คำเทศนาเทศนามีหลายรูปแบบตามบุคลิกที่แตกต่างกันของนักเทศน์ อย่างไรก็ตามคําเทศนามักจะแบ่งออกเป็นหลายประเภท วิธีการใด ๆ ที่กล่าวถึงต่อจากนี้สามารถใช้ทั้งสําหรับการเทศนาแบบประกาศข่าวประเสริฐหรือการเทศนาอภิบาล
คำเทศนาแบบตามหัวเรื่อง
คำจำกัดความของคำเทศนาแบบตามหัวเรื่อง
คําเทศนาแบบตามหัวเรื่องสร้างขึ้นจากหัวข้อหรือหัวเรื่องเดียว เป้าหมายของการเทศนาแบบนี้คือการสร้างประเด็นสำคัญเพียงประเด็นเดียว โครงร่างของคําเทศนาได้รับการเขียนขึ้นอย่างมีเหตุผลมากกว่ายึดข้อความใดข้อความหนึ่ง นักเทศน์จะดึงเนื้อหาจากหลายที่ในพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับหัวเรื่องเพื่อเอามาสนับสนุนประเด็นสำคัญนี้
ข้อได้เปรียบของคำเทศนาแบบตามหัวเรื่อง
ในการหาข้อพระคัมภีร์สนับสนุนคำเทศนาแบบตามหัวเรื่อง เราสามารถใช้ข้อพระคัมภีร์ที่ดีที่สุดที่เข้ากับหัวเรื่องนั้นแทนที่จะสร้างประเด็นจากข้อความตอนเดียวจากข้อพระคัมภีร์ ในการเทศนาแบบตามหัวเรื่อง เราสามารถแต่งหัวเรื่องในลักษณะที่เมื่อสักคนหนึ่งออกจากที่ประชุมไป เขาจะรู้อย่างชัดเจนว่าได้พูดถึงอะไรไปบ้าง ในหลาย ๆ ด้านแล้ว คำเทศนาแบบตามหัวเรื่องเป็นคําเทศนาที่เข้าใจได้ง่ายที่สุด การเตรียมคำเทศนาแบบตามหัวเรื่องนั้นงานและเร็วกว่าการเตรียมคำเทศนาส่วนใหญ่ในแบบอื่นๆ
อันตรายสองอย่างเกี่ยวกับคำเทศนาแบบตามหัวเรื่อง
1. ใช้ข้อพระคัมภีร์ผิด อันตรายมากที่จะร่างคำเทศนาแล้วค่อยมาหาข้อพระคัมภีร์สนับสนุนประเด็นนั้น การค่อยหาข้อพระคัมภีร์มาสนับสนุนประเด็นนั้นไม่ถูกต้อง เมื่อข้อพระคัมภีร์นั้นไม่เข้ากับประเด็นนั้นหรือไม่ได้หมายความตามที่คุณอ้างไว้นั้น
2. กลายเป็นคำเทศนาที่ไม่สมดุล เมื่อเทศนาด้วยคำเทศนาแบบตามหัวเรื่อง ผู้เทศน์มักจะเทศนาเน้นในสิ่งที่พวกเขารู้ว่าเป็นเรื่องสำคัญ นันก็หมายความว่าพวกเขาอาจละเลยคำสอนที่สำคัญอื่นๆ ในพระคัมภีร์ ในอีกด้านหนึ่ง เมื่อผู้สอนเทศนาแบบอรรถาธิบาย (ซึ่งจะได้เรียนภายหลัง) เนื้อหาในข้อพระคัมภีร์เองจะช่วยกำหนดหัวเรื่องและหัวข้อ
ตัวอย่างของคำเทศนาแบบตามหัวเรื่อง
หัวข้อ: ข้อพิสูจน์หลายประการ: คำเทศนาเรื่องการเป็นขึ้นจากตาย
ข้อพระคัมภีร์: กิจการ 1:1-3
I. หลักฐานของอุโมงค์ที่ว่างเปล่า (มัทธิว 28:1-7; ยอห์น 20:1-9)
II. หลักฐานของการปรากฎตัวหลังจากการเป็นขึ้นจากตาย (มัทธิว 28:16-20; ลูกา 24:13-35; ยอห์น 20:11-29; 1 โครินธ์ 15:3-8)
III. หลักฐานของชีวิตที่ถูกเปลี่ยนแปลง (กิจการ 4:1-13)
* คำเทศนานี้มาจาก พระคุณอันหวานชื่น เป็นการรวบรวมคำเทศนาของ ศจ.จี อาร์ เฟร็นช์ ได้รับอนุญาตจากกอสเพิ่ล พับบลิสชิ่ง มิชชั่น
คำเทศนาแบบตามหัวข้อพระธรรม
ลักษณะของคำเทศนาแบบตามหัวข้อพระธรรม
