ในกิจการ 1:4-5 พระเยซูบอกพวกสาวกให้รอการบัพติศมาด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ ซึ่งพระองค์เรียกว่าเป็น “พระสัญญาจาก 
พระบิดา” เหตุการณ์นี้รวมถึงการรับฤทธิ์เดชเพื่อทำให้พวกเขาไปเป็นสักขีพยานทั่วโลก (กิจการ 1:8)
ถึงแม้ว่าพวกสาวกได้รับความรอดแล้ว พวกเขาก็ยังมีความต้องการสำหรับชีวิตภายในที่ต้องได้รับการตอบสนองก่อนที่พวกเขาจะพร้อมทำพันธกิจโดยปราศจากพระเยซูที่นำเขาอย่างที่มองเห็นจับต้องได้ในฝ่ายกายภาพ แม้ในตลอดสามปีของการฝึกฝนจากพระอาจารย์ยิ่งใหญ่ก็ไม่ได้เตรียมพวกเขาในเรื่องนี้ ปัญหาจากชีวิตภายในยังคงมีอยู่ ก่อนพวกเขาจะสามารถมีพันธกิจอันทรงพลังและได้รับการนำโดยพระวิญญาณบริสุทธิ์ตามที่พระเจ้าวางแผนไว้ พวกเขาจำเป็นต้องได้รับการตอบสนองต่อความต้องการเจาะจงในใจโดยการงานอย่างเจาะจงของพระวิญญาณบริสุทธิ์
[1] ปัญหานี้แสดงตนออกมาในโอกาสต่าง ๆ ตลอดช่วงสามปีแห่งการฝึกฝน บางครั้งพวกเขามีท่าทีผูกพยาบาท อย่างเช่นเมื่อพวกเขาต้องการเรียกไฟให้ลงมาเผาไหม้ผู้คนที่ปฏิเสธพวกเขา (ลูกา 9:54-55) บางครั้งพวกเขาแบ่งพรรคพวกด้วยความหยิ่งยะโส อย่างเช่นเมื่อพวกเขาห้ามชายคนหนึ่งไม่ให้ทำพันธกิจเพราะไม่ได้รับอนุญาติจากพวกเขา (มาระโก 9:38) พวกเขาเห็นแก่ตัวและใฝ่สูง อย่างเช่นเมื่อมีสองคนขอตำแหน่งสูงและทำให้คนอื่น ๆ ไม่พอใจ (มาระโก 10:35-41)
พวกเขาโต้เถียงกันว่าใครจะยิ่งใหญ่ที่สุด (มาระโก 9:33-34) การที่พวกเขารู้สึกละอายเมื่อพระเยซูตรัสถามสิ่งที่พวกเขากำลังพูดถึงนั้น แสดงให้เห็นถึงความตระหนักว่า พวกเขาควรมีแรงจูงใจที่ดีกว่านี้
ในการรับประทานอาหารมื้อสุดท้าย พระเยซูล้างเท้าของพวกสาวก และบอกพวกเขาให้มีท่าทีอย่างเดียวกันกับที่พระองค์แสดงให้เห็นในการเป็นผู้รับใช้ (ยอห์น 13:14) แต่พวกเขายังไม่มีความถ่อมใจแบบนี้ พวกเขาปฏิเสธที่จะรับใช้กันและกันในเย็นวันเดียวกันนั้น ปัญหาที่แท้จริงไม่ใช่เพราะขาดความรู้ แต่คือความหยิ่งของพวกเขา
พระเยซูบอกพวกเขาว่าควรมีความรักที่มากพอจนถึงขนาดยอมสละชีวิตให้กันได้ (ยอห์น 15:12-13) พวกเขาคิดว่าตัวเองมีความรักแบบนี้ แต่กลับไม่มี เพราะพวกเขาพากันหนีเอาตัวรอดเมื่อมีการจับกุมพระเยซู แม้พวกเขาได้เคยพูดไว้ว่าจะยอมตายเพื่อพระองค์ (มาระโก 14:31, 50)
ทั้งหมดนี้คือคนที่จะมีความรับผิดชอบนำและขยายคริสตจักรโดยไม่มีพระคริสต์อยู่กับพวกเขาในฝ่ายกายภาพ พระเยซูรู้ว่าพวกเขาจะยังไม่พร้อมทำพันธกิจจนกว่าความต้องการของชีวิตภายในจะได้รับการตอบสนอง ดังนั้นพระองค์จึงบอกให้พวกเขารอคอยที่เยรูซาเล็มจนกว่าจะได้รับตาม “พระสัญญาของพระบิดา” (กิจการ 1:4-5) พระสัญญานี้ได้รับการระบุถึงว่าเป็นการบัพติศมาของพระวิญญาณบริสุทธิ์ จำเป็นอย่างยิ่งที่พวกเขาจะไม่เดินหน้าในการก่อตั้งและทำให้คริสตจักรรุ่งเรืองโดยปราศจากสิ่งนี้
พระองค์ไม่ได้บอกว่าพวกเขาต้องรับการฝึกฝนมากขึ้น หรือไม่ได้บอกว่าต้องการขั้นตอนระยะยาวเพื่อเติบโต แต่พวกเขาต้องรอคอยอยู่ในเยรูซาเล็มเพื่อเจอกับเหตุการณ์สำคัญสูงสุดฝ่ายวิญญาณ
ประสบการณ์ของพวกสาวกในวันเพ็นเทคอสได้อธิบายไว้ว่าเป็นการเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ (กิจการ 2:4) แม้ว่าจะมีหลายสิ่งเกิดขึ้นในเหตุการณ์นั้น แต่ต่อมาเปโตรชี้ชัดว่าการงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์ที่สำคัญครั้งนั้นได้ชำระใจของพวกเขาให้บริสุทธิ์ (กิจการ 15:8-9) นี่คือสิ่งจำเป็นสำหรับพวกสาวก หลักฐานทั้งหมดเกี่ยวกับความต้องการของชีวิตภายในของพวกเขาชี้ให้เห็นถึงปัญหาในหัวใจคือ ความเลวทรามที่สืบทอดมา ซึ่งพวกเขาจำเป็นต้องได้รับการชำระให้บริสุทธิ์ เมื่อการชำระให้บริสุทธิ์นี้เกิดขึ้นโดยการบัพติศมา (หรือการเต็มเปี่ยม) ด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์ พวกเขาก็ไม่ถือว่าความปลอดภัยของตัวเองหรือการเลื่อนตำแหน่งเป็นเป้าหมายหลักอีกต่อไป
[2] เหตุการณ์ในวันเพ็นเทคอสทำให้เกิดคริสตจักรที่มีการประกาศข่าวประเสริฐอย่างทรงพลัง คริสตจักรเต็มไปด้วยความยินดีและชัยชนะทั้ง ๆ ที่มีความขัดแย้งด้านหลักคำสอนนอกรีตของศาสนายิว การกล่าวหากันจากคนภายใน คนหน้าซื่อใจคด การต่อต้านจากผีปีศาจ การกดขี่ข่มเหง และความยากลำบาก
ผู้เชื่ออาจมีความต้องการอย่างเดียวกันกับพวกสาวก ความต้องการนี้ตอบสนองได้โดยการเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณบริสุทธิ์
แต่นี่ไม่ได้เป็นการกล่าวว่า...
1. ผู้เชื่อไม่มีพระวิญญาณบริสุทธิ์จนกว่าเขาจะรับการเต็มเปี่ยมแบบพิเศษนี้
2. ไม่มีการงานใดของพระวิญญาณบริสุทธิ์ปรากฏในผู้เชื่อจนกว่าการเต็มเปี่ยมแบบนี้จะเกิดขึ้น
3. ไม่มีการเต็มเปี่ยมของพระวิญญาณแบบอื่นนอกเหนือจากแบบนี้ที่ชำระใจให้สะอาดได้
4. ทุกคนที่มีการเต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณจะมีพันธกิจแบบอัครทูต
เราไม่ควรทึกทักว่าประสบการณ์ของเราจะเหมือนกับพวกสาวก อย่างไรก็ตาม ความต้องการที่จะได้รับการชำระใจให้บริสุทธิ์และรับมอบฤทธิ์อำนาจเพื่อทำพันธกิจยังคงสำคัญสำหรับเรา
จากตัวอย่างของพวกสาวก เราสามารถมองเห็นสิ่งต่อไปนี้
1. ถ้าหากคน ๆ หนึ่งมีความต้องการนี้ เขาย่อมไม่ได้ถูกเตรียมให้พร้อมเต็มที่สำหรับงานพันธกิจหรือมีชีวิตที่บริสุทธิ์
2. พระเจ้าไม่ต้องการทิ้งคน ๆ หนึ่งให้อยู่ในสภาพเช่นนั้น
3. ทางออกไม่ใช่การฝึกอบรมหรือขั้นตอนระยะยาวเพื่อเติบโตฝ่ายวิญญาณ
4. เป็นไปได้ที่ความต้องการนี้จะได้รับการตอบสนองในเสี้ยววินาที หลังจากมีการแสวงหาอย่างถูกต้อง
ผู้เชื่อสามารถรับการงานของพระวิญญาณบริสุทธิ์นี้ได้อย่างไร?
เปโตรกล่าวว่ารับได้โดยความเชื่อ (กิจการ 15:8-9) พระเยซูเตรียมพวกสาวกให้มีความเชื่อโดยการให้พระสัญญาและสร้างความคาดหวังให้พวกเขา
ด้วยเหตุนี้ ถ้าหากคน ๆ หนึ่งมองเห็นความต้องการของตัวเองและเข้าใจพระประสงค์ของพระเจ้าที่จะตอบสนองความต้องการนั้น เขาก็สามารถรับพระคุณนี้ได้โดยความเชื่อ
 
