จุดประสงค์ของบทเรียน
เมื่อจบบทเรียนนี้ นักศึกษาควรจะ:
(1) เห็นคุณค่าความสําคัญของการเจิมด้วยพระวิญญาณในการเทศนา
(2) รู้ถึงความสําคัญของการเตรียมตัวให้พร้อมสําหรับการเทศนา
(3) เข้าใจบทบาทของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการเตรียมนักเทศน์และผู้ฟัง
Search through all lessons and sections in this course
Searching...
No results found
No matches for ""
Try different keywords or check your spelling
1 min read
by Randall McElwain
เมื่อจบบทเรียนนี้ นักศึกษาควรจะ:
(1) เห็นคุณค่าความสําคัญของการเจิมด้วยพระวิญญาณในการเทศนา
(2) รู้ถึงความสําคัญของการเตรียมตัวให้พร้อมสําหรับการเทศนา
(3) เข้าใจบทบาทของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการเตรียมนักเทศน์และผู้ฟัง
ในหลักสูตรนี้เราได้ศึกษาศิลปะการสื่อสาร[1] เราได้เรียนรู้วิธีเตรียมคําเทศนา เทคนิคสําหรับการสอนที่มีประสิทธิภาพ และมนุษยสัมพันธ์ และทักษะสําหรับการสื่อสารข้ามวัฒนธรรม และการฟังที่ดี เทคนิคทั้งหมดเหล่านี้มีความสําคัญสําหรับคนงานคริสเตียน ในฐานะผู้รับใช้คริสเตียน ครู หรือผู้นํา เราควรทำจนสุดกำลังของเราเพื่อสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ
อย่างไรก็ตามหลังจากที่เราทําทุกอย่างที่ทําได้แล้ว เราพึ่งพาพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการเจิมฝ่ายวิญญาณ ในบทเรียนสุดท้ายนี้ เราจะศึกษาบทบาทของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการเทศนา เราจะมุ่งเน้นไปที่การเทศนา แต่หลักการเหล่านี้ใช้กับการสอนและการสื่อสารคริสเตียนประเภทอื่นๆ ได้เช่นกัน
[1]ในฐานะผู้รับใช้ คุณมีความรับผิดชอบที่แตกต่างกันมากมาย แต่ไม่มีสิ่งใดสําคัญไปกว่าการทรงเรียกให้เทศนา พระเจ้าตรัสกับคนที่พระองค์ทรงมอบให้คุณดูแลโดยผ่านการเทศนา เพราะพันธกิจแห่งการเทศนามีความสําคัญมากซาตานจะทําทุกอย่างที่ทําได้เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจของคุณจากการเตรียมตัวที่มีประสิทธิภาพ หากคุณต้องการให้การทรงเรียกให้เทศนาสำเร็จอย่างมีประสิทธิภาพ คุณต้องใช้เวลาในการเตรียมการอย่างเพียงพอ การเตรียมนักเทศน์สําคัญกว่าการเตรียมคำเทศนา
นักเทศน์ต้องเตรียมตัวเองโดยการอธิษฐานส่วนตัว
สําหรับการเทศนาและการสอนที่มีประสิทธิภาพ เราต้องเข้าใจว่าก่อนที่เราจะพูดในที่สาธารณะกับผู้คนเราต้องพูดเป็นการส่วนตัวกับพระเจ้า ฤทธิ์เดชในการเทศนามาจากการทรงเจิมด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า การเตรียมของในการเทศนาของเราต้องรวมถึงเวลากับพระเจ้าด้วย
พระเยซูทรงเป็นแบบอย่างที่ดีเยี่ยมของความจริง ในพระกิตติคุณบอกว่าพระเยซูทรงใช้เวลาหลายคืนในการอธิษฐาน ก่อนการตัดสินใจครั้งสําคัญพระเยซูทรงใช้เวลาทั้งคืนในการอธิษฐาน (ลูกา 6:12-13) ถ้าพระบุตรที่ปราศจากบาปของพระเจ้าผู้ซึ่งอยู่ในความสนิทสนมกับพระบิดายังต้องอาศัยการอธิษฐาน เราก็ยิ่งต้องการการอธิษฐานมากยิ่งขึ้นเพื่อให้พันธกิจเกิดผล
โดยการอธิษฐานทำให้เราได้รับยุทธภัณฑ์ทั้งชุดของพระเจ้า (เอเฟซัส 6:13) เรามีความพร้อมในการทำพันธกิจให้เกิดผลโดยการอธิษฐาน การเตรียมตัวให้พร้อมในการทำพันธกิจจะต้องรวมไปถึงการอธิษฐานอย่างร้อนรนด้วย
นักเทศน์ต้องเตรียมตัวโดยความซื่อสัตย์ต่อตัวเอง
► อ่าน 1 ทิโมธีบทที่ 6 บทนี้สอนอะไรเกี่ยวกับลักษณะของศิษยาภิบาล?
