โครงร่างแบบขยายของคำเทศนา
โครงร่างแบบขยายเป็นการขยายโครงร่างที่คุณเริ่มไว้ โครงร่างแบบขยายใช้ประโยคที่สมบูรณ์ แต่จัดระเบียบความคิดในแบบโครงร่างมากกว่าที่จะเป็นแบบย่อหน้า โครงร่างแบบขยายใช้งานง่ายบนธรรมาสน์ เมื่อคุณมีประเด็นต่างๆ ประเด็นย่อย และรายละเอียดอื่น ๆ ที่จัดระเบียบภายใต้ประเด็นที่เนื้อหาสนับสนุนกัน ช่วยทำให้ง่ายที่จะมองเห็นประเด็นหลักและประเด็นย่อยที่ต้องเขียน
เขียนอรัมภบท
คุณควรเขียนอรัมภบทของคุณอย่างสมบูรณ์ อรัมภบทเป็นสิ่งแรกที่ผู้ฟังจะได้ยิน หากคุณไม่จับความสนใจของผู้ฟังในช่วงสองสามวินาทีแรก คุณอาจไม่มีโอกาสได้ดึงความสนใจของพวกเขาในภายหลัง แม้ว่าคุณจะไม่ได้เขียนคําเทศนาของคุณอย่างครบถ้วน แต่ก็เป็นการดีที่จะเขียนอรัมภบทเพราะนั่นเป็นส่วนสําคัญของคําเทศนา
อรัมภบทของคำเทศนาของคุณจะมักจะประกอบด้วยรายการดังต่อไปนี้:
1. เนื้อหาจากข้อพระคัมภีร์
2. กล่าวนำ (บางครั้งก็กล่าวก่อนอ่านข้อพระคัมภีร์)
3. หัวข้อ คุณควรเขียนหัวข้อที่คุณวางแผนจะใช้ในการเทศนา บางครั้งคุณอาจบอกหัวข้อให้แก่ผู้ฟังในช่วงอรัมภบท บางครั้งคุณอาจระบุในภายหลังอีก อย่างไรก็ตาม หัวข้อควรโดดเด่นในโครงร่างของคุณเพื่อเตือนถึงสิ่งที่คุณต้องการพูดถึง
4. ข้อมูลเบื้องหลัง ที่นี่คุณควรให้รายละเอียดของเบื้องหลังที่ผู้ชมจะต้องรู้เพื่อทําความเข้าใจคําเทศนา นี่อาจรวมถึงรายละเอียดเบื้องหลังของพระคัมภีร์ ซึ่งอาจรวมถึงเรื่องส่วนตัว เช่นเหตุที่คุณเอาข้อพระคัมภีร์นี้มาเทศน์ อาจเป็นหัวข้อของการประชุมที่คุณกําลังเทศนาอยู่ โดยเฉพาะหากคุณถูกเชิญให้เทศนาตามหัวข้อหรือตามข้อพระคัมภีร์ที่กำหนดไว้
เพิ่มรายละเอียดให้โครงร่างเดิม
ในขั้นตอนนี้ ให้คุณเพิ่มรายละเอียดลงในโครงร่างเดิมของคุณ ในรูปแบบโครงร่างแบบขยาย ให้คุณใช้ประโยคที่สมบูรณ์ที่แสดงทุกประเด็นสำคัญในคําเทศนาของคุณ ต่อไปนี้เป็นการวางหัวข้อและลําดับที่เหมาะสมสําหรับการการเขียนโครงร่างให้ประเด็นหลักและประเด็นย่อย:
รูปแบบโครงร่างแบบขยาย
I. โครงร่างประเด็นหลัก
A. ประเด็นหลัก
1. ประเด็นย่อย
a. รายละเอียด
(1) รายละเอียดเพิ่มเติม
(a ) ความคิดเพิ่มเติม
(i) ข้อคิดเพิ่ม
(ii) ข้อคิดเพิ่ม
(b ) ความคิดเพิ่มเติม
(2) รายละเอียดเพิ่มเติม
b. รายละเอียด
2. ประเด็นย่อย