คําเทศนาแบบตามหัวข้อพระธรรมจะยึดอยู่บนข้อความหรือประโยคเดียวในพระคัมภีร์ ตัวอย่างเช่น เราอาจเทศนาจากข้อความว่า "ค่าจ้างของความบาปคือความตาย" (โรม 6:23) ในคําเทศนาแบบตามหัวข้อพระธรรมที่ใช้ข้อพระคัมภีร์นี้ เราอาจพูดถึง "ค่าจ้าง" "ความบาป" และ "ความตาย" หัวข้อและประเด็นหลักของคําเทศนามักจะมาจากเนื้อหาในข้อนั้น ลักษณะ จุดแข็ง และจุดอ่อนของคําเทศนาแบบตามหัวข้อพระธรรมนั้นคล้ายกับการเทศนาแบบตามหัวเรื่องอย่างมาก เพราะนักเทศน์อาจให้แนวคิดหลายอย่างที่ไม่ได้มาจากเนื้อหาในข้อพระคัมภีร์นั้น
ชาวแอฟริกันพื้นเมืองและชาวแอฟริกันอเมริกันเทศนาแบบตามหัวข้อพระธรรมมากกว่ารูปแบบอื่น ๆ และพวกเขาทําได้อย่างมีประสิทธิภาพมาก หนึ่งในรูปแบบดั้งเดิมของการเรียนรู้ในแอฟริกาคือพระธรรมสุภาษิต ซึ่งเป็นข้อความที่น่าจดจําสั้น ๆ ที่สอนสติปัญญาบางอย่าง ข้อความในพระคัมภีร์ที่เป็นข้อความสั้นๆ ที่ท่องจำได้ที่สอนเรื่องสติปัญญาในบางประเด็น การเทศนาแบบตามหัวข้อพระธรรมได้เปรียบมากกว่ารูปแบบการสอนแบบดั้งเดิมนั้น สิ่งนี้ทําให้คําเทศนาแบบตามหัวข้อพระธรรมเป็นที่น่าสนใจ
ตัวอย่างของคำเทศนาแบบตามหัวข้อพระธรรม
หัวข้อ: “คนที่ได้รับมาก จะต้องเรียกเอาจากคนนั้นมาก”
ข้อพระคัมภีร์: ลูกา 12:48
1. ทรัพย์สินของเรา (“คนที่ได้รับมาก”)
2. ความรับผิดชอบของเรา (“จะต้องเรียกเอาจากคนนั้นมาก”)
ตัวอย่างของคำเทศนาแบบตามหัวข้อพระธรรม
หัวข้อ: ดำเนินชีวิตแบบคนของพระเจ้า
ข้อพระคัมภีร์: โรม 12:1b-2
1. อย่าลอกเลียนแบบอย่างคนในยุคนี้
2. แต่จงรับการเปลี่ยนแปลง
3. พระประสงค์ของพระเจ้า
4. ให้ถวายตัวของท่านแด่พระเจ้า
คำเทศนาแบบตามชีวประวัติ
ลักษณะของคำเทศนาแบบตามชีวประวัติ
คําเทศนาแบบตามชีวประวัติคือการศึกษาตัวบุคคลบางคนในพระคัมภีร์ คำเทศนาจะอธิบายถึงคุณสมบัติที่ดีหรือไม่ดีของบุคคลนั้น และประยุกต์นำเอามาใช้ตามคุณสมบัติเหล่านั้น[1]
เนื่องจากตัวบุคคลน่าสนใจกว่าหลักการ คำเทศนาแบบตามชีวประวัติจึงมักดึงดูดความสนใจได้ดีกว่าคำเทศนาในรูปแบบอื่น ๆ มีหลายร้อยคนในพระคัมภีร์ที่สามารถเอามาเทศนาแบบตามชีวประวัติได้ แทบทุกบุคคลสะท้อนให้เห็นถึงคุณสมบัติทั้งเชิงบวกหรือเชิงลบ
นี่เป็นรูปแบบการเทศนาที่มีประสิทธิภาพมากในวัฒนธรรมที่คุ้นเคยกับเรื่องราวนั้น นี่เป็นรูปแบบที่เป็นธรรมชาติอย่างมากของการเทศนาและการสอนพระคัมภีร์
เหตุผลที่ใช้คำเทศนาแบบตามชีวประวัติ
ผู้ที่มาประชุมที่คริสตจักรมักจะคุ้นเคยกับบุคคลในพระคัมภีร์เป็นส่วนใหญ่ เราระบุบุคคลในพระคัมภีร์ได้ง่ายกว่าคําสอนทั่วไปในพระคัมภีร์ การเห็นหลักการต่างๆ ในชีวิตของบุคคลนั้นง่ายกว่าคําสอนทั่วไป ผู้คนต่างก็สนใจในตัวบุคคล ดังนั้น คําเทศนาแบบตามชีวประวัติอาจน่าสนใจกว่าคําเทศนาแบบอื่น ๆ
วิธีเตรียมคำเทศนาแบบตามชีวประวัติ
