ในบทเรียนนี้ เราจบส่วนที่ 2 ของพระธรรมโรม เราได้เห็นว่าคนต่างชาติปฏิเสธความรู้ของพระเจ้า และหันไปหารูปเคารพต่าง ๆ อย่างไร คนยิวมีธรรมบัญญัติของพระเจ้าแต่ก็ไม่เชื่อฟัง ตอนนี้เปาโลสรุปสภาวะของคนในโลก
ประเด็นหลักของ โรม 3:1-20 
ทุกคนในโลกเป็นคนบาปและถูกตัดสินลงโทษในห้องพิจารณาคดีของพระเจ้า
บทสรุปของ โรม 3:1-20 
เนื้อหาตอนนี้สรุปเนื้อหาที่ยาวกว่าจากโรม 1:18-3:20 และโรม 3:19-20 สรุปเนื้อหาที่สั้นกว่าและยาวกว่าด้วยเช่นกัน ธรรมบัญญัติแสดงให้เห็นว่าคนทั้งโลกมีความผิด ดังนั้นไม่มีใครถูกนับเป็นคนชอบธรรมบนพื้นฐานแห่งการกระทำต่าง ๆ ได้
เหตุผลสำหรับการชี้ประเด็นนี้ก็เพื่อจะปิดปากทุกคน (โรม 3:19) ซึ่งหมายความว่าจะไม่มีใครมีข้อแก้ตัวหรือมาตรฐานที่จะนับว่าตัวเองเป็นคนชอบธรรมได้ โรม 3:9 แสดงให้เห็นถึงตรรกะของเปาโล นั่นคือเขาแสดงให้เห็นว่า ทั้งคนยิวและคนต่างชาติอยู่ภายใต้บาป เนื่องจากไม่มีใครมีข้อแก้ตัว ดังนั้นพระเจ้าจึงจัดการกับทุกคนในฐานะคนบาปด้วยความยุติธรรม
► ให้นักศึกษาหนึ่งคนอ่าน โรม 3:1-20 ให้กลุ่มฟัง
หมายเหตุ ศึกษาไปทีละข้อ 
(โรม 3:1-2) เปาโลได้แสดงให้เห็นว่า คนยิวจะไม่ได้รับความรอดเพียงเพราะพวกเขาเป็นคนยิว พวกเขาจะได้รับการพิพากษาเนื่องจากการงานต่าง ๆ เช่นเดียวกับคนต่างชาติ จึงมีคำถามตามธรรมชาติว่า “มีผลประโยชน์ที่แท้จริงสำหรับคนยิวไหม?” ผลประโยชน์ยิ่งใหญ่ก็คือพระคัมภีร์ พระคัมภีร์เกือบทั้งเล่มเขียนโดยคนยิวที่พระเจ้าทรงดลใจ (ผลประโยชน์อื่น ๆ ปรากฏอยู่ในโรม 9:4-5)
เราอาจถามคำถามเดียวกันเกี่ยวกับรูปแบบต่าง ๆ ของศาสนา หรือวิธีการให้พระคุณ เช่น พิธีบัพติศมา การเป็นสมาชิกคริสตจักร พิธีมหาสนิท หรือธรรมเนียมทางศาสนาอื่น ๆ สิ่งเหล่านี้ไม่อาจให้ความมั่นใจในความรอดได้ ดังนั้นคนอาจถามว่า “แล้วสิ่งเหล่านี้มีดีอะไร?” คำตอบคือ รูปแบบต่าง ๆ ของการนมัสการมีไว้เพื่อช่วยสนับสนุนความเชื่อของเรา เมื่อเราปฏิบัติสิ่งเหล่านี้ด้วยความเชื่อ เราก็ได้รับพระคุณ แต่ถ้าเราปฏิบัติสิ่งเหล่านี้โดยปราศจากความเชื่อ และให้สิ่งเหล่านี้มาแทนการเชื่อฟัง สิ่งเหล่านี้ก็ไร้ค่า[1] 
(โรม 3:3) แล้วถ้ามีบางคนไม่สัตย์ซื่อเล่า? ความไม่สัตย์ซื่อของพวกเขาทำให้ความสัตย์ซื่อของพระเจ้าเป็นโมฆะหรือ? คนถามกำลังพูดเป็นนัยว่า ถ้าหากพระเจ้าไม่ช่วยคนยิวที่ไม่เชื่อฟังให้รอด พระสัญญาของพระเจ้าก็ไม่สำเร็จ
พวกเขาคิดว่าความโปรดปรานของพระเจ้าควรมีต่อคนยิวอย่างไม่มีเงื่อนไข พวกเขาคิดว่า พวกเขาควรกล่าวหาพระเจ้าว่าพระองค์ไม่สัตย์ซื่อ ถึงแม้ว่าพวกเขาไม่ได้ตอบสนองต่อข้อกำหนดต่าง ๆ ก็ตาม
(โรม 3:4) ฉากเหตุการณ์ตอนนี้คล้ายกับว่าพระเจ้ายู่ตรงข้ามกับมนุษย์ในห้องพิจารณาคดี จะมีการพิสูจน์ถึงความแตกต่างระหว่างความสัตย์ซื่อของพระเจ้ากับความไม่สัตย์ซื่อของมนุษย์ อัครทูตไม่ได้กล่าวว่า เราไม่ควรตรวจสอบความยุติธรรมของพระเจ้า เขากล่าวว่า เมื่อเราตรวจสอบการกระทำต่าง ๆ ของพระเจ้า เราก็จะเห็นว่าพระองค์ยุติธรรมและชอบธรรมในทุกสิ่งที่พระองค์กระทำ[2] 
