การสื่อสารเป็นส่วนหนึ่งของพระฉายาของพระเจ้าในมนุษย์
เมื่อพระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ พระองค์ตรัสว่า “ให้เราสร้างมนุษย์ตามฉายาของเรา ตามอย่างของเรา” (ปฐมกาล 1:26) เราไม่เข้าใจมุมมองทั้งหมดของพระฉายาของพระเจ้าที่อยู่ในมนุษย์ แต่ส่วนหนึ่งของฉายานี้ดูเหมือนจะเป็นความสามารถในการสื่อสาร
วัตถุที่เคลื่อนไหวไม่ได้จะไม่มีความสามารถในการสื่อสาร ลมที่พัดไปมาและแม่น้ำที่ไหลไปทำให้เกิดเสียง แต่เสียงนั้นไม่ได้ถือว่าเป็นการสื่อสาร การสื่อสารต้องใช้สติปัญญา และวัตถุที่เคลื่อนไหวไม่ได้ไม่มีสติปัญญา
สัตว์ต่างๆ มีความสามารถในการสื่อสารที่จำกัด พวกมันสามารถส่งเสียงเตือนถึงอันตรายที่จะมาถึงพวกมันได้ พวกมันสามารถสื่อสารเพื่อบอกว่ามีอาหารที่นี่ได้ อย่างไรก็ตาม พวกมันไม่สามารถสื่อสารอย่างละเอียดเหมือนมนุษย์ได้
การสื่อสารเป็นส่วนที่สำคัญของมนุษย์เรา งานประจำวันส่วนใหญ่ของเราก็ผ่านการสื่อสาร เราส่งผ่านสติปัญญาจากคนยุคหนึ่งไปอีกยุคหนึ่งก็โดยการสื่อสาร เราสร้างความบันเทิงให้ตนเองก็โดยผ่านการสื่อสาร
เราตักเตือนคนอื่นผ่านการสื่อสาร นาธานได้ตักเตือนกษัตริย์ดาวิดด้วยเรื่องราว เปาโลตักเตือนชาวกาลาเทียด้วยจดหมาย เรา เราชมเชยคนอื่นผ่านการสื่อสาร จดหมายของเปาโลมักเริ่มต้นด้วยคำชมเชย การสื่อสารเป็นส่วนสำคัญของมนุษย์
พระเจ้าทรงห้ามไม่ให้เราใช้การสื่อสารในทางที่ผิด
เช่นเดียวกับมุมมองอื่นๆ ของพระฉายาของพระเจ้าที่อยู่ในมนุษย์ ความสามารถในการสื่อสารสามารถใช้ในทางที่ผิดได้ มารไม่สามารถสร้างใหม่ได้ มารได้แต่บิดเบือนสิ่งที่พระเจ้าได้ทรงสร้างไว้ ซาตานพยายามที่จะบิดเบือนความสามารถในการสื่อสารของเรา การโกหก การนินทา และการพูดใส่ร้าย เป็นการบิดเบือนการสื่อสาร
พระเจ้าทรงห้ามเราไม่ให้:
(1) โกหก
“ดังนั้นจงละทิ้งความเท็จ ให้พวกท่านแต่ละคนพูดความจริงกับเพื่อนบ้านของตน เพราะเราต่างเป็นอวัยวะของกันและกัน (เอเฟซัส 4:25)
“อย่าพูดโกหกต่อกันและกัน เพราะว่าท่านได้ปลดวิสัยมนุษย์เก่ากับพฤติกรรมของมนุษย์นั้นแล้ว” (โคโลสี 3:9)
“ก็จงระวังลิ้นของเจ้าจากความชั่ว และอย่าให้ริมฝีปากพูดล่อลวง” (สดุดี 34:13)
“เพราะฉะนั้น พวกท่านจงละทิ้งความชั่วทุกอย่าง และการล่อลวงทุกรูปแบบ ความไม่จริงใจ ความอิจฉาริษยา และการใส่ร้ายทุกชนิด” (1 เปโตร 2:1)
(2) กล่าวร้าย
“ห้ามเทียวขึ้นเทียวล่องคอยส่อเสียดท่ามกลางชนชาติของตน และห้ามปองร้ายต่อชีวิตของเพื่อนบ้าน เราคือยาห์เวห์” (เลวีนิติ 19:16)
