ฮวงพูดว่า “ผมรักพระเจ้าสุดใจ และผมก็รักคนส่วนใหญ่ แต่ผมไม่สามารถรักคนผิวดำ ผมคิดว่าคนผิวดำทั้งหมดเป็นคนเกียจคร้าน”
เพื่อนของฮวงตอบว่า “แต่คริสเตียนต้องรักทุกคนนะ คริสเตียนไม่สามารถตัดสินคนอื่นอย่างไม่ยุติธรรม” ฮวงตอบว่า “ผมไม่คิดว่าพระเจ้าจะสนใจสิ่งเล็กน้อยอย่างนี้ มันเป็นเรื่องปกติไม่ใช่หรือที่จะหลีกเลี่ยงคนที่แตกต่างไม่เหมือนเรา?”
พระเจ้าตรัสว่า “คนบริสุทธิ์ปฏิบัติต่อทุกคน รวมถึงคนที่แตกต่างไม่เหมือนเรา ด้วยความเมตตาสงสาร”
“ถ้าพวกท่านปฏิบัติตามธรรมบัญญัติของพระเจ้าอย่างแท้จริงตามพระคัมภีร์ที่ว่า ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’พวกท่านก็ทำดี แต่ถ้าพวกท่านลำเอียง ท่านก็ทำบาป และถูกตัดสินว่าเป็นผู้ละเมิดโดยธรรมบัญญัติ” (ยากอบ 2:8-9)
 
สิ่งหนึ่งที่ประเมินคุณลักษณะของคุณคือวิธีการปฏิบัติของคุณต่อคนที่ทำอะไรให้คุณไม่ได้ มันง่ายมากที่จะปฏิบัติต่ออีกคนอีกอย่างหนึ่งและให้เกียรติอีกคนที่มีตำแหน่งซึ่งให้เงิน อาชีพ หรืออำนาจแก่เราได้ ความรักย่อมให้เกียรติคนที่ทำอะไรให้เราไม่ได้ เช่น คนยากจน คนแก่ชรา เด็ก ๆ และคนอื่น ๆ ที่ไม่มีตำแหน่ง “กฎทอง” ของความรักจะส่งผลต่อวิธีการปฏิบัติของเราต่อทุกคน ความรักทำให้กฎบัญญัติครบถ้วนสมบูรณ์
ความรักทำให้กฎบัญญัติครบถ้วนสมบูรณ์ 
ความรักที่สมบูรณ์ดีพร้อมเป็นใจกลางของคำสอนเรื่องชีวิตที่บริสุทธิ์ ในบทที่ 7 เราเห็นว่าความรักต่อพระเจ้าไม่ได้เป็นเพียงแค่อารมณ์และความรู้สึก ความรักต่อพระเจ้าเปลี่ยนเป้าหมายชีวิตของเราทั้งหมด ตอนนี้เราจะอยากทำให้พระเจ้าพอพระทัยมากกว่าทำตามใจตัวเอง ในทำนองเดียวกัน ความรักต่อเพื่อนบ้านของเราจะเปลี่ยนจากการจดจ่อกับตัวเองไปสู่การจดจ่อที่ผู้อื่น
เปาโลเขียนถึงคริสตจักรที่กรุงโรมว่า...
“อย่าเป็นหนี้อะไรใครเลย นอกจากความรักซึ่งมีต่อกัน เพราะว่าผู้ที่รักคนอื่น ก็ได้ปฏิบัติตามธรรมบัญญัติครบถ้วนแล้ว ข้อที่ว่า ‘ห้ามล่วงประเวณีผัวเมียเขา ห้ามฆ่าคน ห้ามลักทรัพย์ ห้ามโลภ’ ทั้งพระบัญญัติอื่นๆ ก็รวมอยู่ในข้อนี้คือ ‘จงรักเพื่อนบ้านเหมือนรักตนเอง’ ความรักไม่ทำอันตรายต่อเพื่อนบ้านเลย เพราะฉะนั้นความรักจึงเป็นสิ่งที่ทำให้ธรรมบัญญัติสำเร็จอย่างครบถ้วน” (โรม 13:8-10)
 
