จงมุ่งมั่นที่จะได้อยู่อย่างสงบสุขกับทุกคนและที่จะได้ความบริสุทธิ์ เพราะถ้าปราศจากความบริสุทธิ์แล้ว ก็จะไม่มีใครได้เห็นองค์พระผู้เป็นเจ้าเลย (ฮีบรู 12:14)
 
พระคัมภีร์ข้อนี้กล่าวเน้นถึงความสำคัญของความสัมพันธ์ การแสวงหาสันติกับทุกคนเชื่อมโยงอย่างใกล้ชิดกับความบริสุทธิ์
ในการแสวงหาสันตินั้นอย่างน้อยที่สุดคุณจะปฏิบัติต่อทุกคนอย่างที่คุณติดค้างกับพวกเขาเอาไว้ คุณต้องให้ความขอบคุณ ความเคารพ หรือการเชื่อฟังกับคนที่คุณติดค้าง ถ้าหากคุณไม่ทำคุณก็มีความผิดที่ก่อความขัดแย้งขึ้น ถ้าหากคุณไม่ได้รับผิดชอบจนเสร็จสิ้น ไม่ได้รักษาสัญญา หรือไม่ได้ให้อย่างที่ควรให้แก่คนอื่น คุณก็ไม่ได้มุ่งแสวงหาสันติ เวลาที่คุณตระหนักว่าคุณไม่ได้ให้สิ่งที่คุณควรให้ คุณควรแสวงหาการยกโทษและทำข้อผูกมัดของคุณให้สำเร็จเท่าที่ทำได้ครับ
แต่การมุ่งแสวงหาสันติเรียกร้องมากกว่า การให้สิ่งที่คุณติดค้าง การแสวงหาสันติยังรวมถึงการให้ความรักความปราณีที่คุณไม่ได้ ติดค้างด้วย
ถ้าหากคุณอยากได้สันติคุณจะแสวงหาการคืนดีเวลาที่มีความขัดแย้ง คุณจะเต็มใจยกโทษและรับการยกโทษ คุณจะไม่ด่วนทึกทักว่าฟื้นฟูสันติไม่ได้ คุณจะไม่ยอมรับการแยกทางกันอย่างถาวรง่ายๆ
พระเยซูตรัสว่าคุณต้องไปหาคนที่ทำผิดต่อคุณและอธิบายแก่เขาว่าเขาทำได้ทำอะไรลงไป (มัทธิว 18:15) ถ้าหากคุณมองว่าเรื่องเล็กเกินไปไม่ควรค่าแก่การเผชิญหน้า คุณก็ไม่ควรบอกเรื่องนี้กับคนอื่นหรือยังขุ่นเคืองใจต่อคนที่ทำผิด
พระเยซูตรัสว่าเราต้องเต็มใจยกโทษเจ็ดสิบคูณเจ็ดครั้ง (มัทธิว 18:21-22) เหตุผลที่คนมักละทิ้งคริสตจักรและล้มเลิกฝ่ายวิญญาณคือความขุ่นเคืองใจจากการถูกคริสเตียนทำร้าย ความขุ่นเคืองใจมักมาก่อนความล้มเหลวฝ่ายวิญญาณอื่นๆ
เวลาที่คนปฏิเสธไม่ยอมยกโทษ ชีวิตด้านหนึ่งของเขาก็ต่อต้านสิทธิอำนาจของพระเจ้าเพราะว่าพระเจ้าทรงเรียกร้องให้เรายกโทษ ชีวิตด้านนั้นกลายเป็นดินแดนที่ซาตานใช้ส่งผลกระทบต่อชีวิตด้านอื่นๆได้ ถ้าหากคนปฏิเสธไม่ยอมยกโทษ อีกไม่ช้าเขาก็จะไม่สามารถต้านทานการทดลองต่างๆที่ดูเหมือนกับว่าไม่สัมพันธ์อย่างสิ้นเชิงได้
พื้นฐานของการละเมิดส่วนบุคคลทุกอย่างอยู่ที่คุณค่าของเราต่อสิทธิของเรา เรารู้สึกขุ่นเคืองใจเวลาที่ไม่ได้รับเพราะว่าเราเชื่อว่าเรานั้นสมควรได้รับการปฏิบัติหรือความเคารพบางอย่าง เราเชื่อว่าเราสมควรได้รับมากกว่าสิ่งที่ได้รับ
กุญแจของการยกโทษคนอื่นคือการเข้าใจถึงการไถ่ การไถ่หมายถึงการซื้อกลับคืน เนื่องจากพระเจ้าทรงไถ่เราเราจึงเป็นของพระองค์และสิทธิต่างๆของเราก็เป็นของพระองค์ เราต้องตั้งใจยอมสิทธิของเราให้แก่พระเจ้า คุณอาจอธิษฐานว่า “พระเจ้าข้า ข้าพระองค์รู้ว่าสิทธิทั้งหมดของข้าพระองค์เป็นของพระองค์ ข้าพระองค์อยากให้พระองค์ดูแลสิทธิเหล่านั้นและประทานสิ่งที่พระองค์เห็นว่าดีสำหรับข้าพระองค์เท่านั้น” จากนั้นเวลาที่คนปฏิบัติดีต่อคุณ คุณก็ขอบคุณพระเจ้าที่ทรงอนุญาตให้คุณได้รับอภิสิทธินั้น เวลาที่คนปฏิบัติไม่ดีต่อคุณคุณก็จดจำได้ว่าพระเจ้าทรงควบคุมสิทธิของคุณและพระองค์ทรงเห็นว่าคุณควรพัฒนามากขึ้นโดยไม่มีสิทธินั้นๆในขณะนั้น
ที่ปรึกษาฝ่ายโลกมักให้คำแนะนำที่มุ่งช่วยให้คุณควบคุมและเปลี่ยนคนที่ก่อปัญหาให้แก่คุณ นั่นไม่ใช่สิ่งสำคัญอันดับแรกครับ
เมื่อคุณยกโทษคนอื่น คุณก็กำลังยอมจำนนต่อพระเจ้าและอนุญาตให้พระองค์พัฒนาคุณอย่างที่พระองค์ทรงเลือก หลักการแห่งการยอมจำนนสิทธิของคุณต่อพระเจ้านี้ประยุกต์ใช้กับความสัมพันธ์กับมนุษย์ทุกความสัมพันธ์ (พระคัมภีร์อื่นๆที่อ้างอิงถึงการยกโทษได้แก่พระธรรมโคโลสี 3:13, มัทธิว 6:15 และโรม 12:19)
                                     
                                    
                                    
                                        
                                                                                                                                    
                                                
                                                     
                                                    Previous
                                                 
                                                                                    
                                                                                                                                    
                                                
                                                    Next