“พี่น้องเอ๋ย อย่ากล่าวร้ายกันและกัน คนที่กล่าวร้ายพี่น้องหรือตัดสินพี่น้องของตน ก็กล่าวร้ายธรรมบัญญัติและตัดสินธรรมบัญญัติ ถ้าท่านตัดสินธรรมบัญญัติ ท่านก็ไม่ใช่ผู้ประพฤติตามธรรมบัญญัติ แต่เป็นผู้ตัดสิน” (ยากอบ 4:11)
(3) หมิ่นประมาท
“ห้ามด่าพระเจ้า หรือสาปแช่งผู้นำประชาชนของเจ้า” (อพยพ 22:28)
“เพราะเหตุนี้เราบอกพวกท่านว่า บาปและคำหมิ่นประมาททุกอย่างจะโปรดอภัยให้มนุษย์ได้ เว้นแต่คำหมิ่นประมาทพระวิญญาณบริสุทธิ์จะโปรดอภัยให้มนุษย์ไม่ได้” (มัทธิว 12:31)
(4) แช่งด่า หรือเหยียดหยาม
“จงอวยพรแก่คนที่เคี่ยวเข็ญท่าน จงอวยพร อย่าแช่งด่าเลย” (โรม 12:14)
“ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้กับคนในสมัยก่อนว่า ‘ห้ามฆ่าคน ถ้าใครฆ่าคน คนนั้นจะต้องถูกพิพากษา’ แต่เราบอกพวกท่านว่า ใครโกรธพี่น้องของตน คนนั้นจะต้องถูกพิพากษา ถ้าใครพูดกับพี่น้องอย่างเหยียดหยาม คนนั้นจะต้องถูกนำไปยังศาลสูงให้พิพากษา และถ้าใครพูดว่า ‘อ้ายโฉด’ คนนั้นจะมีโทษถึงไฟนรก” (มัทธิว 5:21-22)
หลักการของพระคัมภีร์สำหรับการสื่อสาร
พระคัมภีร์ได้ให้หลักการบางอย่างในการใช้ถ้อยคำของเราเพื่อให้เกิดผลดีและเลี่ยงผลร้าย
(1) อย่าพูดมากเกินไป
พูดมากคำย่อมทำบาปได้ แต่คนที่ยับยั้งปากของตนก็เป็นคนฉลาด (สุภาษิต 10:19)
แม้คนโง่หากนิ่งเสียก็นับว่ามีปัญญา เมื่อเขาปิดปากของตนก็นับว่ามีความคิด (สุภาษิต 17:28)
อย่าพูดมากเกินไป คนที่พูดมากเกินไปไม่ได้เห็นคุณค่าในคำพูดของตนเองหรือผู้อื่นอย่างเหมาะสม เขาพูดสิ่งต่างๆ ที่เขาไม่ได้จริงจังในสิ่งนั้น และเขาเหมาเอาว่าคนอื่นก็คงทำแบบเดียวกัน เขาออกความคิดเห็นโดยปราศจากความรู้ คุณไม่จำเป็นต้องออกความคิดเห็นในเรื่องที่คุณไม่รู้ ไม่ใช่ทุกความคิดเห็นจะมีค่าเท่ากัน
(2) อย่าพูดก่อนที่คุณจะคิด
พี่น้องที่รักของข้าพเจ้า จงเข้าใจในเรื่องนี้ คือให้ทุกคนไวในการฟัง ช้าในการพูด ช้าในการโกรธ (ยากอบ 1:19)
คนโง่ระบายความโกรธออกมาเต็มที่ แต่คนมีปัญญาย่อมยับยั้งไว้เงียบๆ (สุภาษิต 29:11)
อย่าปล่อยให้ความรู้สึกของคุณทำให้คุณพูดในสิ่งที่ทำให้คุณเสียใจในภายหลัง
(3) อย่าตัดสินตามที่ตามองเห็น
ถ้าคนตอบก่อนจะได้ยิน ก็เป็นความโง่และความขายหน้าแก่เขา (สุภาษิต 18:13)
คนที่ผ่านไปยุ่งเรื่องทะเลาะวิวาทซึ่งไม่ใช่เรื่องของตน ก็เหมือนคนดึงหูสุนัข (สุภาษิต 26:17)
การขัดแย้งหลายเรื่องเกิดจากความเข้าใจผิด การฟังอย่างรอบคอบมักจะช่วยแก้ปัญหาเหล่านี้ได้ ให้ช้าในการตัดสินสถานการณ์ ถ้าคนที่มีชื่อเสียงด้านความจริงใจสักคนหนึ่งพูดบางสิ่งที่ขัดหูคุณ อย่ารีบที่จะตัดสินเขา
