่งสำหรับความขยัน และอีกเหรียญสำหรับความซื่อตรง มะลิห้อยเหรียญรางวัลเหล่านี้ติดตัวเสมอ
เศรษฐีในเมืองคนหนึ่งมีสวนส่วนตัว เขาไม่อนุญาตให้คนส่วนใหญ่เข้ามาเดินที่นั่น แต่พอได้ยินว่ามะลิเป็นเด็กดีมากเขาก็บอกกับเธอว่าเข้ามาเดินในสวนเวลาไหนที่อยากมาได้ ในสวนมีต้นไม้เยอะแยะแต่ไม่มีดอกไม้ เศรษฐีคนนี้ชอบหมูและมีหมูหลายตัวอยู่ในสวน หมูขุดล้มดอกไม้ทั้งหมดนานแล้ว แต่ชายคนนี้ก็ตัดสินใจเลือกจะมีหมูมากกว่าจะมีดอกไม้
วันหนึ่งมะลิขัดเหรียญรางวัลแล้วเข้าไปเดินในสวน เธอเห็นต้นไม้สวยๆ เห็นหมูสวยๆ มีหมูสารพัดขนาด มีหมูสีชมพู หมูสีดำ หมูสีขาว และหมูลายจุด
แต่แล้วมะลิก็เห็นบางอย่างที่ทำให้เธอตกใจกลัว หมาป่าที่มาจับหมูไปเป็นอาหารเย็นนั่นเอง มันยังไม่เห็นมะลิ ดังนั้นเธอก็เลยกระโดดไปซ่อนตัวอยู่ที่หลังพุ่มไม้ หมาป่าเข้ามาใกล้มากขึ้นเรื่อย ๆ แล้วก็หยุด มันพยายามตัดสินใจว่าจะกินหมูตัวไหนดี มันยิ้มเมื่อคิดว่าจะอร่อยกับมื้อเย็นของมันมากแค่ไหน
มะลิแอบมองลอดพุ่มไม้และเห็นหมาป่าแสยะยิ้ม เธอเห็นฟันซี่ใหญ่ของมันและตัวสั่นด้วยความหวาดกลัว โชคไม่ดีที่ตอนที่เธอตัวสั่นเหรียญรางวัลสำหรับความขยันก็ไปกระทบเข้ากับเหรียญรางวัลสำหรับความซื่อตรงและหมาป่าก็ได้ยินเสียง มันกระโดดข้ามพุ่มไม้มาแล้วเจอมะลิ พอมันเห็นมะลิ มันก็เห็นว่าเธอน่ากินมากแค่ไหน มันตัดสินใจว่ามะลิน่ากินกว่าหมู มันก็เลยกินเธอ
วันถัดมาตอนที่เจ้าของสวนมาถึงที่ตรงนั้น สิ่งที่หลงเหลือของมะลิที่เขาพบก็คือเหรียญรางวัลสำหรับความขยัน เหรียญรางวัลสำหรับความอดทน และเหรียญรางวัลสำหรับความซื่อตรง
 
► คุณจะเล่านิทานก่อนนอนแบบนี้ให้ลูกๆของคุณฟังหรือเปล่า? เพราะอะไร?
นี่ไม่ใช่นิทานก่อนนอนที่พ่อแม่ส่วนใหญ่จะเล่าให้ลูกๆฟัง เราชอบเรื่องราวที่แสดงให้เห็นว่าการทำผิดได้รับโทษและการทำดีได้รับรางวัล พ่อแม่อยากให้ลูกๆคิดว่านั่นสิ่งที่มักเกิดขึ้น แต่ถ้าหากความเชื่อของเราขึ้นอยู่กับตอนจบของทุกเรื่องราวที่จบอย่างมีความสุขแล้ว ความเชื่อของเราก็ไม่ได้เข้ากับชีวิตจริง
ถ้าหากมีสิ่งเลวร้ายเกิดขึ้นกับคนที่ไม่สมควรได้รับเลย เราจะมองชีวิตอย่างไร?
ความเชื่อแบบคริสเตียนไม่ใช่
	
	การมองโลกในแง่ดีแบบไม่มีเหตุผล (“ไม่ต้องเป็นห่วง ทุกอย่างจะเรียบร้อยเอง”)
	 
	
	การไม่ยินดียินร้ายอย่างเข้มงวด (“ชีวิตไม่ยุติธรรมเพราะฉะนั้นคุณต้องแกร่ง”)
	 
	
	การหนีความจริงโดยไม่ใส่ใจ (“ไม่ต้องพูดถึงเรื่องนั้น ผมไม่อยากจะคิดถึงมัน”)
	 
