กลัวการพูดในที่สาธารณะ
สิ่งที่น่ากลัวที่สุดสำหรับหลายคนคือกลัวที่จะพูดต่อหน้าสาธารณะ มีทหารหลายคนไม่กลัวที่จะเสี่ยงชีวิตในสนามรบ แต่กลัวที่จะพูดเพียงสองสามคำต่อหน้ากลุ่มคน 15 คนหรือ 20 คน
วิธีที่ดีที่สุดในการรักษาความกลัวในการพูดในที่สาธารณะคือประสบการณ์ ยิ่งพูดต่อหน้าสาธารณะมากเท่าไร ก็จะยิ่งไม่อึดอัดในการพูดในที่สาธารณะมากเท่านั้น เมื่อนักพูดต่อหน้าสาธารณะที่มีชื่อเสียงได้รับคำชมในเรื่องทักษะการพูดของเขา เขาก็ยิ้มแล้วบอกว่า “ผมต้องฝึกฝนอย่างมาก” ประสบการณ์เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับการเป็นนักพูดต่อหน้าสาธารณะโดยไม่อึดอัด
ขาดการเตรียมตัวที่เพียงพอ
เราเคยพูดถึงเรื่องความสำคัญของการเตรียมตัวมาแล้ว สาเหตุใหญ่ที่สุดอันหนึ่งที่ทำให้การพูดในที่สาธารณะไม่ประสบความสำเร็จคือขาดการเตรียมตัวที่เพียงพอ ปัญหาทั่วไปที่มักเกิดกับนักพูดในเรื่องการเตรียมตัวมีอะไรบ้าง?
อรัมภบทไม่ดี ถ้าผู้พูดเริ่มต้นได้ไม่ดี การนำเสนอของเขาก็จะไม่ไปได้ดวยดี
บทสรุปไม่ดี บทสรุปที่ดีก็สำคัญเช่นเดียวกับอรัมภบทที่ดี นี่เป็นสิ่งสุดท้ายที่ผู้ฟังจะได้ฟัง พวกเขาจะจดจำบทสรุปไว้
ตัวอย่างที่ไม่ดี ส่วนที่สำคัญที่สุดส่วนหนึ่งของการนำเสนอต่อหน้าสาธารณะใดๆ ก็ตามคือการใช้ตัวอย่างที่ช่วยให้ผู้ฟังเข้าใจข้อความ
การจัดเรียงขั้นตอนที่ไม่ดี การสื่อสารที่ดีถูกจัดเรียงอย่างเป็นขั้นเป็นตอน ผู้พูดที่จัดเรียงขั้นตอนไม่ดีอาจพูดสิ่งดีๆ หลายอย่าง แต่ผู้ฟังอาจไม่เข้าใจข้อความหลักของเขา
เหล่านี้คือประเด็นเกี่ยวกับการเตรียมตัว เมื่อเราก้าวขึ้นไปบนโพเดี่ยมเราอาจจะประหม่าอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ เราอาจควบควบคุมสภาพแวดล้อมที่เราพูดไม่ได้ แต่อย่างไรก็ตาม เราสามารถทำบางอย่างได้เกี่ยวการอรัมภบทที่ดีและบทสรุปที่ดี เราสามารถควบคุมตัวอย่างต่างๆ ในการนำเสนอของเรา และเราสามารถควบคุมการจัดเรียงขั้นตอนของการนำเสนอของเรา สิ่งเหล่านี้เป็นส่วนสำคัญของการเตรียมตัว
ไม่มีอะไรมาแทนที่การเตรียมตัวที่ดีได้ การเตรียมตัวไม่ดีในการพูดในที่สาธารณะแสดงถึงความไม่เป็นมืออาชีพ
ไม่ไวต่อผู้ฟัง
การพูดในที่สาธารณะเป็นมากยิ่งกว่าการสื่อสารทิศทางเดียวจากผู้พูดไปยังผู้ฟัง นักพูดต่อหน้าสาธารณะที่ดีมักสังเกตการตอบสนองจากผู้ฟังของเขาอยู่เสมอ วิธีที่ดีที่สุดที่จะสังเกตคือการสบตากับผู้ฟัง นักพูดต่อหน้าสาธารณะสามารถสบตากับผู้ฟังของเขาได้ไม่ว่าผู้พูดจะประสบความสำเร็จในการสื่อสารหรือไม่ก็ตาม เมื่อผู้พูดเริ่มรู้ว่าผู้ฟังไม่ค่อยตั้งใจฟังแล้ว ผู้พูดจะต้องทำอะไรก็ได้ที่ต้องทำเพื่อดังความสนใจของผู้ฟังกลับมา ผู้พูดสามารถทำบางสิ่งได้ดังต่อไปนี้:
หยุดพูดและรอสักครู่ ช่วงที่เงียบจะดึงความสนใจของผู้ฟัง
เล่าสักหนึ่งเรื่อง เรื่องเล่าจะช่วยดึงความสนใจกลับมา บางครั้งคุณอาจต้องเล่าบางเรื่องเร็วกว่าลำดับที่คุณจัดไว้
ยกข้อเท็จจริงหรือสถิติที่น่าทึ่งสักเรื่องหนึ่ง
เล่าเรื่องที่ขบขัน
พูดถึงการนำเอาไปใช้จริงในชีวิตประจำวันในหัวเรื่องของคุณ
ใช้วัตถุสิ่งของมาแสดงหรือเขียนบนกระดาน
ถามตอบกับบางคนในกลุ่มผู้ฟัง
ถ้าผู้ฟังง่วงนอน ก็ให้ยืนขึ้นแล้วบิดตัว ยืดหยุ่น
ถ้าผู้ฟังง่วงนอน ให้พวกเขาร้องเพลงในข้อร้องรับหรือใช้เพลงสั้นๆ
ผู้พูดจะต้องระวังสิ่งที่จะเข้ามารบกวนความสนใจอยู่เสมอ ถ้ามีคนหนึ่งเดินเข้ามาในชั้นเรียน หรือถ้ามีการส่งเสียงโวยวายนอกชั้นเรียน ให้หยุดพูดก่อนจนกว่าเสียงรบกวนเหล่าจะหยุดไป เมื่อผู้ฟัง 50% หันไปมองคนที่กำลังเข้าห้องสาย คุณจะต้องหยุดรอก่อน
เมื่อมีสิ่งรบกวนในชั้นเรียน บางครั้งการพูดในเชิงตลกก็พอช่วยได้ คุณอาจพูดว่า “ผมจะรอสักหนึ่งนาทีเพื่อให้ทุกคนได้เห็นว่าใครกำลังเดินเข้ามาเพราะเขาน่าสนใจมากกว่าผม ผมเป็นผู้สอน และผู้สอนรู้ว่าการที่จะดึงดันสอนต่อไปเมื่อมีสิ่งรบกวนเข้ามาจะไม่เป็นประโยชน์ หลังจากที่ทุกคนได้เห็นแล้วว่าเป็นใคร ผมก็จะได้สอนต่อ” โดยปกติแล้วผู้ฟังก็จะพากันหัวเราะและหันกลับมาสนใจที่คุณ
ดึงความสนใจผู้ฟังของคุณ
ดูแอน ลิตฟิน ได้บอกวิธีดึงความสนใจผู้ฟังของคุณไว้ 10 ประการ[1]
(1) ทำให้ประหลาดใจ ความสนใจของเราจะถูกดึงไปสิ่งที่แตกต่างจากที่เราคาดหวังไว้
เมื่อผู้เชี่ยวชาญเรื่องธรรมบัญญัติของโมเสสถามพระเยซูว่า “ท่านอาจารย์ ข้าพเจ้าจะต้องทำอะไรเพื่อจะได้รับชีวิตนิรันดร์?” พระเยซูทรงตอบด้วยเรื่องราวที่ทำให้ประหลาดใจในตอนท้าย เรื่องชาวสะมาเรียใจดีที่มีชาวสะมาเรียที่ถูกดูแคลนเป็นพระเอกในเรื่องนี้ (ลูกา 10:25-37) เรื่องนี้ดึงความสนใจบรรดาผู้ฟังของพระเยซู
(2) การเคลื่อนไหวหรือกิจกรรม เมื่อทุกอย่างหยุดนิ่ง การเคลื่อนไหวจะดึงความสนใจของเรา เช่นเดียวกัน เมื่อทุกอย่างเคลื่อนไหว อะไรที่หยุดนิ่งมักจะโดดเด่น ความแตกต่างเป็นสิ่งที่ดึงความสนใจของเรา
เพื่อแสดงถึงความไม่พอใจในความไม่ยุติธรรมของบรรดาพวกผู้นำทางศาสนาในพระวิหาร
พระเยซูเสด็จเข้าไปในบริเวณพระวิหารของพระเจ้า ทรงขับไล่พวกซื้อขายในบริเวณพระวิหารนั้น ทรงคว่ำโต๊ะคนรับแลกเงิน และทรงคว่ำม้านั่งของคนขายนกพิราบ (มัทธิว 21:12)
คุณคิดว่าพระเยซูได้ดึงความสนใจของผู้คนในพระวิหารไหม?