ให้เลี่ยงการขัดแย้งที่ไม่ใช่ความรับผิดชอบของคุณ คุณอาจมีข้อมูลไม่เพียงพอที่จะตัดสินใจอย่างชาญฉลาดได้
(4) ให้ระวังในการพูดเล่น
คนบ้าขว้างดุ้นไฟ ลูกธนู และความตายฉันใด คนที่ล่อลวงเพื่อนบ้านของตนและกล่าวว่า “ข้าล้อเล่น” ก็ฉันนั้น (สุภาษิต 26:18-19)
เป็นเพราะผลกระทบจากคำพูดของเรา การพูดเล่นที่เลยเถิดเป็นเหมือนอาวุธในมือของคนโง่ อย่าทำให้คนอื่นทำผิดพลาดเพราะการพูดเล่นของคุณ อย่าบอกพวกเขาว่าจริงๆ ในเมื่อมันไม่ใช่ พวกเขาจะไม่เชื่อคุณอีกต่อไป
อย่าล้อเลียนความพิการด้านร่างกาย อย่าเอาความล้มเหลวของบางคนมาเป็นเรื่องตลก อย่างเล่าเรื่องตลกที่ทำให้ความบาปเป็นเหมือนเรื่องเล็กน้อย
(5) ให้ระวังในการตักเตือน
ว่ากันต่อหน้า ดีกว่ารักกันลับๆ บาดแผลที่มิตรทำก็ด้วยเจตนาดี... (สุภาษิต 27:5-6a)
มีเวลาที่เหมาะสมและวิธีที่เหมาะสมที่จะตักเตือนสักคนหนึ่ง ให้มั่นใจว่าคุณตักเตือนเขาเพื่อที่จะเสริมสร้างเขา ไม่ใช่เพื่อทำลายเขา ให้มั่นใจว่าคุณได้ตักเตือนเป็นส่วนตัว ไม่ทำต่อหน้าคนอื่น แสดงให้เห็นว่าคุณเป็นห่วงคนที่คุณกำลังตักเตือนอยู่ และคุณอยากจะช่วยเขา ความสัมพันธ์ที่ดีเป็นเรื่องสำคัญก่อนที่เขาจะยอมรับการตักเตือนของคุณ
(6) รักษาคำพูดของคุณให้บริสุทธิ์
และการพูดลามก การพูดเล่นไม่เป็นเรื่อง หรือการพูดหยาบโลน ก็เป็นสิ่งที่ไม่เหมาะสม แต่จงขอบพระคุณดีกว่า (เอเฟซัส 5:4)
อย่าเล่าเรื่องอื้อฉาวนอกเสียจากว่าเป็นความรับผิดชอบของคุณที่จะจัดการกับสถานการณ์นั้น อย่าเล่าเรื่องตลกที่พูดกันในที่ลับ บรรดาผู้ไม่เชื่อมักใช้คำลามกหรือคำใช้เรียกอวัยวะในร่มผ้าเป็นคำอุทานของพวกเขา แต่นั่นเป็นเรื่องไม่เหมาะสมสำหรับคริสเตียน การใช้คำที่พูดที่อ้างถึงพระเจ้าหรือพระเยซูเป็นคำอุทานเพราะความเครียดเป็นเรื่องที่รับไม่ได้ นอกเสียจากว่าคุณร้องเรียกขอความช่วยเหลือจากพระเจ้าด้วยความจริงใจ
(7) อย่าพูดแล้วสร้างความแตกแยก
คนตลบตะแลงแพร่การวิวาท และผู้ซุบซิบนินทาก็แยกเพื่อนสนิทออกจากกัน (สุภาษิต 16:28)
เพราะขาดฟืน ไฟก็ดับ และที่ไหนไม่มีคนซุบซิบนินทา การทะเลาะวิวาทก็หยุดไป (สุภาษิต 26:20)
อย่าพยายามทำให้คุณเองดูกว่าจากการเหยียบหัวคนอื่น อย่าทำให้คนอื่นแตกแยกกัน อย่าทำร้ายการเกิดผลในงานรับใช้ของบางคนโดยการพูดนินทาว่าร้ายเขา
ก่อนพูดอะไร อย่าถามตัวเองเพียงแค่ว่า “มันจริงไหม?” แต่ให้ถามด้วยว่า “ทำไมฉันควรจะพูด?”