คริสเตียนทุกคนเป็นหนี้ความรัก เปาโลยืนยันกับเราว่า ถ้าเราใช้หนี้ความรัก เราจะใช้หนี้ได้ครอบตามกฎบัญญัติทั้งหมด ถ้าเรารักคนอื่น เราจะไม่ล่วงประเวณี ไม่ฆ่าคน ไม่ขโมย ไม่โลภ เป็นต้น การใช้หนี้ตามกฎบัญญัติจะครบถ้วนเมื่อเรารักเพื่อนบ้านเหมือนรักตัวเอง
ช่วงตอนท้ายของจดหมายฝากโรมเปาโลแสดงให้เห็นถึงวิธีการที่ความรักทำให้กฎบัญญัติครบถ้วนสมบูรณ์ คนที่เต็มไปด้วยความรักของพระเจ้าจะมีลักษณะดังต่อไปนี้...
	
	รับใช้พระกายของพระคริสต์มากกว่ารับใช้ตัวเอง (โรม 12:3-5)
	 
	
	เกลียดสิ่งชั่ว ยึดมั่นสิ่งดี (โรม 12:9)
	 
	
	ขวนขวายในการให้เกียรติกันและกัน (โรม 12:10)
	 
	
	เห็นใจในความขัดสนของกันและกัน (โรม 12:13)
	 
	
	อยู่ร่วมกันกับคนอื่นอย่างสงบสุข แม้แต่กับศัตรู (โรม 12:14-21)
	 
	
	ยอมอยู่ใต้บังคับของผู้มีอำนาจปกครอง (โรม 13:1-7)
	 
	
	เคารพต่อจิตสำนึกของผู้เชื่อคนอื่น (โรม 14:1-23)
	 
	
	รับใช้เพื่อนบ้านที่ขัดสนเหมือนอย่างที่พระคริสต์ทรงกระทำ (โรม 15:1-3)
	 
 
การรักพระเจ้าเปลี่ยนหัวใจของเราจากมีตัวเองเป็นรากฐานกลายเป็นพระเจ้าเป็นรากฐาน การรักเพื่อนบ้านเปลี่ยนหัวใจของเราจากมีตัวเองเป็นรากฐานกลายเป็นผู้อื่นเป็นรากฐาน ทั้งสองอย่างรวมอยู่ในความหมายของการเป็นคนที่บริสุทธิ์
จอห์น เวสเลย์ สรุปความหมายของการเป็นคริสเตียนที่ดีพร้อมไว้ว่า...
“ความรักคือของประทานสูงสุดจากพระเจ้า รักที่ถ่อมใจ สุภาพ และอดทน นิมิตทั้งหมด การสำแดงทั้งหลาย หรือของประทานทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งเล็กน้อยเมื่อเทียบกับความรัก ในศาสนาไม่มีสิ่งใดสูงกว่า ถ้าคุณมองหาสิ่งใดมากกว่าความรัก คุณก็กำลังมองผิด คุณกำลังออกจากทางสายหลัก และเมื่อคุณกำลังถามคนอื่นว่า ‘คุณได้รับพระพรนี้พระพรนั้นไหม?’ ถ้าคุณให้คุณค่ากับสิ่งใดมากกว่าความรัก คุณก็ให้คุณค่าผิด คุณกำลังนำสิ่งเหล่านั้นออกไปนอกเส้นทาง และวางสิ่งเหล่านั้นไว้บนที่ที่ผิด ตั้งหลักคิดในใจของคุณว่า จากวินาทีที่พระเจ้าช่วยกู้คุณให้รอดพ้นความบาป คุณต้องมุ่งไปที่สิ่งอื่นมากขึ้น แต่มุ่งไปที่ความรักใน 1 โครินธ์ บทที่ 13 ให้มากขึ้น คุณสามารถไปได้สูงกว่าที่เป็นอยู่นี้”[1] 
 