1. ให้อ่านข้อพระคัมภีร์ที่พูดถึงบุคคลนั้นอย่างรวดเร็ว ให้บันทึกคุณสมบัติและข้อบกพร่องต่างๆ ของเขา
2. ให้เลือกคุณสมบัติสักสามถึงแปดอย่างที่ง่ายต่อการอธิบาย
3. จัดเรียงให้เป็นโครงร่างให้เป็นระบบและสอดคล้องกัน
4. ให้บันทึกรายละเอียดของเรื่องราวตอนที่คุณอ่านซ้ำและศึกษาข้อพระคัมภีร์ตอนนั้น
5. เมื่อคุณได้เลือกประเด็นสำคัญแล้ว ให้หาข้อพระคัมภีร์อีกสองหรือสามข้อที่แสดงถึงหลักการที่คล้ายกัน
6. ร่างวิธีที่จะเอาหลักการที่ได้จากบุคคลที่เราเรียนรู้นั้นไปประยุกต์ใช้ในชีวิตจริง ให้แน่ใจว่าการนำไปประยุกต์ใช้ยึดตามข้อพระคัมภีร์นั้น อธิบายให้ผู้ฟังรู้ว่าจะสามารถทำตามตัวอย่างที่ดีในพระคัมภีร์และหลีกเลี่ยงตัวอย่างที่ไม่ดีได้อย่างไร
สิ่งที่ต้องหลีกเลี่ยงในคำเทศนาแบบตามชีวประวัติ
(1) อย่าเปลี่ยนคำเทศนาให้ให้กลายเป็นอุปมาเปรียบเทียบ
อุปมาเปรียบเทียบใช้รายละเอียดของเรื่องราวเป็นสัญลักษณ์เล็งถึงสิ่งอื่น ๆ อุปมาเปรียบเทียบนี้มาจากจินตนาการของผู้พูดมากกว่าจากพระคัมภีร์เอง คําเทศนาแบบตามชีวประวัติควรดึงการประยุกต์ใช้จากพระคัมภีร์เองมากกว่าจากการตีความหมายตามอุปมาเปรียบเทียบ
ในเรื่องราวของดาวิดและโกลิอัท เราไม่ควรพยายามนําเสนอว่าโกลิอัทเป็นซาตาน ดาวิดเป็นพระเยซู และหินเป็นพระวจนะของพระเจ้า แต่เราควรพยายามหาคุณสมบัติของตัวบุคคลในเรื่องในเชิงบวก เรื่องราวของดาวิดและโกลิอัทจะสอนบทเรียนอย่างเช่นเรื่องความกล้าหาญ ความเชื่อในพระเจ้า ความมุ่งมั่น และหลักการที่พระเจ้าทรงใช้สิ่งที่อ่อนแอทำในสิ่งที่ยิ่งใหญ่
(2) อย่าเน้นประเด็นที่ไม่อยู่ในเรื่องนั้นอย่างชัดเจน
ประเด็นที่จะดึงออกมาจากเรื่องนั้นควรเป็นไปอย่างธรรมชาติ เมื่อผู้ฟังได้ยินเรื่องนั้นแล้ว พวกเขาควรจะสามารถมองเห็นประเด็นนั้นได้ทันที ยิ่งประเด็นเกิดนั้นโดดเด่นอย่างเป็นธรรมชาติจากเรื่องราวมากเท่าไหร่ ผู้ฟังก็จะเข้าใจและประยุกต์ใช้คําเทศนาได้ง่ายขึ้นเท่านั้น
ตัวอย่างของคำเทศนาแบบตามชีวประวัติ
หัวข้อ: เจ้าชื่ออะไร?
ข้อพระคัมภีร์: ปฐมกาล บทที่ 32
ในหลายวัฒนธรรม ชื่อของบุคคลจะแสดงให้เห็นถึงความหวังของพ่อแม่ที่มีต่อลูกของพวกเขา แต่ชื่อของยาโคบไม่ใช่ชื่อแห่งความหวัง แต่มีความหมายว่า “ผู้จับส้นเท้า” หรือ “ผู้หลอกลวง” ในคืนก่อนที่เขาพบพี่ชายของเขาที่ชื่อเอซาว ยาโคบได้ปล้ำสู้กับพระเจ้า และพระเจ้าได้ทรงเปลี่ยนชื่อ ยาโคบ หรือ “ผู้หลอกลวง” ให้เป็น อิสราเอล มีความหมายว่า “ผู้ที่ปล้ำสู้กับพระเจ้า” ในเรื่องนี้ เราได้เห็นถึงกระบวนการที่พระเจ้าทรงใช้เพื่อเปลี่ยนแปลงชื่อ บุคลิก และทิศทางของชีวิตยาโคบ
(1) พระเจ้าทรงเปิดเผยสำแดงถึงธรรมชาติของยาโคบ (ปฐมกาล 32:27).
การถามว่า “เจ้าชื่ออะไร?” บังคับให้ยาโคบต้องสารภาพว่า “ฉันเป็นคนหลอกลวง”
(2) พระเจ้าทรงเปิดเผยสำแดงถึงพระเจ้าเอง (ปฐมกาล 32:30).