มีค่ามากก็อันตรายมาก
ตำนานโบราณเรื่องหนึ่งได้เล่าถึงกษัตริย์องค์หนึ่งที่ได้ส่งข้าทาสบริวารออกไปหาสิ่งที่มีค่าที่สุดในอาณาจักร หลังจากค้นหาได้หลายสัปดาห์ บริวารก็ได้กลับมาและรายงานว่า “ข้าแต่กษัตริย์ สิ่งที่มีค่ามากที่สุดในอาณาจักรของพระองค์ก็คือลิ้น เพราะว่าลิ้น ทำให้คนมีปัญญาสามารถทำให้ผู้คนได้ตระหนักว่าทำตัวอย่างไรถึงมีปัญญา ทำให้คนชอบธรรมสามารถทำให้คนอื่นตระหนักว่าทำอย่างไรถึงจะถูกต้อง ลิ้นเป็นสิ่งที่มีค่ามากที่สุดในอาณาจักรของพระองค์พระเจ้าข้า”
แล้วกษัตริย์ก็ได้ส่งข้าทาสบริวารของพระองค์ออกไปหาสิ่งที่อันตรายมากที่สุดในอาณาจักร เพื่อจะได้กำจัดมันเสีย สองสามสัปดาห์ต่อมา บริวารก็ได้กลับมาและรายงานว่า “ข้าแต่กษัตริย์ สิ่งที่อันตรายมากที่สุดในอาณาจักรของพระองค์ก็คือลิ้น เพราะลิ้นนี้ ทำให้คนโง่สามารถชักชวนคนที่อยู่รอบข้างเขาให้ทำตัวโง่ได้ และทำให้คนชั่วสามารถชักชวนคนอื่นให้ทำชั่วได้ ลิ้นเป็นสิ่งอันตรายที่สุดในอาณาจักรของพระองค์ พระเจ้าข้า”
► ให้อ่าน สดุดี บทที่ 15 จากสดุดีบทนี้ ให้เขียนว่าเราสามารถสื่อสารได้ผิดวิธีมีกี่อย่าง
► ให้อ่าน ยากอบ 3:1-12 ให้อภิปรายถึงอำนาจของลิ้นทั้งในด้านดีและด้านชั่ว
การสื่อสารถูกใช้เพื่อสิ่งดีได้
ยากอบบอกว่า ของประทานที่ดีและและที่เลิศทุกอย่างนั้นมาจากพระเจ้า (ยากอบ 1:17) การสือสารเป็นของประทานอันหนึ่งของพระเจ้าที่ทรงประทานให้เรา เราสามารถทำสิ่งที่น่าทึ่งได้หลายอย่างด้วยของประทานนี้:
พระเจ้าได้ทรงเลือกที่จะใช้การสื่อสารของมนุษย์ในการขยายอาณาจักรของพระองค์
พระเยซูจึงเสด็จเข้ามาใกล้แล้วตรัสกับพวกเขาว่า “สิทธิอำนาจทั้งหมดในสวรรค์ก็ดี ในแผ่นดินโลกก็ดีทรงมอบไว้แก่เราแล้ว เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปและนำชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา จงบัพติศมาพวกเขาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ และสอนพวกเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดที่เราสั่งพวกท่านไว้ และนี่แน่ะ เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค” (มัทธิว 28:18-20)
เปาโลได้ให้คำแนะนำแก่ทิโมธีในการใช้การสื่อสารเพื่อสิ่งดี
“จงมอบคำสอนเหล่านั้นซึ่งท่านได้ยินจากข้าพเจ้าต่อหน้าพยานหลายๆ คนไว้กับบรรดาคนซื่อสัตย์ที่สามารถสอนคนอื่นได้ด้วย” (2 ทิโมธี 2:2)
“ส่วนผู้รับใช้ขององค์พระผู้เป็นเจ้าจะต้องไม่เป็นคนที่ชอบทะเลาะ แต่ต้องมีใจเมตตาต่อทุกคน เป็นอาจารย์ที่เหมาะสมและมีความอดทน” (2 ทิโมธี 2:24)
เราต้องรับผิดชอบต่อการสื่อสารของเรา
เราต้องรับผิดชอบต่อการสื่อสารกับพระเจ้า
พระเจ้าได้ทรงสร้างมนุษย์พร้อมด้วยความสามารถที่จะสื่อสารกับพระองค์ ข้อพระคัมภีร์ชี้ให้เห็นถึงหลายวิธีที่เราใช้สื่อสารกับพระเจ้าได้ในด้านบวก:
พูดกับพระเจ้า (ปฐมกาล 17:18, อพยพ 3:11, กันดารวิถี 22:10, ผู้วินิจฉัย 6:36)
อธิษฐานถึงพระเจ้า (ปฐมกาล 20:17, ลูกา 6:12, กิจการ 4:24, โรม 15:30)
ร้องเรียกต่อพระเจ้า (อพยพ 8:12, สดุดี 57:2, สดุดี 77:1)
ปฏิญาณตนต่อพระเจ้า (กันดารวิถี 21:2, กันดารวิถี 30:2; ปัญญาจารย์ 5:4)
วิงวอนต่อพระเจ้า (เฉลยธรรมบัญญัติ 15:9, โยบ 5:8, โรม 11:2)
ถวายเกียรติแด่พระเจ้า (โยชูวา 7:19, ยอห์น 9:24, โรม 4:20)
ร้องเพลงต่อพระเจ้า (ผู้วินิจฉัย 5:3, เนหะมีย์ 12:46, สดุดี 47:6-7, สดุดี 59:17, โคโลสี 3:16).
