จุดประสงค์ของบทเรียน
เมื่อจบบทเรียนนี้ นักศึกษาควรจะ:
(1) จดจําคําจำกัดความสําหรับการเทศนาแบบอธิบาย
(2) เรียนรู้และฝึกฝนขั้นตอนต่าง ๆ ในการเตรียมคําเทศนาแบบอรรถาธิบาย
(3) เห็นคุณค่าของพลังแห่งการเทศนาแบบอรรถาธิบายที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิต
Search through all lessons and sections in this course
Searching...
No results found
No matches for ""
Try different keywords or check your spelling
1 min read
by Randall McElwain
เมื่อจบบทเรียนนี้ นักศึกษาควรจะ:
(1) จดจําคําจำกัดความสําหรับการเทศนาแบบอธิบาย
(2) เรียนรู้และฝึกฝนขั้นตอนต่าง ๆ ในการเตรียมคําเทศนาแบบอรรถาธิบาย
(3) เห็นคุณค่าของพลังแห่งการเทศนาแบบอรรถาธิบายที่จะเปลี่ยนแปลงชีวิต
ในสองบทเรียนก่อนหน้านี้ เราได้ศึกษาการเตรียมคําเทศนาหลากหลายรูปแบบ ในบทเรียนนี้เราจะมาดูการเทศนาแบบอรรถาธิบายอยางลึกซึ้ง ดังที่เราเห็นในบทที่ 3 นี่จะเป็นรูปแบบการเทศนาหลักสําหรับศิษยาภิบาลส่วนใหญ่[1]
การเทศนาแบบอรรถาธิบาย คือการสื่อสารแนวคิดในพระคัมภีร์ที่ได้มาและถ่ายทอดผ่านการศึกษาทางประวัติศาสตร์ ไวยากรณ์ และวรรณกรรมของข้อความในบริบทของข้อนั้น ซึ่งพระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงทำงานกับบุคลิกภาพและประสบการณ์ของนักเทศน์ก่อน จากนั้นผ่านเขาไปยังผู้ฟังของเขา [1]
โปรดจดจําคําจํากัดความนี้ มีแนวคิดหลายอย่างที่มีความสําคัญต่อการเทศนาแบบอรรถาธิบาย
ข้อพระคัมภีร์ควบคุมคำเทศนา
คําเทศนาแบบอรรถาธิบายจะยึดตามข้อความในพระคัมภีร์ โครงสร้างและเนื้อหาหลักของคําเทศนามาจากเนื้อหาในข้อพระคัมภีร์ หากข้อความหลักของคําเทศนาไม่ได้มาจากข้อพระคัมภีร์เอง คําเทศนานั้นไม่ใช่การอรรถาธิบาย ไม่ได้อิงจากข้อพระคัมภีร์อย่างแท้จริง แม้ว่าเนื้อหาของคําเทศนาอาจเป็นความจริงก็ตาม
ในการเทศนาแบบอรรถาธิบาย เราตั้งคำถามว่า:
(1) พระคัมภีร์ข้อนี้บอกว่าอย่างไร?
ผู้เขียนพูดอะไร? เมื่ออ่านเนื้อหา ไวยากรณ์ของข้อความบอกถึงอะไร? ในการเทศนาแบบอรรถาธิบาย เราไม่ได้มองหาข้อความที่ซ่อนอยู่ เรากําลังมองหาความหมายพื้นฐานของข้อความ
(2) ข้อพระคัมภีร์ข้อนี้หมายความว่าอย่างไร?
ผู้เขียนต้องการให้ผู้ฟังเข้าใจอย่างไรขณะอ่านข้อความ? เมื่อเราพิจารณาบริบททางประวัติศาสตร์และรูปแบบวรรณกรรมข้อความนี้หมายความว่าอย่างไร?
(3) ข้อความหลักของพระคัมภีร์ข้อนี้คืออะไร?
เนื่องจากข้อความพระคัมภีร์ควบคุมคําเทศนา จุดสนใจหลักของคําเทศนาแบบอรรถาธิบายจะถูกกําหนดโดยหัวข้อหลักของข้อพระคัมภีร์ หัวข้อของข้อพระคัมภีร์ตอนนั้นจะเชื่อมโยงทุกประเด็นของคําเทศนา ทุกประเด็นในคําเทศนาจะเชื่อมโยงกันผ่านหัวข้อหลักของพระคัมภีร์ตอนนั้น
นักเทศน์สื่อสารแนวความคิด
เพราะเนื้อหาของข้อพระคัมภีร์ชี้แนวทางคำเทศนาแบบอรรถาธิบาย เราจะต้องตั้งคําถามหลายข้อ:
(1) ผู้เขียนข้อพระคัมภีร์ตอนนี้แสดงให้เราเห็นและอธิบายข้อความของเขาอย่างไร?
นี่คือจุดที่นักเทศน์ร่างหลายประเด็นที่แสดงให้เราเห็นและอธิบายหัวข้อหลักของข้อพระคัมภีร์ตอนนั้น โปรดจําไว้ว่าทุกประเด็นในคําเทศนาจะเชื่อมโยงกันผ่านหัวข้อหลักของข้อพระคัมภีร์ตอนนั้น เปรียบเทียบดูตัวอย่างด้านล่าง
| ตัวอย่างที่ 1 |
|---|
|
ข้อพระคัมภีร์: โรม 12:1-2 ก. เราต้องถวายตัวของเราแด่พระเจ้า |
โครงร่างนี้ดี แต่มีจุดอ่อนบางอย่างที่เราต้องแก้ไข:
ประเด็นหลักไม่ได้เชื่อมโยงกับถ้อยคำแรกของพระธรรมโรม 12: 1 อย่างเต็มที่ "ดังนั้น พี่น้องทั้งหลาย โดยเห็นแก่ความเมตตากรุณาของพระเจ้า..."