[1] 
“ภารกิจอันยิ่งใหญ่ที่พระอาจารย์ได้มอบไว้ในมือของพวกเขานั้นเหนือกว่ากำลังของมนุษย์ ดังนั้นพระองค์จึงจัดเตรียมทรัพยากรอย่างไม่จำกัดที่เป็นของพระวิญญาณบริสุทธิ์แก่พวกเขา พระองค์ทำให้โลกรู้สึกถึงความบาป ความชอบธรรม 
และการพิพากษา พระองค์ไปกับพวกเขาในงานพันธกิจ 
ด้วยฤทธิ์เดชอันอัศจรรย์และด้วยผลลัพธ์อันน่าทึ่ง”
- เอ บี ซิมสัน คำกล่าวจากมิชชันนารี
 
[2] 
พวกเขากลายเป็นทีมสักขีพยานอันทรงพลังที่ได้รับการเจิมและเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกัน: ทำตามการเรียกของพระเจ้า พึ่งฤทธิ์อำนาจของพระเจ้า 
และทำงานเพื่อถวายเกียรติพระเจ้า
 
                                     
                                    
                                    
                                        
                                                                                                                                    
                                                
                                                     
                                                    Previous
                                                 
                                                                                    
                                                                                                                                    
                                                
                                                    Next