สิ่งนี้ดูคุ้น ๆ ไหม? คุณได้ยินคำเทศนาที่ท้าทายให้คุณบริสุทธิ์ในระดับลึกมากขึ้น คุณอธิษฐานและอุทิศตัวเพื่อมีชีวิตที่บริสุทธิ์ ผ่านไปแปดสัปดาห์ คุณเติบโตขึ้นในชีวิตฝ่ายวิญญาณ คุณเห็นผลของพระวิญญาณมากขึ้นในชีวิตของคุณ คุณพบว่าคุณมีความรักลึกซึ้งมากขึ้นต่อพระเจ้าและต่อเพื่อนบ้าน
แต่ทันใดนั้น คุณก็ชนกำแพง คุณยังคงเดินไปกับพระเจ้า คุณไม่พบความบาปที่ทำโดยตั้งใจในชีวิต คุณรักพระเจ้าและรักเพื่อนบ้าน แต่โดยการเจ็บป่วยทางกาย ความตึงเครียดทางอารมณ์ หรือแม้แต่ความกดดันในพันธกิจ คุณตระหนักว่า “ฉันไม่รู้สึกว่าฉันกำลังเติบโตในความบริสุทธิ์ มีอะไรผิดปกติหรือ?”
คุณยังคงอยู่ในชีวิตที่บริสุทธิ์ในขณะที่คุณไม่รู้สึกว่าบริสุทธิ์ได้อย่างไร? คุณยอมแพ้และพูดว่า “ความบริสุทธิ์เป็นไปไม่ได้” ไหม? คุณกลับไปที่แท่นบูชาหรือเปล่า? คุณเดินต่อไปในความบริสุทธิ์อย่างไรบ้าง?
► คุณเคยมีประสบการณ์ที่ท้าทายแบบนี้ไหม? คุณตอบสนองอย่างไร?
“เมื่อฉันไม่รู้สึกว่าบริสุทธิ์ ฉันต้องเดินด้วยความเชื่อ” 
ในบทที่ 2 เราเห็นว่าความบริสุทธิ์คือ “การเดินไปกับพระเจ้า” อับราฮัมเดินไปกับพระเจ้าไปยังประเทศที่เขาไม่เคยเห็นมาก่อน เขาเดินไปกับพระเจ้าด้วยการเชื่อฟังและด้วยความเชื่อ สี่พันปีต่อมา ดูเหมือนน่าตื่นเต้นมากเมื่ออ่านเรื่องความเชื่อของอับราฮัม แต่ลองเอาตัวเองไปอยู่ในสถานการณ์เดียวกันกับเขา เดินผ่านผืนดินที่ขุรขระวันแล้ววันเล่า ไกลสุดสายตาก็ไม่มีจุดสิ้นสุด คุณไม่รู้ว่าจะไปที่ไหน คุณคิดว่า อับราฮัมตื่นมาทุกเช้าด้วยความรู้สึกตื่นเต้นกับวันนั้นหรือ? ผมไม่คิดว่าเขาเป็นแบบนั้น ผมเชื่อว่าต้องมีวันที่เขาพูดว่า “ข้าไม่รู้สึกว่าอยากเดินไปต่อในวันนี้” แต่อับราฮัมก็ยังคงเดินต่อไปกับพระเจ้า
เราอ่านเรื่องโนอาห์ที่ “เดินไปกับพระเจ้า” ในโลกที่เต็มไปด้วยความบาป รอบตัวเขามีแต่คนนอกศาสนาที่กราบไหว้รูปเคารพและผู้คนที่ เค้าความคิดในใจทั้งหมดของเขาล้วนเป็นเรื่องชั่วร้ายตลอดเวลา (ปฐมกาล 6:5) โนอาห์เดินไปกับพระเจ้า คุณคิดว่าเขาตื่นนอนมาทุกเช้าด้วยความตื่นเต้นกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันนั้นหรือ? ผมเดาว่าบางครั้งเขาคงรู้สึกเหนื่อยและท้อแท้ แต่โนอาห์ยังคงเดินต่อไปกับพระเจ้า