แม้ว่าแต่ละประเด็นเหล่านี้จะเป็นความจริง แต่ก็ไม่ได้เชื่อมโยงกันตามข้อความหลักของข้อพระคัมภีร์ตอนนี้
| ตัวอย่างที่ 2 |
|---|
|
ข้อพระคัมภีร์: โรม 12:1-2 ก. พระเจ้าทรงปรารถนาการการนมัสการที่รับแรงกระตุ้นโดยพระเมตตาของพระองค์ ข. พระเจ้าทรงต้องการการนมัสการที่ทั้งตัวบุคคลมีส่วนร่วม ค. พระเจ้าทรงต้องการการนมัสการที่เปลี่ยนแปลงวิธีคิดของเรา |
โครงร่างนี้ดีกว่า
โครงร่างเชื่อมโยงกับหัวข้อหลักของเนื้อเรื่อง
อย่างไรก็ตาม ควรให้ทั้งสามประเด็นเชื่อมโยงกันก็จะช่วยได้มากกว่า
| ตัวอย่างที่ 3 |
|---|
|
ข้อพระคัมภีร์: โรม 12:1-2 ก. พระเจ้าทรงปรารถนาการการนมัสการที่รับแรงกระตุ้นโดยพระเมตตาของพระองค์ ข. พระเมตตาของพระเจ้าควรกระตุ้นให้คุณถวายทั้งตัวต่อพระองค์เป็นการนมัสการ ค. การถวายทั้งตัวของคุณต่อพระเจ้าควรเริ่มกระบวนการเปลี่ยนแปลงภายในทุกวัน |
โครงร่างนี้เป็นตัวเลือกที่ดีที่สุดในสามตัวเลือก แต่ละประเด็นของโครงร่างจะเชื่อมโยงกับประเด็นก่อนหน้านี้
โครงร่างนี้มีประเด็นหลักสําหรับโครงร่างการอรรถาธิบาย (ฉบับศึกษา) ของคุณ ในตอนท้ายบทเรียนนี้เราจะทําตามขั้นตอนเพิ่มเติมเพื่อทําให้ประเด็นของโครงร่างสั้นลงและง่ายขึ้นสําหรับผู้ฟังที่จะจดจํา เราเรียกสิ่งนี้ว่าโครงร่างการเทศนา
(2) นักเทศน์สามารถสื่อสารข้อความของผู้เขียนให้ชัดเจนได้อย่างไร?
สําหรับการเทศนาอรรถาธิบายที่มีประสิทธิภาพ นักเทศน์จะต้องแปลคําพูดของผู้เขียนให้เป็นภาษาของผู้ฟังในปัจจุบันนี้ เขาจะแสดงให้เห็นแนวคิดดั้งเดิมของข้อพระคัมภีร์ตอนนั้นในแบบที่ผู้ฟังในปัจจุบันจะเข้าใจได้ ในการทําเช่นนี้นักเทศน์จะใช้:
คำอธิบายที่ทำให้เห็นภาพ
เรื่องราวและตัวอย่างประกอบ
บทเรียนจากวัตถุสิ่งของ
การอธิบาย
โครงร่าง
แนวคิดที่ถูกเอาไปใช้กับนักเทศน์
หลังจากที่เรารู้ว่าข้อพระคัมภีร์นั้นบอกว่าอย่างไร และข้อพระคัมภีร์นั้นหมายถึงอะไร เราต้องตั้งคำถามว่า "ข้อพระคัมภีร์บอกฉันว่าฉันควรทําอย่างไร?" สิ่งนี้เรียกว่าการประยุกต์เอาไปใช้ กล่าวอีกนัยหนึ่ง เราต้องตั้งคำถามว่า "พระเจ้าทรงต้องการให้ฉันทําอะไร?"
ก่อนที่จะเทศนาครั้งใดให้แก่ที่ประชุมในคริสตจักร คำเทศนานั้นจะต้องพูดกับหัวใจและชีวิตของนักเทศน์ก่อน นักเทศน์เป็นผู้ฟังกลุ่มแรกที่ฟังคำเทศนาเสมอ ก่อนที่เราจะเอาพระวจนะของพระเจ้ามาประยุกต์ใช้ในชีวิตของผู้ฟังของเรา เราต้องนํามาใช้กับชีวิตของเราก่อน
แนวคิดที่ถูกเอาไปใช้กับผู้ฟัง
คําเทศนาที่ไม่มีการประยุกต์เอาไปใช้กับผู้ฟังแต่อาจมีคําอธิบายที่ดีมากเกี่ยวกับข้อพระคัมภีร์แทน อย่างไรก็ตามถือว่านั่นคือการล้มเหลวในการขับเคลื่อนผู้ฟัง การเทศนาแบบอรรถาธิบายที่แท้จริงจะต้องนําไปใช้กับผู้ฟัง เราประยุกต์ข้อความของพระคัมภีร์ผู้ฟังของเราได้เอาไปใช้โดย:
การถามคําถามที่ทําให้ผู้ฟังเชื่อมโยงข้อพระคัมภีร์กับชีวิตของพวกเขา
การทบทวนความจริงและหลักการสําคัญที่มาจากข้อพระคัมภีร์
วิเคราะห์สถานการณ์ชีวิตของผู้ฟัง
เลือกข้อพระคัมภีร์
เมื่อเลือกข้อพระคัมภีร์ นักเทศน์ควรมองหาข้อความที่มีความคิดที่สมบูรณ์ซึ่งสามารถถ่ายทอดออกในคําเทศนาได้ นักเทศน์หลายคนทําตามสี่ขั้นตอนในการเลือกข้อพระคัมภีร์:
1. เลือกข้อพระคัมภีร์หลักหรือสักตอนหนึ่งสําหรับคําเทศนา เนื่องจากข้อพระคัมภีร์สักตอนหนึ่งจะบอกชี้แนวทางของคําเทศนาทั้งหมด จึงเป็นสิ่งสําคัญที่จะต้องเลือกข้อพระคัมภีร์ตอนที่เหมาะสมสําหรับคําเทศนา
2. ดูบริบทของข้อพระคัมภีร์ตอนที่เลือก พิจารณาข้อพระคัมภีร์ก่อนและหลัง คุณควรใช้ข้อพระคัมภีร์เพิ่มเติมเพื่อให้ได้ความคิดที่สมบูรณ์หรือไม่? คุณควรจํากัดข้อพระคัมภีร์ไว้เพียงสองสามข้อเพื่อจะมุ่งเน้นไปที่ความคิดเดียวหรือไม่?
