บางคนเชื่อว่าคนที่บริสุทธิ์จะมีบุคลิกลักษณะแบบหนึ่ง คิดย้อนกลับไปยังคำตอบของคำถามตอนเริ่มต้นบทเรียนนี้ “คิดถึงคริสเตียนคนหนึ่งที่เป็นแบบอย่างของความบริสุทธิ์ คุณเห็นคุณลักษณะใดของพระบิดาในสวรรค์ในชีวิตของคนนั้นบ้าง?” คุณให้คำตอบโดยบรรยายถึงบุคลิกลักษณะใช่ไหม? เรามักจะตอบแบบนั้น
อย่างไรก็ตามเมื่อเราอ่านพันธสัญญาใหม่ เราเห็นบุคลิกลักษณะทุกรูปแบบปรากฏในวันเพ็นเทคอส ผู้คนทุกรูปแบบได้รับการเต็มล้นด้วยพระวิญญาณ หลังจากวันเพ็นเทคอส เหล่าสาวกไม่ได้รับเปลี่ยนแปลงให้กลายเป็นอีกคนในทันที แต่พระเจ้าทำงานผ่านบุคลิกลักษณะที่เป็นธรรมชาติของพวกเขาเพื่อทำให้พระประสงค์ของพระองค์สำเร็จด้วยวิธีการแบบใหม่
โธมัสไม่ได้กลายเป็นคนที่สดใสและมองโลกในแง่ดีทันที โธมัสอาจนิ่งเงียบและครุ่นคิดจนตายก็ได้ ส่วนเปโตรก็ไม่ได้เปลี่ยนเป็นคนที่นั่งเงียบ ๆ ตรงมุมห้องโดยไม่มีใครสังเกตเห็นได้ในทันที แม้หลังวันเพ็นเทคอส เปโตรก็เป็นคนหนึ่งที่จะพูดอย่างมั่นใจว่า “ไม่ได้ องค์พระผู้เป็นเจ้า” (กิจการ 11:8)
พระเจ้าสร้างเราแต่ละคนให้มีบุคลิกลักษณะเฉพาะ การชำระให้บริสุทธิ์ไม่ได้ทำลายคุณลักษณะเหล่านี้ แต่เมื่อเรายอมจำนนต่อพระเจ้า พระฉายของพระองค์ทอแสงเจิดจ้าผ่านทางบุคลิกลักษณะของเรา
เป็นไปได้ไหมที่พระฉายของพระเจ้าจะทอแสงเจิดจ้าผ่านทางบุคลิกลักษณะของเรา?  
สิ่งนี้จะเกิดขึ้นได้อย่างไรในชีวิตประจำวัน? คนที่มีบุคลิกแบบ “A” คือชอบการแข่งขันและเปิดเผยตัวเอง เมื่อเขายอมจำนนอย่างเต็มที่กับพระเจ้า เขาก็จะยังคงเป็นคนที่มีบุคลิกแบบ “A” คนที่ขี้อาย หลีกเลี่ยงที่จะอยู่กับคนเยอะ ๆ เขาก็จะยังคงเป็นคนขี้อาย อย่างไรก็ตามในทั้งสองกรณีนี้ คนที่ได้รับการชำระให้บริสุทธิ์แล้วย่อมจะยอมให้พระเจ้า “ขัดเกลาบุคลิกภาพ” เมื่อพวกเขาเห็นว่ามีด้านไหนที่ไม่ได้สะท้อนพระฉายของพระเจ้า
ขอยกตัวอย่างเรื่องหนึ่ง ศิษยาภิบาลเกรคและศิษยาภิบาลมาร์คเป็นคนที่มีบุคลิกแบบห้าวหาญ ทั้งสองคนมีความเชื่อมั่นสูง เป็น “นักพูด” ที่สามารถโต้เถียงได้ดี ทั้งคู่เป็นผู้นำ เพราะบุคลิกที่ห้าวหาญนี้ บางครั้งคำพูดของพวกเขาสามารถทำให้คนอื่นขุ่นเคืองใจได้