กุญแจดอกหนึ่งที่ไขสู่ชีวิตที่บริสุทธิ์คือการระลึกว่าเราได้รับความรอดโดยพระคุณผ่านทางความเชื่อ เราได้รับการชำระให้บริสุทธิ์โดยพระคุณผ่านทางความเชื่อ เรายังคงเติบโตในความบริสุทธิ์โดยพระคุณผ่านทางความเชื่อ บางคนเข้าใจว่าพวกเขาได้รับความรอดโดยพระคุณผ่านทางความเชื่อ พวกเขาเรียนรู้ว่าพวกเขาได้รับการชำระให้บริสุทธิ์โดยพระคุณผ่านทางความเชื่อ แต่พวกเขาล้มเหลวและติดกับดักในการเชื่อว่าการจะเติบโตต่อไปได้นั้นต้องอาศัยความพยายามของตัวเอง
มีวินัยเข้ามาเกี่ยวข้องกับชีวิตที่บริสุทธิ์ไหม? มีแน่นอน! เราต้องยังคง “ประหารโลกียวิสัยในพวกท่าน” ไหม? (โคโลสี 3:5) ใช่ เราต้อง “โน้มตัวไปยังสิ่งที่อยู่เบื้องหน้า” และ “บากบั่นมุ่งไปสู่หลักชัย เพื่อจะได้รับรางวัลคือการทรงเรียกแห่งเบื้องบนซึ่งมีในพระเยซูคริสต์” ไหม? (ฟิลิปปี 3:13-14) แน่นอนเราต้องทำอย่างนั้น!
แต่  คุณต้องไม่ลืมว่า   “การประหาร”   “การโน้มตัวไปข้างหน้า”   และ   “การบากบั่นไปสู่หลักชัย”   ของคุณทำสำเร็จได้โดยฤทธิ์เดชของ   “พระเจ้าเป็นผู้ทรงทำการอยู่ภายในพวกท่าน   ให้ท่านมีความประสงค์และมีความสามารถทำตามชอบพระทัยของพระองค์” (ฟิลิปปี 2:13) พระองค์คือผู้เดียวที่ให้ความปรารถนา (ความประสงค์) พระองค์คือผู้เดียวที่ให้ฤทธิ์เดช (การทำงาน)พระองค์กำลังทำงานในเราเพื่อทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จในการสร้างเราให้บริสุทธิ์ เมื่อคุณไม่รู้สึกบริสุทธิ์ ให้คุณพักสงบในพระคุณของพระเจ้าผู้กำลังเปลี่ยนแปลงคุณให้เป็นเหมือนพระฉายของพระองค์มากขึ้นทุก ๆ วัน
“เมื่อฉันไม่รู้สึกว่าบริสุทธิ์ ฉันต้องพักสงบในความบริสุทธิ์ของพระองค์”  
ในบทที่ 5 เราเห็นว่าความดีพร้อมไม่ใช่การปฏิบัติแบบไม่มีที่ติภายนอก แต่เกี่ยวข้องกับใจที่เด็ดเดี่ยวในการอุทิศตัวต่อพระเจ้า ในบทที่ 7 เราเรียนรู้ถึงคำสั่งของพระเยซู “จงดีพร้อม” ว่าเป็นคำสั่งให้เด็ดเดี่ยวในการรักพระเจ้า คริสเตียนที่ดีพร้อมไม่ใช่ที่การปฏิบัติภายนอก แต่เกี่ยวข้องกับความรัก
เราบริสุทธิ์เพราะพระเจ้าบริสุทธิ์ ฐานะของเรา “ในพระคริสต์” พระองค์ทำให้เราบริสุทธิ์ หนึ่งในความจริงที่ยิ่งใหญ่ของข่าวประเสริฐคือการที่เราไม่ต้องต่อสู้ดิ้นรนด้วยกำลังของเราเองเพื่อความบริสุทธิ์อีกต่อไป เราสามารถพักสงบในพระคริสต์ ฐานะของเราในการเป็นคริสเตียน ฐานะของเราในการเป็นธรรมิกชน ฐานะของเราในการเป็นคนบริสุทธิ์นั้นอยู่ในพระองค์
