การติดตามพระเยซู
► การเป็นสาวกของพระเยซูหมายความว่าอะไร?
บางคนคิดว่าคริสเตียนคือคนดีคนหนึ่ง บางคนคิดว่าการเป็นคริสเตียนหมายถึงการเชื่อในสิ่งใดสิ่งหนึ่ง สำหรับหลายคนเหล่านี้ การมีความเชื่อเรื่องต่าง ๆ ไม่ได้ทำให้มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมากนักในชีวิตของพวกเขา
บางคนใกล้เคียงมากกว่ากับความจริง พวกเขารู้ว่าเมื่อคนหนึ่งมาเป็นคริสเตียนจะต้องมีเวลาของการกลับใจมาเชื่อ พวกเขาเชื่อว่าสิ่งนี้เกิดขึ้นได้เมื่อคน ๆ หนึ่งเชื่อว่าเขาได้รับการยกโทษแล้วในช่วงเวลาใดเวลาหนึ่ง หลายคนเชื่อว่าคนที่กลับใจมาเชื่ออย่างแท้จริงมีหลักประกันว่าเขาจะได้ไปสวรรค์ไม่ว่าเขาจะทำอะไรหลังจากกลับใจมาเชื่อแล้วก็ตาม
จริงอยู่ที่การกลับใจมาเชื่อต้องแท้จริง จริงอยู่ที่การยกโทษให้โดยพระคุณซึ่งตอบสนองต่อความเชื่อ เป็นความจริงที่คริสเตียนดำเนินชีวิตด้วยการเชื่อฟังพระเจ้า แต่นั่นไม่ใช่ทั้งหมดที่หมายถึงการเป็นสาวกของพระเยซู
เราสามารถมองเห็นได้ว่าเกิดอะไรขึ้นเมื่อช่วงเวลาแห่งความเชื่อเป็นเกณฑ์เดียวสำหรับการเป็นคริสเตียน มันนำไปสู่การเป็นแนวคิดของแอนติโนเมียนิสซึมที่สอนว่าคำสั่งของพระเจ้าไม่ได้ผูกมัดคริสเตียน แทนที่จะเป็นพระคุณที่ให้เปล่าๆ มันกลายเป็นพระคุณที่นึกคิดเอาเองว่าช่วยให้คนทำบาปได้โดยไม่ผิด
คริสตจักรที่ประโคมข่าวเรื่องพระคุณเพ้อฝันจะมีสมาชิกที่เข้าคริสตจักรแต่ยังใช้ชีวิตอยู่ในความบาปแบบเปิดเผย ศิษยาภิบาลของพวกเขาและผู้นำคนอื่น ๆ ใช้ชีวิตดีกว่าสมาชิกแต่อาจยังมีนิสัยบาปหลายอย่างด้วยเช่นกัน พวกเขาพูดว่าไม่จำเป็นที่จะต้องใช้ชีวิตด้วยการเชื่อฟังพระเจ้าเต็มที่เพราะเรารอดโดยพระคุณ พวกเขาสูญเสียพระบัญญัติที่พระเยซูให้ไว้แก่คริสตจักรซึ่งจะนำให้ผู้คนเชื่อฟังคำบัญชาของพระคริสต์ ภารกิจพิเศษของคริสตจักรคือหันคนบาปให้เข้ามาเป็นคนบริสุทธิ์ที่นมัสการพระเจ้า และคริสตจักรไม่มีเหตุผลอื่นที่ดีกว่านี้แล้วในการดำรงอยู่
แม้แต่คริสตจักรต่าง ๆ ที่รักษาความจำเป็นในการเชื่อฟังพระเจ้าก็ยังมีบางคนที่หลงผิดอีก พวกเขาดำเนินชีวิตตามข้อกำหนดต่าง ๆ ที่พวกเขาเชื่อว่าถูกต้อง แต่พวกเขาไม่มีวิญญาณเหมือนพระคริสต์ พวกเขาก้าวร้าวและไม่ยกโทษ พวกเขาไม่สามารถขอโทษอย่างสุภาพอ่อนน้อมได้ พวกเขาด่วนตัดสินคนอื่น พวกเขาเชื่อมั่นในคนไม่กี่คน พวกเขาไม่เคยสงสัยในความถูกต้องของตัวเอง พวกเขามีคำตอบสำหรับทุกเรื่อง และไม่เคารพคนที่ไม่เห็นด้วยกับพวกเขา พวกเขาไม่มีภาระใจในการนำจิตวิญญาณผู้หลงหาย แต่มีภาระใจมากในการปกป้องความคิดเห็นของตัวเอง พวกเขาพึงพอใจกับตัวเองและไม่ได้วางแผนเพื่อจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง
คนเหล่านี้รู้จักพระเยซูจริง ๆ และอยากเป็นเหมือนพระองค์ไหม?