ความรักต่อเพื่อนบ้านที่เป็นคริสเตียน 
สองด้านที่แสดงให้เห็นลักษณะของความรักที่สมบูรณ์ดีพร้อมในความสัมพันธ์กับคริสเตียนคนอื่น ๆ
ความรักให้ความเคารพต่อจิตสำนึกของคริสเตียนคนอื่น ๆ  
ในการเขียนจดหมายถึงคริสเตียนที่เมืองโครินธ์ เปาโลกล่าวถึงประเด็นเรื่องเสรีภาพของคริสเตียน ฉันจะตอบสนองอย่างไรต่อผู้เชื่ออีกคนที่อาจบอบช้ำฝ่ายวิญญาณเพราะเสรีภาพของฉัน? เปาโลเขียนถึงคริสเตียนที่ “เข้มแข็ง” ที่พูดว่า “เรารู้ว่ารูปเคารพนั้นไร้ความหมาย การกินอาหารที่บูชารูปเคารพก็ไม่ได้มีความหมายอะไรสำหรับเรา” เปาโลตอบสนองดังนี้...
“แต่จงระวังอย่าให้สิทธิของพวกท่าน ทำให้พวกที่มีความเชื่ออ่อนแอสะดุด เพราะว่าถ้าใครเห็นท่านที่มีความรู้ นั่งรับประทานอาหารในโบสถ์ของรูปเคารพ มโนธรรมที่อ่อนแอของคนนั้นก็จะเหิมขึ้นและกินของที่บูชาแก่รูปเคารพไม่ใช่หรือ? ความรู้ของท่านจะทำให้พี่น้องที่มีความเชื่ออ่อนแอ ซึ่งพระคริสต์ทรงยอมวายพระชนม์เพื่อเขาต้องพินาศไป และเมื่อพวกท่านทำผิดต่อพี่น้องเช่นนี้ และทำร้ายมโนธรรมที่อ่อนแอของพวกเขา ท่านก็ทำผิดต่อพระคริสต์ด้วย เพราะฉะนั้นถ้าอาหารเป็นเหตุที่ทำให้พี่น้องของข้าพเจ้าสะดุด ข้าพเจ้าจะไม่กินเนื้อสัตว์อีกต่อไป เพื่อว่าจะไม่ทำให้พี่น้องต้องสะดุด” (1 โครินธ์ 8:9-13)
 
เปาโลจะยอมไม่กินเนื้อตลอดชีวิตที่เหลืออยู่ดีกว่าทำให้พี่น้องคริสเตียนที่อ่อนแอกว่าล้มลง ความรักที่สมบูรณ์ดีพร้อมคือการที่เขาห่วงใยความรอดของพี่น้องคริสเตียนอีกคนมากกว่าสิทธิของเขาเอง ต่อมาเปาโลกล่าวว่า “แต่เรายอมทนทุกอย่างเพื่อเราจะไม่วางสิ่งกีดขวางใดๆ ต่อข่าวประเสริฐของพระคริสต์” (1 โครินธ์ 9:12)
ชาวโครินธ์พูดว่า “เรามีเสรีภาพที่จะทำสิ่งใดก็ได้ที่เราอยากทำ เราไม่ต้องมาคิดถึงความขัดสนของผู้เชื่อคนอื่น” เปาโลพูดว่า “ข้าพเจ้ามีเสรีภาพที่จะรับใช้ผู้เชื่อคนอื่นที่ขัดสน ข้าพเจ้าไม่ได้ถูกผูกมัดด้วยความปรารถนาและสิทธิส่วนตัว” ข้าพเจ้ามีอิสระที่จะรักผู้อื่นได้ นี่คือความรักที่สมบูรณ์ดีพร้อมที่พระเจ้าต้องการให้คริสเตียนทุกคน
►   อ่าน  โรม  บทที่  14
ในคริสตจักรที่กรุงโรม มีคริสเตียนที่ “อ่อนแอ” ที่กินแต่ผัก คนเหล่านี้น่าจะเป็นคริสเตียนชาวยิวที่ยังคงทำตามกฎบัญญัติเรื่องอาหารแบบชาวยิว และไม่อยากเสี่ยงกินอาหารที่เป็นมลทิน นอกจากนี้ยังมีคริสเตียนที่ “เข้มแข็ง” ที่มีความรู้มากกว่าและรู้ว่าอาหารตามกฏบัญญัตินั้นไม่ได้ผูกมัดคริสเตียนอีกต่อไป
เปาโลแสดงให้แต่ละกลุ่มเห็นถึงความหมายของการรักอย่างที่พระคริสต์รัก คริสเตียนที่ “อ่อนแอ” ต้องไม่ตัดสินคนที่กินเนื้อ ความรักจะไม่ตัดสินพิพากษาใคร
อย่างไรก็ดี คริสเตียนที่ “เข้มแข็ง” ต้องไม่ดูหมิ่นคริสเตียนที่อ่อนแอ และต้องไม่ใช้เสรีภาพของตนในทางที่ทำลายความเชื่อของคนที่อ่อนแอ แต่ให้คริสเตียนที่เข้มแข็งยอมสละสิทธิของตนเพื่อหลีกเลี่ยงการทำลายความเชื่อของผู้เชื่อที่อ่อนแอกว่า ทำไมหรือ? เพราะเห็นแก่ความรัก
“ถ้าพี่น้องเป็นทุกข์เพราะอาหารที่ท่านกิน ท่านก็ไม่ได้ประพฤติตามทางแห่งความรักเสียแล้ว พระคริสต์สิ้นพระชนม์เพื่อใคร ก็อย่าให้คนนั้นพินาศเพราะอาหารที่ท่านกินเลย” (โรม 14:15)
 