เมื่อยาโคบสารภาพว่าตนเองคือใคร พระเจ้าก็ทรงเปิดเผยพระองค์เองและเปิดเผยพระคุณในทิศทางใหม่
(3) พระเจ้าทรงประทานอนาคตใหม่ให้แก่ยาโคบ (ปฐมกาล 32:28).
ยาโคบผู้หลอกลวงกลายเป็นอิสราเอล บิดาแห่งชนชาติหนึ่ง
* คำเทศนานี้มาจาก พระคุณอันหวานชื่น เป็นการรวบรวมคำเทศนาของ ศจ.จี อาร์ เฟร็นช์ ได้รับอนุญาตจากกอสเพิ่ล พับบลิสชิ่ง มิชชั่น
ตัวอย่างคำชุดคำเทศนาแบบตามชีวประวัติ
ชุดคำเทศนาสำหรับสัปดาห์ยกระดับฝ่ายวิญญาณ:
(1) อิสยาห์ คนที่พระเจ้าทรงใช้ (2) โยนาห์ คนที่พระเจ้าทรงใช้ได้อยู่บ้าง (3) เกหะซี คนที่พระเจ้าทรงใช้ได้ (4) ดาวิด คนที่พระเจ้าทรงใช้ในหลายชั่วอายุ
คำเทศนาแบบอรรถาธิบาย
ลักษณะของคำเทศนาแบบอรรถาธิบาย
คำเทศนาแบบอรรถาธิบายแสดงให้เห็นในเหตุการณ์ในพระธรรมเนหะมีย์ หลังจากกําแพงเมืองถูกสร้างขึ้นเป็นเวลาเจ็ดเดือน ผู้คนรวมตัวกันเพื่อเฉลิมฉลองพิเศษ ส่วนหนึ่งที่สำคัญที่สุดของการเฉลิมฉลองคือการอ่านธรรมบัญญัติของโมเสส
เนหะมีย์อธิบายถึงเหตุการณ์นี้ว่า:
...พวกคนเลวีได้ช่วยประชาชนให้เข้าใจธรรมบัญญัติ ในขณะที่ประชาชนก็ยังอยู่ในที่ของตน และพวกเขาอ่านจากหนังสือ จากธรรมบัญญัติของพระเจ้าอย่างชัดเจน และเขาก็อธิบายความหมาย ประชาชนจึงเข้าใจข้อความที่อ่านนั้น (เนหะมีย์ 8:7-8).
คนเลวีให้ความหมายเพื่อให้ประชาชนเข้าใจสิ่งที่อ่าน เป้าหมายของคำเทศนาแบบอรรถาธิบายคือการทําให้พระคัมภีร์ชัดเจนเพื่อให้ผู้คนเข้าใจสิ่งที่กําลังอ่าน
การเทศนาแบบอรรถาธิบายคือการอธิบายความหมายของข้อความในพระคัมภีร์และเอามาประยุกต์ใช้อย่างเหมาะสม เป็นการอธิบายหัวข้อที่สําคัญที่สุดตามลำดับในเนื้อเรื่อง ซึ่งไม่ได้ละเว้นอะไรจากข้อความนั้น และไม่ได้เพิ่มอะไรลงไป การเทศนาแบบอรรถาธิบายต้องเป็นเรื่องธรรมดาในคริสตจักรยุคแรก เมื่อคริสตจักรได้รับจดหมายจากพวกอัครสาวก พวกเขาจะต้องอ่านต่อสมาชิกทุกคนแล้วอธิบายสั้น ๆ ว่าส่วนต่างๆของจดหมายหมายถึงอะไร
การเทศนาแบบอรรถาธิบายเป็นรูปแบบการเทศนาที่เป็นธรรมชาติและเรียบง่ายที่สุด
รูปแบบของการเทศนาแบบอรรถาธบาย
การเทศนาแบบอรรถาธิบายมีอยู่หลายรูปแบบ เราจะแบ่งการเทศนาแบบอรรถาธิบายเป็นสามประเภท
(1) อรรถาธิบายแบบย่อ
ในอรรถาธิบายแบบย่อ ผู้เทศนาจะอธิบายแบบย่อๆ ในแต่ละข้อของทั้งบทหรือข้อพระคัมภีร์ทั้งหมดตอน เป็นการอ่านข้อพระคัมภีร์ทั้งตอนและอธิบายแต่ละข้อ วิธีการแบบนี้ ผู้เทศนาจะอธิบายเพียงประเด็นหลักของข้อพระคัมภีร์เท่านั้น