การเป็นคริสเตียนหมายถึงการเป็นสาวกของพระเยซู
การเป็นสาวกหมายถึงอะไร? คือการเชื่อฟังพระคริสต์ไหม? แน่นอนอย่างน้อยที่สุดมันคือความหมายนั้น ในพระมหาบัญชา พระองค์บอกให้พวกเขาไปทุกหนแห่งเพื่อสร้างสาวก พระองค์ตรัสว่า “สอนพวกเขาให้เชื่อฟังทุกสิ่ง”
การเชื่อฟังคำสั่งของพระเยซูไม่ได้คือความหมายทั้งหมดของการเป็นสาวก
ศิษย์ของอาจารย์ชาวยิวแบ่งปันชีวิตร่วมกับพวกเขา เรียนรู้ไม่เพียงแค่คำสอน แต่เรียนรู้วิธีใช้ชีวิตของพวกเขาด้วย พวกศิษย์เรียนรู้เกี่ยวกับทัศนคติและลำดับความสำคัญในชีวิตของพวกเขา
เมื่อพระเยซูเรียกพวกสาวกว่า “จงตามเรามา” นั่นคือสิ่งที่พระองค์ต้องการจริง ๆ พระองค์ยังคงเรียกพวกสาวกผ่านทางข่าวประเสริฐ
คน ๆ หนึ่งมาเป็นสาวกได้อย่างไร?
[1]อย่างแรก คุณต้องเชื่อในพระองค์ คุณจะติดตามพระองค์ได้ก็ต่อเมื่อคุณเชื่อในพระองค์ก่อน
คุณต้องเปลี่ยนทิศทางที่กำลังไป ไม่มีใครเริ่มต้นเป็นผู้ติดตามพระเยซูตั้งแต่ก้าวแรก เราเริ่มต้นก้าวบนทางของเราเอง คุณต้องตัดสินใจติดตามพระเยซูแทนที่จะไปตามทางของตัวเอง นั่นหมายความว่าคุณมองเห็นว่ามันมีบางอย่างผิดบนทางของตัวเองนั้น การติดตามนี้เริ่มต้นด้วยการกลับใจใหม่ คุณไม่สามารถติดตามพระองค์โดยไม่รู้สึกเสียใจต่อความบาปของตัวเอง ถ้าหากคุณไม่เสียใจมากพอจนอยากเลิกทำบาป คุณก็ยังคงอยู่ในทางของตัวเอง
คุณมีประสบการณ์รับการยกโทษจากพระเจ้าและเริ่มต้นความสัมพันธ์กับพระองค์ คุณเริ่มต้นรู้จักพระองค์มากขึ้นและอยากเป็นเหมือนพระองค์มากขึ้น
► อ่าน มัทธิว 16:21-25
ในการสนทนากับพวกสาวกของพระองค์นี้ พระเยซูอธิบายถึงการตายที่ใกล้เข้ามาของพระองค์ เปโตรตกใจมากจากคำพูดของพระเยซู เปโตรไม่เห็นว่าการทนทุกข์และการตายเป็นสิ่งที่สมควรเกิดขึ้นกับพระเยซูเลยสักนิด เขาเริ่มต้นโต้แย้งพระเยซู พยายามหนุนใจพระองค์ให้ปฏิเสธความคิดเรื่องการตายนั้น
พระเยซูสั่งห้ามเปโตรและบอกว่าเขาไม่เข้าใจสิ่งต่าง ๆ ของพระเจ้า พระเยซูตรัสว่าการเป็นสาวกนั้น อย่างหนึ่งคือต้องปฏิเสธตัวเอง แบกกางเขน และตามพระองค์ไป นี่หมายถึงยอมรับการตายต่อตัวเอง คำสั่งห้ามนั้นต่อต้านความโน้มเอียงตามธรรมชาติของมนุษย์ที่จะทำให้สำเร็จเพื่อตัวเอง ยกย่องตัวเอง และปกป้องตัวเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ต่อต้านการเป็นสาวกแท้
► ทำไมตัวตนของมนุษย์ตามธรรมชาติจึงต่อต้านการเป็นสาวก?