พระเจ้าไม่ได้เจิมโปรแกรมหรือแผนงานแต่พระองค์ทรงเจิมผู้คน ตลอดในพระคัมภีร์เราจะเห็นว่าการเจิมของพระเจ้าตกอยู่เหนือคนที่มีใจพร้อมที่จะรับใช้ ฮักกัยพูดกับคนที่พยายามทํางานของพระเจ้า แต่ชีวิตไม่ได้ชื่อฟังพระบัญญัติของพระเจ้า พระเจ้าตรัสว่า "และสิ่งที่พวกเขาถวายบูชาที่นั่น ก็เป็นมลทิน" (ฮักกัย 2:14) การเทศนาที่ได้รับการเจิมด้วยพระวิญญาณมาจากนักเทศน์ที่ไม่ยอมประนีประนอมต่อความซื่อสัตย์ของพวกเขา
การรับใช้ของนักเทศน์หลายคนจบลงด้วยเรื่องอื้อฉาวเพราะการสูญเสียความซื่อสัตย์ต่อตัวเอง เรื่องอื้อฉาวทางการเงินและเรื่องเพศได้ทำให้ศิษยาภิบาลและผู้ประกาศมีชื่อเสียงหลายคนต้องยุติการรับใช้ บรรดาผู้รับใช้และผู้นําคนอื่นๆ หลีกเลี่ยงเรื่องอื้อฉาวต่อสาธารณะ แต่การรับใช้ของพวกเขาไม่เกิดผลเพราะบาปที่ซ่อนอยู่
เปาโลเขียนถึงทิโมธีศิษยาภิบาลหนุ่มที่เมืองเอเฟซัส ท่านบอกทิโมธีว่าเขาต้องรักษาความซื่อสัตย์ต่อตัวเองในฐานะผู้รับใช้ เปาโลได้ท้าทายให้ทิโมธีแสดงให้เห็นว่าเราต้องเป็นคนแบบไหนเพื่อจะเกิดผลในงานรับใช้พระเจ้า (1 ทิโมธี 6:3-11, 2 ทิโมธี 2:22)
เปาโลบอกทิโมธีให้หลีกหนี:
คำสอนเท็จ
ยโส
ทุ่มเถียงและโต้แย้ง
การรักเงินทอง
ตัณหาของคนหนุ่ม
เราต้องหลีกหนีบาปและสิ่งที่รบกวนที่เป็นอุปสรรคต่อพันธกิจ คริสตจักรต้องอับอายเพราะนักเทศน์ที่ทุ่มเถียงกัน ผิดศีลธรรม ไม่ซื่อสัตย์ต่อความจริง มีท่าทีที่ภูมิใจในตัวเอง หรือรักเงินทอง
เปาโลบอกทิโมธีให้ใฝ่หา:
ความชอบธรรม
ทางพระเจ้า
ความเชื่อ
ความรัก
ความทรหดอดทน
ความอ่อนสุภาพ
ความสงบสุข
เราต้องใฝ่หาคุณสมบัติภายในที่จะเตรียมเราให้พร้อมสําหรับพันธกิจ ให้สังเกตว่าคุณสมบัติที่เปาโลระบุไว้นั้นไม่ได้เน้นที่ภายนอกเป็นหลัก แต่เป็นคุณสมบัติของใจ หนึ่งในความท้าทายต่อความซื่อสัตย์ต่อตัวเองของผู้รับใช้คือเรามักจะมุ่งเน้นไปที่รูปลักษณ์ภายนอกแทนที่จะเป็นคุณสมบัติภายใน "เพราะพระยาห์เวห์ไม่ได้ทอดพระเนตรเหมือนที่มนุษย์ดู เพราะมนุษย์ดูที่รูปร่างภายนอก แต่พระยาห์เวห์ทอดพระเนตรจิตใจ" (1 ซามูเอล 16:7) ถ้าเราปรารถนาการทรงเจิมของพระวิญญาณ เราต้องมีใจที่พระเจ้าทรงอวยพรได้
เปาโลบอกทิโมธีว่าเขาต้องต่อสู้เพื่อความเชื่อ (1 ทิโมธี 6:12)
เปาโลเตือนชาวโครินธ์ถึงความสําคัญของพระกิตติคุณ นี่คือพระกิตติคุณที่นําเราไปสู่ความรอด
พี่น้องทั้งหลาย ข้าพเจ้าขอให้คำนึงถึงข่าวประเสริฐที่ข้าพเจ้าเคยประกาศแก่ท่านทั้งหลายนั้น พวกท่านได้รับไว้และได้ตั้งมั่นอยู่บนนั้นแล้ว และท่านจะได้รับความรอดโดยข่าวประเสริฐนั้นถ้าพวกท่านยังยึดมั่นในคำที่ข้าพเจ้าประกาศนั้น นอกจากว่าท่านเชื่อแบบไร้ผล (1 โครินธ์ 15:1-2).