โรเบิร์ตโคลแมนเคยเล่าเรื่องหนึ่งเกี่ยวกับความหมายของการรักพระเจ้าด้วยความรักที่สมบูรณ์ดีพร้อมในขณะที่เราไม่สามารถปฏิบัติภายนอกอย่างดีพร้อมได้ ดร.โคลแมน กำลังทำงานอยู่ในสวนช่วยวันที่อากาศร้อน เมื่อลูกชายตัวเล็ก ๆ ของเขาเห็นพ่อตากแดดเหงื่อไหลจนเปียก เขาตัดสินใจที่จะไปเอาน้ำมาให้พ่อแก้วหนึ่ง เด็กชายไปเอาแก้วใบหนึ่งที่สกปรกมา เติมน้ำจากแอ่งน้ำในสนามหญ้า แล้วนำมาให้พ่อ ดร.โคลแมนพูดว่า “แก้วน้ำก็สกปรกและน้ำก็มีแต่โคลน แต่น้ำใจดีเลิศมากเพราะมาจากใจที่รัก” นั่นเป็นภาพของความดีพร้อมในความจำกัดของเรา เราเอางานรับใช้ที่แตกสลายและไม่สมบูรณ์มาให้กับพระเจ้าผู้ยอมรับเราเพราะสิ่งที่เรานำมาออกมาจากใจที่รักพระองค์
พระเจ้ายอมรับความพยายามที่แตกสลายของเราและทรงเปลี่ยนแปลงเราให้เป็นบางสิ่งที่เกินกว่าเราจะนึกคิดได้ เพราะความบริสุทธิ์ของเราเป็นเพียงเงาของความบริสุทธิ์ที่ไม่จำกัดของพระองค์ แม้ความรักที่ดีที่สุดของเราจะรับผลกระทบจากความจำกัดของมนุษย์ แต่เมื่อเราพักสงบในความบริสุทธิ์ของพระองค์ เราตระหนักว่าการเชื่อฟังคำสั่งของพระองค์ให้ “เป็นคนบริสุทธิ์” สำเร็จได้อย่างสมบูรณ์โดยทางพระองค์เท่านั้น ด้วยใจที่เด็ดเดี่ยว เรานำแก้วที่มีน้ำเปื้อนโคลนมา และพระองค์ก็เปลี่ยนมันให้กลายเป็นน้ำสะอาดและเปล่งประกาย ความบริสุทธิ์ของเราดีพร้อมในความบริสุทธิ์ของพระองค์
“เมื่อฉันไม่รู้สึกว่าบริสุทธิ์ ฉันต้องระลึกว่าฉันเป็นส่วนหนึ่งของคนบริสุทธิ์” 
ใจความสำคัญหลักของพระธรรมวิวรณ์คือคริสตจักร แต่มักจะถูกมองข้าม วิวรณ์เริ่มต้นด้วยชุดคำสอนเรื่องคริสตจักรทั้งเจ็ด คำสอนเหล่านี้แสดงถึงความสำคัญของชุมชนคริสตจักรท้องถิ่นภายในพระกายที่ใหญ่กว่าของพระคริสต์ แต่นี่ไม่ใช่จุดสิ้นสุดของการเน้นของวิวรณ์เรื่องคริสตจักร
ชุมชนของคนที่ได้รับการไถ่ 144,000 คนอาจแทนถึงคริสตจักรทั้งหมดคือพระกายของพระคริสต์ ต่อมาในพระธรรมนี้ คริสตจักรได้รับการมองเห็นดั่งเจ้าสาวของพระเมษโปดก (วิวรณ์ 19:7-8) คริสตจักรเป็นจุดศูนย์รวมของวิวรณ์
ถ้าหากนี่เป็นความจริงการนมัสการของเราและการสามัคคีธรรมในฐานะคริสตจักรบนโลกนี้เป็นการเตรียมเราสำหรับการนมัสการและสามัคคีธรรมในฐานะคริสตจักรชั่วนิรันดร์ ชีวิตของเราในฐานะคริสตจักรมีความหมายว่าอะไรในวันนี้?