 
ความเชื่อแบบที่สำคัญที่สุดและจำเป็นมากที่สุดคือการไว้วางใจพระเจ้าแบบพื้นฐานที่ทนทานไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น คนที่มีความเชื่อที่ทนทานจะเชื่อฟังพระเจ้าเสมอ
ฮีบรู บทที่ 11 อธิบายถึงวีรบุรุษแห่งความเชื่อหลายคน พวกท่านเลือกรับใช้พระเจ้าด้วยความเชื่อแม้ว่าจะต้องทนทุกข์ เรามีบันทึกวีรบุรุษแห่งความเชื่อที่ทนทุกข์ไม่ใช่เพราะขาดความเชื่อแต่เพราะว่ามีความเชื่อ ความเชื่อทำให้พวกท่านเต็มใจที่จะทนทุกข์และช่วยให้พวกท่านมองเห็นไกลไปถึงสิ่งที่มองไม่เห็นและเป็นนิรันดร์แทนวัตถุสิ่งของต่างๆ
มีการพิพากษาครั้งสุดท้ายเนื่องจากความยุติธรรมของพระเจ้า จะมีการประทานบำเหน็จชั่วนิรันดรและจะมีการประกาศการลงโทษชั่วนิรันดร ความเชื่อในความยุติธรรมของพระเจ้าช่วยให้เราทนทานต่อสถานการณ์แวดล้อมต่างๆที่ไม่คลี่คลายอย่างถูกต้องเสมอในระยะเวลาสั้นๆ
► อ่านพระธรรมโยบ 1:1, 13-22
เรื่องราวที่น่าทึ่งในพระธรรมโยบเริ่มต้นด้วยคำแถลงว่า “มีชายคนหนึ่ง” และ “อยู่มาวันหนึ่ง” อันดับแรกตัวละครโยบได้รับการอธิบายด้วยคำอันสูงส่ง ท่านนมัสการพระเจ้าและเกลียดชั่งความชั่วร้าย แต่แล้ว “อยู่มาวันหนึ่ง” ทุกอย่างที่สำคัญต่อท่านยกเว้นความเชื่อของท่านก็ถูกพรากไป
สำหรับเราแล้ว ดูเหมือนว่าวันแบบนั้นไม่ควรจะมาถึงคนเช่นนั้นเลยใช่ไหมครับ? เมื่อภัยพิบัติมาถึงบางคน เรามองหาวิธีตำหนิเขาเสมอสำหรับสิ่งที่เกิดขึ้นกับเขา เราทำอย่างนั้นส่วนหนึ่งก็เพื่อปกป้องความเชื่อของเราว่าความยุติธรรมดำรงอยู่ในโลกและส่วนหนึ่งก็เพื่อประคองความรู้สึกมั่นคงของเราเอาไว้ เราอยากคิดว่าสิ่งต่างๆเหล่านั้นจะไม่เกิดขึ้นกับเราถ้าหากเราไม่สมควรได้รับมัน แต่ความเชื่อควรดำเนินต่อไปแม้ว่าสิ่งต่างๆเหล่านั้นเกิดขึ้น พระคัมภีร์ให้โยบเป็นตัวอย่างของคนที่มีความเชื่อที่ทนทาน (ดูที่ยากอบ 5:11 และโยบ 42:7-8)
หลักฐานแห่งความเชื่อคือเวลาที่ผู้เชื่อทนทานและยังคงไว้วางใจพระเจ้าในทุกสถานการณ์แวดล้อม ถ้าหากคนไม่เข้าใจความเชื่อประเภทนี้ เขาก็จะเพียงอธิษฐานขอการอัศจรรย์เท่านั้นเวลาที่สถานการณ์ต่างๆเลวร้าย แต่พระเจ้าไม่ได้นำปัญหาออกไปด้วยการอัศจรรย์ทุกครั้ง บางคนล้มเลิกด้วยความท้อใจเพราะพวกเขาคิดว่าความเชื่อของพวกเขาใช้การไม่ได้หรือพระเจ้าทรงทำให้พวกเขาผิดหวัง เราจำเป็นต้องจดจำวิถีทางอื่นๆที่ความเชื่อใช้การได้
นักเขียนเรื่องที่ดีรู้ถึงวิธีที่จะนำตัวละครในเรื่องราวของเขาผ่านปัญหาต่างๆที่ดูเหมือนว่าจะไม่มีทางออก นักเขียนทำให้คนอ่านประหลาดใจที่ตอนจบของเรื่องราว ดูเหมือนว่าชีวิตจริงมีเรื่องเศร้าอยู่มาก แต่ความเชื่อแบบคริสเตียนเป็นความเชื่อมั่นว่าพระเจ้าทรงกำลังเขียนตอนจบที่แท้จริงของเรื่องราวอยู่
ศิษยาภิบาลกับเบ็ธผู้เป็นภรรยาก่อตั้งคริสตจักรในรัฐแคลิฟอร์เนียเมื่อหลายปีก่อน เป็นคริสตจักรบุกเบิกใหม่ที่ประสบความสำเร็จแต่มีสิ่งเลวร้ายหลายอย่างเกิดขึ้น บ้านของพวกเขาไฟไหม้ สองสามเดือนต่อมาศิษยาภิบาลถูกพวกอาชญากรทำร้ายจนหมดสติ จากนั้นตัวท่านถูกกล่าวหาว่าประกอบอาชญากรรม ถูกขังคุก และถูกสังหารในภายหลัง ถึงแม้ว่าจะไม่มีใครรู้ถึงสาเหตุการเสียชีวิตที่แท้จริงเลยก็ตาม เหตุการณ์ทั้งหมดนี้เกิดขึ้นภายในสี่ปี
สิ่งที่ประคับประคองเบ็ธตลอดเหตุการณ์สะเทือนขวัญทั้งหมดเหล่านี้คืออะไร? ส่วนใหญ่แล้วโดยความเชื่อในพระลักษณะของพระเจ้า เธอรู้ว่า
 