ร้องเรียกหาพระเจ้า (สดุดี 4:1, สดุดี 55:16).
ถวายสรรเสริญแด่พระเจ้า (สดุดี 66:20, ลูกา 5:26, ลูกา 17:18).
ร้องทูลขอต่อพระเจ้า (ดาเนียล 9:20, ฟีลิปปี 4:6).
ถวายขอบพระคุณแด่พระเจ้า (ลูกา 2:38, กิจการ 27:35, โรม 14:6).
ข้อพระคัมภีร์ยังเตือนเราถึงการที่ผู้คนสื่อสารถึงพระเจ้าในด้านลบ:
หมิ่นประมาทพระเจ้า (อพยพ 22:28)
แช่งด่าพระเจ้า (โยบ 2:9)
โกหกต่อพระเจ้า (กิจการ 5:4)
เยาะเย้ยพระเจ้า (2 พงศ์กษัตริย์ 19:16)
เราต้องรับผิดชอบต่อการสื่อสารของเราต่อซึ่งกันและกัน
พระเจ้าไม่เพียงแต่สร้างเราเพื่อสื่อสารกับพระองค์เท่านั้น แต่กับคนอื่นด้วย เราสามารถสื่อสารได้ทั้งในทางบวกและทางลบ พระเจ้าทรงสั่งให้เราอวยพรแก่คนที่ข่มเหงเรา ให้อวยพรและไม่แช่งด่าพวกเขา (โรม 12:14) ให้มาดูวิธีที่เราสื่อการต่อกันและกันในทางบวก:
หนุนใจกันและกัน (1 เธละโลนิกา 5:11, ฮีบรู 3:13, ฮีบรู 10:25).
สั่งสอนกันและกัน (โคโลสี 3:16).
เตือนสติกันและกัน (โรม 15:14).
ทักทายกันและกัน (โรม 16:16, 1 โครินธ์ 16:20, 2 โครินธ์ 13:12).
ตักเตือนกันและกัน (โคโลสี 3:16).
เราได้รับการเตือนให้หลีกเลี่ยงการสื่อสารที่เกิดผลร้าย:
ห้ามหลอกลวงกันและกัน (เลวีนิติ 19:11, เอเฟซัส 4:25).
อย่าตัดสินกันและกัน (โรม 14:13).
อย่างใส่ร้ายกันและกัน (ยากอบ 4:11).
เราต้องรับผิดชอบที่จะสื่อสารพระกิตติคุณ
พระเยซูทรงมอบความรับผิดชอบในการประกาศพระกิตติคุณไปทั่วโลกให้แก่พวกสาวก คนของพระเจ้าควรจะสื่อสารพระกิตติคุณให้แก่คนที่ยังไม่เชื่อโดยการประกาศข่าวประเสริฐ วิธีการเบื้องต้นที่พระเจ้าทรงเลือกที่จะสื่อสารข่าวดีเรื่องพระเยซูคริสต์ไปถึงคนที่ยังไม่เชื่อก็โดยการสื่อสารทางการพูด พระเยซูได้บอกพวกสาวกว่า
เพราะฉะนั้น ท่านทั้งหลายจงออกไปและนำชนทุกชาติมาเป็นสาวกของเรา จงบัพติศมาพวกเขาในพระนามของพระบิดา พระบุตร และพระวิญญาณบริสุทธิ์ และสอนพวกเขาให้ถือรักษาสิ่งสารพัดที่เราสั่งพวกท่านไว้ และนี่แน่ะ เราจะอยู่กับท่านทั้งหลายเสมอไป จนกว่าจะสิ้นยุค” (มัทธิว 28:19-20)
Previous
Next