ต่อมาในจดหมาย เราเห็นว่าเพราะความรอดมีเงื่อนไข ดังนั้นความยุติธรรมของพระเจ้าจึงแสดงให้เห็น ทั้งในเวลาที่พระองค์ช่วยให้รอดและในเวลาที่พระองค์พิพากษา
(โรม 3:5) เปาโลยกคำถามที่บางคนอาจถามว่า “ถ้าหากบาปของเราแสดงให้เห็นว่าพระเจ้าทรงยุติธรรม แล้วบาปนั้นทำให้บรรลุบางอย่างที่ดี แล้วพระเจ้าผิดไหมที่ลงโทษเราเนื่องจากบาปนั้น?”
► เขาจะตอบคำถามใน โรม 3:5 ว่าอะไร?
(โรม 3:6) เปล่าเลย เพราะถ้าหากบาปของมนุษย์ควรได้รับการยกโทษ เพราะเป็นการแสดงให้เห็นถึงความชอบธรรมของพระเจ้าแล้ว ก็จะไม่มีบาปใดที่ถูกพิพากษาได้ นี่จะปฏิเสธการพิพากษาครั้งสุดท้ายซึ่งเป็นหลักคำสอนที่จำเป็นต่อทุกคนที่เชื่อในพระเจ้าผู้ยุติธรรม ยิ่งกว่านั้น ความยุติธรรมของพระเจ้าถูกแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนที่สุดเวลาที่พระองค์ลงโทษบาป แต่พระองค์ไม่สามารถลงโทษบาปได้ ถ้าหากบาปถูกนับว่าชอบธรรมบนพื้นฐานว่าบาปเป็นสิ่งที่แสดงให้เห็นถึงความชอบธรรมของพระองค์
(โรม 3:7) อีกครั้งที่ความคิดนี้เสนอว่า เนื่องจากบาปของเราจะถูกใช้เพื่อถวายพระสิริแด่พระเจ้า คนบาปก็ไม่ควรถูกลงโทษ นี่เป็นความพยายามจะประเมินการกระทำต่าง ๆ ตามผลลัพธ์สุดท้าย อย่างไรก็ตาม ความคิดนี้ตรงกันข้ามกับข้อเท็จจริงที่ว่าการพิพากษาจะเป็นไปตามแรงจูงใจ (โรม (2:15-16) และเกียรติที่ได้รับจากการทำให้การกระทำต่าง ๆ ที่ผิดเกิดผลลัพธ์ที่ดีล้วนเป็นของพระเจ้าแต่เพียงผู้เดียว คนบาปไม่ได้บรรลุผลดีจากบาปของตน บาปนำมาซึ่งผลลัพธ์อันเลวร้ายทั้งสิ้นยกเว้นในสิ่งที่พระเจ้าแทรกแซง
(โรม 3:8) เปาโลเพียงแต่กล่าวว่า คนบาปและพวกคนที่มีข้ออ้างเพื่อจะทำบาปก็สมควรได้รับการพิพากษา เขายังปฏิเสธคำกล่าวหาอย่างผิด ๆ ว่า คริสเตียนสอนแบบนั้นก็เพราะบาปของเราอาจบรรลุผลดีได้โดยทางพระคุณของพระเจ้า เราจึงควรแค่ยอมรับความบาปและเป็นคนบาปต่อไป การยอมรับถึงความบาปชั่วของตัวเองยังไม่เพียงพอ คนต้องกลับใจใหม่ แต่การจะกลับใจใหม่อย่างแท้จริงได้นั้น เขาต้องมองเห็นว่าบาปของเขาชั่วร้ายจริง ๆ
(โรม 3:9) “เรา” อ้างถึงคนยิว พวกเขาไม่ได้มีสถานะฝ่ายวิญญาณโดยอัตโนมัติ ทุกคนล้วนตกอยู่ใต้บาป พวกเขาทำบาปและอยู่ภายใต้การพิพากษา
(โรม 3:10-18) ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้ยกมาจากพระธรรมสดุดี และจากผู้เผยพระวจนะในพันธสัญญาเดิม[3]  บางคนยกพระธรรมโรม 3:10 แล้วกล่าวว่า พระคัมภีร์หมายความว่าไม่มีใครชอบธรรมแม้กระทั่งคริสเตียน อย่างไรก็ตาม โรม 3:10-18 ไม่สามารถนำมาอธิบายถึงคริสเตียนได้ ถ้าหากใครก็ตามคิดว่าข้อพระคัมภีร์นี้อธิบายถึงคริสเตียนแล้ว ก็ให้เขาใส่ชื่อคริสเตียนที่เขารู้จักลงไปในประโยคเหล่านี้ ตัวอย่างเช่น ปากของศิษยาภิบาลแอรอนเต็มด้วยคำแช่งด่าอันขมขื่น เท้าของเขาว่องไวในการทำให้นองเลือด และเขาไม่เคยคิดจะยำเกรงพระเจ้า”