ยูดาเรียกร้องให้นักเทศน์ต่อสู้เพื่อหลักความเชื่อที่ได้ทรงมอบให้กับพวกธรรมิกชนครั้งเดียวสำหรับตลอดไป (ยูดา 1:3) ผู้รับใช้ต้องไม่ยอมให้ประเด็นอื่นมาแทนที่แก่นแท้ของพระกิตติคุณในการเทศนาของเขา ไม่ว่าจะเป็นประเด็นทางการเมือง ประเด็นทางสังคม หรือข้อโต้แย้งเรื่องหลักคําสอน ซาตานจะดีใจที่ได้ดึงผู้รับใช้ออกจากการมุ่งเน้นไปที่เนื้อหาของพระกิตติคุณ ในฐานะผูรับใช้พระเจ้าคุณต้องต่อสู้เพื่อความเชื่อ พระกิตติคุณต้องเป็นศูนย์กลางของการเทศนาของคุณ
อะไรคือฤทธิ์เดชในการเทศนา?
“พระเจ้าทรงประทานฤทธิ์เดชแก่นักเทศน์ เพื่อนักเทศน์จะกลายเป็นช่องทางที่พระวิญญาณบริสุทธิ์
จะทรงทำงานผ่าน”
- ปรับสำนวนมาจาก
มาร์ติน ลอยด์ โจนส์
ในฐานะนักเทศน์ เราต้องพยายามอย่างเต็มที่เพื่อเตรียมพร้อมสำหรับพันธกิจ อย่างไรก็ตาม ในท้ายที่สุด เราพึ่งพาการทรงด้วยเจิมพระวิญญาณบริสุทธิ์เพื่อให้มีฤทธิ์เดชในการเทศนา
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงให้ความคิดของนักเทศน์กระจ่าง
► ให้อ่านข้อพระคัมภีร์ต่อไปนี้: สดุดี 119:18, 33, เอเฟซัส 1:16-18, 1 โครินธ์ 2:9-16. ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้สอนเราเรื่องการเข้าใจพระคัมภีร์ไว้อย่างไรบ้าง?
การเห็นกระจ่างนี้คือการที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเปิดความเข้าใจของเรา นี่เป็นสิ่งที่นอกเหนือจากผลการศึกษาข้อพระคัมภีร์ของเราแต่เป็นงานของพระเจ้า การที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ให้เราเห็นกระจ่างไม่ได้มาแทนที่ความจําเป็นในการศึกษาอย่างละเอียดถี่ถ้วน แต่มันไปไกลกว่าสิ่งที่เราสามารถหาได้จากการศึกษาเพียงอย่างเดียว นักเทศน์ทุกคนควรอธิษฐานเพื่อให้เห็นกระจ่าง
พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงประทานฤทธิ์เดชให้แก่คำเทศนา
เช่นเดียวกับที่พระเยซูทรงเป็นต้นแบบของความสําคัญในการอธิษฐานเพื่อเตรียมการเทศนา พระองค์ทรงเป็นต้นแบบของความสําคัญของพระวิญญาณบริสุทธิ์ในการทำพันธกิจ พระเยซูตรัสในการเทศนาครั้งแรกว่า
พระวิญญาณขององค์พระผู้เป็นเจ้า สถิตกับข้าพเจ้า เพราะว่าพระองค์ทรงเจิมตั้งข้าพเจ้าไว้ เพื่อนำข่าวดีมายังคนยากจน (ลูกา 4:18).
