(1) การกลายเป็นสถาบัน 
เมื่อคริสตจักรทำงานเพื่อบรรลุผลสำหรับมิชชันในการประกาศ คริสตจักรจำเป็นจะต้องวางแผน สร้างทีม ผลิตโปรแกรมต่าง ๆ และแสวงหาการสนับสนุน คริสตจักรสร้างสถาบันต่าง ๆ เพื่อรับใช้วัตถุประสงค์ต่าง ๆ ในเชิงปฏิบัติ บ่อยครั้งสถาบันต่าง ๆ ถูกสร้างในช่วงที่มีการฟื้นฟูฝ่ายวิญญาณเมื่อผู้คนอุทิศตัวและคริสตจักรได้รับการกระตุ้นให้บรรลุผลสำเร็จสำหรับมิชชัน
สถาบันต่าง ๆ เป็นสิ่งจำเป็น สถาบันคือองค์กรระยะยาวที่ประกอบไปด้วยผู้คนและทรัพยากรต่าง ๆ ถ้าปราศจากสถาบันต่าง ๆ ก็จะไม่มีอาคารคริสตจักร ไม่มีมิชชันคนต่างชาติ ไม่มีการตีพิมพ์พระคัมภีร์หรืองานเขียนใด ๆ ไม่มีโรงเรียนคริสเตียนหรือโปรแกรมการศึกษา และไม่มีการสนับสนุนทางการเงินสำหรับพันธกิจ แม้แต่คริสตจักรท้องถิ่นเองก็เป็นสถาบันหนึ่งที่จะไม่สามารถตั้งอยู่ได้จนกว่าผู้คนจะอุทิศตัวต่อคริสตจักร
ถ้าหากสถาบันหนึ่งประสบความสำเร็จ อาจเป็นสถาบันใหญ่ที่มีคนจำนวนมากและงบประมาณมหาศาล ในการธำรงรักษาสถาบันนั้นเอาไว้จะต้องใช้ความพยายามและค่าใช้จ่ายอย่างมาก บางครั้งผู้คนที่ทำงานในสถาบันนั้นจะเริ่มรู้สึกว่าการสร้างสถาบันกลายเป็นเป้าหมายเบื้องต้น พวกเขาคิดว่าการทำงานของพวกเขานั้นก็เพื่อธำรงรักษาสถาบันให้ดำเนินต่อไปได้มากกว่าที่จะทำให้มิชชันของสถาบันนั้นสำเร็จ
แม้ว่าสถาบันจะเป็นสิ่งจำเป็น แต่สถาบันเหล่านั้นต้องได้รับการประเมินบ่อยครั้งและปฏิรูปโดยให้ข่าวประเสริฐเป็นลำดับความสำคัญแรก
(2) การทำให้ศาสนากลายเป็นธุรกิจ 
เนื่องจากพันธกิจมีศักยภาพในการหาเงิน จึงมีบางคนเริ่มต้นทำพันธกิจแบบธุรกิจ การที่พันธกิจจะขายสิ่งต่างๆ เพื่อช่วยเรื่องค่าใช้จ่ายไม่ได้เป็นความผิดอันใด และการที่พันธกิจแสวงหาการสนับสนุนทางการเงินก็ไม่ผิด อย่างไรก็ตามถ้าหากบุคคลหนึ่งมีเงินเป็นแรงจูงใจสำคัญมากกว่าข่าวประเสริฐ ใจของเขาไม่ถูกต้องและการงานของเขาก็ไม่ได้ทำให้พระเจ้าพอพระทัย (1 เปโตร 5:1-2, 2 เปโตร 2:3)
ซีโมนเป็นคนหนึ่งที่ต้องการของประทานฝ่ายวิญญาณเพื่อเขาจะมีตำแหน่งและหาผลกำไรทางการเงิน แต่อัครทูตบอกเขาว่าใจของเขาไม่ถูกต้อง (กิจการ 8:18-23)
► อะไรคือความผิดที่เกิดขึ้นในสถานการณ์ที่ศิษยาภิบาลคนหนึ่งพยายามขายคริสตจักรของเขา? อะไรคือความเข้าใจที่ผิดของเขาเกี่ยวกับสิ่งที่คริสตจักรเป็น?
(3) การผสานความเชื่อ 
การผสานความเชื่อคือ การผสมผสานศาสนาคริสต์เข้ากันกับความเชื่อที่แตกต่างและการปฏิบัติจากอีกศาสนาหนึ่ง ตัวอย่างหนึ่งของการผสานความเชื่อที่อยู่ในยุคพันธสัญญาใหม่คือ ศาสนาของชาวสะมาเรีย พวกคนต่างชาติที่นมัสการรูปเคารพได้ย้ายเข้ามาอยู่ในเขตแดนอิสราเอล และผสมผสานศาสนาของอิสราเอลเข้ากับรูปเคารพของพวกเขา พระเยซูตรัสว่าพวกเขาไม่รู้จักสิ่งที่พวกเขานมัสการ (ยอห์น 4:22)