ในรุ่นก่อน ๆ ชาวแอฟริกันอเมริกันใช้รูปแบบการเทศนานี้อย่างมีประสิทธิภาพมาก ในสมัยนั้นนักเทศน์หลายคนไม่รู้หนังสือดังนั้นพวกเขาจะมีคนยืนเคียงข้างพวกเขาในขณะที่พวกเขากําลังเทศนา นักเทศน์จะให้ผู้ช่วยอ่านข้อหรือประโยคในข้อพระคัมภีร์ จากนั้นนักเทศน์จะอธิบายข้อนั้นและเอามาประยุกต์ใช้ จากนั้นเขาจะบอกว่า "อ่านต่อ" และผู้อ่านก็จะอ่านอีกประโยคหนึ่ง นักเทศน์และผู้อ่านจะสลับกันตลอดการเทศนา การเทศนารูปแบบนี้ได้รับความนิยมมากจนนักเทศน์รุ่นหลังที่อ่านหนังสือได้ก็ยังคงใช้รูปแบบการเทศนานี้ต่อไป
คุณสามารถใช้รูปแบบการเทศนาอรรถาธิบายแบบย่อนี้ได้อย่างมีประสิทธิภาพในบางครั้ง โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับข้อพระคัมภีร์ในพระธรรมสดุดีบทที่ 73 ในข้อนี้อาสาฟบอกเล่าเรื่องราวของความสงสัยของเขา เขาสงสัยถึงความยุติธรรมของพระเจ้าที่ปล่อยให้คนชั่วเจริญรุ่งเรืองในขณะที่คนชอบธรรมต้องทนทุกข์ทรมาน อาสาฟเริ่มต้นด้วยความสงสัย แต่ในช่วงกลางของบท เขาเริ่มเห็นสิ่งต่าง ๆ จากมุมมองของพระเจ้า จบบทสุดท้ายด้วยการประกาศความเชื่ออันยิ่งใหญ่ว่า: "แต่ส่วนข้าพระองค์ ที่จะเข้าใกล้พระเจ้านั้นดี ข้าพระองค์ได้ให้พระยาห์เวห์องค์เจ้านายเป็นที่ลี้ภัยของข้าพระองค์ เพื่อข้าพระองค์จะได้เล่าถึงพระราชกิจทั้งสิ้นของพระองค์” (สดุดี 73:28)
ไม่จําเป็นต้องมีโครงร่างที่เลิศหรูในการเทศนาจากบทนี้ การใช้เทคนิค "อ่านและอธิบาย" จะได้ผลดีมาก
วิธีอรรถาธิบายแบบย่อใช้ได้ดีสําหรับการอธิบายถึงความรับผิดชอบของผู้มีความเชื่อน้อยและผู้มีความเชื่อมากในพระธรรมโรมบทที่ 14
(2) อรรถาธิบายทั้งบท
ในการอรรถาธิบายทั้งบท นักเทศน์อธิบายเกือบทุกคํา ทุกหลักคําสอน และทุกความคิดในข้อพระคัมภีร์ เพราะทุกบทของพระคัมภีร์เต็มไปด้วยความจริงมากมาย การอรรถาธิบายแบบนี้จึงมีรายละเอียดมาก ต้องใช้ทักษะเชิงปฏิบัติและเครื่องมือที่ดีในการเทศนาข้อพระคัมภีร์ได้อย่างสมบูรณ์
ให้คิดถึงคำกล่าวของเปาโลใน 2 โครินธ์ 3:18
แต่เราทุกคนไม่มีผ้าคลุมหน้าแล้ว และมองดูพระรัศมีขององค์พระผู้เป็นเจ้า แล้วเราก็ได้รับการเปลี่ยนแปลงให้เป็นเหมือนพระฉายาของพระองค์โดยมีศักดิ์ศรีเป็นลำดับขึ้นไป เหมือนอย่างศักดิ์ศรีที่มาจากองค์พระผู้เป็นเจ้าผู้ทรงเป็นพระวิญญาณ
ในข้อพระคัมภีร์ตอนนี้มีความจริงมากมายที่เราสามารถค้นพบได้ด้วยการวิเคราะห์อย่างรอบคอบ การรู้ประวัติศาสตร์และศาสนศาสตร์ของ "พระรัศมี" จากพันธสัญญาเดิม โดยเฉพาะอย่างยิ่งเหตุการณ์ตอนที่โมเสสต้องคลุมหน้าของเขาหลังจากเข้าเฝ้าพระเจ้าบนภูเขาซีนาย ช่วยให้เราเข้าใจสิ่งที่เปาโลพูด การศึกษาคําศัพท์ของคําสําคัญเช่น "พระรัศมี" "การเปลี่ยนแปลง" และ "พระฉายา" จะได้รู้ความจริงอีกมากมาย ถ้าคุณตีความหมายได้อย่างถูกต้อง ก็จะมีอะไรเพิ่มขึ้นในข้อนี้ที่เกินกว่าที่จะเทศน์จบในครั้งเดียวได้