3. ดูพระคัมภีร์ฉบับศึกษาและหนังสืออ้างอิงอื่น ๆ เพื่อให้มั่นใจในการเลือก โดยดูว่าข้อพระคัมภีร์นั้นถูกใช้ในพระคัมภีร์ฉบับศึกษาหรือหนังสืออธิบายเล่มอื่นอย่างไร คุณก็จะสามารถมั่นใจการเลือกของคุณได้ ถ้าหนังสืออ้างอิงอื่น ๆ แบ่งข้อพระคัมภีร์ในประเด็นที่แตกต่างไป ให้ตั้งคำถามว่า "ฉันแน่ใจว่าการเลือกของฉันเป็นการเลือกที่ดีที่สุดที่จะเน้นให้เห็นถึงหัวข้อของข้อพระคัมภีร์ตอนนี้หรือไม่?”
4. ตัดสินใจขั้นสุดท้ายที่จะเลือกข้อพระคัมภีร์ หลังจากที่คุณได้ศึกษาบริบทก่อนและหลัง และเปรียบเทียบกับหนังสืออ้างอิงอื่น ๆ แล้ว คุณก็พร้อมที่จะเริ่มศึกษาโดยละเอียด
ซึมซับข้อพระคัมภีร์
จากคําจํากัดความของการเทศนาแบบอรรถาธิบายของเรา ให้จําไว้ว่าข้อพระคัมภีร์นั้นต้องพูดกับนักเทศน์ก่อนจึงจะสามารถพูดกับผู้ฟังได้ หลังจากเลือกข้อพระคัมภีร์ที่คุณจะเทศนา ขั้นตอนต่อไปคือการเริ่มสำรวจตัวเองเทียบกับเนื้อหาในข้อพระคัมภีร์นั้น ในการทําเช่นนี้คุณต้องอ่านซ้ำแล้วซ้ำอีกจนกว่าคุณจะซึมซับไม่เพียงแต่คําพูดเท่านั้น แต่ยังรวมถึงอารมณ์ที่ผู้เขียนรู้สึกเมื่อตอนที่เขาเขียน
► ถ้าคุณมีฟองน้ำให้ทําบทเรียนจากวัตถุนี้ ใส่ฟองน้ำลงในน้ำจนกว่าฟองน้ำจะอิ่มตัว แล้วบีบฟองน้ำ สังเกตว่าการจะได้น้ำจากฟองน้ำนั้นง่ายเพียงใด คุณไม่ต้องทํางานหนัก ฟองน้ำนั้นอิ่มตัวไปด้วยน้ำ เมื่อคุณอิ่มตัวด้วยข้อพระคัมภีร์ ถ้อยคําจะเทออกจากใจของคุณเหมือนน้ำออกจากฟองน้ำ
เมื่อคุณซึมซับข้อพระคัมภีร์ คุณจะได้การเชื่อมโยงทางอารมณ์ความรู้สึกกับถ้อยคำของผู้เขียนมากขึ้น
ถ้าผู้เขียนโกรธ ให้เราโกรธบาปที่ทําให้ผู้เขียนโกรธ
ถ้าผู้เขียนชื่นชมยินดี ให้หัวใจของคุณเองรู้สึกมีความชื่นชมยินดี
ถ้าผู้เขียนเศร้า ให้ร่วมในความโศกเศร้าของเขา
ถ้าผู้เขียนกังวล ให้ลองรู้สึกวิตกกังวลแบบเขา
ถ้าผู้เขียนหัวเราะ ให้เราหัวเราะ
ถ้าผู้เขียนกําลังร้องไห้ ให้รู้สึกมีน้ำตาไหลในตาของคุณในขณะที่คุณคิดถึงสิ่งที่เขากําลังประสบอยู่
ถ่านหินร้อนจากกองไฟก็ยังไฟอยู่ แม้ว่าจะมองไม่เห็นเปลวไฟก็ตาม เมื่อวางถ่านหินไว้ข้างใบไม้แห้ง กระดาษ หรือไม้ ก็จะมีเปลวไฟติดขึ้นใส ในทํานองเดียวกัน เมื่อคุณเติมความคิดและหัวใจของคุณด้วยถ้อยคำในพระคัมภีร์ ข้อความเหล่านั้นก็จะลุกไหม้ภายในคุณ
การรู้ข้อมูลในข้อพระคัมภีร์นั้นยังไม่เพียงพอ คุณต้องรู้สึกแบบเดียวกับที่ผู้เขียนรู้สึก ความหลงใหลของผู้เขียนควรกลายเป็นความหลงใหลของคุณ ทําไมล่ะ? เนื่องจากเรากําลังจัดการกับพระวจนะของพระเจ้า ความหลงใหลในข้อพระคัมภีร์คือความหลงใหลของพระเจ้า คุณถูกเรียกให้เป็นผู้ส่งสารของพระเจ้า
คุณจะซึมซับข้อพระคัมภีร์จนกว่าคุณจะรู้สึกถึงความหลงใหลของผู้เขียนได้อย่างไร? ลองทําตามขั้นตอนต่อไปนี้:
1. อ่านข้อพระคัมภีร์อย่างเงียบ ๆ อย่างน้อยห้าครั้ง
2. อ่านข้อพระคัมภีร์ออกเสียงอย่างน้อยห้าครั้ง
3. อ่านข้อพระคัมภีร์ซ้ำอีกรอบ
ฝึกอ่านด้วยการแสดงออกทางน้ำเสียง
พยายามรู้สึกเหมือนกับที่ผู้เขียนรู้สึก
หยุดชั่วคราวระหว่างการอ่านเพื่อนั่งใคร่ครวญในสิ่งที่คุณกําลังอ่าน
คุณจะพัฒนาวิธีการเชื่อมโยงข้อพระคัมภีร์ด้วยวิธีของคุณเอง ไม่ว่าคุณจะทําแบบนี้ด้วยวิธีไหน ให้แน่ใจว่าทั้งความคิดและหใจของคุณเข้าส่วนกับข้อความของผู้เขียน หากคุณรีบผ่านขั้นตอนสําคัญนี้ ข้อความของคุณก็จะขาดส่วนประกอบสําคัญนั่นคือความหลงใหล ความหลงใหลที่ส่งผลดีในการเทศนาตามพระคัมภีร์ไม่ได้มาจากการอธิษฐานเท่านั้น แต่ยังมาจากการที่นักเทศน์เปรียบเทียบตัวเองกับข้อความของพระเจ้าที่ได้สำแดงไว้ในข้อพระคัมภีร์
► ให้อ่านข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้: กาลาเทีย 1:6-9, มัทธิว 17:1-9, สดุดี 10:1-12 และวิวรณ์บทที่ 4 ให้อ่านข้อพระคัมภีร์แต่ละข้อหลายครั้ง ให้รู้สึกถึงความหลงใหลของผู้เขียน ลองนึกภาพตัวเองในสถานการณ์ของผู้เขียน คุณรู้สึกถึงอารมณ์ของข้อพระคัมภีร์นั้นหรือไม่?