พระเยซูทรงแสดงให้เห็นว่ากุญแจการเกิดผลในการทำพันธกิจคือการทรงเจิมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์
พระเยซูทรงส่งพวกสาวกของพระองค์ไปประกาศสั่งสอนพระกิตติคุณทั่วโลก อย่างไรก็ตามก่อนที่พวกเขาจะพร้อมที่จะสั่งสอน พวกเขาต้องได้รับการทรงเจิมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พระเยซูจะไม่ทรงส่งพยานของพระองค์ไปในโลกจนกว่าพวกเขาจะได้รับฤทธิ์เดชจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
แต่พวกท่านจะได้รับพระราชทานฤทธานุภาพ เมื่อพระวิญญาณบริสุทธิ์เสด็จมาเหนือท่าน และท่านทั้งหลายจะเป็นสักขีพยานของเราในกรุงเยรูซาเล็ม ทั่วแคว้นยูเดีย ทั่วแคว้นสะมาเรีย และจนถึงที่สุดปลายแผ่นดินโลก” (กิจการ 1:8).
โดยการได้เห็นกระจ่างโดยพระวิญญาณเท่านั้นทำให้เราตีความพระคัมภีร์ได้อย่างถูกต้อง แล้วโดยฤทธิ์เดชของพระวิญญาเท่านั้นที่การเทศนาหรือการสอนของเราเข้าถึงจิตใจของผู้ฟัง โดยพระวิญญาณที่ทำให้พระวจนะของพระเจ้าแทงทะลุกระทั่งแยกจิตและวิญญาณ ทั้งข้อกระดูกและไขในกระดูก และสามารถวินิจฉัยความคิดและความมุ่งหมายในใจด้วย (ฮีบรู 4:12)
พระเยซูทรงประทานพระสัญญาที่ยอดเยี่ยมแก่พวกสาวกของพระองค์ ทรงเตรียมพวกเขาให้พร้อมที่จะเป็นพยานให้แก่ผู้ฟังต่อต้าน พระเยซูทรงสัญญาว่า "เพราะว่าผู้ที่พูดไม่ใช่ตัวท่านเอง แต่เป็นพระวิญญาณแห่งพระบิดาของพวกท่านผู้ตรัสผ่านท่าน" (มัทธิว 10:20) นี่ไม่ได้หมายความว่าการศึกษาและการเตรียมตัวไม่สําคัญ พระเยซูไม่ได้บอกให้เราหลีกเลี่ยงการศึกษาเรียนรู้ แต่พระองค์ทรงรับรองว่าเราจะพูดด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์
เปาโลเป็นพยานถึงฤทธิ์เดชนี้เมื่อท่านกล่าวว่า "คำพูดและคำเทศนาของข้าพเจ้าไม่ใช่เป็นการพูดชักชวนด้วยปัญญาแต่เป็นการสำแดงพระวิญญาณและฤทธานุภาพ" (1 โครินธ์ 2:4) เปาโลศึกษาอย่างขยันขันแข็ง เปาโลเป็นนักวิชาการที่ยอดเยี่ยม แต่ท่านรู้ว่าฤทธานุภาพสูงสุดในการเทศนามาจากพระวิญญาณ ไม่ใช่จากความพยายามของมนุษย์
การเป็นครูและนักเทศน์แห่งพระวจนะของพระเจ้าที่มีประสิทธิภาพ เราควรศึกษาเพื่อทําความเข้าใจข้อพระคัมภีร์ เราควรอธิษฐานให้ได้รับการเจิมด้วยพระวิญญาณของพระเจ้า จากนั้นเราสามารถไว้วางใจพระเจ้าที่จะตรัสผ่านเราเพื่อนําพระวจนะของพระองค์ไปสู่ผู้คนของพระองค์ นี่จะให้ฤทธิ์เดชที่แท้จริงในการเทศนา
พระเจ้าไม่เพียงแต่ทรงเตรียมนักเทศน์เท่านั้น พระองค์ยังทรงเตรียมผู้ฟังให้พร้อมรับความจริง แม้ว่านักเทศน์จะต้องเตรียมตัวให้พร้อมสําหรับการทำพันธกิจ แต่เราชื่นชมยินดีได้ที่พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเตรียมผู้ฟังในงานรับใช้ เมื่อเราเทศนา หรือสอน เราไม่ได้ทำด้วยตัวเอง