► ถ้าหากวิวรณ์เป็นภาพของเจ้าสาวของพระคริสต์ภาพนี้ของคริสตจักรส่งผลกระทบต่อชีวิตในคริสตจักรอย่างไรบ้าง? หรือถามอีกอย่างคือคริสตจักรของคุณเหมือนกับคริสตจักรในวิวรณ์ในด้านใดบ้าง? และมีด้านใดที่คริสตจักรของคุณไม่เหมือนคริสตจักรในวิวรณ์?  
ผลลัพธ์อย่างหนึ่งในทางปฏิบัติจากความจริงนี้คือชีวิตที่บริสุทธิ์ของเราอยู่ในการสามัคคีธรรมร่วมกันกับคริสตจักร ในโลกที่เน้นความเป็นส่วนตัวสูง ทำให้คริสเตียนจำนวนมากคิดว่าความรอดเป็นเรื่องส่วนตัว เป็นประสบการณ์ส่วนตัวเท่านั้น 
อย่างไรก็ตาม ในขณะที่มีตัวอย่างต่าง ๆ เกี่ยวกับความเป็นส่วนบุคคล เช่น เอโนคเดินไปกับพระเจ้าตามลำพัง แต่ก็มีตัวอย่างจากพระคัมภีร์อีกมากมายเกี่ยวกับลูกของพระเจ้าที่เดินไปกับพระเจ้าในฐานะส่วนหนึ่งของพระกาย   กฎต่าง ๆ เรื่องความบริสุทธิ์ในอิสราเอลมีไว้สำหรับ “ชนชาติของพระเจ้า” อิสราเอลมีจำนวนมากเกินกว่าที่จะเป็นกลุ่มบุคคล อิสราเอลเป็นพระกายโดยรวมที่เติบโตด้วยกันเป็นพระฉายของพระเจ้า
คริสตจักรในพันธสัญญาใหม่เป็นมากยิ่งกว่ากลุ่มบุคคลที่อยู่ใน “สโมสร” เดียวกัน คริสตจักรเคยเป็นและกำลังเป็นพระกายของพระคริสต์ ธรรมิกชยทั้งหลายในพระธรรมวิวรณ์เผชิญกับการถูกฆ่าเพราะข่าวประเสริฐรวมกันในฐานะพระกายของพระคริสต์ แม้เมื่อพวกเขาตายอย่างโดดเดี่ยว แต่พวกเขารู้ว่าพวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรสากล ธรรมิกชนทั้งหลายในพระธรรมวิวรณ์ดำเนินชีวิตที่บริสุทธิ์ในฐานะส่วนหนึ่งของพระกาย พวกเขาเป็นส่วนหนึ่งของเจ้าสาวที่บริสุทธิ์ แม้เมื่อยอห์นอยู่อย่างโดดเดี่ยวบนเกาะปัทมอส เขารู้ว่าเขาเป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรสากล
[1] มันกลายเป็นเรื่องปกติที่ได้ยินผู้คนพูดว่า “ฉันรักพระเยซูแต่ฉันไม่รักคริสตจักร” นี่เกิดขึ้นจากการเข้าใจคริสตจักรผิด ถ้าคริสตจักรเป็นเจ้าสาวของพระคริสต์ ฉันต้อง  รักคริสตจักร (ในฐานะสามีคนหนึ่ง ผมจะไม่มีความสุขถ้ามีคนมาบอกผมว่า “ฉันรักคุณ แต่ฉันรังเกียจภรรยาของคุณ”)คริสตจักรเป็นพระกายหนึ่งของผู้เชื่อทั้งหลายเพื่อเติบโตไปด้วยกันในพระฉายของพระเจ้า
เราไม่ได้ถูกสร้างมาเพื่อให้อยู่ตามลำพัง จอห์น เวสเลย์ กล่าวว่า “ความบริสุทธิ์ทั้งหมดเป็นความบริสุทธิ์ในสังคม” เขาหมายคาวมว่าเราเติบโตในฐานะพระกายหนึ่ง นั่นคือแรงบันดาลใจของวงเมธอดิสท์ พวกเขาช่วยสร้างแรงบันดาลใจให้สมาชิกแต่ละคนเติบโต