นี่คือความหมายของการรักเพื่อนบ้านที่เป็นคริสเตียน เราต้องรักเหมือนอย่างที่พระคริสต์รัก พระองค์สละชีวิตของพระองค์เพื่อพี่น้องที่อ่อนแอกว่า แน่นอนเลย เปาโลจะพูดว่า เราสามารถยอมสละสิทธิ์ในการกินเนื้อสัตว์
► อภิปรายด้านที่แตกต่างกันระหว่างผู้เชื่อที่เดินในทางพระเจ้ากับผู้เชื่อที่จริงใจ ด้านเหล่านี้ไม่ได้เป็นคำสอนชัดเจนในพระคัมภีร์ แต่เป็นด้านที่แตกต่างกันในทางจิตสำนึก ขอให้ประยุกต์ใช้หลักการของเปาโลจาก โรม บทที่ 14 เกี่ยวกับเรื่องนี้ มีวิธีกล่าวถึงคริสเตียนที่ “อ่อนแอ” และ “เข้มแข็ง” อย่างไรบ้างในด้านนี้
ความรักห่วงใยคริสเตียนที่ล้มลงในความบาป 
จีนส์เป็นคริสเตียน เขาถูกสมาชิกคนหนึ่งในคริสตจักรโกงเกี่ยวกับการซื้อขายสินค้า อีแวนขายรถยนต์ใช้แล้วคันหนึ่งให้กับจีนส์โดยที่อีแวนก็รู้ว่าเครื่องรถยนต์มีปัญหารุนแรง อีแวนโกหกจีน์ว่า “ผมให้ช่างเช็ครถยนต์คันนี้แล้ว มันอยู่ในสภาพดีเยี่ยม คุณไว้ใจได้ ผมเป็นคริสเตียน”
หลังจากซื้อรถยนต์คันนั้นไปได้สองวัน จีนส์จึงรู้ว่าระบบเครื่องยนต์ของรถอยู่ในสภาพที่แย่มาก ซึ่งอีแวนรู้เรื่องนี้ดี
► จีนส์ควรทำอะไร?
คุณจะตอบอย่างนี้ไหมว่า “จีนส์ควรเตือนทุกคนว่าอีแวนไม่ซื่อสัตย์”? หรือคุณตอบว่า “จีนส์ไม่ควรพูดอะไรที่ไม่ดีต่อพี่น้องคริสเตียนด้วยกัน”? ให้เรามาดูคำตอบของพระเยซูด้วยกัน
► อ่าน  มัทธิว  18:15-17
พระเยซูให้ขั้นตอนไว้สี่ขั้นตอนเพื่อสำแดงความรักที่สมบูรณ์ดีพร้อมให้กับพี่น้องคริสเตียนที่ทำบาป โปรดเข้าใจว่าตัวอย่างนี้เกี่ยวข้องกับพฤติกรรมบาป พระเยซูไม่ได้พูดถึงความคิดเห็นที่ต่างกันของบุคคล พระเยซูไม่ได้พูดว่า “ไปเกี่ยวข้องกับปัญหาของทุกคน” พระเยซูกล่าวถึงสถานการณ์หนึ่งที่พี่น้องคริสเตียนทำบาปต่อคริสเตียนด้วยกัน ให้เราดูขั้นตอนเหล่านี้...
1. ฉันต้องไปหาพี่น้องคนนั้นตามลำพัง  ความรักที่สมบูรณ์ดีพร้อม “ไม่ชื่นชมยินดีเมื่อมีการประพฤติผิด” (1 โครินธ์ 13:6) ไม่หาโอกาสที่จะเผยแพร่ความผิดของใคร แต่คนที่รักจะพยายามพูดถึงปัญหานั้นเงียบ ๆ และส่วนตัว คนที่รักจะกล่าวถึงพี่น้องที่ “ถูกจับได้ว่าทำผิด...ด้วยจิตวิญญาณที่สุภาพ” (กาลาเทีย 6:1) เป้าหมายคือเพื่อจะได้พี่น้องกลับคืนมา ไม่ใช่แก้แค้น ถ้าหากไม่มีการกลับใจใหม่ จะทำอย่างไรต่อไป...
2. ฉันต้องพาผู้นำหนึ่งหรือสองคนไปเป็นพยาน  อีกครั้ง เป้าหมายคือเพื่อได้พี่น้องกลับคืนมา คนที่เป็นพยานเหล่านี้ควรเป็นผู้นำฝ่ายวิญญาณของคริสตจักรที่สามารถให้คำปรึกษาและนำให้พี่น้องกลับคืนมา (แหล่งข้อมูลเดียวกัน) แต่ถ้ายังไม่กลับใจอีก...
3. ฉันต้องนำความบาปของเขามายังคริสตจักร  เป้าหมายยังคงเป็นการได้พี่น้องกลับคืนมา เป้าหมายไม่ใช่การแก้แค้นหรือประจานให้ขายหน้า เป้าหมายการลงวินัยของคริสตจักรต้องเพื่อนำให้เกิดการกลับใจใหม่และเพื่อให้ได้พี่น้องกลับคืนมา แต่ถ้าหากบุคคลนี้กบฏและปฏิเสธที่จะกลับใจ...
4. คริสตจักรต้องลงวินัยสมาชิกที่ทำผิดคนนั้น  คริสตจักรที่เมืองโครินธ์มีสมาชิกคนหนึ่งที่ทำผิดบาปทางเพศอย่างเลวร้าย เปาโลสั่งให้คริสตจักรลงวินัยชายคนนี้ “จงกำจัดคนชั่วออกจากพวกท่านเสียเถิด” (1 โครินธ์ 5:13) เราไม่สามารถเพิกเฉยต่อความบาปที่อยู่ในพระกายของพระคริสต์ได้
อย่างไรก็ตาม ขอให้สังเกตถ้อยคำของพระเยซู ปฏิบัติต่อเขา “เหมือนคนต่างชาติหรือคนเก็บภาษี” (มัทธิว 18:17) คริสเตียนจะถูกปฏิบัติเหมือนคนต่างชาติและคนเก็บภาษีอย่างไรหรือ? ด้วยความรัก แม้แต่เวลานี้ เป้าหมายก็เพื่อได้พี่น้องกลับคืนมา ใน 2 โครินธ์ เปาโลกล่าวถึงสถานการณ์ที่ผู้เชื่อซึ่งคริสตจักรลงวินัยและได้กลับใจใหม่ เปาโลกล่าวว่า...
“การที่คนส่วนมากได้ลงโทษคนนั้นก็พอแล้ว ฉะนั้นท่านทั้งหลายควรจะยกโทษและปลอบใจคนนั้นมากกว่า เพื่อว่าเขาจะไม่จมลงในความทุกข์มากมาย ดังนั้นข้าพเจ้าขอร้องพวกท่านให้ยืนยันความรักต่อคนนั้นใหม่” (2 โครินธ์ 2:6-8)
 