B. ประเด็นหลัก
II. โครงร่างประเด็นหลัก
หาตัวอย่างที่เหมาะสม
ข้อแตกต่างที่ใหญ่ที่สุดอย่างหนึ่งระหว่างคำเทศนาที่ดีและคำเทศนาที่ไม่ดีคือวิธีที่พวกเขายกตัวอย่าง ชาร์ล สเปอร์เจี้ยน กล่าวว่า "คําเทศนาคือบ้าน ตัวอย่างที่ดีคือหน้าต่างที่ปล่อยให้แสงเข้ามา" ตัวอย่างช่วยให้แสงเข้ามาและทําให้ห้องสะดวกสบายยิ่งขึ้น บ้านที่ไม่มีหน้าต่างอาจเป็นสถานที่น่าอึดอัด
เรื่องราวประกอบมีข้อได้เปรียบหลายประการในคำเทศนา
1. เรื่องราวสร้างความสนใจ ผู้คนมักจะตั้งใจฟังเมื่อคุณเล่าเรื่อง
2. เรื่องราวช่วยเพิ่มความเข้าใจ ผู้คนมักจะเข้าใจคำเทศนาของคุณได้ดีขึ้นอันเนื่องมาจากเรื่องเล่าที่ดี
3. เรื่องราวช่วยประยุกต์บทเรียนเอาใช้ในชีวิตจริง เรื่องเล่าที่ดีช่วยให้ผู้ฟังคุณเข้าใจวิธีประยุกต์บทเรียนในคำเทศนาเอาไปใช้ในชีวิตจริงของพวกเขา
4. เรื่องราวช่วยเพิ่มความจำ ผู้ฟังจะจดจําเรื่องราวได้นานหลังจากที่พวกเขาลืมโครงร่างคําเทศนาไปแล้ว เรื่องราวที่ถูกคัดเลือกมาอย่างดีเป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นถึงข้อความของคำเทศนาได้อย่างชัดเจน เพื่อที่ว่าเมื่อผู้ฟังจําเรื่องราวได้ก็จะทําให้พวกเขาจำหัวข้อของคําเทศนาด้วย
5. เรื่องราวเป็นเทคนิคการสอนอย่างเป็นธรรมชาติ ผู้คนคุ้นเคยกับการได้ยินเรื่องราวและจะตอบสนองในเชิงบวกต่อเรื่องราว นักเทศน์และครูที่ดีที่สุดคือผู้ที่สามารถบอกเล่าเรื่องราวที่ดีได้ การจะหาคนที่ไม่ชอบฟังเรื่องราวที่ดีนั้นหายากมาก
พระเยซูทรงเป็นผู้ใช้เรื่องราวและตัวอย่างประกอบ พระองค์ทรงเล่าเรื่องจากประวัติศาสตร์ เรื่องราวจากชีวิตประจําวัน และเรื่องราวดั้งเดิมที่รู้จักกันดีในสมัยของพระองค์ เขายังใช้คําพูดที่ทำให้เกิดภาพจากทุกสาขาอาชีพเพื่อช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจคำสอนของพระองค์
ทําไมพระเยซูถึงเล่าเรื่องมากมาย? เพราะพระองค์ทรงเป็นพระผู้สร้างและทรงเข้าใจธรรมชาติของเรา พระองค์ทรงเข้าใจว่าเราเรียนรู้ได้ดีที่สุดผ่านการฟังเรื่องราว
► เพื่อทําความเข้าใจว่าเรื่องราวช่วยให้เราจดจําบทเรียนได้อย่างไร ให้นึกถึงเรื่องราวเหล่านี้จากพระเยซู โดยไม่ต้องเปิดดูเรื่องราวในพระคัมภีร์ ดูว่าคุณสามารถจําบทเรียนที่พระเยซูทรงสอนโดยใช้เรื่องราวได้หรือไม่?