เปาโลได้เตือนชาวเธสะโลนิกาว่าผลกระทบของการเทศนาของท่านไม่ได้ขึ้นอยู่กับความสามารถในการพูดของท่านเอง แต่ขึ้นอยู่กับฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์ “และข่าวประเสริฐของเราที่มาถึงท่านไม่ได้มาด้วยถ้อยคำเท่านั้น แต่ด้วยฤทธิ์เดช ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ และด้วยความมั่นใจอันเต็มเปี่ยม” (1 เธสะโลนิกา 1:5) พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเอาถ้อยคําของพวกอัครสาวกและใส่เข้าไปในใจของชาวเธสะโลนิกาพร้อมด้วยฤทธิ์เดชและความมั่นใจอันเต็มเปี่ยม
จนกว่าพระวิญญาณจะทรงให้ฤทธิ์เดชในการเทศนา ผู้ฟังสามารถเห็นด้วยด้านความคิดในขณะที่ใจของพวกเขายังคงไม่ถูกแตะต้อง พระวิญญาณทรงทำให้ผู้ฟังตระหนักถึงความต้องการของพวกเขาและทำให้เกิดการตอบสนองอย่างลึกซึ้ง
ความจริงข้อนี้ควรเป็นที่หนุนใจอย่างมากแก่เราแต่ละคนที่เทศนา เราไม่ได้พึ่งพาความสามารถของเราเอง เราเทศนาสั่งสอนด้วยฤทธิ์เดชของพระวิญญาณบริสุทธิ์
ในเดือนกรกฎาคม ค.ศ. 1741 โจนาธาน เอ็ดเวิร์ดส์ เทศนาเรื่อง "คนบาปในพระหัตถ์ของพระเจ้าที่พิโรธ" ที่คริสตจักรแห่งหนึ่งในเมืองเอนฟิลด์ รัฐคอนเนตทิคัต นี่คือช่วงที่มีการฟื้นฟูอย่างยิ่งใหญ่ ซึ่งเป็นหนึ่งในการเทพระวิญญาณบริสุทธิ์อย่างเข้มข้นที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกา พระวิญญาณของพระเจ้าทรงทํางานไปทั่วแว่นแคว้นนั้น
เอ็ดเวิร์ดส์ได้เทศนาแบบเดียวกันนี้แก่คริสตจักรของเขาเองโดยเกิดผลเพียงเล็กน้อย แต่เขารู้สึกว่าพระเจ้านําเขาไปเทศนาที่เมืองเอนฟิลด์ เอ็ดเวิร์ดส์ไม่ใช่นักเทศน์ที่น่าประทับใจ เขาอ่านคำเทศนาของเขาด้วยน้ำเสียงระดับเดียว เขาไม่ได้พูดเสียงดังหรือใช้การสาธิตที่น่าทึ่งใดๆ ไม่มีสิ่งใดในลีลาการเทศนาของเอ็ดเวิร์ดส์ที่จะสร้างแรงบันดาลใจในการตอบสนองที่ดี
อย่างไรก็ตามในวันนั้นพระวิญญาณของพระเจ้าได้เคลื่อนไหวท่ามกลางที่ประชุม ผู้เห็นเหตุการณ์คนหนึ่งเขียนว่า "ก่อนการเทศนาเสร็จสิ้น เสียงครวญครางและร้องไห้ครั้งใหญ่ก็ดังไปทั่วที่ประชุม..." ผู้คนร้องออกมาว่า 'ฉันควรทําอย่างไรจึงจะได้รับความรอด' 'โอ้ ฉันต้องตกนรกแน่' 'โอ้ ฉันจะทําอะไรเพื่อพระคริสต์ได้บ้าง?' เป็นต้น ผู้รับจำเป็นต้องหยุดเทศนา เมื่อเห็นฤทธิ์เดชอันน่าอัศจรรย์ของพระเจ้าปรากฎ"
เอ็ดเวิร์ดส์ได้เตรียมศึกษาพระคัมภีร์ไว้ เขาเตรียมอธิษฐานไว้ เขารักษาความซื่อสัตย์ต่อตัวเอง ทั้งหมดนี้มีความสําคัญ แต่ฤทธิ์เดชสูงสุดมาจากพระวิญญาณบริสุทธิ์
[1]ถ้าการเจิมของพระวิญญาณบริสุทธิ์มีความสําคัญมาก เหตุใดนักเทศน์จํานวนมากจึงไม่ค่อยเห็นคุณค่า? บางทีเหตุผลหนึ่งคือเราไม่เต็มใจที่จะอธิษฐานขอการทรงเจิมอย่างร้อนรน