ใน 1 โครินธ์ คริสตจักรทำบาปกันอย่างเปิดเผยและไม่ต้องการลงวินัยคนที่ทำบาป เปาโลเตือนพวกเขาว่าการรักพระเจ้า เรียกร้องให้เราลงวินัยคนที่ทำบาปต่อพระกายของพระคริสต์
ใน 2 โครินธ์ คริสตจักรลงวินัยคนที่ทำบาป แต่เมื่อคนนี้กลับใจใหม่ คริสตจักรไม่ต้องการให้อภัยเขา เปาโลเตือนว่าการรักเพื่อนบ้าน เรียกร้องให้เราให้อภัยคนที่กลับใจใหม่
เป้าหมายของการลงวินัยในคริสตจักรต้องเพื่อให้เกิดการกลับใจใหม่และนำพี่น้องกลับคืนมาเสมอ ความรักที่สมบูรณ์ดีพร้อมไม่แสวงหาการแก้แค้น
การรักเพื่อนบ้านที่ไม่เชื่อพระเจ้า 
เราจะสำแดงความรักที่สมบูรณ์ดีพร้อมต่อคนที่ยังไม่เชื่อได้อย่างไร โดยเฉพาะกับคนที่เกลียดเราเนื่องจากเราเป็นคริสเตียน? พระเยซูตรัสว่า...
“ท่านทั้งหลายได้ยินคำซึ่งกล่าวไว้ว่า‘จงรักเพื่อนบ้านของท่าน และเกลียดชังศัตรูของท่าน’ แต่เราบอกพวกท่านว่า จงรักศัตรูของท่าน และจงอธิษฐานเพื่อบรรดาคนที่ข่มเหงพวกท่าน เพื่อว่าพวกท่านจะเป็นบุตรของพระบิดาของท่านผู้สถิตในสวรรค์” (มัทธิว 5:43-45)
 