► ตอนนี้ ให้เลือกข้อพระคัมภีร์เหล่านี้หนึ่งข้อและอ่านออกเสียงในชั้นเรียน อ่านแบบที่แสดงออกถึงน้ำเสียงให้ชั้นเรียนฟัง ขอให้ทั้งชั้นเรียนประเมินการแสดงออกทางน้ำเสียงของคุณ คุณสื่อสารอารมณ์ของข้อพระคัมภีร์ในการอ่านของคุณหรือไม่?
วิเคราะห์ข้อพระคัมภีร์
วัยรุ่นหลายคนได้ดูนักกรีฑาที่มีทักษะและคิดว่า "ฉันอยากการเล่นได้แบบนั้นบ้าง" พวกเขาเริ่มเล่น พวกเขารักการแข่งขัน พวกเขามีความหลงใหล แต่ในไม่ช้าพวกเขาก็ท้อแท้ ความหลงใหลยังไม่เพียงพอ นักกรีฑาที่ยอดเยี่ยมจะฝึกซ้อมและฝึกซ้อมแม้ไม่มีใครดูก็ตาม เขาวิ่งหลายกิโลเมตรเพื่อสร้างความอดทนในการแข่งขัน เขายืดกล้ามเนื้อ กระโดด ยกน้ำหนัก และออกกําลังกายอื่น ๆ เพื่อเตรียมความพร้อมสําหรับการแข่งขัน การออกกำลังกายเหล่านี้จําเป็นสําหรับผู้เล่นที่เก่ง การออกกําลังกายไม่ใช่เรื่องของความหลงใหล การออกกําลังกายเป็นเรื่องเกี่ยวกับการออกเหงื่อ การออกกําลังกายไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้น แต่เป็นเรื่องจําเป็นหากเขาจะเติมเต็มความหลงใหลในการเป็นนักกรีฑาที่ยอดเยี่ยม
การวิเคราะห์ข้อพระคัมภีร์เป็นงานหนักในการเทศนา การวิเคราะห์ไม่ใช่เรื่องน่าหลงใหล การวิเคราะห์เป็นเรื่องเกี่ยวกับการออกเหงื่อ มันต้องใช้เวลาหลายชั่วโมงในสํานักงานของคุณที่จะเรียนรู้ ในขณะที่ถ้าทำสิ่งอื่น ๆ จะสนุกมากกว่า นี่เป็นเรื่องเกี่ยวข้องกับวินัย แต่นี่เป็นเรื่องจําเป็นถ้าคุณจะสื่อสารความน่าหลงใหลของข้อพระคัมภีร์ในลักษณะที่เชื่อมโยงกับความจริงของพระวจนะของพระเจ้ากับความต้องการของผู้ฟังของคุณ
คุณวิเคราะห์ข้อพระคัมภีร์อย่างไร? บางขั้นตอนการใช้งานได้แก่:[1]
1. ถามคำถามง่ายๆ เกี่ยวกับข้อพระคัมภีร์
ใคร?
อะไร?
เมื่อไร?
ที่ไหน?
อย่างไร?
ทำไม?
2. มองหาคำหรือวลีสำคัญในข้อพระคัมภีร์นั้น
3. มองหาข้อเปรียบเทียบหรือข้อแตกต่างในข้อพระคัมภีร์นั้น
4. จัดเรียงข้อพระคัมภีร์นั้นเป็นโครงร่างที่เป็นธรรมชาติ
โครงร่างที่เป็นธรรมชาติช่วยให้คุณเห็นว่าข้อพระคัมภีร์มีโครงสร้างอย่างไร ช่วยให้โครงสร้างของข้อพระคัมภีร์เป็นแนวทางในการเขียนคำเทศนาของคุณ
นี่คือตัวอย่างของการวิเคราะห์ (ทั้งสี่ขั้นตอน) ในตอนท้ายของบทเรียนนี้ คุณจะวิเคราะห์ข้อพระคัมภีร์ในลักษณะเดียวกันสําหรับการบ้านของบทเรียน
| ตัวอย่างการวิเคราะห์ (สดุดี บทที่ 1) |
|---|
|
(1) ถามคำถามง่ายๆ เกี่ยวกับข้อพระคัมภีร์ ใคร?
อะไร?
เมื่อไร?
ที่ไหน?
อย่างไร?
ทำไม?
|
|
(2) มองหาคำหรือวลีสำคัญ
|
|
(3) มองหาข้อเปรียบเทียบหรือข้อแตกต่าง
|
|
(4) จัดเรียงข้อพระคัมภีร์นั้นเป็นโครงร่างที่เป็นธรรมชาติ
|
โครงร่างฉบับศึกษาคืออะไร?