เราได้เห็นแล้วว่าการเจิมของพระวิญญาณจะต้องจ่ายด้วยการอธิษฐาน อี เอ็ม บอนด์ส ได้เขียนไว้ว่า "การอธิษฐานและการอธิษฐานอย่างมากเป็นราคาของ [การเจิม] ในการเทศนา"[2]
การอธิษฐานแสดงให้เห็นถึงการที่เราพึ่งพาพระเจ้าอย่างอ่อนน้อมถ่อมตน ถ้าเรารู้สึกว่าเราสามารถเทศนาด้วยพลังของเราเอง พระเจ้าจะปล่อยให้เราทําเช่นนั้น ถ้าเราสั่งสอนเพื่อเกียรติของเราเอง เราจะไม่ได้รับการทรงเจิมด้วยพระวิญญาณ พระเจ้าตรัสว่า "และสง่าราศีของเรานั้น เราจะไม่ให้ผู้อื่น" (อิสยาห์ 48:11) แรงจูงใจในการแสวงหาการเจิมของพระเจ้าต้องเพื่อถวายเกรียติพระเจ้า ไม่ใช่เพื่อตนเอง
การทรงเจิมของพระวิญญาณ “มายังนักเทศน์ไม่ใช่ตอนศึกษาพระคัมภีร์ แต่ในการอธิษฐานในที่ลี้ลับ
- อี เอ็ม บอนด์ส
(1) คุณจะทําแบบทดสอบของบทเรียนนี้ ให้ศึกษาคําถามในแบบทดสอบอย่างรอบคอบเพื่อเตรียมพร้อม
(2) ใช้หลักการที่คุณได้เรียนรู้ในหลักสูตรนี้ ให้ออกมาเทศนาหน้าชั้นเรียน 15-20 นาที นักศึกษาแต่ละคนในชั้นเรียนจะกรอกแบบฟอร์มการประเมินที่แนบอยู่หน้าท้ายๆ ของคู่มือนี้ โดยการเปรียบเทียบการประเมินคําเทศนานี้ของเพื่อนร่วมชั้นกับการประเมินคําเทศนาก่อนหน้านี้ของคุณ คุณก็จะสามารถประเมินการพัฒนาความสามารถของคุณในการสื่อสารอย่างมีประสิทธิภาพ
(1) จงบอกสองวิธีที่นักเทศน์ต้องเตรียมตัวเองให้พร้อมสําหรับการรับใช้ที่มีประสิทธิภาพ
(2) เปาโลบอกให้ทิโมธีต่อสู้เพื่ออะไรบ้าง?
(3) พระวิญญาณบริสุทธิ์ทรงเตรียมนักเทศน์ในสองวิธี มีอะไรบ้าง?
(4) คำจำกัดความของความว่า “การเห็นกระจ่าง”
(5) กุญแจการเกิดผลในการทำพันธกิจที่พระเยซูทรงแสดงให้เห็นคืออะไร?
(6) ตามที่ อี เอ็ม บอนด์ส ได้เขียนไว้ว่าอะไรเป็นราคาของ [การเจิม] ในการเทศนา?
SGC exists to equip rising Christian leaders around the world by providing free, high-quality theological resources. We gladly grant permission for you to print and distribute our courses under these simple guidelines:
All materials remain the copyrighted property of Shepherds Global Classroom. We simply ask that you honor the integrity of the content and mission.
Questions? Reach out to us anytime at info@shepherdsglobal.org
Total
$21.99By submitting your contact info, you agree to receive occasional email updates about this ministry.
Download audio files for offline listening
No audio files are available for this course yet.
Check back soon or visit our audio courses page.
Share this free course with others