เมื่อคุณรักคนที่ข่มเหงคุณ คุณก็เป็น “คนดีพร้อมเหมือนพระบิดาในสวรรค์ทรงดีพร้อม” คนบริสุทธิ์รักเหมือนที่พระบิดาในสวรรค์รัก นี่คือความหมายของการเป็นคนดีพร้อม
คนบริสุทธิ์ “สำแดงความรักต่อผู้อื่น ไม่เพียงเฉพาะกับผู้เชื่อด้วยกันเท่านั้น แต่ต่อทั้งคนที่เชื่อและไม่เชื่อ คนที่ข่มเหงเรา คนที่กระทำบาป เราต้องรับมือกับคนที่ต่อต้านเราด้วยพระคุณ ความอดทน และถ่อมใจ พระเจ้าห้ามไม่ให้มีการปลุกปั่น แก้แค้น หรือใช้ความรุนแรงเพื่อยุติความขัดแย้งส่วนบุคคลหรือเพื่อแสวงหาความยุติธรรมของบุคคล ถึงแม้ว่าพระเจ้าสั่งให้เราเกลียดการกระทำที่เป็นบาป แต่ก็ให้เรารักและอธิษฐานเผื่อคนที่มีพฤติกรรมเช่นนั้นด้วย[2] 
คริสเตียนมีชีวิตในโลกที่ต่อต้านข่าวประเสริฐ เปาโลเรียกให้คริสเตียนที่กรุงโรมเคารพสิทธิอำนาจและจ่ายภาษีให้กับรัฐบาลที่ฆ่าคริสเตียนและอีกไม่นานจะฆ่าเปาโล
เปโตรสั่งให้คริสเตียน “จงให้เกียรติทุกคน จงรักพวกพี่น้อง จงยำเกรงพระเจ้า จงถวายเกียรติแด่จักรพรรดิ” (1 เปโตร 2:17) นี่คือจักรพรรดิที่ชั่วร้ายที่อีกไม่นายจะประหารชีวิตเปโตร แต่เปโตรตั้งใจแน่วแน่ว่าคริสเตียนต้องรักศัตรูของเรา โดยการรักแม้แต่ศัตรูของเรา เราเป็นพยานถึงความจริงของข่าวประเสริฐ “เพราะพระเจ้าทรงประสงค์จะให้พวกท่านระงับความโง่ของคนโฉดเขลาด้วยการทำดี” (1 เปโตร 2:15)
โจชูวาเป็นศิษยาภิบาลที่ไนจีเรียแถบทางตอนเหนือ ที่นั่นคริสเตียนถูกโจมตีอย่างโหดร้ายโดยพวกอิสลามหัวรุนแรง พวกทหารของอิสลามเผาคริสตจักร ฆ่าคริสเตียน และฉุดหญิงสาวไปขายเป็นทาส ครั้งสุดท้ายที่ผมไปที่ไนจีเรีย โจชูวาให้ผมดูภาพศพของสมาชิกในคริสตจักรของเขาที่ถูกพวกอิสลามฆ่าตาย
จากนั้นโจชูวาให้ผมดูภาพการตอบสนองของคริสตจักรต่อการทำร้ายเหล่านี้ คริสตจักรของเขาสร้างโรงเรียนในหมู่บ้านของมุสลิม พวกเขาขุดบ่อน้ำสะอาดเพื่อให้คนในหมู่บ้านดื่ม พวกเขาจัดหารถเข็นนั่งให้กับผู้ป่วยโปลิโอชาวมุสลิม พวกเขาจัดตั้งคลินิครักษาโรคในหมู่บ้านนี้ พวกเขาแสดงความรักต่อศัตรูของพวกเขา