(3) อรรถาธิบายตามหัวเรื่อง
การอรรถาธิบายตามเรื่อง นักเทศน์เลือกข้อพระคัมภีร์ตอนสั้น ๆ เช่นย่อหน้าหนึ่งและอธิบายหัวข้อสําคัญในตอนนั้น แบบนี้จะพูดรายละเอียดมากกว่าอรรถาธิบายแบบย่อแต่ไม่ได้อธิบายทุกคําหรือทุกความคิดในข้อพระคัมภีร์ตอนนั้น การอรรถาธิบายแบบนี้ คำเทศนาถูกสร้างขึ้นตามหัวข้อที่สําคัญที่สุดของข้อพระคัมภีร์ตอนนั้น จะให้รายละเอียดที่จะอธิบายถึงหัวข้อนั้น รายละเอียดที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับหัวข้อนั้นจะถูกข้ามไปหรือเอ่ยถึงสั้น ๆ
ในคำเทศนาที่ครอบคลุมสามหรือสี่ข้อ เป็นการยากที่จะอธิบายครอบคลุมทุกแนวคิดได้ แต่คุณสามารถอธิบายและใช้ความคิดหลักได้ บางคนเชื่อว่าการอรรถาธิบายตามหัวเรื่องเป็นรูปแบบการเทศนาที่เป็นธรรมชาติที่สุด ช่วยให้ผู้เทศน์จดจ่อกับคําเทศนา แต่ยังอธิบายความจริงที่สําคัญที่สุดตามลําดับที่อยู่ในข้อพระคัมภีร์ตอนนั้น
ตัวอย่างคำเทศนาแบบอรรถาธิบาย
หัวข้อ: เอปาโฟรดิทัส คริสเตียนธรรมดาคนหนึ่ง ข้อพระคัมภีร์: ฟีลิปปี 2:25-30
เอปาโฟรดิทัสเป็นฆราวาสที่ถูกส่งมาจากคริสตจักรเมืองฟิลิปปีเพื่อช่วยเหลือเปาโลเมื่อเขาถูกกักบริเวณในบ้านในกรุงโรม ในที่สุดเปาโลก็ส่งเขากลับไปเมืองฟีลิปปีพร้อมจดหมายถึงชาวฟีลิปปี ในจดหมายฉบับนั้น เปาโลเขียนอธิบายถึงงานของเอปาโฟรดิตัสไว้ย่อหน้าหนึ่ง
ชีวิตคริสเตียนรวมไปถึงการเป็นพี่น้องกัน: “พี่น้องของข้าพเจ้า”
ชีวิตคริสเตียนรวมไปถึงการทำงาน: “เพื่อนร่วมงาน”
ชีวิตคริสเตียนรวมไปถึงการต่อสู้: “เพื่อนทหาร”
ชีวิตคริสเตียนรวมไปถึงการปรนนิบัติผู้อื่น: “เป็นตัวแทน...มาปรนนิบัติ”
ชีวิตคริสเตียนรวมไปถึงในยามขาดแคลน: “เขาป่วยจริงๆ”
ชีวิตคริสเตียนรวมไปถึงใหเกียรติและนับถือ: “จงนับถือคนประเภทนี้”
ชีวิตคริสเตียนรวมไปถึงการเสียสละ: “เขาเกือบตาย... เขาเสี่ยงชีวิตของเขา”
ตัวอย่างคำเทศนาแบบอรรถาธิบาย
หัวข้อ: เมื่อพระเจ้าไม่ทรงตอบคำอธิษฐาน
ข้อพระคัมภีร์: 2 โครินธ์ 1:3-10
นี่เป็นประเด็นที่ผู้คนพยายามฝ่าฟัน พวกเขาอยากรู้ว่าทำไมพระเจ้าไม่ทรงตอบคำอธิษฐานของพวกเขาทุกครั้ง ถ้าดูตามข้อพระคัมภีร์นี้ พระเจ้าไม่ทรงตอบคำอธิษฐานของเราด้วยเหตุผลสามประการเป็นอย่างน้อย:
1. เพื่อเตรียมเราที่จะรับใช้
2 โครินธ์ 1:4, “พระองค์ผู้ทรงหนุนใจเราในความยากลำบากทั้งหมดของเรา เพื่อเราจะสามารถหนุนใจคนทั้งหลาย ที่มีความยากลำบากอย่างใดอย่างหนึ่งได้.”