ผมรู้จักศิษยาภิบาลเกรคตอนช่วงปลายชีวิตของเขา เขาบอกกับผมว่า “ผมไม่เคยขอโทษใคร ไม่สำคัญว่าใครจะคิดอย่างไรกับคำพูดของผม มันเป็นความผิดของพวกเขาเองที่เข้าใจผมผิด ผมรู้ว่าใจของผมถูกต้อง!” ถึงแม้ว่าเกรคจะมีความจริงใจ แต่คนในคริสตจักรที่เขาอภิบาลก็บาดเจ็บเพราะคำพูดของเขาบ่อย ๆ เขาไม่เคยเรียนรู้ที่จะยอมให้พระฉายของพระเจ้าทอแสงเจิดจ้าผ่านบุคลิกลักษณะของเขาเลย
ศิษยาภิบาลมาร์คก็เป็นผู้นำที่ห้าวหาญเช่นกัน แต่ศิษยาภิบาลมาร์คเรียนรู้เรื่องการสะท้อนพระฉายของพระเจ้า เขาเรียนรู้ที่จะพูดว่า “ผมขอโทษ ผมพูดแรงไป” เขาเรียนรู้ที่จะสำแดงความเมตตาควบคู่ไปกับความยุติธรรม สมาชิกของศิษยาภิบาลมาร์คพูดกันว่า “ศิษยาภิบาลของเราดูแลพวกเราเหมือนพระเยซูดูแล”
ความบริสุทธิ์ไม่ได้เปลี่ยนรูปแบบบุคลิกลักษณะของคุณ ความบริสุทธิ์ทำให้คุณไวต่อเสียงของพระวิญญาณบริสุทธิ์เมื่อพระองค์ตรัสว่า “เจ้าจำเป็นต้องขอโทษ เจ้าแข็งกร้าวเกินไป”
ถ้าหากคุณมีบุคลิกลักษณะประเภทหลีกเลี่ยงเป็นเป้าสายตาของผู้คน ความบริสุทธิ์ไม่ได้ทำให้คุณกลายเป็นคนเปิดเผยที่ดึงดูดความสนใจผู้คนอย่างทันที แต่ความบริสุทธิ์ทำให้คุณหยุดลังเลเมื่อพระเจ้าตรัสว่า “เราอยากให้เจ้าก้าวออกมาและนำในสถานการณ์นี้”
เอเวอร์เร็ท แคทเทิล ให้ภาพตัวอย่างสามเรื่องที่อธิบายถึงวิธีที่ซาตานบิดเบือนความโน้มเอียงตามธรรมชาติของเราให้กลายเป็นบางสิ่งที่ทำลายพระฉายของพระเจ้าในชีวิตของเราเอง[1] 
ตัวอย่างที่ 1: การกิน 
ความหิวเป็นความอยากอาหารตามธรรมชาติของร่างกาย เราสามารถกินเพื่อ “ถวายเกียรติแด่พระเจ้า” (1 โครินธ์ 10:31) ไม่ควรมีใครสักคนที่แสวงหาประสบการณ์ฝ่ายวิญญาณโดยทำลายความหิวของร่างกาย
แต่ซาตานได้ทำให้ความอยากอาหารตามธรรมชาติของผู้คนมากมายกลายเป็นความตะกละตะกลาม แทนที่จะกินให้อิ่มพอดีต่อความต้องการตามธรรมชาติของร่างกาย ผู้คนกลับกินเพื่อตอบสนองความอยากที่เป็นความเห็นแก่ตัว
วิธีแก้ไขความตะกละตะกลาม ไม่ใช่การขจัดความสุขในการกิน วิธีแก้คือการบังคับควบคุมตัวเองเพื่อป้องกันไม่ให้ความอยากอาหารตามธรรมชาติถูกบิดเบือนเป็นบางสิ่งที่อันตรายและจนถึงกับบาป
ตัวอย่างที่ 2: การไวต่อความรู้สึก 