คุณควรทํางานหนักในการรวบรวมตัวอย่างประกอบและเรื่องราวที่ดีเอามาใส่ไว้ในคําเทศนาของคุณ เป็นการดีที่จะเขียนเรื่องราวให้ละเอียด เพื่อให้คุณรู้ว่าคุณจะเล่าเรื่องราวบนธรรมาสน์อย่างไร
แม้ว่าคุณมักจะไม่เทศน์เรื่องเดิมซ้ำบ่อยๆ แต่คุณสามารถเล่าเรื่องราวเดิมซ้ำได้ หากคุณพัฒนาเรื่องราวที่ดีที่เป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นถึงบางประเด็นได้ ไม่มีเหตุผลที่จะห้ามใช้เรื่องราวเพื่อเป็นตัวอย่างแสดงถึงประเด็นเดียวกันในการเทศนาเรื่องอื่นๆ โดยเฉพาะกับผู้ฟังคนละกลุ่มกัน หากคุณบังเอิญเล่าเรื่องราวที่ดีซ้ำอีกก็จะไม่มีใครลุกขึ้นและเดินออกไป ในความเป็นจริงเด็กบางคนชอบฟังผู้ประกาศข่าวประเสริฐบางคนเทศนาเพราะอาจารย์จะเล่าเรื่องเดิมที่ยอดเยี่ยมซ้ำอีกครั้ง เราเต็มใจที่จะได้ฟังเพลงเดิมซ้ำอีก คนส่วนใหญ่เต็มใจที่จะได้ยินเรื่องเล่าอีกครั้ง
แต่ก็มีมุมอันตรายอยู่เสมอเมื่อนักเทศน์พยายามสร้างความบันเทิงด้วยการใช้เรื่องเล่าของเขา ความบันเทิงไม่ใช่เหตุผลที่เหมาะสมที่จะใช้เรื่องราวในคำเทศนา อย่างไรก็ตาม การเล่าเรื่องราวมีประโยชน์มากในการดึงความสนใจของที่ประชุมของคุณและทำให้ประเด็นต่างในคําเทศนาของคุณชัดเจน
► ชั้นเรียนควรฝึกหาตัวอย่างประกอบที่ดีสําหรับข้อพระคัมภีร์ในคำเทศนาที่คุ้นเคย ให้นักเรียนหาเรื่องราวที่เป็นตัวอย่างแสดงให้เห็นประเด็นหลักของข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้:
เฉลยธรรมบัญญัติ 6:7-9 ความสำคัญของการสอนและระเบียบวินัยของลูกหลานของเรา
มัทธิว 6:1-18 ท่าทีในการให้ การอธิษฐาน หรือการถืออดอาหาร
โรม 5:6-8 ความรักของพระเจ้าสำหรับคนบาป
ยากอบ 3:5-6 พลังอำนาจของลิ้น
ยิ่งเทศนานานเท่าไรก็ต้องยิ่งมีเรื่องราวที่ดีที่จะช่วยมากเท่านั้น เมื่อคุณเริ่มเล่าเรื่องคนที่หลับอยู่จะตื่นขึ้น คนที่ใจล่องลอยไปกับสิ่งอื่นก็จะหันกลับมาสนใจกับสิ่งที่คุณพูด และบรรดาคนที่ฟังจะมีความสุขสําหรับการเปลี่ยนแปลง
ต่อไปนี้เป็นคําแนะนําบางประการสําหรับการเตรียมและบอกเล่าเรื่องราว:
1. ฝึกเล่าเรื่องราวของคุณ นี่เป็นสิ่งสําคัญอย่างยิ่งหากคุณไม่เก่งในการเล่าเรื่อง