2. เพื่อสำแดงพระคุณของพระองค์
2 โครินธ์ 1:5-6, ให้สังเกตคำว่า “การชูใจของเรา”
3. เพื่อสำแดงฤทธิ์เดชของพระเจ้า
2 โครินธ์ 1:9, “ทั้งนี้เพื่อเราจะไม่ไว้ใจตัวเอง แต่ไว้ใจพระเจ้าผู้ทรงให้คนทั้งหลายเป็นขึ้นจากตาย”
การเทศนาแบบอรรถาธิบายเป็นตอนๆ
นักเทศน์อาจจะเทศนาพระธรรมทั้งเล่ม หรือข้อพระคัมภีร์สักตอนหนึ่ง หรือครั้งละหนึ่งข้อหรือย่อหน้าหนึ่ง ตัวอย่างเช่น คําเทศนาตอนแรกของพระกิตติคุณมาระโกจะเริ่มต้นด้วยบทที่ 1:1 และอาจพูดอรัมภบทของพระธรรมเล่มนี้ คําเทศนาตอนต่อมาอาจมาจากบทที่ 1:2-5 และคําเทศนาครั้งถัดไปจะมาจากบทที่ 1:6-11 นักเทศน์จะแต่งคําเทศนาจากทีละย่อหน้าในพระธรรมนั้น
นี่คือการเทศนาอภิบาลแบบที่ผู้เขียนหลักสูตรนี้ได้ทําตลอดพันธกิจศิษยาภิบาลของเขาเป็นส่วนใหญ่ ตัวอย่างเช่น เมื่อเขารับใช้ในหน้าที่เป็นศิษยาภิบาลอาวุโสของคริสตจักร เขาได้เทศนาพระธรรมต่อไปนี้ทั้งหมด:
เหตุผลที่ใช้การอรรถาธิบาย
(1) การเทศนาแบบอรรถาธิบายช่วยให้คุณสอนความจริงจากพระคัมภีร์
การเทศนาแบบอธิบายจะเน้นประเด็นหลักจากเนื้อหาเองอย่างเป็นธรรมชาติที่สุด แบบนี้ทําให้ข้อพระคัมภีร์ตอนนั้นสามารถสื่อสารได้อย่างธรรมดาและง่ายดาย พระเยซูตรัสว่า "และพวกท่านจะรู้จักสัจจะ และสัจจะจะทำให้ท่านเป็นไท” (ยอห์น 8:32) หนึ่งในวิธีที่ดีที่สุดในการนําเสนอความจริงของพระคัมภีร์คือการอ่านข้อพระคัมภีร์ไปทีละข้อและอธิบายว่าข้อนั้นหมายความว่าอย่างไร
(2) การเทศนาแบบอรรถาธิบายช่วยคุณเน้นย้ำในสิ่งที่พระคัมภีร์ต้องการเน้น
ถ้าในช่วงที่เทศนาในพระธรรมโรม เปาโลกล่าวถึงหลักคําสอนบางเรื่องเพียงครั้งเดียว คุณก็จะเทศนาเรื่องนั้นเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่ถ้าเปาโลกล่าวถึงหลักคําสอน 10 ครั้ง คุณก็จะมีโอกาสพูดเรื่องนั้น 10 ครั้ง เมื่อคุณเทศนาในพระกิตติคุณมาระโก ทุกครั้งที่พระเยซูตรัสเรื่องการอธิษฐาน คุณก็จะได้เทศนาเกี่ยวกับการอธิษฐาน ทุกครั้งที่พระเยซูทรงเชิญชวนให้ผู้คนกลับใจ คุณก็จะได้เชิญชวนให้ผู้คนกลับใจด้วย
(3) การเทศนาแบบอรรถาธิบายช่วยให้คุณสดใหม่และมีความคิดสร้างสรรค์เพิ่มขึ้น
มันง่ายที่นักเทศน์ที่จะเผลอกลับไปเทศนาหัวข้อที่เหมือนกันตลอดเวลา อย่างไรก็ตาม เมื่อนักเทศน์ได้เทศนาในพระคัมภีร์สักตอนหนึ่ง เขาก็จะถูกบังคับให้แต่งเนื้อหาใหม่ กระบวนการแต่งเนื้อหาใหม่จะทําให้เขาเรียนรู้และการเติบโต สิ่งนี้จะช่วยให้เขาไปที่ธรรมาสน์ด้วยความสดใหม่และความกระตือรือร้น
(4) การเทศนาแบบอรรถาธิบายช่วยคุณให้อาหารฝ่ายวิญญาณแก่สมาชิกได้หลากหลาย
หากนักเทศน์ปล่อยให้ความสนใจของตัวเองกําหนดสิ่งที่ตนเองจะเทศนา พวกเขามีแนวโน้มที่จะเทศนาวนเวียนกลับมาอยู่ในหัวข้อเดิมๆ แต่ว่า หากพวกเขาเทศนาตามพระคัมภีร์เป็นตอนๆ พวกเขาจะเทศนาหัวข้อต่างๆที่ไม่ซ้ำเดิม และนั่นจะทําให้พี่น้องสมาชิกได้รับอาหารฝ่ายวิญญาณที่สมดุลมากขึ้น รูปแบบนี้จะบังคับให้นักเทศน์เทศนาในหัวข้ออื่นๆ ที่พวกเขาจะไม่พูดถึงแต่สิ่งที่ตนเองชอบเท่านั้น สิ่งนี้จะทําให้พวกเขาเรียนรู้และจะช่วยให้พวกเขาเติบโตในฝ่ายวิญญาณของตนเอง