โครงร่างฉบับศึกษาเป็นโครงร่างของประเด็นและแนวคิดต่างๆ ที่คุณพบขณะศึกษา นี่ยังไม่ใช่โครงร่างการเทศนาของคุณ คุณจะเขียนโครงร่างการเทศนาจากโครงร่างฉบับศึกษาในขั้นตอนต่อไป โครงร่างฉบับศึกษาจะช่วยคุณจัดเรียบเรียงการจดบันทึก ข้อมูลเชิงลึก การประยุกต์เอาไปใช้ และตัวอย่างประกอบต่างๆ ที่ไหลออกมาจากความคิดอย่างเป็นธรรมชาติที่ผู้เขียนพระคัมภีร์ได้มอบให้เรา
โครงร่างฉบับศึกษาคือโครงร่างการทํางานรวบรวมของคุณ คุณสามารถเปลี่ยนแปลงโครงร่างได้เมื่อคุณเรียนรู้จักข้อพระคัมภีร์มากขึ้น แต่โครงร่างนี้จะให้โครงสร้างพื้นฐานเพื่อเป็นแนวทางในการเตรียมตัวของคุณ
โครงร่างเป็นเหมือนโครงกระดูก หากไม่มีโครงกระดูกร่างกายของเราก็จะไม่เป็นรูปร่าง ไม่ว่าผิว ดวงตา และเส้นผมของคุณจะสวยงามเพียงใด หากไม่มีโครงกระดูกความงามของคุณจะหายไป ไม่ว่ากล้ามเนื้อของคุณจะใหญ่และแข็งแรงแค่ไหน หากไม่มีโครงสร้างกระดูกร่างกายของคุณก็จะอ่อนแอ แม้แต่กล้ามเนื้อที่ทรงพลังที่สุดก็ต้องติดอยู่กับกระดูกเพื่อให้ทํางานได้ โครงร่างให้โครงสร้างสําหรับคำเทศนาของคุณ
วิธีเตรียมโครงร่างฉบับศึกษา
1. ใช้โครงร่างเดิมตามธรรมชาติของข้อพระคัมภีร์เป็นแนวทาง ในหัวข้อการวิเคราะห์ข้อพระคัมภีร์ คุณได้เรียนรู้ที่จะหาโครงร่างเดิมตามธรรมชาติของข้อพระคัมภีร์มาแล้ว ใช้สิ่งนี้เป็นแนวทางสําหรับโครงร่างฉบับศึกษาของคุณ
2. มองหาประเด็นสําคัญในโครงร่างตามธรรมชาติ
3. สรุปความคิดหลักของแต่ละประเด็น
| ตัวอย่างการสรุปความคิดหลัก |
|---|
|
ข้อพระคัมภีร์: โรม 1:16-17 I. เปาโลไม่ละอายในเรื่องข่าวประเสริฐ II. เปาโลไม่ละอายเพราะข่าวประเสริฐเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้าที่จะช่วยให้รอดได้ III. ข่าวประเสริฐเป็นฤทธานุภาพที่จะช่วยให้รอดได้ เพราะในข่าวประเสริฐนั้นเปิดเผยว่าความชอบธรรมของพระเจ้าสามารถรับได้โดยความเชื่อ |
(4) สรุปประเด็นย่อยจากโครงร่างเดิมตามธรรมชาติ
| ตัวอย่างการสรุปประเด็นย่อยจากโครงร่างตามธรรมชาติ |
|---|
|
ข้อพระคัมภีร์: โรม 1:16-17 I. เปาโลไม่ละอายในเรื่องข่าวประเสริฐของพระคริสต์
II. เปาโลไม่ละอายเพราะข่าวประเสริฐเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้าที่จะช่วยให้รอดได้
III. ข่าวประเสริฐเป็นฤทธานุภาพที่จะช่วยให้รอดได้ เพราะในข่าวประเสริฐนั้นเปิดเผยว่าความชอบธรรมของพระเจ้าสามารถรับได้โดยความเชื่อ
|
สําหรับโครงร่างฉบับศึกษา เป็นสิ่งสําคัญที่จะต้องเรียงตามประเด็นเดิมและประเด็นย่อยตามธรรมชาติของข้อพระคัมภีร์ โปรดจําไว้ว่าคําเทศนาแบบบอรรถาธิบายนั้นได้รับแนวทางจากข้อพระคัมภีร์นั้นเอง นักเทศน์ไม่ได้กําหนดโครงสร้างบนข้อพระคัมภีร์ เขามองหาโครงสร้างตามธรรมชาติของข้อพระคัมภีร์นั้น หน้าที่ของผู้อรรถาธิบายพระคัมภีร์คือการฟังข้อพระคัมภีร์
เพิ่มเนื้อหาในโครงร่างของคุณ
หลังจากที่คุณเตรียมโครงร่างฉบับศึกษาของคุณแล้ว คุณก็พร้อมที่จะเริ่มเพิ่มเนื้อหาลงในโครงร่างพื้นฐานนี้ ในขณะที่กำลังวิเคราะห์ข้อพระคัมภีร์ อาจมีคําถามต่างๆ เกี่ยวกับข้อพระคัมภีร์ที่คุณยังไม่ได้ตอบ ในขั้นตอนนี้คุณจะตอบคําถามเหล่านี้ คุณได้ศึกษาสิ่งที่ข้อพระคัมภีร์บอกไว้ ต่อไปคุณจะศึกษาว่ามันหมายถึงอะไร
ขั้นตอนต่อไปในการเตรียมตัวของคุณคือการมองหาความชัดเจนมากขึ้นเกี่ยวกับสิ่งที่ผู้เขียนข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ตั้งใจจะพูดกับเรา นี่เป็นสิ่งสําคัญเพราะ "เมื่อพระคัมภีร์พูดหมายความว่าพระเจ้าตรัส"[1] สิ่งที่ผู้เขียนตั้งใจจะพูดคือสิ่งที่พระเจ้าทรงต้องการพูดกับเรา ในฐานะนักเทศน์คุณต้องเปรียบเทียบตัวเองกับข่าวสารของพระเจ้าและสื่อสารด้วยความชัดเจนและด้วยใจรัก
ในการทําเช่นนี้ คุณจะมีปัญญาที่จะใช้เครื่องมือศึกษาใด ๆ ที่มีให้คุณ ถ้าเป็นไปได้ให้ใช้เครื่องมือศึกษาต่อไปนี้:
พจนานุกรมพระคัมภีร์
หนังสือคำศัพท์สัมพันธ์
แผ่นที่พระคัมภีร์
สารานุกรมพระคัมภีร์
พระคัมภีร์ฉบับศึกษา
หนังสืออธิบายพระคัมภีร์
ในขณะที่คุณรวบรวมข้อมูลเกี่ยวกับข้อพระคัมภีร์และความหมาย ให้สรุปข้อมูลที่สําคัญที่สุดในบันทึกย่อให้อยู่ภายใต้หัวข้อที่เหมาะสมในโครงร่างฉบับศึกษาของคุณ
ระวังอย่าใส่บันทึกที่จดไว้เข้าไปมากเกินไป มิฉะนั้นคําเทศนาของคุณจะยาวเกินไปและยากที่ผู้ชมที่จะติดตาม แต่ให้มองหาข้อมูลสําคัญที่สามารถช่วยให้คุณอธิบายความหมายของข้อพระคัมภีร์ได้ชัดเจนยิ่งขึ้น เก็บบันทึกที่คุณศึกษาไว้ในลักษณะที่คุณสามารถสื่อสารกับผู้ฟังทั่วไปได้
มองหาข้อมูลอย่างเช่น:
เบื้องหลังทางประวัติศาสตร์ – ในช่วงเวลาที่เขียนนี้มีอะไรเกิดขึ้น?