(3) สิ่งใกล้ตัว เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบันหรือสิ่งที่เกิดขึ้นใกล้ตัวเราจะดึงความสนใจของเรา
ในขณะที่พระเยซูทรงสอนอยู่
ขณะนั้นบางคนซึ่งอยู่ที่นั่นเล่าเรื่องชาวกาลิลีที่ปีลาตเอาเลือดและเครื่องบูชาของพวกเขามาคละเคล้าด้วยกันให้พระเยซูทรงฟัง
พระเยซูทรงตอบสนองด้วยการสอนบทเรียนจากเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน และอีกโศกนาฎกรรมที่เกิดขึ้นที่สระสิโลอัม (ลูกา 13:1-5) พระองค์ทรงรู้ว่าเหตุการณ์ปัจจุบันดึงความสนใจของบรรดาผู้ฟัง
(4) สิ่งที่มองเห็นได้ บางสิ่งพิเศษที่เรามองเห็นได้ก็มักดึงความสนใจของเราได้ดีกว่านามธรรม สิ่งทั่วไป หรือสิ่งธรรมดา ด้วยเหตุนี้ตัวอย่างต่างๆ จึงสำคัญ เมื่อพระเยซูทรงสอน พระองค์ทรงชี้ถึงบางสิ่งเพื่อเป็นตัวอย่างในการสอนของพระองค์
“ก็เปรียบเหมือนเมล็ดมัสตาร์ดเมล็ดหนึ่ง” (มาระโก 4:31).
“จงเอาเงินเดนาริอันเหรียญหนึ่งมาให้เราดู” (ลูกา 20:24).
“จงดูต้นมะเดื่อ” (ลูกา 21:29).
(5) สิ่งที่คุ้นเคย ในสภาพแวดล้อมที่มีสิ่งต่างๆ ที่เราไม่คุ้นเคย ไม่รู้จัก ถ้ามีอะไรที่เราคุ้นเคยก็มักจะโดดเด่นต่อเราเสมอ
การสอนบทเรียนเรื่องการตอบสนองต่อพระวจนะของพระเจ้า พระเยซูได้ทรงชี้ถึงฉากที่คุ้นเคยในโลกของพระองค์ เป็นเรื่องผู้หว่านพืชที่ออกไปหว่านพืชในทุ่งนา “นี่แน่ะ มีผู้หว่านคนหนึ่งออกไปหว่านพืช” (มัทธิว 13:3)
(6) ความขัดแย้ง ในบรรยากาศแห่งความสงบและเป็นหนึ่งใจเดียวกัน สิ่งที่ขัดแย้งกันระหว่างสองสิ่งหรือมากกว่านั้นมักจะดึงความสนใจของเรา
พระเยซูมักเน้นข้อแตกต่าง (ความขัดแย้ง) ระหว่างคำสอนของพระองค์กับคำสอนของพวกฟาริสีและผู้นำศาสนาคนอื่นๆ อยู่บ่อยๆ เรื่องแบบนี้เป็นสิ่งที่ดึงความสนใจของผู้คน “เมื่อฝูงชนได้ยินก็อัศจรรย์ใจด้วยคำสั่งสอนของพระองค์” (มัทธิว 22:33)
(7) ความระทึกน่าติดตาม เมื่อเรารู้ภาพรวมทั้งหมดแล้วแต่ยังขาดบางจุดที่สำคัญ เราก็สนใจสิ่งที่ขาดหายไป อยากจะรู้ว่ามันจะจบอย่างไร