(5) การเทศนาแบบอรรถาธิบายจะช่วยขจัดปัญหาการไม่รู้ว่าจะเทศนาเรื่องอะไร
โดยปฏิบัติแล้ว เมื่อถึงคืนวันเสาร์ศิษยาภิบาลแทบทุกคนไม่รู้ว่าว่าเขาหรือเธอจะเทศนาเรื่องอะไรในวันรุ่งขึ้น เมื่อศิษยาภิบาลเทศนาจากพระคัมภีร์เป็นตอนๆ ไป พวกเขาไม่เพียงแต่รู้ว่าพวกเขาจะเทศนาเรื่องอะไรในอาทิตย์หน้าแต่รู้ไปถึงอีกหลายอาทิตย์ล่วงหน้าด้วย ซึ่งจะช่วยนักดนตรีและคนอื่น ๆ ที่มีส่วนร่วมในการเตรียมการประชุม เพราะพวกเขาสามารถจัดเตรียมการประชุมให้สอดคล้องกับเรื่องที่ศิษยาภิบาลจะเทศนา
(6) การเทศนาแบบอรรถาธิบายช่วยให้คุณจัดการกับหัวเรื่องยากๆ ได้อย่างเป็นธรรมชาติ
หากศิษยาภิบาลรู้ว่ามีปัญหาบางอย่างในคริสตจักรของตน พวกเขาก็จะถูกโน้มน้าวให้การเทศนาของเขามุ่งเป้าไปที่บางคนในที่ประชุม สิ่งนี้จะทําให้ผู้รับใช้สูญเสียความเคารพจากที่ประชุม หลายคนออกจากคริสตจักรเพราะพวกเขารู้สึกว่าผู้รับใช้ได้เทศนาต่อว่าในสิ่งที่พวกเขากําลังทําอยู่ อย่างไรก็ตามเมื่อผู้รับใช้เทศนาเกี่ยวกับเรื่องที่อยู่ถัดไปตามลําดับในพระคัมภีร์ สมาชิกก็ไม่ควรกล่าวหาว่าอาจารย์เทศนาต่อว่าคนใดคนหนึ่ง การเทศนาแบบอรรถาธิบายช่วยให้คุณจัดการกับหัวเรื่องที่ยากหรือไวต่อความรู้สึกสมาชิกด้วยวิธีที่เป็นธรรมชาติและไม่ทำให้พี่น้องสะดุด
ศิษยาภิบาลท่านหนึ่งต้องประหลาดใจที่เห็นว่าพระเจ้าทรงทํางานอย่างยิ่งใหญ่เพื่อให้เขาเทศนาสอนบางเรื่องในเวลาที่เหมาะสม แม้ว่าหัวเรื่องนั้นจะอยู่ในลําดับถัดไปในขณะที่เขากําลังเทศนาพระธรรมเล่มนั้น พระเจ้าทรงทราบว่าใครจะมาประชุมของเรา และพระองค์ทรงทราบว่าเมื่อใดที่เราควรจะเทศนาเรื่องอะไร พระองค์มักจะนําสิ่งเหล่านี้มารวมกันในลักษณะที่สามารถเข้าใจได้ว่าต้องเป็นไปได้โดยพระราชกิจของพระเจ้าเท่านั้น
(7) การเทศนาแบบอรรถาธิบายทำให้คุณเทศนาได้อย่างมีสิทธิอำนาจมากขึ้น
เมื่อเราเทศนาเรียงลำดับในพระคัมภีร์เป็นประจำ สิ่งนี้จะทําให้เรามีสิทธิอํานาจในระดับที่เราไม่มีเมื่อเราเทศนาแบบตามหัวข้อ เมื่อทุกประเด็นสำคัญของคําเทศนาโดดเด่นออกมาจากข้อพระคัมภีร์ในแบบที่ผู้ฟังสามารถมองเห็นได้ง่าย ก็จะช่วยผู้ฟังตระหนักว่าคําเทศนานี้มาจากพระเจ้าไม่ใช่จากมนุษย์ มันง่ายที่จะพูดว่า "พระเจ้าตรัสว่า" เมื่อคุณกําลังเทศนาแบบอรรถาธิบาย
(8) การเทศนาแบบอรรถาธิบายใช้เวลาและทรัพยากรของคุณอย่างคุ้มค่าที่สุด
เมื่อคุณเทศนาในตลอดพระธรรมทั้งเล่ม ข้อมูลเบื้องหลังทั้งหมดของพระธรรมเล่มนั้นจะถูกนำไปสอน คุณสามารถใช้หนังสืออธิบายต่างๆ ควบคู่ไปด้วยเพื่อให้ได้ประโยชน์สูงสุด หากคุณเทศนาพระธรรมเล่มใหญ่ๆเช่นพระกิตติคุณสักเล่มหนึ่ง การได้ใช้แหล่งข้อมูลเดียวกันทุกสัปดาห์จะช่วยประหยัดเวลาและทรัพยากร
[1] Alfred P. Gibbs,
The Preacher and His Preaching, (6th Edition). (Kansas City: Walterick Publishers, n.d.), 283
Previous
Next