ศิษยาภิบาลโจชูวากล่าวว่า “มุสลิมมากมายมาหาพระคริสต์เพราะพวกเขาเห็นความรักของพระเจ้าผ่านทางคริสเตียน เราไม่ได้ชนะพวกเขาด้วยปืนหรือการแก้แค้น แต่เราชนะพวกเขาด้วยชีวิตที่ดำเนินตาม มัทธิว 5:43-48” นี่คือผลผลิตของรักที่สมบูรณ์ดีพร้อมที่มีอยู่ในโลกของเราปัจจุบันนี้
► อะไรคือความท้าทายยิ่งใหญ่ที่สุดในการรักเพื่อนบ้านที่ไม่เชื่อพระเจ้าในโลกของคุณ? เขียนขั้นตอนในการปฏิบัติเพื่อสำแดงความรักให้กับคนที่ไม่เชื่อในชุมชนของคุณ
นักเขียนชาวรัสเซียชื่อ ลีโอ ทอลสตอย ได้เขียนเรื่องสั้นเพื่อให้ความหมายเกี่ยวกับการใช้ชีวิตด้วยความรักที่สมบูรณ์ดีพร้อม มาร์ตินเป็นช่างซ่อมรองเท้าที่ยากจน เขารักพระเจ้ามาก[3]  ในคืนหนึ่ง มาร์ตินผล็อยหลับขณะที่เขาอ่านพระคัมภีร์ เขาฝันเห็นพระเยซูพูดว่า “พรุ่งนี้ เราจะไปที่ร้านของเจ้า”
วันถัดมา มาร์ตินเฝ้ารอพระเยซู มีคนมาที่ร้านของมาร์ติน แต่พระเยซูไม่ได้มา ทหารชราคนหนึ่งยืนตัวสั่นในความหนาวเย็น มาร์ตินเชิญเขาให้เข้ามาในร้านเพื่อดื่มชาร้อน ๆ มีหญิงยากจนคนหนึ่งเดินผ่านร้าน พยายามทำให้ทารกของเธออบอุ่น มาร์ตินเอาซุปมาให้เธอดื่มและเอาผ้าห่มให้ทารก ต่อมามาร์ตินก็เอาอาหารให้กับเด็กวัยรุ่นที่หิวโหย
มาร์ตินผิดหวังที่พระเยซูไม่มา แต่เขาพูดว่า “มันก็แค่ความฝัน ฉันโง่เองที่คิดว่าพระเยซูจะมาที่ร้านรองเท้าของฉัน”
ในคืนนั้น เมื่อมาร์ตินอ่านพระคัมภีร์ เขาผล็อยหลับอีก เขาฝันว่า เขาเห็นผู้คนยืนในร้านของเขา คนที่เป็นทหารพูดว่า “มาร์ติน คุณจำผมได้ไหม? ผมคือพระเยซู” ผู้หญิงที่อุ้มทารกพูดว่า “มาร์ติน ฉันคือพระเยซู” เด็กวัยรุ่นที่หิวโหยพูดว่า “ผมคือพระเยซู” มาร์ตินสะดุ้งตื่นและเริ่มอ่านพระคัมภีร์
“เพราะว่าเมื่อเราหิว พวกท่านก็จัดหาให้เรากิน เรากระหายน้ำ ท่านก็ให้เราดื่ม เราเป็นแขกแปลกหน้า พวกท่านก็ต้อนรับเรา เราเปลือยกายพวกท่านก็ให้เสื้อผ้าเรานุ่งห่ม เมื่อเราเจ็บป่วยท่านก็มาดูแลเรา เมื่อเราอยู่ในคุก พวกท่านก็มาเยี่ยมเรา’….ซึ่งพวกท่านได้ทำกับคนใดคนหนึ่งที่เล็กน้อยที่สุดในพี่น้องของเรานี้ ก็เหมือนทำกับเราด้วย” (มัทธิว 25:34-40)
 