เอเวอร์เร็ท แคทเทิล ให้ตัวอย่างที่ยากมากขึ้น คนทั่วไปที่มีอารมณ์ปกติก็จะมีความไวต่อความเจ็บปวดและทุกข์ในระดับหนึ่ง นี่เป็นเรื่องปกติและไม่ใช่ความบาป อย่างไรก็ตามถ้าหากเรายอมให้ความไวต่อความรู้สึกนี้มีมากจนกลายเป็นการสงสารตัวเอง มันก็จะกลายเป็นท่าทีที่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางซึ่งจำกัดความสามารถในการรับใช้พระเจ้าอย่างเกิดผลและเป็นอุปสรรคต่อการสะท้อนพระฉายของพระเจ้าให้กับคนอื่น ๆ ได้เห็น
อีกครั้งหนึ่งวิธีแก้ไขไม่ใช่การขจัดความไวต่อความรู้สึกออกไปให้หมดแล้วกลายเป็นคนที่ไม่แยแสอะไรต่อคำพูดและการกระทำของคนอื่น แทนที่จะเป็นอย่างนั้น เราต้องเรียนรู้ที่จะยอมจำนนความไวต่อความรู้สึกของเราต่อพระเจ้า ยอมให้พระองค์นำและควบคุมการตอบสนองต่อความเจ็บปวดของเรา
ตัวอย่างที่ 3: ลิ้น 
บางทีนี่อาจเป็นตัวอย่างที่ยากที่สุด พวกเราทุกคนจำเป็นต้องมีลิ้น เราไม่สามารถอธิษฐานว่า “พระเจ้า ขอเอาลิ้นของข้าพระองค์ออกไป” อย่างไรก็ดีลิ้นก็ไม่สามารถถูกปล่อยให้ออกนอกการควบคุมได้
แคทเทิลยกตัวอย่างของมิชชันนารีคนหนึ่งที่ยึดมั่นว่าความคิดเห็นของตัวเองถูกเสมอ แต่กลับทำร้ายคนอื่นด้วยคำพูดแรง ๆ ของเขา ในการประชุมเกี่ยวกับชีวิตฝ่ายวิญญาณ เขาพูดบางสิ่งที่ทำร้ายผู้คนมากมายที่มาเข้าร่วม ในคืนนั้น พระเจ้าทำให้มิชชันนารีคนนี้สำนึกผิดว่าลิ้นของเขาได้ทำร้ายคนอื่น ๆ
มิชชันนารีคนนั้นอธิษฐาน และไปที่การประชุมในตอนเช้า เขาพูดกับคนที่มาประชุมว่า “ถ้าหากปัญหาของผมคือสุรา มันจะง่ายกว่ามาก ผมก็จะเอาสุรานั้นทิ้งไป แล้วเรื่องก็จบ แต่ปัญหาของผมคือลิ้นของผมเอง ผมไม่สามารถตัดลิ้นของตัวเองเพื่อถวายเกียรติแด่พระเจ้า สิ่งที่ทำได้คือผมยกลิ้นของผมให้กับพระเจ้า และผมเชื่อวางใจว่าพระวิญญาณบริสุทธิ์จะช่วยให้ผมใช้ลิ้นเพื่อถวายเกียรติพระเจ้าได้”
ศาสนาจารย์ แคทเทิล ชี้ให้เห็นถึงความผิดพลาดสองอย่างที่สร้างปัญหาเกี่ยวกับลิ้น
1. การพูดว่า “ฉันเป็นคนบาปและไม่สามารถควบคุมลิ้นของตัวเองได้ ฉันต้องคงอยู่ต่อไปในการใช้ลิ้นทำบาป เพราะพระคุณของพระเจ้าไม่มีฤทธิ์อำนาจมากพอที่จะแก้ไขปัญหาของฉันได้”