เมื่อพวกผู้นำศาสนาตำหนิพระเยซูเรื่องการกินอาหารกับคนบาป พระองค์ทรงเริ่มเล่าเรื่องหนึ่ง พระองค์ทรงเล่าเรื่องบุตรชายที่เคยหนีออกจากบ้านแล้วตัดสินใจที่จะกลับบ้าน (ลูกา 15:11-32) ผู้คนที่กำลังฟังก็คอยฟังอยากรู้ว่า จะเกิดอะไรขึ้นกับบุตรชายคนนี้? คุณพ่อจะยอมรับเขาได้ไหม? แล้วชาวบ้านจะไล่เขาไปไหมเพราะเขาสร้างเรื่องน่าอับอายให้ชาวบ้าน? แล้วจะเกิดอะไรขึ้นกับบุตรชายที่กบฏนี้? พระเยซูทรงทราบวิธีที่จะสร้างความระทึกน่าติดตาม
(8) ความเข้มข้น เมื่อมีบางสิ่งที่โดดเด่นเพราะเข้มข้นกว่าสิ่งต่างที่อยู่รอบข้าง เราก็มักจะสนใจสิ่งนั้น
ผู้คนที่ฟังพระเยซูสอนจะสัมผัสถึงสิทธิและอำนาจในคำสอนของพระองค์อยู่เสมอ ความเข้มข้นของคำสอนของพระองค์ทำให้ผู้ฟังประหลาดใจ “คนทั้งหลายก็อัศจรรย์ใจด้วยคำสอนของพระองค์ เพราะว่าพระองค์ทรงสั่งสอนพวกเขาด้วยสิทธิอำนาจ ไม่เหมือนพวกธรรมาจารย์” (มาะโก 1:22)
(9) อารมณ์ขัน จุดสำคัญของอารมณ์ขันส่วนใหญ่คือบางสิ่งหรือบางแห่งที่ไม่ได้เป็นไปตามที่ควรจะเป็น อารมณ์ขันมักจะดึงความสนใจของเราได้อยู่เสมอ
ผู้ฟังของพระเยซูคงพากันหัวเราะเมื่อพระองค์ตรัสว่า “ทำไมท่านมองเห็นผงในตาพี่น้องของท่าน แต่กลับมองไม่เห็นไม้ทั้งท่อนที่อยู่ในตาของท่าน?” (มัทธิว 7:3)
(10) เกี่ยวข้องกับชีวิตประจำวัน สิ่งที่เกี่ยวข้องกับความต้องการพื้นฐานหรืออารมณ์ที่เราประสบในทุกวันมักจะดึงความสนใจของเรา
เมื่อพระเยซูทรงเทศนาสั่งสอนให้คนผู้คนทั่วไปที่มีเงินเพียงเล็กน้อย พระองค์ทรงสอนเกี่ยวกับเรื่องที่จำเป็นต่อชีวิตประจำวันของพวกเขา
“เพราะเหตุนี้ เราบอกท่านทั้งหลายว่า อย่ากระวนกระวายถึงชีวิตของตนว่าจะเอาอะไรกิน หรือจะเอาอะไรดื่ม... ท่านกระวนกระวายถึงเครื่องนุ่งห่มทำไม?... เหตุฉะนั้นอย่ากระวนกระวายและกล่าวว่าจะเอาอะไรกิน? หรือจะเอาอะไรดื่ม? หรือจะเอาอะไรนุ่งห่ม?... แต่พวกท่านจงแสวงหาแผ่นดินของพระเจ้า และความชอบธรรมของพระองค์ก่อน แล้วพระองค์จะทรงเพิ่มเติมสิ่งทั้งปวงนี้ให้ (มัทธิว 6:25, 28, 31, 33).