พวกสาวกไม่ได้มองเห็นว่าการทนทุกข์เป็นสิ่งที่ควรจะเกิดขึ้นกับตัวพวกเขา พวกเขายังไม่เข้าใจอย่างเต็มที่เกี่ยวกับความหมายของการติดตามพระองค์ การได้รับการยกโทษไม่ได้เรียกร้องให้คุณเสียสละอะไร แต่การติดตามพระคริสต์เรียกร้องให้คุณเสียสละทุกอย่าง การติดตามพระเยซูให้ผลลัพธ์เป็นการค้นหาหัวใจ ถ่อมใจ และเปลี่ยนแปลงใจอย่างสม่ำเสมอ
► อธิบายคำกล่าวนี้ “การติดตามพระคริสต์เรียกร้องให้คุณเสียสละทุกอย่าง”
การ “แบกกางเขน” คือการโอบรับเอาการตายอย่างหนึ่งเพื่อเห็นแก่ชีวิตนิรันดร์กับพระเจ้า มันคือการตายต่อตัวเอง การตายต่อการปกครองตนเอง ไม่ใช่แค่ยอมแต่ภายนอก แต่ทะลุเข้าไปในทุกส่วนของหัวใจ มันคือความถ่อมใจอย่างที่พระเยซูอธิบายไว้ว่าเป็นข้อกำหนดสำหรับการเข้าอาณาจักรของพระองค์
เหมือนพวกสาวกกลุ่มแรก หลายคนในวันนี้ไม่เข้าใจว่าการเป็นสาวกหมายถึงอะไร คริสตจักรนำเสนอพระคุณให้กับคนที่ยังไม่ได้กลับใจใหม่ นั่นไม่ใช่จุดเริ่มต้นของการกลับใจมาเชื่ออย่างถูกต้องหรือไม่ได้เป็นการเตรียมพวกเขาสำหรับสิ่งนั้นที่จะมาถึง มันแตกต่างอย่างมากจากการดำเนินชีวิตของคริสเตียนแท้จริง เป็นถนนคนละสายเลย
ไดทริช บอนฮอฟเฟอร์ เป็นศิษยาภิบาลชาวเยอรมันที่ถูกประหารชีวิตภายใต้การปกครองของ อดอฟ ฮิตเลอร์ เขาเขียนข้อความเหล่านี้ในหนังสือของเขาเรื่อง The Cost of Discipleship (ราคาที่แพงของการเป็นสาวก-ผู้แปล)
พระคุณราคาแพงคือทรัพย์สมบัติที่ซ่อนไว้ในทุ่งนา เพราะเห็นแก่มูลค่าของทรัพย์สมบัตินั้น ชายคนหนึ่งจึงยินดีไปและขายทุกสิ่งที่เขามี มันคือไข่มุกราคาแพงมากซึ่งพ่อค้าจะยอมขายสินค้าทั้งหมดของเขาเพื่อมาซื้อ มันคือการปกครองของพระคริสต์ในฐานะกษัตริย์ คือพระองค์ที่ทำให้ชายคนหนึ่งซึ่งเห็นคุณค่าของพระองค์ได้ยอมควักลูกตาที่ทำให้เขาหลงผิดออก มันคือการทรงเรียกของพระเยซูคริสต์ที่ทำให้สาวกยอมทิ้งอวนจับปลาของเขาแล้วติดตามพระองค์ไป...พระคุณเช่นนี้มีราคาแพงเพราะเป็นพระคุณที่เรียกให้เราติดตาม
การติดตามพระองค์คือการเป็นเหมือนพระองค์ มันคือการตายต่อตัวเองเพราะเขายอมจำนนตัวเองอย่างสิ้นเชิง มันไม่ใช่แค่การเลิกทำสิ่งผิด แต่เลิกทำเพราะพระเยซูไม่ทำ เราพยายามทำสิ่งที่พระเยซูได้ทำด้วยความบริสุทธิ์ เมตตาสงสาร กรุณา และให้อภัย
เราไม่ทำสิ่งที่ถูกต้องในขณะที่ใจของเราขัดขืน เราต้องการให้ใจของเราเป็นเหมือนใจของพระองค์ พระองค์ไม่เกลียดใคร มีคนที่เลือกเป็นศัตรูกับพระองค์ แต่พระองค์ไม่เป็นศัตรูกับใคร แม้บนไม้กางเขนพระองค์ก็ยังให้อภัย
ผู้ติดตามที่แท้จริงของพระองค์ไม่อาฆาตแค้น พวกเขาทำดีต่อคนที่ทำร้ายพวกเขา พวกเขาอวยพรและไม่เคยแช่งด่า พวกเขาให้อภัยอย่างไม่จำกัด พวกเขายอมสละสิทธิของตัวเองแต่เลือกที่จะรับใช้
ไม่มีสถานที่ใดที่จะทำให้เลิกใช้ชีวิตแบบยอมจำนนตัวเองนี้ได้ คนที่พยายามรักษาชีวิตของตนจะสูญเสียมันไป แต่คนที่ให้ชีวิตจะได้รับชีวิต
► เราจะเรียกให้ผู้คนมาถึงความรอดด้วยวิธีการใดที่จะเป็นการเตรียมพวกเขาให้เป็นสาวก?
“พระเยซูยืนหยัดที่จะเอารูปเคารพที่ครอบครองก่อนหน้านี้ออกไปจากใจกลางของโลก และพระองค์เองจะทรงขึ้นครองบัลลังก์ นี่คือการเปลี่ยนแปลงอย่างสิ้นเชิงของการจงรักภักดีที่ถือว่าเป็นการกลับใจมาเชื่อ หรืออย่างน้อยเป็นการเริ่มต้นของการกลับใจมาเชื่อนั้น แล้วเมื่อพระคริสต์ได้ครอบครองในตำแหน่งตามสิทธิของพระองค์แล้ว ทุกสิ่งอื่นก็เริ่มพลิกผัน”
- ลอแซนนี คอมมิทตี ฟอร์เวิร์ด
การประกาศข่าวประเสริฐ - เดอะ วิลโลแบงค์ รีพอร์ท