เรื่องนี้มีความหมายอะไรต่อเราในวันนี้? คนบริสุทธิ์เป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรที่บริสุทธิ์ เราเติบโตในความบริสุทธิ์ในฐานะส่วนหนึ่งของพระกายที่บริสุทธิ์ เมื่อผมต้องต่อสู้เพื่อเอาชนะบางอย่าง พระเจ้านำเพื่อนที่แสวงหาความบริสุทธิ์ให้เข้ามาหนุนใจผมในด้านที่อ่อนแอของผม ในอีกทางหนึ่ง เมื่อพระเจ้าได้ให้ความช่วยเหลือแก่ผมในด้านหนึ่ง ผมจึงสามารถหนุนใจพี่น้องคนอื่นที่อ่อนแอกว่าได้ ชีวิตที่บริสุทธิ์คือชีวิตที่ตั้งใจดำเนินในชุมชนของผู้เชื่อที่เต็มเปี่ยมด้วยพระวิญญาณผู้จะสำแดงความรักของพระเจ้าให้กับโลกนี้
ผู้เขียนพระธรรมฮีบรูเข้าใจเรื่องนี้เป็นอย่างดี
“และขอให้เราพิจารณาดูเพื่อจะปลุกใจกันและกันให้มีความรักและทำความดี อย่าขาดการประชุมเหมือนอย่างบางคนทำเป็นนิสัย แต่จงหนุนใจกันให้มากยิ่งขึ้น เพราะพวกท่านก็รู้อยู่ว่าวันนั้นใกล้เข้ามาแล้ว” (ฮีบรู 10:24-25)
 
ในการหนุนใจคริสเตียนที่ถูกข่มเหงให้พากเพียรในความเชื่อ เขาพูดว่า “ปลุกใจกันและกัน” เมื่อคุณมาประชุมกันและหนุนใจกัน ในฉบับคิงส์เจมส์ใช้วลีนี้ “กระตุ้นกันและกันให้รักและทำความดี”การหนุนใจสมาชิกคริสตจักรให้ลงลึกในความรักและความบริสุทธิ์เป็นบทบาทส่วนหนึ่งของคริสตจักร
เมื่อคุณไม่“รู้สึกบริสุทธิ์”จงยอมให้พระเจ้าหนุนใจคุณให้เติบโตต่อไปผ่านทางพี่น้องคริสเตียนในพระกายที่คุณเป็นสมาชิก คุณเป็นส่วนหนึ่งของ “คริสตจักรสากล” แต่คุณก็เป็นส่วนหนึ่งของคริสตจักรท้องถิ่นด้วย พระเจ้าวางคุณไว้ที่นั่นอย่างมีเหตุผล จงยอมให้พี่น้องเชื่อของคุณปลุกใจคุณให้เติบโตมากขึ้นในการมีชีวิตที่บริสุทธิ์
 
[1] “เมื่อใครบางคนคิดว่าจะพัฒนาชีวิตที่บริสุทธิ์ได้ เขาต้องอยู่ตามลำพังกับพระเจ้า และนั่นเขาจะไม่มีประโยชน์สำหรับคนอื่น ๆ อีกต่อไป”
- ออสวาร์ด แชมเบอร์
 
                                     
                                    
                                    
                                        
                                                                                                                                    
                                                
                                                     
                                                    Previous
                                                 
                                                                                    
                                                                                                                                    
                                                
                                                    Next