พระเยซูทรงตรัสถึงความจำเป็นพื้นฐานของชีวิต
ไม่ได้เน้นหัวข้อหลัก
การไม่ได้เน้นหัวข้อหลักเป็นหนึ่งในปัญหาทั้งสองที่สำคัญที่สุดในคำเทศนาและการพูดในที่สาธารณะ ลองฟังการพูดคุยกันหลังบ่ายวันอาทิตย์:
โธมัส: “เธอชอบการประชุมตอนเช้าไหม?”
ซาราห์: “ชอบสิ ดีมากเลย”
โธมัส: “คำเทศนาดีไหม?”
ซาราห์: “ดีมากเลย!”
โธมัส: “อาจารย์เทศน์เรื่องอะไรนะ?”
ซาราห์: “เออ... อาจารย์พูดเรื่องความบาป เรื่องสวรรค์ เรื่องรถเสียที่อาจารย์เจอเมื่อวานนี้ อาจารย์พูดหลายเรื่องดีๆ ทั้งนั้นแหละ”
ศิษยาภิบาลพูดเรื่องดีๆ หลายเรื่อง แต่ไม่มีการรวบสรุปเนื้อหาในคำเทศนา นี่เป็นสิ่งที่ทำร้ายความสามารถของศิษยาภิบาลในการสื่อสารข้อความอันทรงพลานุภาพ เมื่อผู้ฟังกลับบ้าน พวกเขากลับจำหัวข้อหลักของคำเทศนาไม่ได้ เมื่อผู้คนกลับจากฟังเทศนาหรือการพูดในที่สาธารณะ เขาควรสรุปสิ่งที่ได้พูดไปแล้วอย่างสั้นๆ ได้ ถ้าผู้ฟังส่วนใหญ่ไม่สามารถสรุปได้ ก็แสดงว่าผู้พูดไม่ประสบความสำเร็จอย่างแท้จริง
หลังจากที่ผู้พูดได้สร้างหัวข้อหลักของการนำเสนอของเขา เขาต้องสร้างโครงร่างและตัวอย่าง และการนำเอาไปใช้จริงที่สามารถดึงความสนใจผู้ฟังให้อยู่ในหัวข้อหลักได้ หัวข้อหลักของนักเทศน์หรือจุดประสงค์ของผู้สอนจะทำให้มีเป้าหมายสำหรับคำเทศนาหรือบทเรียนทั้งหมดได้
การดำเนินเรื่องจากสิ่งที่รู้ไปจนถึงสิ่งที่ไม่รู้เป็นเรื่องที่สำคัญ นักพูดต่อหน้าสาธารณะควรเริ่มโดยการพูดถึงสิ่งที่ผู้ฟังรู้จักก่อนที่จะเข้าไปสู่เรื่องที่ไม่เคยรู้จัก นักพูดที่ดีจะเริ่มจากบางสิ่งที่ผู้ฟังคุ้นเคยแล้วค่อยเข้าไปสู่เนื้อหาใหม่ๆ นี่เป็นการพาผู้ฟังมุ่งหน้าไปสู่หัวข้อหลักของการพูด
ไม่มีตัวอย่างที่ดี
เหตุผลที่สองของคำเทศนาที่ไม่ดีคือการไม่มีตัวอย่างที่ดี ไม่ใช่ทุกคนที่จะเล่าเรื่องได้เก่ง อย่างไรก็ตาม ถ้าคุณไม่สามารถหาและนำเสนอเรื่องเล่าหรือตัวอย่างที่น่าสนใจได้ คุณจะเป็นนักพูดต่อหน้าสาธารณะที่มีประสิทธิภาพไม่ได้
นักพูดต่อหน้าสาธารณะจะต้องมองหาตัวอย่างที่ดีอยู่เสมอ และจะต้องหาวิธีที่จะจัดเก็บเรื่องราวเหล่านั้นให้เป็นระบบเพื่อจะเอาไปใช้ในอนาคตได้ การหาและการปรับเอาตัวอย่างมาใช้จะใช้ความพยายามมากกว่าอะไรก็ได้ ในบทที่ 4 เราจะเรียนรู้วิธีที่จะสร้างตัวอย่างที่ดีสำหรับคำเทศนา
[1] ดัดแปลงจาก Duane Litfin,
Public Speaking, 2nd Edition (Grand Rapids: Baker Book House, 1996), 47. ให้ดูหน้าที่ 239.
Previous
Next