	
	เนื่องจากพระเจ้าทรงสัพพัญญู พระองค์ทรงรู้สถานการณ์ของเธออย่างใกล้ชิด พระเจ้าทรงรู้ทุกอย่างที่จะเกิดขึ้นล่วงหน้า
	 
	
	เนื่องจากพระเจ้าทรงเป็นองค์อธิปไตย ทุกอย่างอยู่ใต้การควบคุมของพระองค์ พระองค์ทรงบรรลุวัตถุประสงค์สูงสุดของพระองค์สำหรับชีวิตของเธออยู่ ไม่มีสิ่งไหนเกิดขึ้นโดยที่พระองค์ไม่ได้ทรงอนุญาต
	 
	
	เนื่องจากพระเจ้าทรงรอบรู้ทุกอย่างพระองค์จึงทรงแนะนำการตัดสินใจทุกอย่างที่ต้องทำเมื่อสามีของเธอจากไปแล้ว
	 
	
	เนื่องจากพระองค์ทรงประทับอยู่ทุกที่ พระองค์จึงทรงอยู่กับเธอเสมอ ถึงแม้ว่าในเวลาที่พบกับความเจ็บปวดที่สุดเธอก็ตระหนักได้ว่าพระองค์ทรงอยู่ใกล้และทุกอย่างอยู่ภายใต้การควบคุมของพระองค์
	 
	
	เนื่องจากพระเจ้าทรงสรรพานุภาพ พระองค์จึงทรงตอบคำอธิษฐานด้วยคำตอบอันยิ่งใหญ่ได้ เธออธิษฐานด้วยความเชื่อมั่นว่าพระเจ้าจะทรงดูแลความจำเป็นต่างๆ นำพระสิริมาสู่พระองค์ และแผ่ขยายแผ่นดินของพระเจ้าผ่านทางสถานการณ์นี้ได้
	 
	
	เพราะว่าพระเจ้าทรงประกอบด้วยความรัก พระองค์จึงทรงเลือกเฟ้นสิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเบ็ธและครอบครัวของเธอ พระเจ้าทรงเหยียดพระกรของพระองค์รอบๆพวกเขาตลอดเวลา พระเจ้าทรงมีวัตถุประสงค์สำหรับสิ่งเลวร้ายต่างๆที่พระองค์ทรงอนุญาตให้พวกเขาต้องประสบ
	 
	
	เพราะว่าพระเจ้าทรงบริสุทธิ์ พระองค์จึงประสงค์ให้เบ็ธมีแรงจูงใจที่บริสุทธิ์เหมือนกับที่พระองค์ทรงมีแรงจูงใจที่บริสุทธิ์ พระเจ้าประสงค์เบ็ธยังคงดำเนินใกล้ชิดกับพระองค์ และระวังที่จะไม่มีท่าทีไม่บริสุทธิ์เมื่อเธอรับมือกับปัญหาทั้งหมด พระองค์ประสงค์ให้เธอยกโทษคนที่ทำร้าย คนที่วางระเบิด และคนที่กล่าวหา
	 
	
	เนื่องจากพระเจ้าทรงเป็นพระบุคคล พระองค์จึงทรงสัมพันธ์กับเบ็ธอย่างบุคคลจริง พระองค์ประสงค์ให้เธอทำให้ความสัมพันธ์ส่วนตัวของเธอลึกซึ้ง
	 
 
ความเชื่อไม่ได้เป็นการยืนยันว่าเราจะได้รับการยกเว้นจากความทุกข์ยาก ความเชื่อเป็นความมั่นใจในพระลักษณะของพระเจ้าที่ประคับประคองเราไว้ในเวลาแห่งความทุกข์ยากที่เราไม่อาจอธิบายได้
                                     
                                    
                                    
                                        
                                                                                                                                    
                                                
                                                     
                                                    Previous
                                                 
                                                                                    
                                                                                                                                    
                                                
                                                    Next