ความหมายของคํา – ต้องอธิบายคําสําคัญให้ชัดเจนยิ่งขึ้นหรือไม่?
ภูมิศาสตร์ - มีเมืองหรือสถานที่ใด ๆ ที่กล่าวถึงในข้อพระคัมภีร์ของคุณหรือไม่? สถานที่ตั้งของกลุ่มผู้คนของผู้เขียนครั้งแรกอยู่ที่ไหน? ดูว่าคุณสามารถเรียนรู้อะไรจากแผนที่พระคัมภีร์ พจนานุกรมพระคัมภีร์ หรือสารานุกรมพระคัมภีร์ได้บ้าง
หากคุณยังคงมีคําถามเกี่ยวกับข้อพระคัมภีร์ ให้อ่านหนังสืออธิบายพระคัมภีร์เพื่อจะได้ข้อมูลเชิงลึกจากนักวิชาการพระคัมภีร์คนอื่น ๆ
เปลี่ยนโครงร่างฉบับศึกษาให้เป็นโครงร่างการเทศนา
เมื่อคุณได้ศึกษาข้อพระคัมภีร์อย่างรอบคอบแล้ว คุณจะปรับโครงร่างฉบับศึกษาของคุณให้เป็นโครงร่างการเทศนา โครงร่างการเทศนาคือการแก้ไขประเด็นที่คุณได้เตรียมไว้ในโครงร่างฉบับศึกษาของคุณ โครงร่างการเทศนาของคุณควรใช้ประเด็นของโครงร่างฉบับศึกษาของคุณและบรรยายด้วยวิธีที่เรียบง่ายและสร้างสรรค์มากขึ้น
วัตถุประสงค์ของโครงร่างฉบับศึกษาคือ:
เพื่อแสดงแนวทางความคิดของผู้เขียน
เพื่อปรับแต่งเนื้อหาของคุณให้ไปในทิศทางเดียวกับความคิดของผู้เขียน
เพื่อให้มีโครงสร้างสําหรับบันทึกสิ่งที่คุณได้ศึกษาและข้อความของคุณ
เพื่อช่วยให้คุณจดจ่ออยู่กับข้อความของข้อพระคัมภีร์ตอนนั้น
เพื่อหลีกเลี่ยงการเพิ่มประเด็นที่ไม่ได้มาจากข้อพระคัมภีร์ (แม้ว่ามันอาจจะเป็นประเด็นที่ดีสําหรับคำเทศนาอื่น)
จุดประสงค์ของโครงร่างการเทศนาคือ:
เพื่อให้ผู้ฟังของคุณเข้าใจและจดจําข้อความได้ง่ายขึ้น
เพื่อให้ข้อความนั้นเข้าไปในใจและชีวิตของผู้ฟังที่จะนำไปปฏิบัติตามได้
เพื่อหนุนใจให้ผู้ฟังของท่านปฏิบัติตามเนื้อหาของข้อพระคัมภีร์นั้น
เพื่อพูดความจริงของข้อพระคัมภีร์ด้วยเสียงแห่งการพยากรณ์เข้าไปในชีวิตของผู้ฟังของคุณ
| โครงร่างฉบับศึกษา | โครงร่างการเทศนา |
|---|---|
| ช่วยให้มีโครงสร้างตามข้อพระคัมภีร์สำหรับคำเทศนา | ช่วยให้มีการนำเสนอคำเทศนาที่ชัดเจนและน่าจดจำ |
| เชื่อมโยงคำเทศนากับข้อพระคัมภีร์ | เชื่อมโยงข้อพระคัมภีร์ไปสู่ชีวิตของผู้ฟัง |
| มุ่งเน้นบนข้อมูลที่ถูกต้อง | มุ่งเน้นที่การประยุกต์เอาไปใช้ที่ถูกต้อง |
| ให้มั่นใจว่าคำเทศนานั้นตรงตามพระคัมภีร์ | ให้มั่นใจว่าคำเทศนานั้นทันยุคทันสมัย |
| ค้นหาจุดประสงค์ของข้อพระคัมภีร์ | สื่อสารจุดประสงค์ด้วยเสียงแห่งการพยากรณ์ |
| ช่วยให้มีคำอธิบายสำหรับข้อพระคัมภีร์ | ช่วยให้มีการหนุนใจในข้อพระคัมภีร์ |
โครงร่างฉบับศึกษาช่วยให้คุณตีความและอธิบายข้อพระคัมภีรได้ ในขั้นตอนนั้นรายละเอียดเป็นเรื่องสําคัญมาก ในการศึกษาค้นคว้า คุณกําลังจัดการกับศาสตร์แห่งการตีความหมาย
โครงร่างการเทศนามีความถูกต้องแม่นยําน้อยกว่า แต่มุ่งเน้นไปที่ศิลปะแห่งการสื่อสารมากขึ้น จงมีความคิดสร้างสรรค์และมีจินตนาการด้วยโครงร่างการเทศนาของคุณ
หลีกเลี่ยงการใช้โครงร่างแบบเดียวกันในทุกคําเทศนา คุณต้องมีความคิดสร้างสรรค์เพื่อผู้ฟังจะได้ตั้งใจฟังอย่างดีทุกครั้งที่คุณเทศนา อย่างไรก็ตามอย่าปล่อยให้ความคิดสร้างสรรค์ดึงคุณหลงไปจากเนื้อหาในพระข้อพระคัมภีร์ ขณะที่เตรียมโครงร่างการเทศนา คุณควรย้อนกลับไปโครงร่างฉบับศึกษาบ่อยๆ เพื่อให้แน่ใจว่าคุณยังยึดอยู่ในข้อพระคัมภีร์อย่างซื่อสัตย์
ข้อแนะนำสำหรับโครงร่างการเทศนา