2. ทําให้เรื่องราวสมจริงที่สุด อย่าพูดถึง "บุคคลที่ 1" และ "บุคคลที่ 2" ให้สมมติชื่อจริงและบรรยายเรื่องราวให้สมจริงที่สุด แม้ว่าคุณจะต้องเปลี่ยนชื่อหรือสถานการณ์เพื่อรักษาความลับ
3. พยายามเก็บองค์ประกอบที่ทำให้ความประหลาดใจไว้ในเรื่อง อย่าพูดว่า "ฉันจะเล่าเรื่องตลกให้พี่น้องฟัง" เป็นการดีที่สุดที่จะไม่บอกอะไรล่วงหน้าเกี่ยวกับเรื่องราวนั้น
4. ใช้เรื่องราวของบุคคลที่หนึ่ง นี่คือเรื่องราวของสิ่งที่เกิดขึ้นกับคุณหรือเกี่ยวกับเรื่องที่คุณมีความรู้ส่วนตัว เรื่องราวเหล่านี้ถูกบอกเล่าด้วยสรรพนามบุคคลที่หนึ่งเช่นฉัน ผม และเรา นี่คือเรื่องราวที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดที่คุณสามารถเล่าได้
5. อย่าให้รายละเอียดมากเกินไป รายละเอียดควรทําให้เรื่องราวน่าสนใจ แต่ไม่ควรทำให้ประเด็นสับสน หากคุณหยุดอธิบายรายละเอียดที่เล็กน้อยของเรื่องราว มันจะเบี่ยงเบนไปจากประเด็นหลักของเรื่อง ประเด็นของเรื่องมีความสําคัญ ไม่ใช่รายละเอียดเพิ่มเติมที่ไม่เกี่ยวข้อง
6. เลือกคําที่ผู้ฟังของคุณจะเข้าใจ อย่าใช้คําที่ผู้ฟังของคุณไม่คุ้นเคยเนื่องจากสภาพแวดล้อมหรือขาดการศึกษาของพวกเขา
7. อย่าเล่าเรื่องที่ยืมคนอื่นมาราวกับว่าประสบการณ์นี้เกิดขึ้นกับคุณ ไม่มีอะไรผิดปกติกับการยืมเรื่องราวจากผู้อื่น อย่างไรก็ตามบางคนยืมเรื่องราวที่เกิดขึ้นกับคนอื่นและมาเล่าราวกับว่ามันเกิดขึ้นกับตัวเขาเอง หากผู้ฟังของคุณทราบในภายหลังว่าเหตุการณ์นี้ไม่ได้เกิดขึ้นกับคุณจริง ๆ มันอาจทำให้ผู้ฟังไม่ค่อยอยากเชื่อในเรื่องอื่นๆ ที่คุณพูดไปด้วย
เรียนรู้ที่จะเป็นนักเล่าเรื่องที่ดี กฎที่ศิษยาภิบาลทุกคนควรปฏิบัติตามคือ: อย่าเทศนาโดยไม่เล่าเรื่องประกอบ
หากคุณต้องการฝึกฝนสักส่วนหนึ่งของการเทศนาของคุณในปีหน้า ให้ฝึกเกี่ยวกับการนําเสนอตัวอย่างประกอบที่ดี พี่น้องของคุณจะสังเกตเห็นความแตกต่างทันที หากคุณเรียนรู้ที่จะใช้เรื่องราวอย่างมีประสิทธิภาพในการเทศนาของคุณ คุณจะถูกเปลี่ยนจากนักเทศน์ทั่วไปเป็นนักเทศน์ที่ดี หรือจากนักเทศน์ที่ดีเป็นนักเทศน์ที่ยอดเยี่ยม
เขียนคำเทศนาของคุณให้สมบูรณ์