อีกตัวอย่างของการผสานความเชื่ออยู่ในประวัติศาสตร์ของเฮติ เมื่อเฮติเป็นอาณานิคมของฝรั่งเศส ทาสจากแอฟริกาต้องเปลี่ยนมานับถือศาสนาคริสต์ พวกเขาผสมผสานศาสนาเดิมเข้ากับนิกายโรมันคาทอลิก ชาวเฮติจำนวนมากยังคงนับถือลัทธิวูดู ซึ่งเป็นการบูชาวิญญาณ แต่ใช้สัญลักษณ์คริสเตียนและชื่อของนักบุญคริสเตียน
บางครั้งการผสานความเชื่อเกิดขึ้นเพราะศาสนาคริสต์เข้าร่วมกับประเทศที่ยึดครองอีกประเทศหนึ่ง ผู้คนจำเป็นต้องเอาใจประเทศที่เป็นฝ่ายยึดครอง ดังนั้นพวกเขาจึงยอมรับประเพณีทางศาสนาของประเทศนั้นแต่ก็ยังยึดถือความเชื่อเดิมของพวกเขา
► มีตัวอย่างการผสมผสานศาสนาคริสต์เข้ากับศาสนาอื่น ๆ อะไรบ้างที่คุณเห็น?
แรงจูงใจทางโลกสามารถทำให้เกิดการผสานความเชื่อได้ ถ้าหากผู้คนคิดว่าการยอมรับข่าวประเสริฐจะนำผลประโยชน์ทางการเงิน อิทธิพลทางการเมือง หรือความพึงพอใจจากคนที่มีอิทธิพลมาให้พวกเขา พวกเขาก็อาจยอมรับรูปแบบภายนอกของศาสนาคริสต์โดยที่ไม่ได้กลับใจมาเชื่ออย่างแท้จริง จากนั้นพวกเขาก็ยังคงทำตามความเชื่อและวิถีปฏิบัติเดิม แต่ก็เรียกตัวเองว่าเป็นคริสเตียน ดีที่สุดคือเมื่อคริสตจักรสามารถประกาศข่าวประเสริฐโดยไม่ต้องนำเสนอสิ่งใด ๆ ที่เป็นสาเหตุทำให้ผู้คนตอบสนองด้วยแรงจูงใจที่ผิด
ศาสนาคริสต์ดูเหมือนเป็นศาสนาต่างชาติเมื่อข่าวประเสริฐถูกนำไปโดยมิชชันนารีต่างชาติ อย่างไรก็ตาม เป็นเรื่องสำคัญสำหรับศาสนาคริสต์ที่จะได้รับการปลูกฝังในแต่ละวัฒนธรรมและอยู่ในรูปแบบของวัฒนธรรมท้องถิ่นนั้น ข่าวประเสริฐไม่ควรดำเนินไปในรูปแบบของศาสนาของคนต่างชาติ อย่างไรก็ตาม การที่มิชชันนารีและผู้ประกาศสังเกตเห็นรายละเอียดต่าง ๆ ของวัฒนธรรมหนึ่งซึ่งไม่สามารถเข้ากันกับศาสนาคริสต์เป็นเรื่องที่สำคัญ การสังเกตเห็นนี้เป็นกระบวนการที่ต้องได้รับความช่วยเหลือจากคริสเตียนในท้องถิ่นและไม่สามารถทำสำเร็จได้อย่างรวดเร็ว
(4) ศาสนาที่สังคมให้ความนิยม 
บางครั้งศาสนาถือเป็นศาสนาประจำชาติ ตัวอย่างเช่น ในบางประเทศ คนส่วนใหญ่เป็นมุสลิม ในประเทศอื่น ๆ คนส่วนใหญ่ถือว่าตนเองเป็นนิกายโรมันคาธอลิก หลายคนไม่ปฏิบัติตามมาตรฐานทางศีลธรรมของศาสนาอย่างแท้จริง และปฏิบัติตามประเพณีทางศาสนาเป็นครั้งคราวเท่านั้น แต่พวกเขาบอกว่าพวกเขาเป็นสาวกของศาสนานั้น
หลายคนเรียกตัวเองว่าคริสเตียนเพราะในวงสังคมของพวกเขาคนดีทุกคนถือเป็นคริสเตียน พวกเขาไม่ได้กลับใจจริงๆ พวกเขาปฏิบัติตามมาตรฐานทางศีลธรรมของตนเอง
ข่าวประเสริฐคือเสียงเรียกให้กลับใจใหม่และยอมจำนนต่อพระคริสต์ พระเยซูตรัสว่าคนๆ หนึ่งไม่สามารถเป็นสาวกของพระองค์ได้จนกว่าเขาจะยอมรับการตายต่อการเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางและมาเป็นสาวกที่แท้จริง (ลูกา 9:23)
คำนิยามของคริสเตียนคนหนึ่งไม่สามารถปรับเปลี่ยนให้เป็นที่นิยมในสังคมที่เต็มไปด้วยความบาปได้ มาตรฐานทางศีลธรรมทั่วไปในสังคมมักจะต่ำกว่ามาตรฐานทางศีลธรรมของคริสเตียน คริสเตียนแตกต่างอย่างเห็นได้ชัดกับโลกนี้