ข้อพระคัมภีร์เหล่านี้อธิบายถึงสภาวะทั่วไปของผู้ที่ไม่ได้กลับใจมาเชื่อ สภาวะนี้คล้ายคลึงกับคำอธิบายในโรม 1:29-31 วัตถุประสงค์ของเปาโลคือแสดงให้เห็นว่าไม่มีใครรับความรอดได้โดยการงานของตน โรม 3:10-18 แสดงให้เห็นว่าไม่มีใครชอบธรรมได้โดยไม่ได้รับความชอบธรรมของพระเจ้า
► เขาจะตอบสนองต่อคำกล่าวที่ว่า “ไม่มีใครควรอ้างว่าเขากำลังดำเนินชีวิตอย่างมีชัยชนะเหนือการทดลองเพราะพระคัมภีร์กล่าวว่าไม่มีใครชอบธรรม” อย่างไร?
โรม 3:19-20 ไม่ได้สรุปใจความที่ปรากฏอยู่ในโรม 3:1-20 เท่านั้น แต่สรุปใจความทั้งหมดของโรม 1:18-3:20
(โรม 3:19-20) พระเจ้าไม่ได้ให้ธรรมบัญญัติเพื่อแสดงให้คนเห็นว่าต้องทำอย่างไรจึงจะถูกนับว่าเป็นคนชอบธรรม แต่เพื่อแสดงให้เห็นว่าทุกคนมีความผิดเรียบร้อยแล้ว ธรรมบัญญัติไม่ได้เป็นหนทางให้ถูกนับว่าเป็นคนชอบธรรม แต่เป็นหนทางสู่การพิพากษา คำว่า “ปิดปากทุกคน” หมายความว่าไม่มีใครมีข้อแก้ตัวหรือมีมาตรฐานสำหรับการนับตนเองเป็นคนชอบธรรมได้เลย เขาไม่สามารถปกป้องตัวเองได้ในห้องพิจารณาคดีในสวรรค์
คนที่คิดว่าตนเองต้องรักษาธรรมบัญญัติเพื่อให้พระเจ้ายอมรับก็อยู่ใต้ธรรมบัญญัติ การอยู่ใต้ธรรมบัญญัติไม่ได้อ้างอิงถึงช่วงเวลาในประวัติศาสตร์แห่งพันธสัญญาเดิม ทุกคนอยู่ใต้ธรรมบัญญัติถ้าหากเขาไม่ได้รับพระคุณที่ช่วยให้รอด เพราะว่าถ้าหากเขาต้องได้รับการพิพากษาของพระเจ้า เขาก็จะถูกพิพากษาเนื่องจากละเมิดธรรมบัญญัติ คนไม่อยู่ใต้ธรรมบัญญัติอีกต่อไปถ้าหากเขาได้รับความรอดเนื่องจากพระเจ้าทรงยอมรับเขาบนพื้นฐานแห่งพระคุณ
► การอยู่ใต้ธรรมบัญญัติมีความหมายว่าอะไร?
 
[2] ดูที่ “ความยุติธรรมของพระเจ้าเกี่ยวกับความยากลำบาก” ในบทที่ 9
 
[3] สดุดี 14:1-3, สดุดี 53:1-3, สดุดี 5:9, สดุดี 140:3, สดุดี10:7, อิสยาห์ 59:7-8, สุภาษิต 1:16, สดุดี 36:1
 
                                     
                                    
                                    
                                        
                                                                                                                                    
                                                
                                                     
                                                    Previous
                                                 
                                                                                    
                                                                                                                                    
                                                
                                                    Next