(1) ให้โครงร่างการเทศนาของคุณพูดกับผู้ฟังโดยตรง
เนื่องจากคําเทศนาเรียกร้องให้มีการตอบสนอง โครงร่างของคุณควรพูดกับผู้ชมโดยตรงทุกครั้งที่ทําได้ โครงร่างที่พูดกับผู้ฟังโดยตรงจะส่งผลกระทบมากขึ้น พวกเขาจะรู้ว่าพวกเขาต้องทําอะไรบางอย่าง นี่ไม่ใช่แค่ข้อมูลที่ต้องรู้เท่านั้น นี่คือบางสิ่งที่จะนําไปใช้ในชีวิตของพวกเขา
| ตัวอย่างของการพูดกับผู้ฟังโดยตรง |
|---|
|
โครงร่างฉบับศึกษา: คริสเตียนต้องสวมยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า โครงร่างการเทศนา: จงสวมยุทธภัณฑ์ของคุณ |
(2) ใช้ประโยคที่สมบูรณ์
เพื่อที่จะสื่อสารได้อย่างชัดเจน ให้ใช้ประโยคที่สมบูรณ์ทุกครั้งที่ทำได้
| ตัวอย่างการใช้ประโยคที่สมบูรณ์ |
|---|
|
ประโยคที่ไม่สมบูรณ์: ความสำคัญอันดับแรกของการอธิษฐาน ประโยคที่สมบูรณ์: ให้การอธิษฐานเป็นสิ่งสำคัญอันดับแรก |
(3) ใช้คำที่ให้ผู้ฟังเป็นผู้กระทำ
ในเมื่อคำเทศนาเรียกร้องให้ผู้ฟังตอบสนอง คุณควรใช้ภาษาที่ผู้ฟังเป็นผู้กระทำ ทุกครั้งที่ทำได้
| ตัวอย่างการใช้ภาษาที่ผู้ฟังเป็นผู้กระทำ |
|---|
|
ภาษาที่แสดงถึงกรรมที่ถูกกระทำโดยผู้ฟัง: มีพระพรที่เกิดขึ้นจากการเชื่อฟัง ภาษาที่ผู้ฟังเป็นผู้กระทำ: การเชื่อฟังนำพระพรมา |
(4) ใช้ภาษาที่เรียบง่าย
เป้าหมายของนักเทศน์คือการสื่อสารไปยังผู้คน ไม่ใช่เพื่อสร้างความประทับใจให้กับผู้คนด้วยคําศัพท์ของนักเทศน์ เมื่อคุณใช้ศัพท์สูงๆ ที่ผู้คนไม่เข้าใจ คุณก็จะล้มเหลวในการสื่อสารข้อความที่เปลี่ยนแปลงชีวิต ให้สร้างความประทับใจผู้คนด้วยฤทธานุภาพของพระวจนะของพระเจ้า ไม่ใช่ด้วยคําพูดยาว ๆ ที่คุณเคยเรียนรู้
อัครสาวกเปาโลเป็นนักวิชาการที่ยอดเยี่ยม เขารู้หลายภาษา เขาสามารถโต้แย้งปรัชญากรีก ศาสนศาสตร์ของฮีบรู และการเมืองของโรม ถ้าเปาโลเลือกได้ เขาอาจใช้คําที่ซับซ้อนซึ่งไม่มีใครเข้าใจ แต่เมื่อเปาโลเทศนา ท่านสื่อสารพระกิตติคุณอย่างเรียบง่าย ท่านรู้ว่าพระกิตติคุณเป็นฤทธานุภาพของพระเจ้าเพื่อให้ทุกคนที่เชื่อได้รับความรอด สำหรับชาวยิวก่อนและสำหรับชาวกรีกด้วย (โรม 1:16)
ในยุคกลาง ท่านบิชอปชื่อ โยฮันเนส เป็นนักปราศรัยที่มีชื่อเสียง เขาสามารถพูดได้ด้วยความหลงใหลและความฉลาด หลายคนมาฟังท่านโยฮันเนสพูด ผู้คนประทับใจบิชอปของพวกเขามาก อย่างไรก็ตามทุกครั้งที่โยฮันเนสลงมาจากธรรมาสน์ หญิงชราจะมองท่านและพึมพําว่า "บิ๊กโจฮันยิ่งใหญ่ แต่พระเยซูเล็กน้อย"
ท่านบิชอปไม่สบายใจเพราะคําพูดของเธอ ในที่สุดท่านก็ขอลาออกจากเทศนาบนธรรมาสน์ เป็นเวลาเกือบหนึ่งปีที่ท่านอ่านพันธสัญญาใหม่และใคร่ครวญเกี่ยวกับชีวิตของพระเยซูและฤทธานุภาพพระกิตติคุณ
ในวันอาทิตย์อีสเตอร์ บิชอปโยฮันเนสกลับขึ้นเทศนาบนธรรมาสน์ มหาวิหารเต็มไปด้วยผู้คน หลังจากหนึ่งปีพวกเขาคาดหวังการเทศนาที่ยอดเยี่ยม ท่านโยฮันเนสก้าวขึ้นไปบนธรรมาสน์เพื่อเทศนา ท่านเริ่มพูดว่า "พระเยซูคริสต์" – และหยุด ท่านเริ่มร้องไห้ขณะที่ท่านจดจําสิ่งที่ท่านได้เรียนรู้เกี่ยวกับพระเยซูในช่วงปีแห่งการอธิษฐานและศึกษานี้ หลังจากพยายามเทศนาอยู่หลายครั้ง ท่านโยฮันเนสก็ก้าวลงและเดินไปที่ด้านหลังของมหาวิหารด้วยความอับอาย ขณะที่ท่านเดินผ่านหญิงชราเขาได้ยินเธอพูดว่า "โยฮันเนสเล็กน้อย แต่พระเยซูยิ่งใหญ่"