การเขียนคําเทศนาทั้งหมดของคุณเป็นงานหนักมา หากคุณต้องเทศนาทุกสัปดาห์คุณอาจไม่สามารถร่างทุกคำพูดได้ทุกคำเทศนา อย่างไรก็ตาม คุณจะพบว่าการเขียนคําเทศนาทั้งหมดเป็นวิธีที่ดีในการสร้างวินัยให้กับตัวเองและปรับปรุงคําเทศนาของคุณ มีสาเหตุหลายประการที่คนนั้นควรเขียนคําเทศนาให้สมบูรณ์
การเขียนช่วยเรื่องสมาธิ
เมื่อเราเรียนเรามักจะใจลอย การเขียนช่วยให้ความสนใจของเราอยู่ที่จุดเดียว เมื่อคุณกําลังศึกษา การบังคับตัวเองให้เขียนบันทึกเกี่ยวกับทุกข้อ หรือทุกวลี หรือแม้แต่ทุกคําที่คุณกําลังศึกษาอยู่จะเป็นประโยชน์อย่างมาก การมองหาสิ่งที่จะเขียนด้วยความตั้งใจจะบังคับให้คุณคิด การคิดจะทำให้เกิดมุมมองที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน กระบวนการเขียนความคิดลงไปทําให้เกิดความคิดเพิ่มมากขึ้น
การเขียนจะช่วยให้คุณเห็นความจริงอีกด้านที่คุณไม่เห็น
ถ้าคุณบังคับตัวเองให้เขียนบางอย่างเกี่ยวกับทุกข้อพระคัมภีร์ที่คุณกําลังศึกษาอยู่ คุณจะมองหาจนกว่าคุณจะเห็นสิ่งที่จะเขียน อาจเป็นสิ่งที่คุณไม่เคยเห็นมาก่อน ถ้าคุณบังคับให้ตัวเองเขียนบรรยายข้อพระคัมภีร์สักข้อหนึ่งออกมา 10 ประการ แล้วคุณจะทึ่งอย่างมากในสิ่งที่คุณจะได้เรียนรู้
กลุ่มคนพิวริตันมีชื่อเสียงในเรื่องความสามารถในการเห็นความจริงมากมายในพระคัมภีร์เพียงไม่กี่ข้อ พวกเขาได้รับข้อมูลนี้เพราะพวกเขาใช้เวลาตรึกตรองข้อต่างๆ ในพระคัมภีร์และเขียนความคิดของพวกเขาลงไป โธมัส บอสตัน ศิษยาภิบาลของกลุ่มพิวริตันนี้ได้เขียนหนังสือเล่มหนึ่งโดยยึดบนข้อเดียวในพระธรรมปัญญาจารย์ที่บอกว่า "จงพิจารณาพระราชกิจของพระเจ้า สิ่งที่พระเจ้าทรงทำให้คด ใครจะเหยียดให้ตรงได้เล่า? (ปัญญาจารย์ 7:13) ลองคิดดูว่าเขาต้องใช้เวลาคิดเกี่ยวกับข้อนี้มากแค่ไหนและเขียนความคิดของเขาลงไป
การเขียนช่วยให้คุณเรียบเรียงความคิดของคุณ
เมื่อเรากําลังศึกษา เราต้องการคว้าเอาทุกความคิดที่เข้ามาในหัวของเราไว้โดยการเขียนลงไป ความคิดที่บันทึกไว้ของเรากลายเป็นวัตถุดิบที่เราใช้ในการแต่งคําเทศนาของเรา หลังจากนั้น เราก็จะเรียบเรียงความคิดเหล่านี้ที่บันทึกไว้และเอาไปใส่ในคําเทศนา กระบวนการเขียนคําเทศนาจะบังคับให้เราคิดถึงข้อเท็จจริงเหล่านั้นนานพอที่จะเรียบเรียงให้เป็นลำดับที่เหมาะสม การเขียนคําเทศนาทุกคำต้องการและช่วยให้เราสามารถจัดเรียบเรียงความคิดของเราได้