2. การพูดว่า “ฉันอธิษฐานขอพระเจ้าทำให้ฉันบริสุทธิ์ ขอพระองค์ควบคุมลิ้นของฉัน ฉันไม่จำเป็นต้องทำอะไรเพื่อควบคุมตัวเอง ฉันเพียงแค่วางใจพระเจ้าเท่านั้น”
ท่าทีที่ถูกต้องพูดว่า “ฉันยอมจำนนต่อพระเจ้าด้วยใจและด้วยลิ้นของฉัน ใจของฉันบริสุทธิ์หมดจด แต่ฉันรู้ว่าฉันต้องควบคุมการใช้ลิ้นของฉัน ฉันต้องคิดก่อนพูด ฉันต้องอธิษฐานก่อนพูด และถ้าฉันพูดเร็วเกินไป ฉันต้องถ่อมตัวลงและกลับใจใหม่” คนที่บริสุทธิ์จะถ่อมตัวและกลับใจใหม่ แล้วรีบไปหาพี่น้องที่เขาทำให้ขุ่นเคืองใจ (มัทธิว 5:23-24)
► ด้านไหนที่อันตรายสำหรับคุณ? คิดถึงความอยากตามธรรมชาติที่สามารถนำไปสู่ท่าทีหรือพฤติกรรมที่เป็นความบาป ยกตัวอย่างว่าความอยากนี้ได้สร้างปัญหาให้กับคุณอย่างไรบ้าง จากนั้นยกตัวอย่างว่าพระเจ้าได้ช่วยคุณให้ควบคุมความอยากนี้ได้อย่างไร
พระเจ้าหล่อหลอมบุคลิกลักษณะของคนที่บริสุทธิ์อย่างไร?  
เมื่อเราแสวงหาที่จะสะท้อนพระฉายของพระเจ้าในชีวิตของเรา พระเจ้าก็จะทำงานด้วยวิธีต่าง ๆ มากมายเพื่อหล่อหลอมเราให้เป็นคนอย่างที่พระองค์ต้องการให้เป็น เหมือนกับนักโบราณคดีที่ขุดพบแจกันหายากในประเทศจีนและได้ขัดทำความสะอาดด้วยความระมัดระวังจนแจกันนั้นดูใหม่ขึ้นเงาแวววาว พระเจ้าเองก็ขัดทำความสะอาดลูกของพระองค์ด้วยความระมัดระวังจนกระทั่งเราขึ้นเงาแวววาวและสะท้อนให้เห็นพระฉายของพระองค์
พระเจ้าใช้วิธีอะไรบ้างเพื่อหล่อหลอมคนของพระองค์ให้เป็นตามพระฉาย? เริ่มต้นบทเรียนนี้ เราเห็นวิธีที่โมเสสสะท้อนพระฉายของพระเจ้า ขอให้พิจารณาชีวิตของโมเสสที่ให้ภาพตัวอย่างวิธีการที่พระเจ้าหล่อหลอมเราให้เป็นตามพระฉายของพระองค์
ในช่วงเริ่มต้นชีวิต โมเสสไม่ได้สะท้อนพระฉายของพระเจ้าอยู่เสมอ อารมณ์โกรธของเขาทำให้เขาฆ่าคนและสิ่งนี้คุกคามกีดกันเขาจากประโยชน์ใด ๆ ในอาณาจักรของพระเจ้า (อพยพ 2:11-15) อย่างไรก็ตาม พระเจ้าได้หล่อหลอมโมเสสให้เป็นคนที่ “ถ่อมใจยิ่งกว่าคนทั้งหมดบนพื้นแผ่นดิน” (กันดารวิถี 12:3) โมเสสท้อใจเร็วมาก (อพยพ 5:22-23) แต่พระเจ้าก็หล่อหลอมเขาให้เป็นคนที่สัตย์ซื่อในการนำคนของพระองค์ตลอดสี่สิบปีในถิ่นทุรกันดาร พระเจ้าเปลี่ยนคุณลักษณะของโมเสสอย่างไรบ้าง?