เป้าหมายของนักเทศน์ต้องเป็น "ตัวฉันเล็กน้อย แต่พระเยซูยิ่งใหญ่" ภาษาง่ายๆ ที่สื่อสารพระกิตติคุณด้วยฤทธานุภาพเป็นการยกย่องพระเยซูแทนที่จะเป็นยกย่องผู้พูด
(1) ข้อพระคัมภีร์
ก. เริ่มต้นด้วยข้อพระคัมภีร์หรือข้อความสําคัญ
ข. เข้าใจบริบท
ค. ซึมซับข้อพระคัมภีร์
ง. วิเคราะห์ข้อพระคัมภีร์
จ. จัดเรียงข้อความในข้อพระคัมภีร์ให้มีความคิดเป็นลำดับตามธรรมชาติ (โครงร่างตามธรรมชาติ)
(2) โครงร่างฉบับศึกษา
ก. สรุปประเด็นสําคัญของโครงร่างตามธรรมชาติ
ข. จัดเรียงโครงร่างตามธรรมชาติตามตอนหลักและตอนย่อย
ค. ใช้โครงร่างฉบับศึกษาเป็นแนวทางในการศึกษาเพิ่มเติม
ง. เพิ่มเนื้อหาลงในโครงร่าง
(3) โครงร่างการเทศนา
ก. ทบทวนการใช้คำในประเด็นสําคัญของโครงร่างฉบับศึกษาอีกครั้งด้วยคำที่ง่ายๆ
ข. ทําให้ง่ายต่อการติดตามและจดจํา
ค. ทําให้เป็นเหมือนคำพยากรณ์ (พูดความจริงให้เข้าไปในชีวิตของผู้ฟัง)
ง. จงมีความคิดสร้างสรรค์
► กลับไปที่ตอนเริ่มต้นของบทเรียนนี้และทบทวนคําจํากัดความของการเทศนาแบบอรรถาธิบาย
การเทศนาแบบอรรถาธิบายเป็นงานหนัก ต้องใช้ความมุ่งมั่นที่จะขุดลงไปในข้อพระคัมภีร์ เพื่อทําความเข้าใจสิ่งที่พระวจนะของพระเจ้าบอก และจากนั้นเพื่อสื่อสารข้อพระคัมภีร์ไปยังผู้ฟังในปัจจุบัน นี่เป็นงานหนัก แต่ก็ได้รับบำเหน็จ เราเทศนาเพราะ "พระเจ้าจึงพอพระทัยจะช่วยพวกที่เชื่อให้รอดโดยคำเทศนาโง่ๆ" (1 โครินธ์ 1:21) เมื่อเราเทศนาเรื่องพระคริสต์ที่ถูกตรึงกางเขน เราจะเห็นฤทธานุภาพของพระกิตติคุณ เพราะความเขลาของพระเจ้ายังมีปัญญายิ่งกว่าปัญญาของมนุษย์ (1 โครินธ์ 1:25)
จะไม่มีการทดสอบในบทเรียนนี้ ท่านจะฝึกฝนการเตรียมและการเทศนาแบบอรรถาธิบายแทน
(1) เลือกข้อพระคัมภีร์ที่คุณต้องการเทศนา ศึกษาข้อพระคัมภีร์อย่างละเอียดโดยใช้ขั้นตอนต่างๆ ในบทเรียนนี้
(ก) ซึมซับข้อพระคัมภีร์ อ่านอย่างน้อย 10 ครั้งและรู้สึกถึงอารมณ์ของผู้เขียน
(ข) วิเคราะห์ข้อพระคัมภีร์โดยใช้ห้าขั้นตอนที่ให้ไว้ในบทเรียนนี้
(ค) จัดเตรียมโครงร่างฉบับศึกษาของข้อพระคัมภีร์
(ง) เพิ่มเนื้อหาลงในโครงร่างของคุณ
(จ) เตรียมโครงร่างการเทศนาของข้อพระคัมภีร์
(2) ให้เทศนาจากคำเทศนาที่คุณเตรียมไว้ใหน้าชั้นเรียน คำเทศนานี้ควรใช้เวลา 12-15 นาที นักศึกษาแต่ละคนในชั้นเรียนจะกรอกแบบฟอร์มการประเมินที่แนบไว้ด้านหลังของคู่มือหลักสูตรนี้
SGC exists to equip rising Christian leaders around the world by providing free, high-quality theological resources. We gladly grant permission for you to print and distribute our courses under these simple guidelines:
All materials remain the copyrighted property of Shepherds Global Classroom. We simply ask that you honor the integrity of the content and mission.
Questions? Reach out to us anytime at info@shepherdsglobal.org
Total
$21.99By submitting your contact info, you agree to receive occasional email updates about this ministry.
Download audio files for offline listening
No audio files are available for this course yet.
Check back soon or visit our audio courses page.
Share this free course with others