การประกาศและสร้างสาวกในพระคัมภีร์
การประกาศและสร้างสาวกในพระคัมภีร์
Audio Course Purchase

Search Course

Type at least 3 characters to search

Search through all lessons and sections in this course

Searching...

No results found

No matches for ""

Try different keywords or check your spelling

results found

Lesson 17: สู่ความเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ

1 min read

by Stephen Gibson


พันธกิจการสอนของคริสตจักร

ในการกลับใจมาเชื่อ มีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้น คนที่กลับใจมาเชื่อจะมีความปรารถนาใหม่และลำดับความสำคัญใหม่ - การเปลี่ยนแปลงนั้นยิ่งใหญ่จนพระคัมภีร์อธิบายถึงเขาว่าเป็นดั่ง “สิ่งทรงสร้างใหม่” (2 โครินธ์ 5:17)

แต่มันเป็นบางสิ่งที่ต้องใช้เวลา คนที่กลับใจมาเชื่อไม่ได้เข้าใจทันทีถึงวิธีการประยุกต์ใช้หลักการของคริสเตียนกับทุกด้านในชีวิต เขาต้องเรียนรู้หลักการต่าง ๆ จากนั้นจึงเข้าใจวิธีที่จะประยุกต์ใช้

มีขั้นตอนการเติบโตเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณในระดับส่วนบุคคลด้วย คนที่กลับใจมาเชื่อคือ “ทารกในพระคริสต์”

► อ่าน 1 โครินธ์ 3:1-2 ตามข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ อะไรคือลักษณะของคนที่พึ่งกลับใจมาเชื่อ?

► อ่าน ฮีบรู 5:13-14 อะไรคือน้ำนมที่ข้อพระคัมภีร์นี้พูดถึง? อะไรคือเนื้อ? อะไรคือคุณลักษณะของการเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ?

ช่วงต้น ๆ ของหลักสูตรนี้ เราเรียนเรื่องพระมหาบัญชาที่พระเยซูให้ไว้แก่คริสตจักร ให้เรามาเรียนรู้อีกครั้ง

► อ่าน มัทธิว 28:18-20 ในพระคัมภีร์ตอนนี้ พระเยซูให้ความรับผิดชอบอะไรนอกเหนือจากการประกาศข่าวประเสริฐ?

ก่อนให้พระมหาบัญชา พระเยซูกล่าวว่าพระองค์มีสิทธิอำนาจทั้งสิ้นในสวรรค์และบนแผ่นดินโลก จากนั้นพระองค์ให้ความรับผิดชอบแก่คริสตจักรเพื่อนำคนให้เข้ามาเชื่อฟังสิทธิอำนาจของพระองค์

พระเยซูบอกพวกสาวกว่าไม่ให้แค่เทศนาข่าวประเสริฐเท่านั้น แต่ให้สอนทุกสิ่งที่พระองค์ได้สั่งเอาไว้ การประกาศข่าวประเสริฐคือส่วนแรกของภาระหน้าที่เท่านั้น การสอนคนที่กลับใจมาเชื่อให้เชื่อฟังคำสั่งทั้งหมดของพระเยซูคือกระบวนการสร้างสาวก การล้มเหลวในการสร้างสาวกเป็นความผิดร้ายแรงเหมือนกับความล้มเหลวในการประกาศข่าวประเสริฐ

พันธกิจการสอนของคริสตจักรคือการนำให้คนที่กลับใจมาเชื่อเติบโตเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณ

ในพระธรรมเอเฟซัสบอกกับเราว่า พระเจ้าเรียกให้ผู้คนให้มีบทบาทพิเศษในการทำพันธกิจ โดยมีวัตถุประสงค์เพื่อเสริมสร้างผู้เชื่อขึ้นเพื่อพวกเขาจะไม่เป็นเด็กอีกต่อไป (เอเฟซัส 4:11-14) ผลที่ได้รับจากการเป็นผู้ใหญ่ฝ่ายวิญญาณคือการมั่นคงอยู่ในหลักคำสอน

ศิษยาภิบาลมีความรับผิดชอบมากพิเศษในการสร้างสาวก เปาโลบอกทิโมธีว่า “จงอุทิศเวลาให้กับการอ่านพระคัมภีร์ในที่ประชุม ให้กับการเทศนาและสั่งสอน” (1 ทิโมธี 4:13) เขาไม่ได้พูดถึงการศึกษาพระคัมภีร์ส่วนตัวของทิโมธี แต่เขากำลังพูดถึงพันธกิจ พันธกิจของทิโมธีคือมุ่งอ่านและอธิบายพระคัมภีร์ ให้ทิศทางฝ่ายวิญญาณ และสอนหลักคำสอนของคริสเตียน หนึ่งในคุณสมบัติของศิษยาภิบาลคือการที่เขาสามารถสอนผู้อื่นได้ (1 ทิโมธี 3:2)

เพราะการเรียนรู้คือส่วนหนึ่งของการสร้างชีวิตฝ่ายวิญญาณ การสอนก็เป็นส่วนหนึ่งของงานสร้างสาวก ผู้สอนมีความสำคัญในคริสตจักร และคริสตจักรต้องพัฒนาผู้สอนเสมอ

"จงมอบคำสอนเหล่านั้นซึ่งท่านได้ยินจากข้าพเจ้าต่อหน้าพยานหลายๆ คนไว้กับบรรดาคนซื่อสัตย์ที่สามารถสอนคนอื่นได้ด้วย" (2 ทิโมธี 2:2) เปาโลในฐานะผู้ประกาศข่าวประเสริฐและศิษยาภิบาลที่มีประสบการณ์ได้ให้คำสั่งนี้แก่ทิโมธีผู้รับใช้ซึ่งอ่อนวัยกว่า เปาโลไม่ได้เชื่อมั่นว่าความเชื่อจะส่งต่อลงไปได้โดยผ่านทางคำเทศนาอย่างเดียวเท่านั้น บุคคลต่าง ๆ จำเป็นต้องได้รับการฝึกอบรมโดยความอุตสาหะเป็นพิเศษและได้รับการเตรียมให้พร้อมเพื่อจะฝึกอบรมคนอื่นต่อ ๆ ไป ถ้าหากการฝึกอบรมเช่นนี้ไม่สามารถบรรลุผลได้โดยการเทศนาให้กับสมาชิก “บรรดาคนที่ซื่อสัตย์” เหล่านี้ก็ต้องได้รับการฝึกอบรมส่วนตัวหรือในกลุ่มย่อย

[1]มีงานสอนมากมายที่ต้องทำ ศิษยาภิบาลมีเวลาทำเองทั้งหมดไหมโดยเฉพาะในเมื่อทุกคนไม่ได้พร้อมสำหรับคำสั่งสอนอย่างเดียวกันในเวลาเดียวกัน? แต่ในเอเฟซัส 4:11 ไม่ได้กล่าวว่า “ให้คนหนึ่งเป็นศิษยาภิบาล” (คนดียวและบทบาทเดียว) แต่มีหลายบทบาทและหลายคนทำหน้าที่เหล่านั้น พระเจ้าเรียกผู้สอนและให้ความสามารถในการสอนแก่พวกเขา และเสริมสร้างพวกเขาผ่านทางคริสตจักรเพื่อพันธกิจการสอน


[1]

“จุดประสงค์เริ่มต้นของแผนการของพระเยซูคือการเกณฑ์คนที่สามารถเป็นพยานถึงชีวิตของพระองค์และทำงานของพระองค์ต่อได้หลังจากพระองค์กลับไปหาพระบิดาแล้ว”

- โรเบิร์ต โคลแมน แผนงานของพระอาจารย์