ในศตวรรษที่สอง มีกลุ่มคริสเตียนกลุ่มหนึ่งที่เรียกกันว่า “เดอะ แกมเบลอส์” เพราะพวกเขาเสี่ยงชีวิตเพื่อดูแลคนที่กำลังตายเนื่องจากโรคระบาด เดอะแกมเบอร์สไปเยี่ยมคนที่ติดคุก ดูแลคนป่วย และช่วยชีวิตเด็กที่ถูกทอดทิ้ง เดอะแกมเบลอส์สำแดงความรักที่สมบูรณ์ดีพร้อม
ในปี คศ.252 มีโรคระบาดในคาร์เธจ แพทย์ปฏิเสธที่จะไปเยี่ยมผู้ป่วย หลายครอบครัวโยนศพคนตายไปที่ถนน ทั้งเมืองเต็มไปด้วยความโกลาหล คริพเรียนเป็นบิชอพของคาร์เธจ เขาเรียกให้ทั้งคริสตจักรมาชุมนุมกัน เขาเตือนคริสตจักรว่า คริสเตียนถูกเรียกให้เป็นคนที่มีความรักสมบูรณ์ดีพร้อม พวกคริสเตียนแห่งคาร์เธจจึงฝังศพ ดูแลคนป่วย และช่วยกู้เมืองจากหายนะ พวกเขาเป็นคนที่มีความรักสมบูรณ์ดีพร้อม พวกเขา “ดีพร้อม” เหมือนกับพระบิดาในสวรรค์ทรงดีพร้อม
 
[1] ดัดแปลงจาก จอห์น เวสเลย์ (John Wesley), คำอธิบายที่เรียบง่ายถึงความดีพร้อมของคริสเตียน (
A Plain Account of Christian Perfection ) (Kansas City: Beacon Hill Press, 1966), 99
 
[2] จาก วินัยตามพระคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับคริสตจักรเมธอดิสท์, 2014
 
[3] ลีโอ ทอลสตอย “ความรักอยู่ที่ไหน พระเจ้าก็อยู่ที่นั่นด้วย”
 
                                     
                                    
                                    
                                        
                                                                                                                                    
                                                
                                                     
                                                    Previous
                                                 
                                                                                    
                                                                                                                                    
                                                
                                                    Next