► ศาสนาคริสต์ที่ได้รับความนิยมโดยปราศจากการกลับใจใหม่มักจะแสดงตัวให้เห็นในสังคมของคุณอย่างไร?
(5) การนับถือลัทธินิกาย 
เราไม่สามารถคาดหวังให้คริสเตียนทุกคนเห็นด้วยกับหลักคำสอนทุกอย่าง มีความแตกต่างกันในท่ามกลางคริสเตียน ถึงแม้พวกเขายอมรับพระคัมภีร์ว่าเป็นสิทธิอำนาจสำหรับหลักคำสอนของพวกเขาก็ตาม
บางครั้งคริสตจักรต่าง ๆ จะเน้นหลักคำสอนที่ทำให้พวกเขาแตกต่างจากคริสตจักรอื่น ๆ แต่หลักคำสอนเหล่านั้นไม่ได้สำคัญเท่ากับหลักคำสอนที่เป็นรากฐานของศาสนาคริสต์ คริสตจักรไม่ควรพูดว่าคริสตจักรอื่น ๆ ไม่ใช่คริสเตียนแท้ ถ้าหากคริสตจักรเหล่านั้นสอนเกี่ยวกับเนื้อแท้ของข่าวประเสริฐ
คริสตจักรหนึ่งไม่ควรสร้างเอกลักษณ์ของตนโดยการโจมตีคริสตจักรอื่น แต่ควรสถาปนาตัวเองด้วยข่าวประเสริฐก่อน จากนั้นจึงสร้างการสามัคคีธรรมของกลุ่มสมาชิกที่ผูกพันตัว
► อะไรคือมาตรฐานที่จะทำให้คริสตจักรหนึ่งยอมรับอีกคริสตจักรหนึ่งว่าเป็นคริสเตียนแท้จริง?
(6) ความไม่สมดุลของหลักคำสอน 
แม้แต่หลักคำสอนที่แท้จริงก็สามารถได้รับการเน้นจนดูเหมือนขัดแย้งกันกับความจริงอย่างอื่น โดยการเน้นที่พระคุณ คริสตจักรอาจลดทอนการเชื่อฟังพระเจ้าลง โดยการเน้นวินาทีที่กลับใจมาเชื่อ คริสตจักรอาจหลงลืมกระบวนการสร้างสาวก ในขณะที่การเน้นถึงความสัตย์ซื่อของพระเจ้าต่อคนที่หันหลังกลับ คริสตจักรอาจล้มเหลวในการเตือนถึงอันตรายของการละทิ้งความเชื่อ ในขณะที่ยกย่องของประทานฝ่ายวิญญาณ คริสตจักรอาจล้มเหลวในการยกย่องชีวิตฝ่ายวิญญาณที่ลึกกับพระเจ้าและคุณลักษณะของคริสเตียน
ความไม่สมดุลในหลักคำสอนมีปรากฏให้เห็นตลอดเวลาที่ผ่านมาและมีผลกระทบในระยะยาว คำสอนใด ๆ ที่ (1) เป็นสาเหตุให้ละเลยต่อความบาป (2) ขจัดความมั่นใจในความรอดออกไป (3) ทำให้ยากลำบากมากขึ้นในการที่คนจะตอบสนองต่อข่าวประเสริฐ หรือ (4) ปิดบังข่าวประเสริฐ เหล่านี้ล้วนเป็นหลักคำสอนที่ไม่สมดุล
                                     
                                    
                                    
                                        
                                                                                                                                    
                                                
                                                     
                                                    Previous
                                                 
                                                                                    
                                                                                                                                    
                                                
                                                    Next