การเขียนช่วยเก็บรักษาบันทึกสิ่งที่พระเจ้ากำลังสอนคุณไว้อย่างถาวร
สดุดี 137:4-6 เตือนผู้อ่านให้ระลึกถึงพระพรของพระเจ้า
เราจะร้องเพลงของพระยาห์เวห์ได้อย่างไร? ที่ในแผ่นดินต่างด้าว เยรูซาเล็มเอ๋ย ถ้าข้าลืมเธอ ก็ขอให้มือขวาของข้าลืมฝีมือเสีย ขอให้ลิ้นเกาะติดเพดานปาก ถ้าข้าไม่ระลึกถึงเธอ ถ้าข้ามิได้ตั้งเยรูซาเล็มไว้เหนือความยินดีสูงสุดของข้า
พระเจ้าไม่ทรงต้องการให้เราลืมพระพรที่พระองค์ประทานแก่เรา ไม่มีใครมีความทรงจําที่สมบูรณ์แบบ อย่างไรก็ตามถ้าเราเขียนสิ่งต่าง ๆ ไว้ เราจะมีบันทึกถึงสิ่งที่พระเจ้าทรงสอนเราผ่านการศึกษาพระวจนะของพระองค์
เมื่อพระเจ้าทรงแสวงหาวิธีที่จะเก็บรักษาความจริงจากรุ่นหนึ่งไปยังอีกรุ่นหนึ่ง พระองค์ทรงเลือกที่จะบันทึกไว้ในหนังสือ ศาลได้บันทึกสิ่งต่าง ๆ ที่เป็นความเห็นของศาลเก็บไว้เป็นลายลักษณ์อักษร แพทย์บันทึกการวินิจฉัยโรคของผู้ป่วยไว้ สถาปนิกเขียนแบบอาคารและโครงสร้างอื่น ๆ ของเขาไว้ แต่กลับเป็นเรื่องผิดปกติหรือที่จะคาดหวังให้นักเทศน์เขียนบันทึกสิ่งที่พระเจ้าทรงประทานให้พวกเขา เพื่อให้พวกเขาสามารถเข้าถึงความจริงเดียวกันนี้ได้ในอนาคต?
การเขียนให้เครื่องมือที่มีประโยชน์ในการช่วยเหลือคนอื่น
จะมีคนเจ็บที่ต้องการความช่วยเหลือจากคุณเสมอ หากคุณซื่อสัตย์ที่จะเขียนบทเรียนที่พระเจ้าทรงสอนคุณ เนื้อหานี้จะมีประโยชน์อย่างน้อยสามประการ
1. คุณสามารถรื้อฟื้นความทรงจําของคุณเองเกี่ยวกับสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสอนคุณ
2. คุณอาจต้องการแบ่งปันคําเทศนาของคุณโดยทําสําเนาให้คนอื่น บ่อยครั้งที่ผู้คนถามผู้เขียนหลักสูตรให้ช่วยทำสำเนาคำเทศนาที่เขาเพิ่งเทศน์ไป เขาเคยแจกคําเทศนาที่เป็นลายลักษณ์อักษรให้กับผู้คนหลายร้อยคน เขาได้รับรายงานด้านบวกมากมายจากผู้ที่ได้รับความช่วยเหลือจากหนึ่งในคําเทศนาทั้งหลาย
3. การเขียนมีประโยชน์สําหรับคําเทศนา บทความ หรือหนังสือในอนาคต หนังสือเกือบทุกเล่มเริ่มต้นด้วยบันทึกเบ็ดเตล็ด มีไม่กี่คนที่ทุ่มเทนั่งลงและเขียนหนังสือรวดเดียวตั้งแต่ต้นจนจบ การรวบรวมบันทึกคำเทศนาของคุณอาจเป็นจุดเริ่มต้นของงานที่กว้างใหญ่กว่า
Previous
Next