(1) พระเจ้าใช้พระวจนะของพระองค์หล่อหลอมลูกของพระองค์ให้เป็นไปตามพระฉาย 
เครื่องมือที่มีประสิทธิภาพอย่างหนึ่งที่พระเจ้าใช้คือพระวจนะของพระองค์ เมื่อเราสะสมพระวจนะของพระเจ้าไว้ในใจ พระองค์ใช้พระวจนะนั้นนำเรา (สดุดี 119:9-11) เมื่อโมเสสรับกฎบัญญัติของพระเจ้าโดยตรงจากพระหัตถ์ของพระเจ้า กฎบัญญัตินั้นหล่อหลอมความเข้าใจและคุณลักษณะของเขา
คนบริสุทธิ์คือคนแห่งพระวจนะ พวกเขารู้ว่าพวกเขาจะเห็นพระลักษณะที่เป็นธรรมชาติของพระเจ้าได้ในพระวจนะ พวกเขารู้ว่าพวกเขาจะเรียนรู้วิธีที่จะทำให้คุณลักษณะของพวกเขาสะท้อนคุณลักษณะของพระเจ้าได้จากในพระวจนะของพระเจ้า ผมรู้ว่าไม่มีคริสเตียนที่ยิ่งใหญ่คนใดในประวัติศาสตร์ที่ไม่ศึกษาพระวจนะ
(2) พระเจ้าใช้สถานการณ์ยากลำบากหล่อหลอมลูกของพระองค์ให้เป็นไปตามพระฉาย 
เนื่องจากโมเสสฆ่าคนอียิปต์ เขาจึงต้องใช้เวลาสี่สิบปีในถิ่นทุรกันดาร หลายครั้งที่เขาจะต้องคิดว่า “ข้าเสียโอกาสไปแล้ว ข้าคงทำอะไรไม่ได้อีกแล้วนอกจากเป็นคนเลี้ยงแกะ” แต่พระเจ้าใช้ตลอดสี่สิบปีนั้นเพื่อหล่อหลอมให้โมเสสกลายเป็นผู้นำ
ข้อพระคัมภีร์ข้อหนึ่งที่หนุนใจมากที่สุดจากชีวิตของเปโตรคือ เมื่อพระเยซูทำนายถึงความล้มเหลวและการทดสอบที่จะเกิดขึ้นกับเขา พระเยซูเตือนเปโตรว่า “ซาตานได้ขอเจ้าไว้ เพื่อจะฝัดร่อนเหมือนฝัดข้าวสาลี” พระองค์หนุนใจเปโตรว่า “แต่เราอธิษฐานเพื่อเจ้า เพื่อความเชื่อของเจ้าจะไม่ได้ขาด” จากนั้น พระองค์สัญญาว่า จากความล้มเหลว (ชั่วคราว) ของเปโตร พระเจ้าจะนำสิ่งดีออกมา “และเมื่อท่านหันกลับแล้ว จงชูกำลังพี่น้องทั้งหลายของท่าน” (ลูกา 22:31-32) พระเจ้าใช้แม้แต่สถานการณ์ที่เลวร้ายในความล้มเหลวของเปโตรเพื่อสร้างเขาให้เกิดผลมากขึ้น
คนบริสุทธิ์ไว้วางใจในการจัดเตรียมของพระเจ้าแม้ท่ามกลางสถานการณ์ที่ยากลำบาก พวกเขาเชื่อใน โรม 8:28 เพราะพวกเขาแสวงหาที่จะใช้ชีวิตตาม  โรม 8:29 พระเจ้าสัญญาว่า “เรารู้ว่าเหตุการณ์ทุกอย่างร่วมกันก่อผลดีแก่คนที่รักพระเจ้า คือแก่คนทั้งหลายที่พระองค์ทรงเรียกตามพระประสงค์ของพระองค์” จากนั้นพระองค์บอกเราถึง “พระประสงค์” ที่พระเจ้านำเข้ามาในชีวิตของลูกของพระองค์คือ “เพราะว่าทุกคนที่พระองค์ได้ทรงเลือกไว้แล้ว พระองค์ทรงกำหนดไว้ก่อนให้เป็นตามพระฉายาแห่งพระบุตรของพระองค์”
ไม่ใช่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้นกับคนบริสุทธิ์จะเป็นสิ่งดีเสมอไป! แต่ทุกสิ่งที่เกิดขึ้น “ร่วมกันก่อผลดี” เพื่อทำให้พระประสงค์อันดีของพระเจ้าสำเร็จ นั่นคือการหล่อหลอมเราให้เป็นไปตามพระฉายของพระบุตร
(3) พระเจ้าใช้ผู้คนเพื่อหล่อหลอมลูกของพระองค์ให้เป็นไปตามพระฉาย 
นี่อาจเป็นวิธีที่ยากที่สุดในสามวิธี พระเจ้าใช้ผู้คน และพระองค์มักจะใช้คนที่สัมพันธ์ด้วยยากเพื่อหล่อหลอมเราให้เป็นไปตามพระฉาย เมื่อโมเสสเหน็ดเหนื่อยกับความรับผิดชอบอันหนักหนาสาหัสในการเป็นผู้นำ พระเจ้าใช้พ่อตาคือเยโธร (ไม่ใช่คนอิสราเอล) มาให้คำแนะนำแก่โมเสสและทำให้เขาทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น (อพยพ 18:1-27)
เราสามารถดูชีวิตของซีโมนเปโตรได้อีก ผ่านการปฏิสัมพันธ์กับยอห์นและต่อมาเผชิญหน้ากับเปาโล เปโตรได้รับการหล่อหลอมให้เป็นไปตามพระฉายของพระเจ้ามากขึ้นเรื่อย ๆ เปาโล “คัดค้านเขาต่อหน้า” เมื่อเปโตรล้มเหลวที่จะใช้ชีวิตตามสิ่งที่พระวิญญาณได้สอนเขาเกี่ยวกับการกินอาหารร่วมกับคนต่างชาติ (กาลาเทีย 2:11) ในฐานะอัครทูตอาวุโส การทำแบบนี้เป็นการทำให้เปโตรขายหน้า เขาเป็นผู้ติดตามพระคริสต์ในขณะที่เปาโลยังไล่ฆ่าคริสเตียนอยู่เลย! แต่เปโตรยอมให้พระเจ้าทำงานผ่านเปาโลเพื่อนำให้เขาเป็นอย่างที่พระเจ้าต้องการให้เป็นมากขึ้น
คนบริสุทธิ์ยอมให้พระเจ้าทำงานผ่านคนอื่นเพื่อหล่อหลอมคุณลักษณะของพวกเขาให้เป็นไปตามพระฉายของพระองค์ สุภาษิตกล่าวไว้ว่า “เหล็กลับเหล็กให้คมได้ฉันใด คนหนึ่งก็ลับเพื่อนของตนให้เฉียบแหลมได้ฉันนั้น” (สุภาษิต 27:17) ขวานที่คมกริบถูกลับด้วยเหล็ก ในทำนองเดียวกัน เมื่อคนหนึ่งมีปฏิสัมพันธ์กับอีกคนหนึ่ง ทักษะต่าง ๆ ของพวกเขาก็ได้รับการลับให้เฉียบแหลมมากขึ้น
ชีวิตแห่งความบริสุทธิ์ไม่ได้เกิดขึ้นจากช่วงเวลาที่เป็นวิกฤติเพียงครั้งเดียวเท่านั้น แต่มันเป็นการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นทุกวันเพื่อให้เป็นตามพระฉายของพระเจ้า เมื่อเรายอมอยู่ภายใต้การทำงานของพระเจ้าในชีวิตของเรา พระองค์ก็จะหล่อหลอมเราให้เป็นตามพระฉายของพระองค์อย่างเป็นขั้นตอนในทุก ๆ วัน นี่คือชีวิตแห่งความบริสุทธิ์ในทางปฏิบัติ
 
[1] เอเวอร์เร็ท แอล แคทเทิล (Everett L. Cattell), พระวิญญาณแห่งความบริสุทธิ์ (The Spirit of Holiness) (นิวเบรค: บาร์เคลย์ เพรส, 2015), 30-35
 
                                     
                                    
                                    
                                        
                                                                                                                                    
                                                
                                                     
                                                    Previous
                                                 
                                                                                    
                                                                                                                                    
                                                
                                                    Next